Wednesday, 25 June 2025
TheStatesTimes

ครม. เห็นชอบ มาตรการรับมือฤดูฝน เน้น ป้องกัน-ลดความเสียหายจากภัยพิบัติในฤดู

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2564 ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เสนอ เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือ ป้องกัน และลดความเสียหายจากการเกิดภัยพิบัติในฤดูฝน

ซึ่งประมาณการปริมาณน้ำในแหล่งน้ำทั่วประเทศ ณ วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 มีปริมาณน้ำรวม 38,722 ล้านลูกบาศก์เมตร (ร้อยละ 47 ของความจุ) และเมื่อเข้าฤดูฝนจะมีการใช้น้ำเพิ่มขึ้นเป็น 96,249 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าปริมาณน้ำที่มีอยู่ในอ่างเก็บน้ำถึง 57,527 ล้านลูกบาศก์เมตร

ดังนั้น สทนช. จึงกำหนดแผนการจัดสรรน้ำในฤดูฝน และมาตรการรับมือฤดูฝนปี 2564 ดำเนินการควบคู่กันไป โดยแผนการจัดสรรน้ำในฤดูฝน กำหนดให้ใช้น้ำฝนในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นหลักเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน แบ่งประเภทการใช้น้ำ ดังนี้

1.) การอุปโภคบริโภค รวม 3,429 ล้านลูกบาศก์เมตร

2.) การรักษาระบบนิเวศ รวม 12,888 ล้านลูกบาศก์เมตร

3.) การเกษตรกรรม รวม 78,905 ล้านลูกบาศก์เมตร

4.) การอุตสาหกรรม รวม 1,027 ล้านลูกบาศก์เมตร  

น.ส.รัชดา กล่าวอีกว่า ส่วนพื้นที่จัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรฤดูฝน กรมส่งเสริมการเกษตร ได้คาดการณ์พื้นที่ปลูกพืชฤดูฝนปี 2564 ดังนี้

1.) ในเขตชลประทาน มีจำนวน 11.56 ล้านไร่ แบ่งเป็น นารอบที่ 1 (นาปี) จำนวน 10.62 ล้านไร่ พืชไร่ จำนวน 6.1 แสนไร่ และพืชผัก จำนวน 3.2 แสนไร่

2.) นอกเขตชลประทาน มีจำนวน 61.49 ล้านไร่ แบ่งเป็น นารอบที่1 (นาปี) จำนวน 48.95 ล้านไร่ พืชไร่ จำนวน 11.75 ล้านไร่ และพืชผัก จำนวน 7.9 แสนไร่ 

น.ส.รัชดา กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2564 ประกอบด้วย 10 มาตรการ ดังนี้

1.) คาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนน้อยกว่าค่าปกติ โดยปรับปรุงข้อมูลทุกสิ้นเดือน  

2.) บริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำเพื่อรองรับน้ำหลาก ตั้งแต่ 1 เมษายน ถึง 15 สิงหาคม 2564

3.) ปรับปรุงเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และเขื่อนระบายน้ำ ให้เสร็จภายใน 30 เมษายน 2564

4.) ซ่อมแซมปรับปรุงอาคารชลศาสตร์และระบบระบายน้ำ ให้พร้อมใช้งานภายใน 30 มิถุนายนนี้

5.) ปรับปรุงและแก้ไขสิ่งกีดขวางทางน้ำ ให้เสร็จภายใน 30 มิถุนายนนี้

6.) ขุดลอกคูคลองและกำจัดผักตบชวา ให้เสร็จภายใน 30 มิถุนายนนี้

7.) เตรียมความพร้อมและวางแผนเครื่องจักรเครื่องมือประจำพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนน้อยกว่าค่าปกติ ให้เสร็จภายใน 30 มิถุนายนนี้

8.) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานและปรับปรุงวิธีการส่งน้ำตลอดระยะเวลาฤดูฝน

9.) สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเตรียมความพร้อม ตลอดระยะเวลาฤดูฝน และ

10.) ติดตามประเมินผลและปรับมาตรการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภัย ตลอดระยะเวลาฤดูฝน นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการตามมาตรการดังกล่าวด้วย

มณฑลกวางตุ้ง คุมเข้มสกัดโควิด-19 ออกมาตรการกักตัว และสังเกตอาการผู้เดินทางจากพื้นที่เสี่ยง รวมประเทศไทย เป็นเวลา 14 วัน บวกสังเกตอาการเพิ่มอีก 7 วัน

สถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ออกประกาศเมื่อวันที่ 16 พ.ค. ค.ศ.2021 แจ้งมาตรการเพิ่มเติมเพื่อประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ได้แก่ การตรวจเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มผู้เดินทางจากต่างประเทศ โดยต้องตรวจเชื้อ 2 ครั้งในระกว่างการกักตัว 14 วัน สำหรับผู้เดินทางจากกลุ่มประเทศที่มีอัตราเสี่ยงการติดเชื้อฯ สูง ซึ่งรวมประเทศไทยด้วย จะต้องตรวจเชื้อโควิด-19 ในวันที่ 1, 4, 7, 10, และ 14 ของการกักตัว

นอกจากนี้ ยังต้องอยู่ภายใต้มาตรการสังเกตอาการเพิ่มเติมอีก 7 วัน กล่าวคือ ผู้ที่กักตัวครบ 14 วันแล้ว จะต้องสังเกตอาการอีก 7 วันในที่พักของตน โดยมีการตรวจเชื้อโควิด-19 ในวันที่ 2 และวันที่ 7 ของช่วงสังเกตการนี้

สำหรับผู้เดินทางเข้าจีนที่เมืองเซินเจิ้น ต้องกักตัว 14 วัน และสังเกตอาการ 7 วันที่เมืองเซินเจิ้น ก่อนออกเดินทางไปเมืองอื่นๆ


https://mgronline.com/china/detail/9640000047686

วัคซีนพระสงฆ์ ! “รมต.อนุชา” ให้พศ. นิมนต์พระสงฆ์เข้ารับการฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการแพร่ระบาดในวัด

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ติดตามและอำนวยการความสะดวกแก่พระสงฆ์ที่เข้ารับถวายการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา-19 (COVID-19) ที่โรงพยาบาลสงฆ์จัดทำขึ้นโดยกระทรวงสาธารณสุข

ทั้งนี้มีพระสงฆ์เข้ารับถวายการฉีดวัคซีน ในวันแรก 350 รูป โดยข้อกำหนดของทางโรงพยาบาลที่จัดทำโครงการนี้ขึ้น เพื่อถวายการฉีดวัคซีนแด่พระสงฆ์ อายุ 60 ปี ขึ้นไป พระสงฆ์อายุน้อยกว่า 60 ปี แต่มีโรคร่วม 7 โรค และพระสงฆ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ระบาดสีแดงเข้ม

นายอนุชา กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง มีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนที่มีพุทธศาสนิกชนเดินทางไปเป็นประจำทุกวัน อีกทั้งมีการประกอบพิธีฌาปนกิจศพผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทำให้พระสงฆ์จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ การจัดโครงการถวายการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนา-19 (COVID-19) แด่พระภิกษุสงฆ์ของโรงพยาบาลสงฆ์ จึงสอดคล้องกับแนวทางที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในการยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในวัด ซึ่งเป็นการป้องกันทั้งพระภิกษุสงฆ์เอง และญาติโยมที่เดินทางไปวัด 

นายอนุชา กล่าวว่า ได้สั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำรวจจำนวนพระสงฆ์ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 พบว่าพระสงฆ์ที่ติดเชื้อและมีอาการอาพาธ มีจำนวน 14 ราย และพระสงฆ์และสามเณรที่มรณภาพ มีจำนวน 3 ราย ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานไปยังวัดทั่วประเทศ ให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด พร้อมหาแนวทางให้ความช่วยเหลือโดยด่วน

‘บิ๊กแดง’ เป็นลูก ‘บิ๊กจ๊อด’

จากกรณีที่ทวิตเตอร์ ของแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม @ThammasatUFTD ได้โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 18.32 น. วันที่ 17 พฤษภาคม ระบุว่า พฤษภาทมิฬ คือการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นจากรัฐบาลเผด็จการของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร หรือ พ่อของ “แดง” อดีตผบ.ทบ. ปัจจุบันได้รับหน้าที่เป็นถึงองคมนตรี

แต่แท้ที่จริงแล้ว พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็นลูกของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์เเละดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการพระราชวัง ระดับ 11 หมายเลข 6 ไม่ได้เป็นลูกของพล.อ.สุจินดา คราประยูร และไม่ได้เป็นองคมนตรีแต่อย่างใด

ขณะที่ นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์เฟซบุ๊กสวนกลับว่า ในฐานะศิษย์เก่ามธ. โคตรอายเลยว่ะ ที่มีรุ่นน้องพร่องความรู้ทางประวัติศาสตร์เยี่ยงนี้


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1405748736448566&id=100010403598013

 

ระยอง - นายกช้าง รณรงค์ให้ชาวระยองฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 หากเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน จ่ายทันที 500,000 บาท

เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2564 ที่ห้องประชุมชั้น 3  อบจ.ระยอง ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง นายปิยะ ปิตุเตชะ นายก อบจ.ระยอง เปิดแถลงข่าวรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนชาว จ.ระยอง ไปรับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ทุกคน เพื่อให้ จ.ระยอง เป็นจังหวัดที่ปลอดจากเชื้อไวรัสโควิด-19
นายปิยะ ปิตุเตชะ นายก อบจ.ระยอง กล่าวว่า หลังจากที่ตนติดเชื้อโควิด-19 เมื่อวันที่ 18 เม.ย.64 ที่ผ่านมา แต่โชคดีที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคไปแล้ว 1 เข็ม จึงทำให้อาการทั่วไปไม่รุนแรง เชื้อไม่ลงปอด ล่าสุดหายเป็นปกติแล้ว ซึ่งตนได้เล็งเห็นถึงประโยนช์ของการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ดังกล่าว จึงควรให้ประชาชนชาว จ.ระยอง เข้ารับการฉีดวัคซีนกันทุกคน เพื่อทุกคนจะได้ปลอดภัยจากโควิด-19 เพราะการฉีดวัคซีนมีประโยชน์กว่าไม่ฉีด และไม่ต้องไปกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากการฉีด เพราะ ทางภาครัฐก็มีประกันให้ หากใครเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนมีการจ่ายเงินช่วยเหลือ จำนวน 400,000 บาท โดยตนจะควักเงินส่วนตัวจ่ายเงินช่วยเหลือเพิ่มให้อีก โดยทางตนได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ต่อการฉีดวัคซีน จึงได้เสนอจ่ายเงินส่วนตัวจากผลกระทบต่อการฉีดวัคซีน 


โดยฉีดวัคซีนแล้วเสียชีวิต หรือพิการถาวร ประชาชนที่อาศัยอยู่ใน จ.ระยอง ที่ทะเบียนบ้านอยู่ในระยอง จ่าย 400,000 บาท  ประชาชนที่มีทะเบียนบ้านและเป็นชาวระยองโดยกำเนิด จ่ายเพิ่มให้ 100,000 บาท เป็น 500,000 บาท ฉีดวัคซีนแล้วเกิดอาการพิการหรือสูญเสียอวัยวะทางร่างกาย จ่าย 240,000 บาท เป็นประชาชนที่มีทะเบียนบ้านเป็นชาวจ.ระยองโดยกำเนิด จ่าย 340,000 บาท บาดเจ็บจากการฉีดวัคซีน ประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ใน จ.ระยอง จ่าย 100,000 บาท สำหรับประชาชนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ใน จ.ระยอง จ่าย 200,000 บาท ส่วนประชาชนที่ไม่มีทะเบียนบ้านอยู่ใน จ.ระยอง จะตรวจสอบหลักฐานจากบัตรประกันสังคม และบัตรพนักงานแต่ก็จะต้องตรวจสอบกันอย่างละเอียดว่าอาศัยอยู่ใน จ.ระยอง จริง และมีเงื่อนไขว่าต้องฉีดวัคซีนกับโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น ขอเชิญให้ชาวระยอง ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนต้านโควิดทุกคน หากมีข้อสงสัย สอบถามข้อได้ที่ อบจ.ระยอง


ภาพ/ข่าว  วฐิต กลางนอก / ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน 
 

ขอนแก่น - กฟผ.และบริษัทในกลุ่มกฟผ. มอบเงินสนับสนุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลในจังหวัดขอนแก่น

วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผู้ว่าราชการการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย นางจิรประภา ศิริสูงเนิน รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น 
เป็นประธานรับมอบเงินจำนวน 1,900,000 บาท จากนายพิพัทต์ คงสินทวีสุข ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าพลังน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นายไวฑูรย์ เกียรติเฉลิมคุณ ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าน้ำพอง และนายสหชาติ พิลาออน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และบริษัทในกลุ่ม กฟผ. เพื่อสนับสนุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้โรงพยาบาลในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 5 โรงพยาบาล ได้แก่โรงพยาบาลศรีนครินทร์จำนวน 500,000 บาท โรงพยาบาลขอนแก่นจำนวน 500,000 บาท โรงพยาบาลชุมแพจำนวน 300,000 บาท โรงพยาบาลน้ำพองจำนวน 300,000 บาท และโรงพยาบาลสมเด็จพระเด็จพยุพราชกระนวนจำนวน 300,000 บาท 


นอกจากนี้ยังได้มอบเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ที่กดเจลแอลกอฮอล์แบบเท้าเหยียบพร้อมเจลแอลกอฮอล์ขนาด 450 มล.10 ชุด หน้ากากอนามัย 1,000 ชิ้น หมวกคลุมผม 1,000 ชิ้น ถุงมือยาง 1,000 ชิ้น ชุดกาวน์กันน้ำ 100 ชุด น้ำดื่ม 100 โหล ให้สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น และน้ำดื่ม 100 โหลให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เพื่อใช้ในการออกปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและเฝ้าระวัง การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019

ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ระลอกใหม่นี้ กฟผ.และบริษัทในกลุ่ม กฟผ. ได้แก่ บริษัท ราชกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และบริษัท กฟผ. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ระดมเงินงบประมาณจำนวน 81 ล้านบาท เพื่อร่วมบริจาคให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวน 149 โรงพยาบาล นำไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อใช้ป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ของบุคลากรทางการแพทย์ และนับตั้งแต่การเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ตั้งแต่ปี 2563 – 2564 กฟผ.ได้สนับสนุนงบประมาณรวม 400 ล้านบาทในการสนับสนุนการทำ จัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ให้กับโรงพยาบาล 300 โรงพยาบาล และชุมชนกว่า 1,000 ชุมชนทั่วประเทศ เพื่อให้ปลอดภัยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ตามแนวการดำเนินงานว่า กฟผ.เคียงข้างคนไทยทุกวิกฤต


 

ครม.ไฟเขียว ลดเงินสมทบ นายจ้าง-ลูกจ้าง ม.33 เหลือ 2.5 % เป็นเวลา 3 เดือน ผู้ประกันตนมาตรา 39 เหลืออัตราเดือนละ 216 บาท

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. ….. โดยให้ลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 จากเดิมฝ่ายละ 5% เหลือฝ่ายละ 2.5% ของค่าจ้างผู้ประกันตน และผู้ประกันตนมาตรา 39 เหลืออัตราเดือนละ 216 บาท เป็นเวลา 3 เดือนในงวดเดือนมิ.ย.-ส.ค.64

รวมเป็นเงินที่จะกลับมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 20,163 ล้านบาท โดยการลดเงินสมทบครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ที่กระทรวงแรงงานเสนอ มาตรการแบ่งเบาภาระให้ลูกจ้างและนายจ้างในช่วงวิกฤตโควิด-19

นายสุชาติ กล่าวอีกว่า สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับต่อนายจ้างและผู้ประกันตน ดังนี้ นายจ้าง 481,113 ราย ลดภาระค่าใช้จ่ายลง 9,487 ล้านบาท ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จำนวน 11.1 ล้านคน ลดภาระค่าใช้จ่ายลง 9,487 ล้านบาท ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จำนวน 1.8 ล้านคน ลดภาระค่าใช้จ่าย 1,189 ล้านบาท รวมผู้ประกันตนทุกมาตราจำนวน 12.9 ล้านคน ลดภาระค่าใช้จ่ายลง 10,676 ล้านบาท

“จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทรวงแรงงานเล็งเห็นผลกระทบที่จะเกิดต่อแรงงานและนายจ้าง จึงดำเนินการเสนอให้ลดเงินสมทบกองทุนประกันสังคมลง ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ในปี 2564 โดยครั้งแรกช่วยให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 23,119 ล้านบาท รวม 2 ครั้งในปีนี้สามารถเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจรวม 43,282 ล้านบาท และเสริมสภาพคล่อง แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าของนายจ้างและผู้ประกันตน ช่วยให้ชีวิดความเป็นอยู่ของผู้ประกันตนดีขึ้น และที่สุดรักษาการจ้างงานไว้” นายสุชาติ กล่าว

นายสุชาติ กล่าวว่า ตั้งแต่เดือนก.ย.64 เป็นต้นไป นายจ้าง ลูกจ้างและผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ถึงจะกลับมาจ่ายเงินสมทบในอัตรา 5% ในอัตราปกติตามกฎหมายกำหนด ส่วนผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จะกลับมาจ่าย 432 บาทต่อเดือนตามกฎหมายกำหนดเช่นกัน

ขอนแก่น - มข. คว้ารางวัล “เหรียญเงิน” ระดับนานาชาติ จาก “อุปกรณ์ปรับแต่งจมูกสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่” ณ สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์

“อุปกรณ์ปรับแต่งจมูกสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ หรือ Nasal Creator Device” คว้ารางวัล “เหรียญเงิน” ระดับนานาชาติ จากผลงานประกวด 800 ชิ้น กว่า 40 ประเทศ ของการประกวดแข่งขัน Geneva Inventions ในงาน The 48th International Exhibition of Inventions Geneva ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์

โดย “อุปกรณ์ปรับแต่งจมูกสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ หรือ Nasal Creator Device” เป็นสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งเป็นความร่วมมือจากทีมวิจัยสหสาขาวิชาชีพจากคณะทันตแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยมี รศ.ดร.ทพ.พูนศักดิ์ ภิเศก เป็นหัวหน้าทีม โดยผลงานดังกล่าว มีจุดเริ่มต้น ในปี พ.ศ. 2561 ในรายวิชาโครงการวิจัยทางทันตกรรม ซึ่งรศ.พูนศักดิ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย และนักศึกษาทันตแพทย์ชั้นปีที่ 5 ประกอบด้วย นทพ.วนิดา อัครโชติสกุล, นทพ.ชลนภา พัฒนภิรมย์ และนทพ.ธนาภรณ์ นีละกาญจน์ (ปัจจุบันทุกท่านสำเร็จการศึกษารับราชการเป็นทันตแพทย์แล้ว) สนใจออกแบบพัฒนาอุปกรณ์ที่ใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ โดยมี รศ.ดร.สุรสิทธิ์ ปิยะศิลป์ คณะวิศวกรรมศาสตร์, ผศ.นพ.พลากร สุรกุลประภา คณะแพทยศาสตร์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาในลักษณะของทีมสหสาขาวิชาชีพ และต่อยอดด้วยการศึกษาเชิงคลินิกของ ทพญ.สุลาวัลย์ แววสง่า นักศึกษาหลังปริญญาหลักสูตรวุฒิบัตร สาขาทันตกรรมจัดฟัน โครงการวิจัยนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศ “Research Fantasia Season X” จากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ต่อมาผลงานนี้ได้รับการรับรองจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการใช้งานในผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ ในโรงพยาบาลและสถานบริการทั่วประเทศ โดยเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายอุปกรณ์นี้จาก สปสช.

ในปีพ.ศ. 2562 ผลงานนี้ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ด้านสังคม (National Innovation Awards for Social Contribution 2019) จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

ปี พ.ศ.2563 ได้รับรางวัลสภาวิจัยแห่งชาติ รางวัลประกาศเกียรติคุณผลงานสิ่งประดิษฐ์คิดค้น จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

ปี พ.ศ.2564 ได้รับการคัดเลือกจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติให้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าประกวดแข่งขัน ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์ จนคว้ารางวัลระดับนานาชาติในครั้งนี้

รศ.ทพ.ดร. พูนศักดิ์ ภิเศก หัวหน้าทีมผู้คิดค้นอุปกรณ์ปรับแต่งจมูกสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า “การออกแบบอุปกรณ์สำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ ได้ทำการวิจัยร่วมกันในลักษณะสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งเริ่มจากนักศึกษาทันตแพทย์ระดับปริญญาตรีได้ทำการศึกษาออกแบบพัฒนาเครื่องมือเป็นตัวต้นแบบ ตามมาด้วยการศึกษาวิจัยต่อยอดทางคลินิกโดยนักศึกษาหลังปริญญาในหลักสูตรทันตแพทย์ประจำบ้านสาขาทันตกรรมจัดฟัน ได้ศึกษาผลของอุปกรณ์นี้ในเชิงคลินิก ซึ่งเป็นการศึกษาต่อเนื่องติดตามผลการใช้งานในผู้ป่วยหลังใช้เครื่องมือนี้ในการผ่าตัดตกแต่งจมูกและริมฝีปาก โดยคณาจารย์จากคณะทันตแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ ได้ร่วมกันเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการวิจัย เดิมทีอุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ ยังไม่มีการผลิตขึ้นมาในประเทศ จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศในราคาชิ้นละ 3,500 – 4,000 บาท ต่อชิ้น ซึ่งคนไข้ปากแหว่งเพดานโหว่ 1 คนต้องใช้ประมาณ 3 ชิ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อผู้ป่วย 1 คน อยู่ที่ประมาณ 12,000 บาท เมื่ออุปกรณ์นี้สามารถผลิตได้สำเร็จจะทำให้ลดการนำเข้าจากต่างประเทศและต้นทุนการผลิตถูกลง เฉลี่ยชิ้นละ 200-300 บาท ทำให้ค่าอุปกรณ์ในการรักษา ลดลงถึง 10 เท่า สำหรับความสำเร็จในครั้งนี้ ผมขอขอบคุณ ผศ.ทพ. วัชรินทร์ หอวิจิตร ผศ.ดร.ทพ. เอกสิทธิ์ มโนสุดประสิทธิ์ อ.ดร.ทพญ. พุทธธิดา วังศรีมงคลและ คุณสุธีรา ประดับวงศ์ ที่มีส่วนช่วยเหลือในงานวิจัยและเตรียมการประกวดแข่งขัน ขอขอบพระคุณประธานมูลนิธิตะวันฉาย ศ.นพ.บวรศิลป์ เชาวน์ชื่น รศ.(พิเศษ) ดร.ทพญ. สมใจ สาตราวาหะ และท่าน รศ.ดร.ทพญ. วรานุช ปิติพัฒน์ คณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด”

“อุปกรณ์ปรับแต่งจมูกสำหรับผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ หรือ Nasal Creator Device” เป็นอุปกรณ์ที่ผลิตจากโรงงานผลิตเครื่องมือแพทย์ที่ได้มาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหาร (อย.) เป็นวัสดุที่มีความปลอดภัย และได้มาตรฐาน ซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช) จึงอนุมัติให้สถานพยาบาลทั่วทุกประเทศได้ใช้งาน และยังได้ส่งต่อไปในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่ พม่า ลาว และกัมพูชาอีกด้วย

ชลบุรี - วางแผนฉีดวัคซีน 3 หมื่นคนต่อวัน ผู้ติดเชื้อโควิดลดลงต่อเนื่อง

จังหวัดชลบุรี จัดเตรียมสถานที่พร้อมและศักยภาพบุคลากรที่ให้บริการฉีดวัคซีนได้ 3 หมื่นคนต่อวัน  ขณะที่ภาพรวมผู้ติดเชื้อโควิด-19  ลดลงต่อเนื่อง
เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 18 พฤษภาคม 2564 ที่ห้องประชุมชลบุรี ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดชลบุรี นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เรียกประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคจากเชื้อไวรัสโควิด-19  ครั้งแรก เพื่อเตรียมความพร้อมบูรณาการขับเคลื่อนการกระจายแจกจ่ายวัคซีน การลงทะเบียนรับวัคซีนและฉีดวัคซีน ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ


โดยนายแพทย์อภิรัต กตัญญุตานนท์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี สรุปภาพรวมบริหารจัดการฉีดวัคซีน ในบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข เจ้าหน้าที่ด่านหน้า  และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ตั้งแต่มีนาคมถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม นี้ จะครอบคลุมครบร้อยเปอร์เซ็นต์  โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนทเป็นต้นไป เป็นบริการฉีดให้ผู้รับวัคซีนในกลุ่มหลัก 7 โรคเสี่ยง กลุ่มผู้สูงอายุ และประชาชนทั่วไป กำหนดรูปแบบร้อยละ 30 ในกลุ่มลงทะเบียนผ่านไลน์หรือแอปหมอพร้อม ร้อยละ 50 ในกลุ่มประชาชนทั่วไป องค์กรหรือหน่วยงานที่ประสานโรงพยาบาล นัดวันฉีดวัคซีนซึ่งจะเป็นจำนวนหลัก และร้อยละ 20 ในประชาชนที่เดินทางเข้ามารับวัคซีน ซึ่งทีมสาธารณสุขจังหวัดชลบุรีสามารถให้บริการวัคซีนที่ผ่านมามากกว่าหมื่นคนต่อวันต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพพร้อมให้บริการ 3 หมื่นคนต่อวัน ภายใน 30-45 วันจะครบร้อยละ 70 ของประชากรล้านคนเศษ ตามจำนวนวัคซีนที่ได้รับจัดสรรช้าหรือเร็ว 9 แสนโด้ส  


ในส่วนพื้นที่ทั้ง 11 อำเภอได้กำหนดสถานที่นอกโรงพยาบาล  เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนในการเข้ารับวัคซีนเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ วันนี้  33 ราย เป็นผู้สัมผัสในครอบครัว 19 ราย ที่ทำงาน 6 ราย และอยู่ระหว่างสอบสวนโรค 8 ราย  ยอดสะสมรวม 3,770 ราย  หายป่วยเพิ่ม 156 ราย รวมเป็น 2,728 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 สะสม 15 ราย โดยยังค้นหาผู้สัมผัสจำนวน 241 ราย ค้นหาเชิงรุกในพื้นที่ 620 ราย และด้วยรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัยพระราชทาน อีกจำนวน 569 ราย



ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 
 

นายก อบจ.ระยอง รณรงค์ให้ชาวระยอง เข้ารับการ ฉีดวัคซีนโควิด ประกาศหากเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนต้านโควิด จ่ายทันที 500,000 บาท ชี้ วัคซีนมีประโยชน์มากกว่าโทษ หลังเคยติดเชื้อโควิด แต่เชื้อไม่ลงปอด เหตุได้ฉีดซิโนแวคก่อนแล้ว 1 เข็ม

เมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ห้องประชุม อบจ.ระยอง ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง นายปิยะ ปิตุเตชะ นายก อบจ.ระยอง เปิดแถลงข่าวรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนชาว จ.ระยอง ไปรับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ทุกคน เพื่อให้จ.ระยอง เป็นจังหวัดที่ปลอดจากเชื้อไวรัสโควิด-19

นายปิยะ กล่าวว่า หลังจากที่ตนติดเชื้อโควิด-19 เมื่อวันที่ 18 เม.ย.64 ที่ผ่านมา แต่โชคดีที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคไปแล้ว 1 เข็ม จึงทำให้อาการทั่วไปไม่รุนแรง เชื้อไม่ลงปอด ล่าสุดหายเป็นปกติแล้ว ซึ่งตนได้เล็งเห็นถึงประโยชน์ของการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 จึงควรให้ประชาชนชาว จ.ระยอง เข้ารับการฉีดวัคซีนกันทุกคน เพื่อทุกคนจะได้ปลอดภัยจากโควิด-19 เพราะการฉีดวัคซีนมีประโยชน์กว่าไม่ฉีด และไม่ต้องไปกลัวว่าจะได้รับอันตรายจากการฉีด เพราะทางภาครัฐก็มีประกันให้ จาก สปสช. หากใครเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนมีการจ่ายเงินช่วยเหลือ จำนวน 400,000 บาท

นอกจากนี้ ตนก็จะควักเงินส่วนตัวจ่ายเพิ่มให้อีก 400,000บาท และถ้าเป็นคนระยองก็จ่ายเพิ่มให้อีก 100,000 รวม เป็น 500,000 บาท แต่ถ้า ฉีดวัคซีนแล้วเกิดอาการพิการหรือสูญเสียอวัยวะทางร่างกาย จ่าย 240,000 บาท ถ้าเป็นประชาชนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ จ.ระยอง จ่าย 340,000 บาท และถ้าบาดเจ็บจากการฉีดวัคซีน ประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ใน จ.ระยอง จ่าย 100,000 บาท

สำหรับประชาชนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ใน จ.ระยอง จ่าย 200,000 บาท สำหรับการตรวจสอบหลักฐาน จะตรวจสอบจากบัตรประกันสังคม และบัตรพนักงาน และมีเงื่อนไขว่าต้องฉีดวัคซีนกับโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น ขอเชิญให้ชาวระยองและประชาชนที่อยู่ในจังหวัดระยองเข้ารับการฉีดวัคซีนต้านโควิดทุกคน

ขณะที่ ศูนย์ปฏิบัติการฯโควิด-19 ระยอง โดยนายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ของจังหวัดระยองว่า วันนี้พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 10 ราย ผู้ป่วยสะสมตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.-18 พ.ค.64 จำนวน 831 ราย

ศูนย์โควิด-19 จ.ระยอง ยังประกาศ เปิดเกาะเสม็ด ให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าท่องเที่ยวได้ ตั้งแต่วันที่ 18 พ.ค. 64 เป็นต้นไป หลังตรวจเชิงรุกและตรวจหาเชื้อในกลุ่มเสี่ยงทั้งหมดแล้วไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก ซึ่งการเปิดเกาะเสม็ดจัดให้มีมาตรการรองรับรับในด้านความปลอดภัย ตามมาตรการของสาธารณสุขกำหนด ภายใต้ความร่วมมือของผู้ประกอบการ ปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวมั่นใจและปลอดภัยจากโควิด-19 อีกด้วย


ที่มา : https://www.amarintv.com/news/detail/80354


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top