Wednesday, 25 June 2025
TheStatesTimes

"สิระ" จี้ บ.อิตาเลียนไทย เรียกคนงานคลัสเตอร์แคมป์หลักสี่ กักตัว-เปิดไทม์ไลน์ ด่วน หลังเจอ 2 คนงานติดโควิด หวั่น ระบาดหนักที่สุดในประเทศ 

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีคลัสเตอร์แคมป์คนงานหลักสี่ว่า ตนขอเรียกร้องให้บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เรียกคนงานที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างไซต์งานย่านศูนย์ราชการ นับย้อนหลังไป 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. หรือตั้งแต่ 30 เม.ย. ให้มากักตัว ตรวจหาเชื้อโควิด-19 และสอบสวนไทม์ไลน์ทั้งหมด ทั้งแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ หลังจากพบว่าคนงานของบริษัทอิตาเลียนไทยจำนวน 2 คนที่รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 วันนี้ได้เดินทางกลับไปพักที่บ้านตัวเองย่านลาดพร้าว และอยู่ในชุมชนใกล้แคมป์ย่านศูนย์ราชการ ซึ่งไม่ได้พักอาศัยในแคมป์คนงาน และพบว่าผลติดเชื้อโควิด-19 โดยล่าสุดตนได้ประสานไปยังนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน โดยนายสุชาติได้ให้โรงพยาบาลรับตัวเข้ารับการรักษาเป็นการเร่งด่วนแล้ว

"ตรวจเมื่อวาน ผลออกมาเป็นบวกคือติดเชื้อ ทำไมตรวจแล้วไม่กักไว้ก่อน ผมขอให้ทุกคนที่เป็นแรงงานในแคมป์นี้เปิดเผยไทม์ไลน์ด่วน เพราะคนในครอบครัวของคนงานที่ติดโควิด-19 ก็ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องรับการตรวจค้นหาเชื้อโดยเร็วด้วยเช่นกัน หากยังไม่ได้รับการตรวจและเร่งสอบสวนไทม์ไลน์คนสัมผัสใกล้ชิด ผมห่วงว่าการระบาดครั้งนี้จะเป็นคลัสเตอร์ที่รุนแรงกว่าตลาดกลางกุ้ง และอาจใหญ่ที่สุดในประเทศไทย" นายสิระ กล่าว 

นายสิระ กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ทราบข่าวว่ามีคนงานในแคมป์ติดโควิด ในคืนวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา นอกจากจะมีรถพยาบาลรับผู้ติดเชื้อในแคมป์ไปรักษาแล้ว ยังระบุข้อมูลว่ามีรถสองแถวนำคนงานออกไปข้างนอกแคมป์ ทั้งที่มีประกาศปิดแคมป์ห้ามคนงานเข้าออก ซึ่งหากจะบอกว่านั่งรถสองแถวไปตรวจเชื้อ แต่รถไม่มีมาตรการป้องกันตามข้อกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข และการไปตรวจนอกแคมป์นั้น ไปแล้วกลับเข้าแคมป์จริงหรือไม่ ตนมีคำถามว่าทำไมเจ้าหน้าที่ไม่เข้าไปตรวจคนงานในไซต์งานก่อสร้างของบริษัทอิตาเลียนไทยตั้งแต่แรกที่พบผู้ติดเชื้อ เพราะมีอะไรไม่ชอบมาพากลหรือขัดต่อตามกฎหมายหรือไม่ เช่น แรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ ตนขอเรียกร้องให้เร่งนำคนงานกลับมาทั้งหมดเพื่อกักตัวและค้นหาเชื้อโดยเร็ว

‘ราเมศ’ เผย พรรคเตรียมพร้อม เปิดประชุมสภา เตรียมถกร่างงบประมาณ ยึดประโยชน์ของ ปชช. ไม่กังวลอภิปรายไม่ไว้วางใจ

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการเปิดประชุมสภาที่จะถึงนี้ว่า ส่วนของพรรคได้เตรียมความพร้อมเต็มที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคได้กำชับให้ ส.ส.ทุกคนปฏิบัติตนและให้ความร่วมมือตามหลักการปฏิบัติตนของรัฐสภาที่ได้กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 

ส.ส.ในทุกพื้นที่พร้อมในการนำเสนอปัญหาของพี่น้องประชาชนผ่านกลไกรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็น การตั้งกระทู้ การเสนอญัตติ การประชุมคณะกรรมาธิการ เกี่ยวกับปัญหาของพี่น้องประชาชนในส่วนของร่างกฎหมายที่สำคัญคือ ร่าง พรบ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 เป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่ ส.ส.ได้เริ่มทยอยรับเอกสารรายละเอียดที่สภา เพื่อนำมาศึกษารายละเอียดของงบประมาณ เพื่อประกอบกับข้อมูลในแต่ละพื้นที่ ก็จะเป็นประโยชน์ในการกำหนดความสำคัญของการจัดสรรงบประมาณเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนและประเทศ และเนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันประชาชนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่จำต้องกำหนดเรื่องงบประมาณเพื่อช่วยเหลือความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนด้วย

ส่วนในเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เป็นสิทธิของฝ่ายค้านที่จะมีการตรวจสอบผ่านกลไกรัฐสภา ส่วนของพรรคไม่มีความกังวลใจใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะยึดหลักการทำงานให้กับประชาชนด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่มีเรื่องทุจริตใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนจะยื่นเวลาใดก็เป็นส่วนของฝ่ายค้าน รัฐมนตรีทุกคนในส่วนของพรรคไม่ได้กังวลแต่อย่างใด

ยัน! รัฐยังไม่กระเป๋าฉีกมีเงินเยียวยาโควิดถึงปีหน้า

นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ในปี 64-65 รัฐบาลยังคงมีวงเงินเพียงพอสำหรับการทำมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งปัจจุบันการดำเนินการของแผนงานและโครงการภายใต้ พ.ร.ก. เงินกู้โควิด-19 วงเงิน 1 ล้านล้านบาทนั้น มีการอนุมัติวงเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 833,475 ล้านบาท โดยยังมีวงเงินคงเหลืออีกมากถึง 166,525 ล้านบาท รวมทั้งยังมีแหล่งเงินอื่นที่สามารถนำมารองรับมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลได้

สำหรับวงเงินนอกเหนือจาก พ.ร.ก. เงินกู้โควิด-19 ในปัจจุบันประกอบด้วย งบประมาณจากงบกลาง ในส่วนของเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 วงเงิน 99,000 ล้านบาท ซึ่งยังมีวงเงินคงเหลือ 98,213.9 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงิน 40,325.6 ล้านบาท ซึ่งยังมีวงเงินคงเหลือ 37,108.2 ล้านบาท ขณะเดียวกันในปีงบประมาณ 65 รัฐบาลยังได้มีการตั้งวงเงินงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อฉุกเฉินและจำเป็น จำนวน 89,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาใช้เพื่อการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบได้ 

นอกจากนี้ มีการกำหนดกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีสำหรับการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามยุทธศาสตร์แผนแม่บทเฉพาะกิจ ทั้งการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายในประเทศ การปรับปรุงและพัฒนาปัจจัยพื้นฐานเพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามภารกิจของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องซึ่งสามารถนำมาดำเนินโครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการฟื้นฟูและให้การช่วยเหลือเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ได้เช่นกัน

วิชาภาษาอังกฤษ: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษ 9 วิชาสามัญ

THE STUDY TIMES X ClassOnline

????วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม วิชาภาษาอังกฤษ: เรื่อง ตัวอย่างข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษ 9 วิชาสามัญ

 #ClassOnline

https://www.classonline.co.th/

.

.

กสร. ปูพรมส่งพนักงานตรวจแรงงานร่วมมือจป.ในโรงงาน สู้ COVID-19 ในกิจการก่อสร้าง โรงงานกลุ่มเสี่ยง

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ออกมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในสถานประกอบกิจการ ส่งพนักงานตรวจแรงงานประสานเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน เข้าดูแลสถานประกอบกิจการกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะกิจการก่อสร้างขนาดใหญ่

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวชี้แจงว่า ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้เกิดผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อน หรือที่เรียกกันว่า Cluster ที่ขยายวงกว้างในสถานประกอบกิจการต่าง ๆ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานจึงสั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หาแนวทางการยับยั้งการแพร่ระบาดในสถานประกอบกิจการกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะกิจการก่อสร้างขนาดใหญ่ จึงได้จัดทำประกาศ เรื่อง มาตรการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในสถานประกอบกิจการ ฉบับลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการ นายจ้าง และลูกจ้าง ปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันฯ อาทิเช่น ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ทั้งเข้าไปและออกจากพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตทำงานและพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส จัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองในสถานประกอบกิจการ อาทิ การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การจัดหาแอลกอฮอล์ล้างมือ การควมคุมให้ลูกจ้างสวมหน้ากากอนามัย และประชาสัมพันธ์ให้ลูกจ้างทราบวิธีการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาในเบื้องต้นด้วยตัวเอง เป็นต้น

ทั้งนี้ได้ส่งพนักงานตรวจแรงงานประสานทำความเข้าใจกับเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน (จป.) ของสถานประกอบการ ทำหน้าที่ดูแลเฝ้าระวังคัดกรองไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อดังกล่าวได้
 
อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า หากพบลูกจ้างเสี่ยงที่จะติดเชื้อ หรือติดเชื้อ หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จำเป็นต้องไปรับการตรวจรักษา หรือรับการชันสูตรทางการแพทย์ ให้นายจ้างอนุญาตให้ลูกจ้างใช้สิทธิลาป่วย หรือใช้สิทธิลาพักผ่อนประจำปีตามกฎหมายหรือตามตกลงกัน ทั้งนี้ หากสถานประกอบกิจการ นายจ้าง ลูกจ้าง มีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่และการปฏิบัติตามแนวทางนี้ ให้ติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานครทุกพื้นที่ หรือโทรศัพท์สวยด่วน 1546 หรือ 1506 กด 3

‘รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร’ ร่ายประวัติ ‘ฮาร์ท-สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล’ หลังโดนแจ้งความข้อหา ผิด ม.112 ระบุ ก่อนทำไม่คิด แม้จะมาขอความเห็นใจ แต่ยังเหน็บแนมไม่จบ ชี้สมควรแล้วที่ถูกดำเนินคดี

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กกล่าวถึงฮาร์ท-สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล อดีตนักร้องดังที่ถูกแจ้งความในข้อหา ม.112 ว่าที่จริงผมไม่เคยรู้จักคุณฮาร์ท หรือ คุณสุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุลเลย ไม่เคยเจอตัวจริงแม้สักครั้ง เห็นแต่ในข่าว ในทีวี แต่ผมกลับมีความรู้สึกเหมือนรู้จักและมีความผูกพันกับคุณฮาร์ท เนื่องเพราะได้ยินชื่อคุณฮาร์ทครั้งใด ทำให้ผมนึกถึงความหลังในอดีตครั้งนั้น

คุณพ่อของคุณฮาร์ท ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว เคยรับราชการ เป็นอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นคนชะอำ ชื่อ ร.อ.สุวิทย์ ทัดพิทักษ์กุล

คุณยายผมเคยมีบ้านพักตากอากาศที่หาดชะอำ ชื่อบ้าน “ปลุกปรีดี”

ในวัยเด็ก ช่วงปิดเทอม ผมและพี่ ๆ ก็จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านปลุกปรีดี หาดชะอำเป็นเดือน ๆ ส่วนคุณยาย ในช่วงหน้าร้อน จะไปปักหลักที่ชะอำ คอยดูแลหลาน ๆ คุณพ่อ คุณแม่ จะตามไปสมทบในวันเสาร์และอาทิตย์ กลับมาทำงานวันจันทร์ พวกเราจึงรู้จักและใกล้ชิดกับชาวชะอำเป็นจำนวนมาก ชีวิตวัยเด็กที่ชะอำจึงเป็นช่วงชีวิตที่สนุกและมีความประทับใจ เป็นที่จดจำอย่างมาก

วัดเนรัญชราราม เป็นวัดเดียวที่อยู่ที่หาดชะอำ ครอบครัวผมมีความผูกพันกับวัดนี้ ในระดับที่พวกเรานำอัฐิคุณยาย คุณพ่อ คุณแม่ รวมทั้งพี่อีก 2 คน และหลานที่เสียชีวิตแล้วมาบรรจุไว้ที่นี่

ในสมัยนั้น วัดเนรัญฯ มีมัคทายิกา เป็นสุภาพสตรี ชื่อประไพ ซึ่งเราไม่เคยจำนามสกุลได้ แต่เราเรียกคุณประไพตามที่คุณยายและคุณแม่เรียกว่า “แม่ไพ”

แม่ไพ เป็นคนสนุกสนาน อารมณ์ดี มีอารมณ์ขันเป็นเลิศ พวกเราจึงรักใคร่สนิทสนมกับแม่ไพเป็นอย่างมาก แม่ไพ ชอบพูดถึงคุณพ่อของคุณฮาร์ท ให้เราฟังบ่อย ๆ ในน้ำเสียงที่แสดงความภูมิใจว่า

คุณสุวิทย์ ทัดพิทักษ์กุล (คุณพ่อคุณฮาร์ท) เป็นคนชะอำ คุณถนัด คอมันตร์ ซึ่งมีบ้านพักตากอากาศที่หาดชะอำ ช่วยอุปการะ ให้ไปอยู่ที่บ้านกรุงเทพฯ และสนับสนุนให้เรียนหนังสือ ภายหลังรับราชการจนได้เป็นใหญ่เป็นโตในกระทรวงพาณิชย์

เป็นเรื่องแปลก เมื่อผมมาทำงานเป็นอาจารย์ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมได้รู้จักและมีความสนิทสนมกับอาจารย์รุ่นพี่ในคณะเดียวกันท่านหนึ่ง ซึ่งมีอารมณ์ขันเป็นเลิศเช่นเดียวกับแม่ไพ ท่านชื่อ อ.อำไพ ทัดพิทักษ์กุล ใช่ครับ ท่านเป็นคุณแม่ของคุณฮาร์ท

พี่อำไพ มักชอบเล่าเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับคุณฮาร์ทซึ่งยังวัยรุ่นในขณะนั้นให้ฟัง ที่ท่านมีความประทับใจมาก และเล่าด้วยความภูมิใจคือ เมื่อคุณฮาร์ทไปเรียนต่อต่างประเทศ กลับมาเยี่ยมบ้าน ความที่คุณฮาร์ทเล่นเปียโนเก่ง ครั้งหนึ่งเมื่อครอบครัวไปทานอาหารที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีคนเล่นเปียโน คุณฮาร์ทจึงได้ขึ้นไปแสดงฝีมือเล่นเปียโนด้วย เล่นได้เก่งจนมีคนเข้ามาฟังเป็นจำนวนมาก และปรบมือให้จนดังสนั่นไปทั้งห้อง ผมได้ฟังแล้วก็อดรู้สึกชื่นชมตามพี่อำไพไม่ได้

พี่อำไพเล่าด้วยความภูมิใจในลูกชายคนนี้มาก เสียดายที่พี่อำไพ ลาออกจากการเป็นอาจารย์ไปก่อนเกษียณอายุหลายปี หลังจากท่านออกไปก็ไม่มีโอกาสได้พบท่านอีกเลย

เป็นเรื่องแปลกอีก เมื่อคุณฮาร์ทเข้าสู่วงการดนตรี ผู้ที่ให้โอกาสให้ “เบิร์ด กะ ฮาร์ท” ได้ออกอัลบั้มชุดแรก ก็เป็นเพื่อนรักและสนิทมากของผมคนหนึ่งชื่อ คุณไชยยงค์ นนทสุต ผู้จัดการใหญ่ของบริษัท ไนท์สปอต โปรดัคชั่น ขณะนั้น ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว

เป็นเรื่องแปลกอีกเช่นกัน ที่เส้นทางของคุณฮาร์ทกับผมไม่เคยได้มาบรรจบกันเลยสักครั้ง แม้จะมีความเกี่ยวพันกันขนาดนี้

เมื่อผมทราบว่าคุณฮาร์ทโพสต์ข้อความที่ค่อนข้างหยาบคาย หมิ่นประมาทท่านทูต นริศโรจน์ เฟื่องระบิล ผมแปลกใจและรู้สึกผิดหวัง ภายหลังเห็นข่าวคุณฮาร์ทนำดอกไม้ไปขอขมาท่านทูต ทำให้รู้สึกโล่งใจ ว่าอย่างน้อยคุณฮาร์ทก็มีจิตสำนึกที่ดี

แต่แล้วโพสต์ล่าสุดของคุณฮาร์ทที่กำลังเป็นข่าวทำให้ผมตกใจและแปลกใจกระทั่งช็อค เพราะเป็นการยกระดับการหมิ่นประมาทที่สูงขึ้นไปอีก สูงจนเข้าข่ายมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ค่อนข้างชัดเจน เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าคำว่า “เจ้านาย” นั้นคุณฮาร์ทหมายถึงเจ้านายพระองค์ไหน หรือหมายถึงทั้ง 2 พระองค์

ครั้งนี้คุณฮาร์ทกลับไม่ได้คิดจะไปขอขมาใคร แต่กลับโพสต์ข้อความขอความเห็นใจจากรัฐบาล ขอไม่ให้ยื่นฟ้องตัวเอง ขอให้มาพูดกับตัวเองดี ๆ อธิบายให้ตัวเองเข้าใจว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าทำให้ตัวเองเข้าใจได้ก็อาจได้ตัวเองไปช่วยประสานงานให้ก็ได้ แม้ขอความเห็นใจ แต่ยังไม่วายมีเหน็บแนมโดยกล่าวถึงเรื่องฝุ่นเรื่องละอองอีกด้วย

ผมไม่แน่ใจว่า หากคุณพ่อของคุณฮาร์ทยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะรู้สึกอย่างไร

ด้วยความผิดหวังอย่างถึงที่สุด จึงอยากถามคุณฮาร์ทด้วยคำถามเดียวว่า

คุณฮาร์ทขอให้ผู้อื่นพูดกับตัวคุณฮาร์ทดี ๆ ให้ทำให้คุณฮาร์ทเข้าใจ แต่ก่อนที่จะโพสต์ข้อความที่พาดพิงถึง “เจ้านาย” ในทางเยาะเย้ย และให้เกิดความเสียหาย ทั้งยังดูหมิ่นดูแคลนแพทย์ใหญ่ แพทย์อาวุโสที่ออกมาช่วยเรียกร้องให้คนมาฉีดวัคซีน ซึ่งคุณฮาร์ทเรียกว่า “ลิ่วล้อ” ทำไมคุณฮาร์ทไม่ถามผู้อื่นให้ดี ๆ ไม่หาข้อมูลให้ดี ๆ และคิดให้ดี ๆเสียก่อนเล่า

คุณฮาร์ทไม่ใช่ตาสีตาสา แต่เป็นคนมีชาติตระกูล มีวัยวุฒิ มีการศึกษาดีเยี่ยม หากจะโจมตีรัฐบาล โจมตีพลเอกประยุทธ์ด้วยเหตุด้วยผล คงไม่มีใครว่า ไม่มีใครยื่นฟ้อง แต่ถึงกับกล้าโพสต์ข้อความแบบนี้เกี่ยวกับเจ้านาย ก็สมควรแล้วที่จะต้องถูกดำเนินคดี

อย่าอ้างโน่น อ้างนี่ อย่าขอความเห็นใจทั้งเหน็บแนมแบบนี้เลยครับ ยอมรับชะตากรรมต่อจากนี้ไป เพื่อเป็นบทเรียนดีกว่า จะดูดีกว่าเยอะ และน่าเห็นใจกว่าเยอะ

รับรองว่า การยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังเป็นไปไม่ได้ในระยะ 10 ปีข้างหน้านี้ ดังนั้นอย่าได้มีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปเลยครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/100000016923106/posts/4347251238618731/

รู้จัก​ 'Ricult​' ฮีโร่ของเกษตรกรไทย 'อุกฤษ อุณหเลขกะ' ผู้ก่อตั้ง​ Ricult | Contributor​ EP.17

แม้แนวคิดด้าน​ Startup หรือการนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ จะถูกนำมาบรรจุในโลกธุรกิจยุคนี้และประเทศไทย เพื่อ Disrupt ปัญหาและความล้าหลังของธุรกิจในอุตสาหกรรมเดิมที่เริ่มโรยรามากขึ้น

แต่สิ่งที่น่าคิด คือ แนวคิด​ Startup​ ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ ดูจะยังไม่ค่อยโฟกัสมาที่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศไทย อย่าง ‘การเกษตร’ สักเท่าไรนัก 

ทั้ง ๆ​ ที่ปัจจุบัน​ เกษตรกรไทยมักพบเจอปัญหาต้นทุนสูง ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ผลผลิตไม่ได้ตามเป้า พ่อค้าคนกลางกดราคา และยังเป็นหนี้กันมากขึ้น​เรื่อย ๆ 

อย่างไรก็ตาม​ ใช่ว่าจะไม่มีแนวคิด​ Startup ด้านนี้ปล่อยออกมาเลย​

Ricult​ (รีคัลท์)​ ‘ฮีโร่’ คนใหม่ของเกษตรกรไทย เกิดขึ้นจาก​ 'อุกฤษ อุณหเลขกะ'​ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง ‘Ricult’ (รีคัลท์) Startup​ ด้านเกษตรสายพันธุ์ไทย​ ที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่​ ผ่านภาพถ่ายดาวเทียม และ AI (ปัญญาประดิษฐ์) มาช่วยเกษตรกรในการวางแผนเพาะปลูกเพื่อลดความเสี่ยงจากสภาพอากาศ ทำให้ผลิตผลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อันที่จริงแล้ว อุกฤษ เป็นหนุ่มดีกรีนักเรียนนอกด้านเทคโนโลยีและการบริหารจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) ที่มีอนาคตสดใสในสังคมแวดล้อมอย่างซิลิค่อนวัลเลย์ และมีรายได้มหาศาลในบริษัทใหญ่ ๆ รอเขา​ที่อเมริกา 

แต่ทำไมเขาถึงยอมทิ้งรายได้และโอกาสมากมายในต่างแดน และกลับมาพัฒนาธุรกิจที่ตั้งใจช่วยเหลือเกษตรกรไทย?

พบคำตอบนี้ ได้ใน Contributor EP.17

.

.

 

ส.อ.ท. เร่งเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ฟื้นโครงการลดระยะเวลาเครดิตทางการค้า “FTI Faster Payment Phase 2” ช่วย SMEs ในซัพพลายเชนกว่า 20,000 ราย และพยุงเศรษฐกิจเดินหน้าต่อได้

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกเดือนเมษายน ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของทุกภาคส่วน หลายธุรกิจประสบปัญหายอดขายลดลง และขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งแนวทางหนึ่งที่ภาคเอกชนจะสามารถร่วมแรงร่วมใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วยกันให้อยู่รอดในสถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ได้ คือ การช่วยกันชำระค่าสินค้าหรือบริการให้แก่คู่ค้าเร็วขึ้น

ที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้ดำเนินโครงการ FTI Faster Payment (ส.อ.ท.ช่วยเศรษฐกิจไทย) ชำระหนี้ค่าสินค้าหรือบริการให้แก่คู่ค้าที่เป็น SMEs ภายใน 30 วัน ซึ่งมีซัพพลายเออร์ที่เป็น SMEs ไม่ต่ำกว่า 20,000 กิจการที่ได้รับประโยชน์ มีมูลค่าการซื้อขายของ SMEs ในซัพพลายเชนอย่างน้อย 4,300 ล้านบาทต่อเดือน

โดย ส.อ.ท.ได้ฟื้นโครงการ FTI Faster Payment Phase 2 กลับมาอีกครั้ง โดยจับมือกับ 163 บริษัทที่เคยเข้าร่วมโครงการในครั้งที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของ ส.อ.ท. ไม่ว่าจะเป็น บริษัทในเครือ SCG, บมจ.สหพัฒนพิบูล, กลุ่มบริษัทซีพี, บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ หรือ บมจ.ปตท. และกลุ่มค้าส่งค้าปลีกรายใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้มี SMEs ในซัพพลายเชนหลายหมื่นราย และจะขอความร่วมมือขยายผลไปยังกลุ่มผู้ประกอบการในตลาด MAI และ SET100 โดยคาดหวังว่าโครงการ FTI Faster Payment Phase 2 จะช่วยเพิ่มเสริมสภาพคล่องให้เกิดทั้งซัพพลายเชน ซึ่งจะเป็นการช่วยพยุงเศรษฐกิจในภาวะวิกฤติให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้

โครงการ FTI Faster Payment สามารถต่อยอดไปยังแพลตฟอร์ม Digital Factoring ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่ง ส.อ.ท.ได้มีการหารือกับ ธปท.ในเบื้องต้นแล้ว โดยได้เสนอประเด็นต่าง ๆ ที่จะสามารถขับเคลื่อน Digital Factoring ให้สามารถเกิดขึ้นได้เร็วและเป็นไปได้ รวมถึง ส.อ.ท. สามารถสนับสนุนการพัฒนาระบบในการตรวจสอบยืนยัน Invoice ในโครงการเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินมากขึ้น

สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และไม่ได้อยู่ในซัพพลายเชนดังกล่าว ส.อ.ท. ไม่ได้ละทิ้ง และยังคงหาแนวทางในการช่วยเหลือเร่งด่วนในรูปแบบอื่น ๆ ต่อไป อาทิ การร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดอบรมและ Workshop เตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการในการเข้าถึงสินเชื่อ ภายใต้มาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบการธุรกิจฯ (ซอฟท์โลน) และติดตามรับฟังปัญหาของ SME ที่ยังเข้าไม่ถึงมาตรการดังกล่าว โดยมอบหมายให้นายปรีชา ส่งวัฒนา รองประธาน ส.อ.ท. ดูแลงานสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI) เป็นผู้ดูแลมาตรการต่าง ๆ เป็นหลัก

“บิ๊กตู่” ประชุม ครม. จับตาสถานการณ์โควิดระบาดไม่คลี่คลาย รัฐเร่งระดมจัดหา-ฉีดวัคซีนทางรอดวาระแห่งชาติ

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564  ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ผ่านระบบ Video Conference ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เป็นสัปดาห์ที่สอง หลังจากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ยังคงมีการกระจายที่สูงขึ้น อีกทั้งในส่วนของทำเนียบรัฐบาลยังคงมาตรการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รวมทั้งสื่อมวลชนเวิร์คฟอร์มโฮม (WFH)  

อย่างไรก็ตามต้องจับตาไปที่การรายงานสถานการณ์โควิด-19 ที่เพิ่มสูงขึ้น ในเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ รวมถึงการตั้งโรงพยาบาลสนาม และการหารือการเตรียมพร้อมรับการกระจายวัคซีนโควิด-19 ที่รัฐบาลประกาศเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจะกระจายฉีดปูพรหมไปยังต่างจังหวัด โดยรัฐจะทยอยส่งวัคซีนเริ่มในวันที่ 1 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังต้องจับตาดูในเรื่องของการวอล์กอิน เข้ารับการฉีดวัคซีนของประชาชนทั่วไป ที่ศบค.ชุดเล็กมีความกังวลเรื่องความแออัด จะบริหารจัดการยาก ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขต้องไปจัดทำแผนใหม่เพื่อให้เกิดความปลอดภัยมากที่สุด  

มีรายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของการช่วยเหลือแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เตรียมเสนอที่ประชุม ครม. เห็นชอบลดอัตราเงินสมทบทั้งในส่วนของนายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 จากเดิมฝ่ายละร้อยละ 5 เหลือฝ่ายละร้อยละ 2.5 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และผู้ประกันตนมาตรา 39 เหลืออัตราเดือนละ 216 บาท เป็นเวลา 3 เดือนในงวดเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2564 ส่วนงวดเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นไป ให้ส่งเงินสมทบอัตราเดิม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอก 3

ส่วนวาระอื่น ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ กระทรวงแรงงาน เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าทำศพที่ให้นายจ้างจ่าย นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง เสนอขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย

ในส่วนวาระการพิจารณาด้านอีก สทนช. เตรียมเสนอมาตรการการรับมือฤดูฝนปี 2564 กระทรวงมหาดไทย รายงานการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐ จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) พ.ศ.2564

อาร์ทีไอ/ไต้หวันนิวส์ รายงาน วันที่ 17 พ.ค.ว่าไต้หวันหลังประกาศเตือนระดับ 3 มาแล้ว 3 วัน ยังพบติดเชื้อรายใหม่ เกินร้อยต่อเนื่อง โดยพบผู้ติดเชื้อยืนยันรายใหม่ 335 ราย ในวัน 17 พฤษภาคม

นายโหวโหย่วอี๋ ผู้ว่าการนครนิวไทเป ประกาศเมื่อช่วงเย็นวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย.-17 พ.ค. ที่ผ่านมา นครนิวไทเปมีผู้ติดเชื้อสะสม 359 ราย ในจำนวนนี้แบ่งเป็นวันที่ 15 พ.ค. 74 ราย วันที่ 16 พ.ค. 95 ราย และ 17 พ.ค. 144 ราย โดยเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ใน 9 เขต ซึ่งล้วนเป็นเขตที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น แบ่งเป็นเขตปั่นเฉียว 94 ราย ซานฉง 44 ราย จงเหอ 41 ราย หย่งเหอ 36 ราย ถู่เฉิง 31 ราย ซินจวง 29 ราย หลูโจว 23 รายวัน ซินเตี้ยน 15 ราย และต้านสุ่ย 10 ราย

ดังนั้นในขณะนี้นิวไทเปควรยกระดับการป้องกันให้สูงกว่าระดับ 3 หรือปรับเป็นระดับ 3 เข้ม หรือ ‘เตรียมเข้าสู่ระดับ 4’ โดยหากพบการฝ่าฝืนข้อกำหนดตามมาตรการป้องกันโควิด-19 จะสั่งปรับในทันที

ทั้งนี้มาตรการควบคุมโควิด-19 ระดับ 3 กำหนดว่า ออกนอกบ้านต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับ 3,000-15,000 เหรียญไต้หวัน สถานประกอบการและสถานที่สาธารณะต้องใช้มาตรการสวมใส่หน้ากากอนามัยและเว้นระยะห่างทางสังคม ร้านอาหารและภัตตาคารให้ใช้ระบบลงทะเบียนยืนยันตัวตน ใช้แผ่นกั้นและจัดที่นั่งโดยเว้นระยะห่างที่เหมาะสม หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับ 3,000-15,000 เหรียญไต้หวัน (TWD) ห้ามจัดกิจกรรมทางศาสนาหรือสถานประกอบการ 8 ประเภทหยุดให้บริการทั้งหมด หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับ 60,000-300,000 เหรียญไต้หวัน

พร้อมกันนี้ผู้ว่าฯ นครนิวไทเปยังได้เรียกร้องให้ศูนย์บัญชาการควบคุมโรคเร่งหารือเกี่ยวกับการมอบอำนาจให้รัฐบาลท้องถิ่นเป็นผู้ตัดสินใจในการล็อกดาวน์หรือจัดตั้งมาตรฐานและเงื่อนไขการล็อกดาวน์ให้ชัดเจนกว่านี้

ทั้งนี้ไต้หวัน ใช้ระบบเทคโนโลยี NHI MediCloud System ช่วยในการต่อสู้กับ COVID-19 ระบบนี้ ‘NHI MediCloud System’ ข้อมูลทางการแพทย์ที่กระจัดกระจายอยู่ในโรงพยาบาลและคลินิกต่าง ๆ ในโรงพยาบาลมณฑลและเมืองต่าง ๆ อย่างทั่วถึง เปิดข้อมูลตลอดเวลา ไม่มีวันหยุดราชการ


ที่มา : https://mgronline.com/china/detail/9640000047705


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top