Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

รมว.สุชาติ ลุยปทุมธานี ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิด-19 เชิงรุก แก่แรงงานในสถานประกอบการ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นำคณะลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและมอบสิ่งของแก่ลูกจ้างที่ตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ณ บริษัทแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.ปทุมธานี 

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม มอบสิ่งของและให้กำลังใจลูกจ้างที่เข้ารับการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการ ณ บริษัทแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.ปทุมธานี โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดย รมว.แรงงาน กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพิ่มจุดตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น 

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การจัดงานในวันนี้ผมต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการ ในการอนุเคราะห์ด้านสถานที่ในการตรวจคัดกรองฯ และการประชาสัมพันธ์แก่สถานประกอบการในสวนอุตสาหกรรม การดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการแก่ลูกจ้างภายในบริษัทฯ ซึ่งสำนักงานประกันสังคม จังหวัดปทุมธานี ได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลการุณเวช ปทุมธานี สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อบูรณาการทำงานเชิงรุก จัดรถโมบาย ตู้ตรวจโรคไปตั้งยังสถานประกอบการให้ลูกจ้างที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงความร่วมมือจากสถานพยาบาล ต่อการสัมผัสเชื้อได้รับการตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เพื่อให้ทราบผลภายใต้ 24-48 ชั่วโมง โดยบริษัทแห่งนี้ เป็นสถานประกอบการหนึ่งที่อยู่ในแผนการตรวจ มีเป้าหมายผู้ประกันตนที่เข้ารับการตรวจ จำนวน 3,205 คน ซึ่งหากตรวจพบเชื้อก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมดูแลรักษาตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด โดยลูกจ้างในสถานประกอบการไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจ

‘นิพนธ์’ รุดติดตามมาตรการป้องกันโควิด-19 จ.สงขลา เร่งรัดนโยบาย “ฉีดวัคซีนโควิด วาระแห่งชาติ” 'ย้ำ' ภาครัฐรณรงค์สร้างความเข้าใจ ฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน ผ่อนหนักเป็นเบาได้ 'ยัน' วัคซีนทุกตัวผ่านการรับรองความปลอดภัย

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 ที่ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดสงขลา นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมช.มท.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ และการรณรงค์ฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ตามนโยบายรัฐบาลที่ประกาศให้ฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมติดตามผลดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในการป้องกันควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีนายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุมและปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A อย่างเคร่งครัด

นายนิพนธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า "สถานการณ์ป้องกันไวรัสโควิด-19 วันนี้ของประเทศไทย แนวทางที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันให้ประชาชน โดยประชากรในจังหวัดสงขลามีประมาณ 1.4 ล้านคน โดยตั้งเป้าต้องมีประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนไม่ต่ำกว่า 900,000 คน สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปี และกลุ่มเสี่ยงผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค สามารถจองคิวฉีดวัคซีนทางแอพพลิเคชั่น 'หมอพร้อม' หรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน อาทิ รพ.สต. หรือผ่าน อสม. ส่วนประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสงขลา ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนหมอพร้อม ขอให้ติดต่อลงทะเบียนได้ในพื้นที่ อาทิ สาธารณสุขอำเภอ อสม. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน โดย สำนักงานธารณสุขจังหวัด (สสจ.) สงขลา จะรวบรวมรายชื่อและบริหารจัดการด้านสถานที่ให้บริการที่เหมาะสม โดยต้องอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนผู้รับบริการมากที่สุด  ส่วนของบุคลากรของ รพ.สต.ที่ไม่เพียงพอ ขอให้ประสานกับส่วนท้องถิ่น ทั้งจากเทศบาล และ อบต.ที่มีกองสาธารณสุข ให้สามารถลงพื้นที่ช่วย รพ.สต.ในการสำรวจและบูรณาการทำงานร่วมกัน" 

“ขอย้ำว่า หากเราสามารถฉีดวัคซีนโควิดได้มากถึง 70% ของจำนวนประชากรก็จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ทำให้การระบาดของโรคนี้ลดลง กิจการงานต่าง ๆ จะสามารถเดินไปด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม จึงขอเชิญชวนให้ชาวสงขลาทุกคนร่วมยื่นแสดงความจำนงขอฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 ได้ที่ รพ.สต.ทุกแห่ง ซึ่งจะให้ อสม.ไปเคาะประตูบ้านเพื่อรณรงค์เชิญชวนพี่น้องชาวสงขลาให้ไปฉีดวัคซีน หรือไปที่โรงพยาบาลทุกแห่ง วัคซีนทุกตัวที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้ได้มีการศึกษาแล้วว่า ทุกตัวมีความปลอดภัยมีประสิทธิภาพที่ดีพอ และมีระบบดูแลความปลอดภัย โดยหลังฉีดจะต้องนั่งพักรอสังเกตอาการ 30 นาที หากมีอาการแพ้รุนแรงก็สามารถดูแลได้ทันท่วงที จึงต้องสร้างความเข้าใจต่อพี่น้องประชาชนว่า ฉีดวัคซีนเอาไว้ก่อนเพื่อเอาภูมิคุ้มกันเข้าสู่ร่างกายของเรา สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ อีกทั้งนี้มีคณะแพทย์และพยาบาลที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด หลังจากฉีดพักดูอาการแล้วด้วย” นายนิพนธ์ กล่าว

จากนั้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เข้าตรวจเยี่ยมศูนย์บริบาลผู้สูงอายุ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา และ ศูนย์บ่มเพาะคนดีมูลนิธิสวนประวัติศาสตร์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งเป็นส่วนขยายโรงพยาบาลสงขลานครินทร์เพื่อรองรับผู้ป่วย COVID-19 และ เป็นสถานที่ฉีดวัคซีนให้แก่หน่วยงานและประชาชน โดยได้มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาทิ ชุด PPE จำนวน 150 ชุด และหน้ากากอนามัยจำนวน 4,000 ชิ้นให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ สำหรับใช้ในการปฎิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ให้มีความปลอดภัยป้องกันตนเองในการลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายและติดเชื้อไวรัส COVID-19 และบรรเทาปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัยรวมถึงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับแพทย์ พยาบาล และผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ 

ทั้งนี้ ที่ศูนย์บริบาลผู้สูงอายุองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลสนามของจังหวัดสงขลาเพื่อใช้รองรับผู้ที่มีอาการติดเชื้อของการระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยมีอาคารลำพูนและอาคารลำแพนซึ่งอยู่ภายในสวนประวัติศาสตร์ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์เป็นอาคารรองรับผู้ติดเชื้อ และในส่วนของอาคารศูนย์บริบาลผู้สูงอายุองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาชั้นสองเป็นที่พักของบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ส่วนชั้นล่างใช้เป็นสถานที่ฉีดวัคซีนให้แก่หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ รวมถึงประชาชนทั่วไป ที่ได้ลงทะเบียนเพื่อขอรับการฉีดวัคซีน โดยมีบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลสงขลามาให้บริการในจุดนี้

สหรัฐฯ พบปัญหาใหม่ บัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ปลอมและขายให้คนที่ไม่ต้องการฉีดวัคซีน

เมื่อประชาชนในสหรัฐฯ ฉีดวัคซีนโควิด-19 จะได้รับ “บัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 (COVID-19 Vaccination Record Card)” ซึ่งออกโดย ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐ (CDC) เพื่อบันทึกว่า คน ๆ นั้นได้รับวัคซีนยี่ห้อใด จากล็อตไหน เมื่อวันที่เท่าไหร่

บัตรรับรองการฉีดวัคซีนดังกล่าวเป็นหลักฐานเบื้องต้นที่จะทำให้สังคมได้มั่นใจว่า คน ๆ นั้นฉีดวัคซีนโควิด-19 มาแล้วจริง ๆ และมีความเสี่ยงต่ำในการแพร่และติดเชื้อ รวมถึงยังเป็นการเก็บข้อมูลไว้สำหรับนัดหมายการฉีดวัคซีนครั้งต่อไป

แต่เป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้วที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอได้ออกมาเตือนประชาชนในสหรัฐฯ ไม่ให้ทำ ขาย หรือสนับสนุนให้พิมพ์ “บัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ฉบับปลอม”

ขณะที่อัยการของรัฐมากกว่า 40 คน ได้เตือนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มการช็อปปิ้งออนไลน์ให้ร่วมสอดส่องและปราบปรามการขายบัตรเปล่าหรือบัตรรับรองปลอม

แม้รัฐบาลกลางหรือรัฐบาลของบางรัฐจะไม่ได้มีข้อกำหนดเข้มงวดว่าประชาชนที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 จะต้องแสดงบัตรรับรองเมื่อไปสถานที่หรือรับบริการต่าง ๆ แต่ก็มีบางสถานที่ที่มอบสิทธิพิเศษที่จำกัดไว้ให้เฉพาะผู้ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 เรียบร้อยแล้ว

ตัวอย่างเช่น ทีมกีฬาบางทีมจะจัดให้แฟน ๆ ที่มีประวัติการฉีดวัคซีนนั่งในโซนของผู้ที่ฉีดวัคซีนด้วยกัน หรือบางร้าน เช่น Krispy Kreme และ White Castle และอื่น ๆ จะเสนอของสมนาคุณให้เฉพาะผู้ที่มีหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19

ขณะที่ก็มีบางองค์กร ออฟฟิศ บริษัท หรือสถาบันการศึกษาบางแห่งระบุว่า อนุญาตให้เฉพาะผู้ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วเท่านั้นที่จะเข้าสู่พื้นที่ขององค์กรนั้น ๆ ได้

แต่เพราะไม่ใช่ประชาชนทุกคนที่ต้องการฉีดวัคซีน บวกกับเงื่อนไขของบางองค์กรหรือสถานที่ ทำให้มีคนบางกลุ่มมองว่า การปลอมแปลงบัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ออกโดย CDC อาจเป็นทางออก เพราะเป็นบัตรที่ปลอมแปลงได้ง่าย

เอฟบีไอบอกว่า การทำหรือใช้บัตรรับรองการฉีดวัคซีนปลอม เข้าข่ายใช้ตราของรัฐบาลโดยมิชอบ นั่นเป็นเพราะบัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ใช้ตราของ CDC และกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ มีโทษปรับ และจำคุกไม่เกิน 5 ปี

ในแคลิฟอร์เนียมีเจ้าของบาร์ถูกจับกุมเนื่องจากต้องสงสัยว่าขายบัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ปลอม เขาถูกตั้งข้อหาความผิดทางอาญา รวมถึงการปลอมตราประทับของราชการและการขโมยข้อมูล เพราะในบัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะต้องมีการระบุข้อมูลวัคซีนและรหัสของวัคซีนด้วย

CDC ยังขอให้ประชาชนที่เข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 จริง ๆ อย่าถ่ายรูปบัตรรับรองลงโซเชียลมีเดียหรือเอาให้ใครดูโดยไม่จำเป็น เพราะอาจมีคนลอกข้อมูลไปเขียนใส่บัตรเปล่าได้

ดร.ไมเคิล มินา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยาที่สำนักวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ม.ฮาร์วาร์ด ระบุว่า การใช้บัตรปลอมนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เพราะหากคุณไม่ได้ฉีดวัคซีนจริงแล้วเกิดติดเชื้อ ก็อาจนำไปสู่คลัสเตอร์ใหม่ ๆ ในพื้นที่ที่ควรจะปลอดเชื้อ

อย่างไรก็ตาม สื่อต่างประเทศยังรายงานพบ บัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของ CDC ฉบับปลอมอยู่ตาม eBay และร้านค้าออนไลน์อื่น ๆ ส่วนมากขายในราคาราว 10-20 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 310-620 บาท)

จอช สไตน์ อัยการสูงสุดของรัฐนอร์ทแคโรไลนากล่าวว่า บุคคลอาจใช้บัตรปลอมเพื่อบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับสถานะการฉีดวัคซีนที่โรงเรียนที่ทำงานหรือในสถานการณ์การใช้ชีวิตและการเดินทางต่าง ๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นตกอยู่ในความเสี่ยง 

“การใช้บัตรรับรองการฉีดวัคซีนปลอมที่กำลังขยายตัวนี้อาจทำลายความปลอดภัยของผู้คน ตลอดจนความสำเร็จ ความพยายามในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของประเทศ” เขากล่าว

ทางการสหรัฐฯ กำลังมีการพูดคุยกันถึงการพัฒนาระบบหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่าอาจให้เป็นบัตรรับรองที่มีระบบ “แอนตีปรินต์ (Anti-Ptint)” หรือทำเป็นระบบบัตรรับรองอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อป้องกันการปลอมแปลงบัตรแทน

ยังไม่มีรายงานว่า มีคดีที่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงบัตรรับรองการฉีดวัคซีนโควิด-19 ไปมากน้อยเพียงใด จึงนับว่าสหรัฐฯ อยู่ในความเสี่ยงที่อาจเกิดการระบาดรุนแรงจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคน

ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสม 32.8 ล้านราย เพิ่มขึ้นรายวันประมาณ 35,000 ราย เสียชีวิตสะสม 584,000 ราย ส่วนสถานการณ์การฉีดวัคซีนโควิด-19 ฉีดไปแล้วมากกว่า 264 ล้านโดส ครอบคลุมประชากร 154.8 ล้านคน หรือ 46.78% ของประชากรทั้งประเทศ


ที่มา : https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ

กฟผ. ลดค่าไฟฟ้า 2 เดือน ช่วยร้านค้ารายย่อย

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่าที่ประชุมเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระลอกเดือนเม.ย. 2564 เพิ่มเติม ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้ารายย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เช่น ร้านค้ารายย่อย และผู้ใช้ไฟฟ้าของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการกองทัพเรือ โดยลดค่าไฟฟ้าเงื่อนไขเดียวกับมาตรการลดค่าไฟในที่ประชุมครม. วันที่ 5 พ.ค. คือ ระยะเวลา 2 เดือน (เดือนพ.ค.-มิ.ย. 64) เพื่อลดกระทบต่อภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนครอบคลุมทุกกลุ่ม

นอกจากนี้ยังรับทราบแนวทางการบริหารจัดการกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศ ตามข้อเสนอของคณะทำงานบริหารจัดการกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองของประเทศ และได้มอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาทบทวนสมมติฐานการกำหนดค่ากำลังผลิตพึ่งได้ ของโรงไฟฟ้าของ กฟผ. 

พร้อมกันนี้ยังพิจารณาทบทวนเกณฑ์ จากโอกาสเกิดไฟฟ้าดับที่เหมาะสมในภาพรวมทั้งประเทศและแยกตามรายพื้นที่ และมอบหมายให้ สำนักงาน กกพ. พิจารณาออกแบบสัญญาในการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนให้เหมาะสมกับโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทและการรับซื้อไฟฟ้าจริงของระบบ รวมถึง ปรับปรุงกฎระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้มีความเหมาะสมและยืดหยุ่น สอดคล้องกับเทคโนโลยี

Second class citizen (พลเมืองชั้นสอง) ส่องด้านมืด จากโลกสวยในต่างแดน

ด้วยระยะนี้มีกระแสจากคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยากย้ายประเทศ เลยต้อง Search หาข้อมูลสำหรับเขียนบทความสักเรื่อง ก็เจอะเจอกับเรื่องของ Second Class Citizen ซึ่งเป็นนวนิยายเขียนโดยนักเขียนชาวไนจีเรีย Buchi Emecheta ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) โดย สำนักพิมพ์ Allison และ Busby ในกรุงลอนดอน ต่อมาสำนักพิมพ์ George Braziller ได้รับลิขสิทธิ์การตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2518 Second Class Citizen เป็นเรื่องราวที่น่าปวดหัวของหญิงชาวไนจีเรียผู้มีไหวพริบ สามารถเอาชนะการครอบงำของผู้หญิงในชนเผ่าที่เข้มงวด และเอาชนะความพ่ายแพ้นับไม่ถ้วน เพื่อให้มีชีวิตที่เป็นอิสระสำหรับตัวเธอเองและลูก ๆ ของเธอ นวนิยายเรื่องนี้มักอธิบายว่า เป็นอัตชีวประวัติของการเดินทางจากไนจีเรียไปยังลอนดอนตามวิถีของผู้เขียน Buchi Emecheta

Adah เกิดเป็นหญิง เมื่ออยู่ไนจีเรีย เป็นหญิงผิวสี จึงกลายเป็นพลเมืองชั้นสองของอังกฤษ เมื่อเธอแต่งงานก็กลายเป็นทาสของสามี ชะตากรรมของพลเมืองชั้นสอง ผู้ฉลาด และเข้มแข็ง ภายใต้การนำของสามีผู้โง่เขลาและอ่อนแอ 

Second Class Citizen ถือได้ว่าเป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวของการเอาชนะการต่อสู้ และการใช้ชีวิตร่วมสมัยของสตรีแอฟริกันผิวสี ด้วยการตีพิมพ์เป็นนวนิยาย ซึ่ง Hermione Harris เขียนไว้ใน Race & Class ว่า "จากคะแนนของหนังสือเกี่ยวกับเชื้อชาติและชุมชนคนผิวสีในสหราชอาณาจักรที่ปรากฏในช่วงทศวรรษที่ 1960 และต้นปี 1970 ส่วนใหญ่เขียนโดยนักวิชาการผิวขาว ซึ่งท้ายที่สุดมักเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างสังคมสีขาว และ 'ผู้อพยพ' ผิวสี และมักจะจบลงด้วยการเหยียดเชื้อชาติ ซึ่ง Second Class Citizen เป็นเรื่องราวของการเปิดเผยเรื่องราวของเชื้อชาติและชุมชนคนผิวสีในสหราชอาณาจักรในแง่มุมตรงกันข้ามจากประสบการณ์จริงของผู้เขียน

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ Adah เป็นบุตรสาวของ Ibo จากเมือง Ibuza ประเทศไนจีเรีย อาศัยอยู่ในเมืองหลวงคือกรุงลากอส ด้วยความใฝ่ฝันที่จะเป็นเด็กสาว ที่สามารถจะย้ายไปอยู่ในสหราชอาณาจักรได้ หลังจากบิดาของเธอเสียชีวิต Adah ถูกส่งไปอยู่กับครอบครัวของลุง เธอเรียนโรงเรียนในไนจีเรีย และต่อมาเธอก็ได้งานทำในสถานทูตอังกฤษในตำแหน่งเสมียนห้องสมุด ค่าตอบแทนจากงานนี้เพียงพอที่จะทำให้เธอเป็นเจ้าสาวตามที่ปรารถนาของ Francis (สามีของเธอในปัจจุบัน) 

ต่อมา Francis ต้องเดินทางไปสหราชอาณาจักรเพื่อศึกษากฎหมายเป็นเวลาหลายปี Adah ปลอบโยนครอบครัวของสามีว่า เธอและลูก ๆ ก็อยู่ในสหราชอาณาจักรเช่นกัน แต่ Francis สามีของเธอเชื่อว่า พวกเขาเป็นเพียงพลเมืองชั้นสองในสหราชอาณาจักรเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาไม่ใช่พลเมืองของประเทศ ทำให้ต่อมา Francis มีปัญหากับ Adah มากขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดชีวิตคู่ของทั้งสองก็จบลงด้วยการหย่าร้าง

 

Florence Onyebuchi "Buchi" Emecheta OBE (21 กรกฎาคม พ.ศ. 2487 - 25 มกราคม พ.ศ. 2560) เป็นนักประพันธ์ชาวไนจีเรียโดยกำเนิด ซึ่งตั้งรกรากอยู่ในสหราชอาณาจักรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 มีงานเขียนบทละครและอัตชีวประวัติรวมทั้งผลงานสำหรับเด็กด้วย เธอเป็นผู้เขียนหนังสือมากกว่า 20 เล่มรวมถึง Second Class Citizen (พ.ศ. 2517), The Bride Price (พ.ศ. 2519), The Slave Girl (พ.ศ. 2520) และ The Joys of Motherhood (พ.ศ. 2522) นวนิยายเล่มแรก ๆ ของเธอส่วนใหญ่ได้รับการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Allison and Busby โดยเธอมี Margaret Busby เป็นบรรณาธิการ ซึ่งหนึ่งในนั้น Second class citizen เป็นเรื่องราวจากประสบการณ์ในชีวิตจริงของตัวเธอเอง เกี่ยวกับการเป็นทาสของลูก ๆ ความเป็นแม่ ความเป็นอิสระ และเสรีภาพของผู้หญิงที่มีการศึกษา ซึ่งได้รับการยอมรับจากนักวิจารณ์และผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย 

บรรดาหนังสือที่ Buchi Emecheta แต่ง

Emecheta เขียนบทความเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเธอใน Black British คอลัมน์ประจำของ New Statesman ผลงานส่วนใหญ่ของเธอมุ่งเน้นไปที่การเลือกปฏิบัติทางเพศและอคติทางเชื้อชาติจากประสบการณ์ของเธอเอง ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวและผู้หญิงผิวสีที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ด้วยผลงานด้านวรรณกรรม ทำให้เธอได้รับรางวัล Jock Campbell Prize ในปี พ.ศ. 2521 จาก New Statesman สำหรับนวนิยายเรื่อง The Slave Girl ของเธอ และยังอยู่ในรายชื่อ 20 "Best of Young British Novelists" ของนิตยสาร Granta ในปี พ.ศ. 2526 เธอเป็นสมาชิกของ British Home Secretary's Advisory Council on Race ในปี พ.ศ. 2522 และต่อมา Buchi Emecheta ได้รับการยกย่องว่าเป็น "นักประพันธ์หญิงผิวดำที่ประสบความสำเร็จคนแรกที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักรหลังปี พ.ศ. 2491" ทั้งยังเป็นสมาชิกของ British Home Secretary's Advisory Council on Race ในปี พ.ศ. 2522 ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2547 เธอเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งปรากฏใน "A Great Day in London" ณ หอสมุดแห่งชาติอังกฤษ โดยมีนักเขียนผิวสีและเอเชีย 50 คนที่มีส่วนร่วมสำคัญในวรรณคดีอังกฤษร่วมสมัย เธอได้รับปริญญาอักษรศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัย Farleigh Dickinson ในปี พ.ศ. 2535 และในปี พ.ศ. 2548 เธอได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ OBE (The Most Excellent Order of the British Empire) จากสมเด็จพระราชินีนาถ Elizabeth II ด้วยผลงานด้านวรรณกรรม Buchi Emecheta ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 98 ในรายชื่อผู้หญิง 100 คนที่ได้รับการยอมรับว่า มีส่วนในการเปลี่ยนโลก เมื่อสิงหาคม พ.ศ. 2561 โดยนิตยสาร BBC History วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นวันเกิดครบรอบ 75 ปีของ Emecheta Google ได้รำลึกถึงชีวิตของเธอด้วยรูป Doodle ของวันนั้น และเดือนตุลาคม พ.ศ. 2562 พื้นที่จัดแสดงใหม่ในห้องสมุดสำหรับนักศึกษาที่ Goldsmiths มหาวิทยาลัยลอนดอนได้ถูกอุทิศให้กับ Buchi Emecheta

วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นวันเกิดครบรอบ 75 ปีของ Emecheta Google ได้รำลึกถึงชีวิตของเธอด้วยรูป Doodle ของวันนั้น

Second class citizen (พลเมืองชั้นสอง) หมายถึง บุคคลที่ถูกเลือกปฏิบัติจากการแบ่งแยก เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว ฯลฯ และถูกเลือกปฏิบัติอย่างเป็นระบบภายในรัฐหรือเขตอำนาจทางการเมือง หรืออื่น ๆ แม้ว่า พวกเขาจะมีสถานะเป็นพลเมือง หรือผู้อยู่อาศัยตามกฎหมายของรัฐนั้น ๆ แล้วก็ตาม แม้ว่าจะไม่ใช่ ทาส คนนอกกฎหมาย หรืออาชญากร แต่ Second class citizen ก็มีสิทธิทางกฎหมายสิทธิพลเมืองและถูกจำกัดโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม และมักจะถูกกระทำอย่างทารุณโหดร้าย หรือถูกทอดทิ้งละเลย ไม่ได้รับสวัสดิการทางสังคมตามที่ควรจะเป็น อีกทั้งยังถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้มีสถานะทางสังคมสูงกว่า ระบบที่มีพลเมืองชั้นสองโดยพฤตินัยมักถูกมองว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงมักถูกปฏิเสธในการมีเรื่องราวเหล่านี้ในประเทศเสรีประชาธิปไตย นานาประเทศย่อมไม่อยากให้เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นคำที่อยู่ในข่ายเดียวกับการรังเกียจเหยียด สีผิว-ชาติพันธุ์ สะท้อนความไม่เท่าเทียมทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ แต่ความเป็นจริงแล้วเรื่องราวเหล่านี้ปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ ๆ จนทุกวันนี้

เงื่อนไขทั่วไปที่พลเมืองชั้นสองต้องเผชิญ 
- การตัดสิทธิ์ (การขาดหรือสูญเสียสิทธิในการออกเสียง)
- ข้อจำกัด ในการเข้าทำงานภาครัฐทั้งพลเรือนหรือทหาร (ไม่รวมถึงการเกณฑ์ทหารในทุกกรณี)
- ข้อจำกัด ด้านภาษา ศาสนา การศึกษา
- ขาดอิสระ ในการเคลื่อนไหวและการรวมกลุ่ม
- ข้อจำกัด ในการเป็นเจ้าของอาวุธปืน
- ข้อจำกัด ในการสมรส
- ข้อจำกัด เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์

Second class citizen (พลเมืองชั้นสอง) คำนี้มักใช้ในเชิงการดูถูกเหยียดหยาม และรัฐบาลต่าง ๆ มักจะปฏิเสธการมีอยู่ของ Second class citizen (พลเมืองชั้นสอง) ในหลาย ๆ ประเทศมีการแบ่งแยก เชื้อชาติ ชนพื้นเมือง เช่น 
- ในออสเตรเลียก่อนปี พ.ศ. 2510 
- กลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกเนรเทศซึ่งถูกกำหนดให้เป็น "ผู้ตั้งถิ่นฐานพิเศษ" ในอดีตสหภาพโซเวียต 
- การแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ในอดีต 
- สตรีซาอุดีอาระเบียภายใต้กฎหมายซาอุดีอาระเบีย 
- Dalits (ทลิต) เช่น วรรณะจัณฑาลในอินเดียและเนปาล 
- ชาวโรมันคาทอลิกในไอร์แลนด์เหนือในอดีต 

ล้วนเป็นตัวอย่างของกลุ่มต่าง ๆ ที่ได้ถูกอธิบายในอดีตว่า เป็นพลเมืองชั้นสอง ในอดีตก่อนกลางศตวรรษที่ 20 นโยบายนี้ถูกนำมาใช้โดยจักรวรรดิอาณานิคมในยุโรปบางแห่งกับพลเมืองที่อาศัยอยู่ในดินแดนอาณานิคมในต่างแดน ปัจจุบันจากการระบาดของ Virus COVID-19 ชาวเอเชียในสหรัฐอเมริกามักจะถูกดูถูก เหยียดหยาม จนถึงการทำร้าย ด้วยความเชื่อที่ว่า คนเอเชียเป็นสาเหตุต้นตอในการระบาดของ Virus COVID-19

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงติดตามการทดลองปลูกกาแฟของชาวไทยภูเขา ซึ่งในปีแรกของการปลูกปรากฏเหลือรอดเพียงต้นเดียวเท่านั้น

นับเป็นความโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่บ้านเราไม่มีปัญหาความแปลกแยกแตกต่างในเรื่อง เชื้อชาติ ศาสนา และสีผิว ฯลฯ ดังเช่นที่ปรากฏเกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ กระทั่งประเทศเพื่อนบ้านจนทุกวันนี้ ก็ด้วยเพราะพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ได้ทรงดูเอาพระทัยใส่และพัฒนาอาณาประชาราษฎร์โดยถ้วนทั่ว เพื่อไม่ให้มีการแบ่งแยกเป็นชาวเขาหรือชาวเรา พสกนิกรภายใต้ร่มพระบารมีล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยโดยเสมอกัน ปัญหาความขัดแย้งแตกแยกในเรื่อง เชื้อชาติ ศาสนา และสีผิว ฯลฯ ดังที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น ๆ จึงไม่เกิดขึ้นในบ้านเรา ชนชั้นของความเป็นพลเมืองจึงไม่มีในบ้านเรา 

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ได้ทรงดูเอาพระทัยใส่และพัฒนาอาณาประชาราษฎร์โดยถ้วนทั่ว เพื่อไม่ให้มีการแบ่งแยกเป็นชาวเขาหรือชาวเรา พสกนิกรภายใต้ร่มพระบารมีล้วนแล้วแต่เป็นคนไทยโดยเสมอกัน

 

บิดเบือน > ไม่สร้างสรรค์ > ทำคนเข้าใจผิด

บางครั้งคนพูดต้องการสื่อสารอีกอย่าง แต่กลับมีคนบิดเบือน หรือ นำไปตีความเป็นอีกอย่าง ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายๆ

ยุค Fake News เกลื่อนเมือง ต้องมีสติในการรับรู้ข่าวสารอย่างรอบด้าน

“พอเพียงสู่ความยั่งยืน” จากมุมมองของครูบัญชี (ตอนที่1)

ในแต่ละปีสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยผลิตบัณฑิตหลากหลายสาขาออกมารับใช้สังคมเป็นจำนวนมากบางส่วนออกไปประกอบอาชีพเป็นพนักงานประจำในองค์การทั้งภาครัฐและเอกชน แต่ก็มีบัณฑิตบางส่วนที่มีความคิดไม่อยากเป็นพนักงานประจำอยากมีกิจการเป็นของตนเอง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดีในการกำหนดรูปแบบและประเภทของกิจการวิธีการดำเนินงานจะทำอย่างไรให้ธุรกิจดำรงอยู่และเติบโตได้ในอนาคตเมื่อเกิดปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ จะมีวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร

ในบทความนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอแนวความคิดเพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับบัณฑิตหรือผู้ที่มีความสนใจอยากมีธุรกิจเป็นของตนเองในการนำไปปรับใช้ สำหรับการเป็นผู้ประกอบการในอนาคต โดยใช้ข้อมูลทางด้านบริหารธุรกิจโดยเฉพาะทางด้านศาสตร์บัญชี เพื่อทำให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต

การเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Micro, Small and Medium-Sized Enterprises หรือ MSME) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่จะเริ่มต้นการประกอบธุรกิจเนื่องจากวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ จากการรับทราบรายงานสถานการณ์วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมปี 2563 ของคณะรัฐมนตรี ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) รายงานพบว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product GDP) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Micro, Small and Medium-Sized Enterprises: MSME) ปี 2562 มีมูลค่า 5,963,156 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.3 ต่อ GDP รวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้นจากในปีก่อนที่มีสัดส่วนร้อยละ 34.6 ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ GDP MSME ยังคงขยายตัวได้สูงมาจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ได้แก่ การบริโภคของภาครัฐ และภาคเอกชน และรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลให้ภาคการค้าและภาคการบริการ ยังคงเติบโตได้ในอัตราที่สูง 

ในทางกลับกันดัชนีความเชื่อมั่นของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมปี 2562 อยู่ที่ระดับ 47.5 เท่ากับค่าเฉลี่ยของปี 2561 และเมื่อจำแนกตามกลุ่มธุรกิจ พบว่าผู้ประกอบการ MSME ภาคการค้า และภาคการบริการ มีระดับความเชื่อมั่นเฉลี่ยในปี 2562 ลดลง ในขณะที่ผู้ประกอบการภาคการผลิตมีระดับความเชื่อมั่นสูงขึ้น 

อย่างไรก็ตามค่าเฉลี่ยของดัชนีความเชื่อมั่นของ MSME ยังต่ำกว่าค่าฐานที่ 50 แสดงถึงความเชื่อมั่นที่ไม่ดีนักโดยมีสาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของภาคการส่งออกที่เกิดจากความต้องการของตลาดโลกลดลงการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติสงครามการค้าระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสหรัฐอเมริการวมทั้งค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยที่แข็งค่ารวมทั้งปัญหาภัยแล้งที่ส่งผลต่อภาคการเกษตรและรายได้ของเกษตรกร

หากสังเกตจากรายงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ถึงแม้นว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) ของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Micro, Small and Medium-Sized Enterprises: MSME) ปี 2562 มีมูลค่า 5,963,156 ล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.3 ต่อ GDP รวมทั้งประเทศเพิ่มขึ้นจากในปีก่อนที่มีสัดส่วนร้อยละ 34.6 แต่ดัชนีความเชื่อมั่นของ MSME ในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) ของปี 2563 มีค่าเท่ากับ 42.5 ลดลงจากค่าเฉลี่ย 46.1 ในช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยสาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) เป็นอย่างมากโดยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ประมาณการอัตราการขยายตัวของ GDP MSME ในปี 2563 อยู่ในช่วงระหว่างร้อยละ 0.5 ถึงร้อยละ 6.2 (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภายในประเทศ) 

ทั้งนี้จากการสำรวจความเห็นของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) จำนวน 2,700 รายพบว่าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) มีแผนการปรับตัวทางธุรกิจคิดเป็นร้อยละ 84.8 ซึ่งส่วนใหญ่จะปรับตัวในด้านการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รองลงมา คือ การพัฒนาคุณภาพสินค้าและรูปแบบบรรจุภัณฑ์ และ การเพิ่มประเภทสินค้าและรูปแบบการให้บริการ นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมการขายในตลาดออนไลน์มากขึ้น และสิ่งที่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือในการขายสินค้าออนไลน์มากที่สุด ได้แก่ การส่งเสริมทักษะในการทำตลาดออนไลน์ การสนับสนุนต้นทุนขนส่งสินค้า และ การประชาสัมพันธ์สินค้าออนไลน์ท้องถิ่น ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือโดยตรงต่อธุรกิจ MSME ที่มีความต้องการ แต่ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ ได้แก่ มาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ มาตรการพักชำระหนี้ มาตรการลดหย่อนภาษีและยกเว้นภาษีและเงินกู้ฉุกเฉิน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรักษาสภาพคล่องของกิจการซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ปัญหาสำคัญที่ทำให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) ไม่สามารถเข้าถึง แหล่งเงินทุน ได้แก่ การขาดหลักประกันหรือมีหลักประกันไม่เพียงพอปัญหาด้านประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาและการขาดเอกสารหลักฐานแสดงรายได้ (https://www.ryt9.com/s/cabt/3190747

แม้นว่าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะมีความสำคัญเพียงใดก็ตาม ในบทบาทของผู้ประกอบการ (Entrepreneurs) ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบกับการองค์การได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพปัญหาภายในองค์กร เช่น ต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ คุณภาพสินค้า รูปแบบบรรจุภัณฑ์ รูปแบบการให้บริการ ช่องทางการส่งเสริมการขาย หรือสภาพปัญหาภายนอกองค์กร เช่น ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดต่อมาตรการด้านภาษี หรือแม้นกระทั่งแหล่งเงินทุนขององค์การ ดังนั้น แนวทางการดำเนินงานที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่องค์การได้นั้น หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) เป็นแนวทางในเบื้องต้นสำหรับการประกอบธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการได้อย่างยั่งยืน

หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่พสกนิกรชาวไทย โดยมีแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก โดยต้องอาศัยความรู้ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ขณะเดียวกันต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหนี้ที่ของรัฐนักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริตและให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม มีการดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งวัตถุสังคมสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี (สุเมธตันติเวชกุล, 2550, http://www.rdpb.go.th/th/Sufficiency

จากแนวหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) จะพบว่าเป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ดังนั้นในการที่จะเป็นเริ่มต้นการเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจใด ๆ หากนำแนวหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน โดยอาศัยความรู้ความรอบคอบและความระมัดระวังอย่างยิ่งก็จะทำให้ธุรกิจมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก

ในการเป็นผู้ประกอบการนั้น อาจจะเริ่มต้นจากการเป็นเจ้าของธุรกิจเพียงคนเดียว หรืออาจจะมีหุ้นส่วนรวมกันหลายคน ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องมีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับรูปแบบของธุรกิจเพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการบริหารจัดการ โดยรูปแบบของธุรกิจสามารถสรุปได้ ดังต่อไปนี้

บุคคลธรรมดา : บุคคลทั่วไป ที่มีชีวิตอยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 15)

คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล : บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อกระทำกิจการร่วมกันเหมือนห้างหุ้นส่วนสามัญ แต่ไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้จากกิจการที่ทำนั้น (มาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร)

ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล : บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ตกลงเข้ากันเพื่อการทำกิจการร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์แบ่งปันกำไรที่ได้จากกิจการที่ทำ (มาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร)

ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดบุคคล : บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปมาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน โดยทะเบียนนิติบุคคลหุ้นส่วนทุกคนไม่จำกัดความรับผิด และต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ห้างหุ้นส่วนจำกัด : บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการร่วมกัน หุ้นส่วนมีทั้งที่จำกัดความรับผิดและไม่จำกัดความรับผิด และต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

บริษัทจำกัด : บุคคลตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปมาลงทุนและเป็นเจ้าของกิจการ ผู้ถือหุ้นรับผิดในหนี้ต่าง ๆ ไม่เกินจำนวนเงินที่ผู้ถือหุ้นแต่ละคนลงทุน และต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

วิสาหกิจชุมชน : กิจการของชุมชนที่เกี่ยวกับการผลิตสินค้า การให้บริการ หรือการอื่นที่ดำเนินการโดยคณะบุคคลที่มีความผูกพัน มีวิถีชีวิตร่วมกัน และรวมตัวประกอบกิจการดังกล่าว เพื่อสร้างรายได้และเพื่อการพึ่งพาตนเองของครอบครัว ชุมชนและระหว่างชุมชน โดยมีการยื่นขอจดทะเบียนวิสาหกิจชุมชน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน 2548 กับกรมส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนการเกษตร 

ที่มา : https://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/SMEs/infographic/360_1_2.pdf

หลายท่านเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คงจะพอมีแนวทางในการเริ่มต้นการเป็นผู้ประกอบการ เพื่อประกอบธุรกิจในเบื้องต้นบ้างแล้ว โดยเฉพาะการเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ถือเป็นกำลังหลักสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลพยายามเร่งพัฒนายกระดับให้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเติบโตอย่างมีศักยภาพ มีความสามารถในการทำธุรกิจให้อยู่ในระดับสากลมากขึ้น และสามารถอยู่ได้เช่นเดียวกับธุรกิจขนาดใหญ่ และมีการส่งเสริมเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระดับหนึ่ง

ขณะเดียวกันต้องถือว่าเป็นความโชคดีของประชาชนชาวไทยทุกกลุ่มทุกอาชีพที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร ทรงพระราชทานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (Philosophy of Sufficiency Economy) ไว้ให้เป็นสมบัติอันล้ำค่าเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน 

ในตอนต่อไปผู้เขียนจะกล่าวถึงประเภทและขนาดของของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (MSME) เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบข้อมูลต่อจากการกำหนดรูปแบบของธุรกิจ 

หมายเหตุ: แนวคิดและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในบทความเป็นของผู้เขียนไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่สังกัด 

บอร์ดประกันสังคมเห็นชอบปรับลดเงินสมทบทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เหลือฝ่ายละร้อยละ 2.5 เป็นเวลา 3 เดือน เริ่ม มิถุนายน-สิงหาคม 2564 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตนจากผลกระทบโควิด-19 เตรียมเสนอ ครม.สัปดาห์หน้า

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า คณะกรรมการประกันสังคม มีมติเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .....

โดยให้ลดอัตราเงินสมทบนายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 จากเดิมฝ่ายละร้อยละ 5 เหลือฝ่ายละร้อยละ 2.5 ของค่าจ้างผู้ประกันตน และผู้ประกันตนมาตรา 39 เหลืออัตราเดือนละ 216 บาท เป็นเวลา 3 เดือนในงวดเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2564 ส่วนงวดเดือนกันยายน 2564 เป็นต้นไป ให้ส่งเงินสมทบอัตราเดิม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประกันตนในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอก 3 ทั้งนี้ จะเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในสัปดาห์หน้า

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การลดเงินสมทบในครั้งนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อนายจ้างและผู้ประกันตน นายจ้าง จำนวน 485,113 ราย ผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 11,164,384 คน และผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 1,832,500 คน สามารถนำเงินสมทบที่ลดลงไปใช้จ่ายเพื่อเสริมสภาพคล่องในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2564 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 20,163 ล้านบาท อันเป็นการลดปัญหาทางการเงินของนายจ้างและผู้ประกันตน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตผู้ประกันตนดีขึ้นและเป็นการรักษาระดับการจ้างงานของนายจ้างอีกด้วย

‘เมืองแปร’ มิแปรเปลี่ยนใจ สถานที่แห่งความทรงจำ กาลครั้งหนึ่งในเมียนมา

ผมมีโอกาสได้เดินทางไปในเมียนมาตั้งแต่เหนือจรดใต้ ได้พบสถานที่มากมาย ผู้คนหลากหลายวัฒนธรรมและแนวคิด รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยว แต่มีสถานที่หนึ่งที่มีความงดงามทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ผู้คนจนผมไม่มีวันลืม ที่นั่นคือ ‘เมืองแปร’ หรือ ‘เมืองปีย์’ ในภาษาพม่านั่นเอง

เมืองแปร ห่างจากย่างกุ้งออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 300 กิโลเมตร โดยการเดินทางสามารถไปได้ 2 ทางคือเดินทางผ่านเมืองมอว์บิ (Hmawbi) ขึ้นไปทางเมืองสายาวดี (Tharawaddy) จนถึงเมืองแปร ซึ่งเส้นนี้ระยะทางจะอยู่ที่ประมาณ 300 กิโลเมตร แต่หากคุณเป็นสายท่องเที่ยวแวะเมืองนั้นเมืองนี้ด้วยแล้วละก็สามารถไปอีกทางหนึ่งคือไปทางรัฐอิรวดีผ่านเมืองซาลุน (Zalun) แวะสักการะเจดีย์ Zalun Pyi Taw Pyan ที่มีตำนานว่าเคยเกือบฆ่าพระนางวิคตอเรียมาแล้ว โดยเรื่องราวนี้มีอยู่ว่าเมื่ออังกฤษยึดพม่าเป็นเมืองขึ้นได้แล้วก็ขนทองเหลืองกลับไปอังกฤษเพื่อหลอมทำปืนใหญ่ ซึ่งทองเหลืองที่ติดไปด้วยในครั้งนั้นคือพระพุทธรูปแห่งเมืองซาลุนแห่งนี้ 

เมื่อไปถึงช่างหลอมปืนใหญ่ก็ป่วยด้วยโรคที่ไม่สามารถรักษาหายตายไปเรื่อย ๆ ส่วนพระนางวิคตอเรียในขณะนั้นก็ทรงพระสุบินประหลาดว่ามีคนน่ากลัวมาบอกว่าหากไม่นำพระพุทธรูปแห่งเมืองซาลุนที่อยู่ในห้องเก็บทองเหลืองสำหรับหล่อปืนใหญ่กลับไปคืน พระนางจะสิ้นพระชนม์ภายใน 10 วัน เมื่อพระนางตื่นจากความฝันก็ทรงให้เหล่าทหารไปค้นหาว่ามีพระพุทธรูปนี้จริงไหม สรุปว่ามีจริง…ทำให้พระนางรีบส่งพระพุทธรูปนี้กลับจากอังกฤษมายังพม่าเพื่อกลับมาประดิษฐานยังที่นี่นับจากนั้นเป็นต้นมา

พระพุทธรูป Zalun Pyi Taw Pyan ที่พระนางวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรยังหวาดหวั่นในความศักดิ์สิทธิ์

แต่เส้นทางนี้จะสมบุกสมบันกว่าเส้นทางแรกและมีระยะทางยาวกว่า 100 กิโลเมตร และยังใช้เวลาเดินทางมากกว่าทางแรกมากกว่า 2 ชั่วโมงอีกด้วย หากใครใจไม่รักในการเที่ยวแบบลุย ๆ เสียเวลานั่งรถชมวิวไปเรื่อยแล้วละก็แนะนำเส้นทางแรกดีกว่า

เมื่อมาถึงเมืองแปรแล้ว ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายแต่สถานที่ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลย ผมขอแนะนำ 2 ที่สำหรับใครที่มาเมืองแปรแล้วถ้าไม่มาที่นี่ถือว่ามาไม่ถึง ที่แรกคือแหล่งมรดกโลกอาณาจักรศรีเกษตร (Thayay Khittayar Ancient Cities) ที่นี่คือจุดกำเนิดของจักรวรรดิเมียนมาที่ยิ่งใหญ่ ที่นี่เป็นอาณาจักรของชาวพิว (Pyu) ในภาษาไทยมักจะเขียนว่าพยู หรือ ปะยู เป็นอาณาจักรเก่าแก่ที่เจริญรุ่งเรืองในช่วงเดียวกันกับอาณาจักรฟูนัน ศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่ที่เมืองศรีเกษตร ปัจจุบันคือเมืองเมืองฮมอซา (Hmawza) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองแปร (Pyay) ไปทางใต้ 6 ไมล์ มีอาณาบริเวณครอบคลุมบริเวณลุ่มแม่น้ำอิรวดีในภาคกลาง และภาคใต้ของประเทศพม่าในปัจจุบัน ชนชาติปะยูนับถือพระพุทธศาสนา ได้รับความเจริญทางอักษรศาสตร์จากอินเดีย ชนชาติพิวนั้นมีเชื้อสายเดียวกับพม่า โดยอพยพลงมาจากทิเบตและทางตอนใต้ของจีน ในยุคที่รุ่งเรืองอาณาจักรนี้มีอำนาจปกครองเกือบตลอดแหลมมลายู จากนั้นถูกชนชาติมอญและอาณาจักรน่านเจ้ารุกราน และเริ่มเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในอำนาจของอาณาจักรพุกาม เมื่อพระเจ้าอโนรธามังช่อ ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรพุกาม เข้ามารุกรานทำให้อาณาจักรศรีเกษตรล่มสลายไป

มีหลักฐานมากมายว่าชาวพิว มีความสัมพันธ์กับชาวพม่าในยุคต่อ ๆ มา โดยแสดงออกมาทางสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่พบในเมืองศรีเกษตร อย่างเช่นเจดีย์ขนาดใหญ่แบบก่อตัน เป็นเจดีย์ทรงระฆังชื่อว่าเจดีย์บอบอจี (Bawbaw Gyi) และเจดีย์ปะยาจีย์ (Pya Gi) ซึ่งเชื่อว่าเป็นต้นแบบให้กับงานสถาปัตยกรรมของพม่าในยุคต่อ ๆ มา ได้แก่ เจดีย์ชเวดากอง มิงกาลาเจดีย์ เจดีย์ธรรมยันสิกะ เป็นต้น มีเจดีย์วิหารเป็นสิ่งก่อสร้างจากอิฐที่มีลักษณะรวมกันระหว่างเจดีย์ก่อตันและอาคาร (วิหาร) ที่เข้าไปใช้สอยพื้นที่ภายในในการประกอบพิธีกรรมได้ เจดีย์วิหารที่สำคัญ ได้แก่ วิหารเบเบจี (Bebe Gyi) และวิหารเลเมียทนา (Limyethna) อาคารลักษณะนี้เชื่อว่าพัฒนาไปเป็นเจดีย์วิหารที่มีขนาดใหญ่ในสมัยพุกามต่อมา นอกจากนี้ยังพบหลักฐานงานประติมากรรมที่ทำจากหินสลัก ประติมากรรมดินเผา ซึ่งพบว่าเป็นดินชนิดเดียวกับอิฐที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารและเจดีย์ ประติมากรรมสำริด โดยมีการพบหลักฐานชิ้นสำคัญคือ ประติมากรรมสำริดกลุ่มนักดนตรีและนักเต้นรำ โดยที่ท่ารำนั้นแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างอารยธรรมของอาณาจักรอินเดียและอาณาจักรศรีเกษตร

อีกสถานที่หนึ่งที่ผมขอแนะนำในแปรคือ ภูเขาอะก๊อกต่อง (A Kauk Taung) รูปหินสลักพระพุทธเจ้าที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำอิรวดี หากใครจะเดินทางไปชมจะต้องไปลงเรือของชาวบ้านแล้วเดินทางไปยังที่แห่งนี้  เชื่อว่ารูปสลักหินที่นี่มีอายุร่วมสมัยกับอาณาจักรศรีเกษตรคือมากกว่า 2500 ปีเลยทีเดียว

แม้ผมจะเคยไปมาแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังอยู่ในความประทับใจไม่ลืมเลือนและหากสถานการณ์ในเมียนมาเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อใด ผมจะกลับไปเยือนอีกครั้งแน่นอน และที่นี่คือ “เมืองแปร สถานที่ที่เวลาไม่เคยทำให้มนต์เสน่ห์ของเมืองแปรเปลี่ยนไป”

คอร์รัปชั่น...ไหมครับท่าน ตอนที่ 5 การป้องกัน และการปราบปรามการทุจริต

การแก้ปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบในประเทศไทยนั้นยังพอมีหนทางที่จะทำได้ ซึ่งตอนที่ผ่านมานั้น ผู้เขียนได้เสนอแนะในเรื่องการใช้งบการเงินในฐานะเครื่องมือที่ทรงพลังในการส่งสัญญาณที่ผิดปกติของแต่ละองค์กรภาครัฐไปแล้วนั้น สรรสาระ ประชาธรรม ตอนนี้ จะกล่าวถึงองค์ประกอบในการแก้ปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบที่มีองค์ประกอบสำคัญในภาพใหญ่สองด้าน นั่นคือ (1) การป้องกันการทุจริต และ (2) การปราบปรามการทุจริต ซึ่งศาสตราจารย์ ดร. อิสสระ นิติทัณฑ์ประภาศ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในโอกาสครบรอบ 4 ปีการจัดตั้ง ป.ป.ช. ว่า 

“…มีวิธีใดบ้างที่สามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นให้น้อยลงไปได้นั้น เห็นว่าการแก้ปัญหาดังกล่าวมี 2 วิธี คือ การป้องกันและการปราบปราม สำหรับการป้องกันนั้นถ้าได้ผล การปราบปรามก็จะมีความสำคัญน้อยลง ดังนั้น การแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นจึงควรเน้นหนักที่การป้องกัน แต่การที่จะทำให้การทุจริตลดน้อยลงได้นั้น ในทางปฏิบัติทำได้ยากมาก เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นฝังรากลึกในระบบราชการ การแก้ปัญหาดังกล่าวให้ได้ผลจึงยากมาก ดังนั้น ก่อนที่จะมีมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงควรศึกษาอย่างเป็นระบบว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นมีวิธีการอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน…” 

ในประเด็นนี้ นักคิด นักปฏิบัติ และผู้คร่ำหวอดในวงการธรรมาภิบาล เช่น ดร.บัณฑิต นิจถาวร ได้กล่าวไว้ว่า “มี 2 สาเหตุที่ทำให้ปัญหาคอร์รัปชั่นแก้ยาก สาเหตุแรก การบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ อีกเหตุผลหนึ่ง คือ สังคมเองอ่อนแอ” และเมื่อวิเคราะห์บริบทสำคัญย้อนกลับไปในอดีตนั้น จะพบว่า การที่ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับระบบอุปถัมภ์ และระบบอิทธิพลสูง ทำให้ปัญหาคอร์รัปชั่นรุนแรงและแก้ไขยาก ที่น่ากลัวกว่านั้น คือ ดร.บัณฑิต กล่าวว่า “...คนพร้อมจะช่วยกันทำความผิด พร้อมช่วยคนผิดให้พ้นผิด และที่แย่ที่สุด คือ พร้อมสรรเสริญคนผิด เพียงเพราะเขารวย ไม่ตั้งคำถามเกี่ยวกับที่มาที่ไปของความร่ำรวย ยอมรับนับถือ จนกลายเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม ทำให้คนยิ่งกล้าทำผิดเพราะนอกจากจะรวยแล้ว ไม่ถูกจับแล้ว ยังมีคนสรรเสริญ มีหน้ามีตาในสังคม ในสังคมไทยเรื่องนี้ชัดเจน และเป็นความอ่อนแอ ทำให้คอร์รัปชั่นกลายเป็นบันไดไต่เต้าให้กับคน จากที่ไม่มีอะไรเลย กลายเป็นคนที่สังคมรู้จัก ร่ำรวย มีตำแหน่ง แม้จะโกงบ้านโกงเมือง...”

กลับมาที่การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น เมื่อการป้องกันสำคัญกว่าการปราบปราม และหากสังคมเข้มแข็ง มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อกรณีการทุจริตประพฤติมิชอบ ปัญหาคอร์รัปชั่นจะเบาบางลง ดังนั้น หากเรามองไปดูประเทศอื่นที่แต่เดิมปัญหาคอร์รัปชั่นรุนแรง ว่าประเทศเหล่านั้นแก้ปัญหาได้อย่างไร และสามารถนำมาปรับใช้กับประเทศไทยได้อย่างไร เราจึงควรพิจารณากลุ่มประเทศที่ได้รับคะแนน ดัชนีการรับรู้เรื่องคอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index--CPI) จัดทำโดย องค์กรความโปร่งใสสากล (Transparency International) ซึ่งประเทศที่มีค่า CPI-2020 เกินครึ่งมีเพียง 57 ประเทศเท่านั้นจากการเปิดเผยข้อมูลใน 180 ประเทศและประเทศไทยได้คะแนนดังกล่าวที่ 36 คะแนนอยู่ในลำดับที่ 104 โดยที่ประเทศที่มีคะแนนเกินครึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในทวีปยุโรป สำหรับประเทศในแถบเอเชีย สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีคะแนนสูงที่สุด 85 คะแนน อยู่ในลำดับที่ 3 ของโลก ในขณะที่ฮ่องกง และญี่ปุ่นอยู่ในลำดับที่ 11 และ 19 ตามลำดับ (77 และ 74 คะแนน) องค์กรนี้ตั้งขึ้นมาในปี 2536 โดยมีพันธกิจสำคัญ คือการหยุดการคอร์รัปชั่น และส่งเสริม ความโปร่งใส ความรับผิดรับชอบ ความซื่อสัตย์ในทุกภาคส่วน ทุกระดับในสังคม (Our mission is to stop corruption and promote transparency, accountability and integrity at all levels and across all sectors of society.)

ความน่าสนใจก็คือ หากย้อนเวลากลับไปในช่วงทศวรรษ 1960-1970 ทั้งสิงคโปร์และฮ่องกง ประสบปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบอย่างหนัก มีคำกล่าวของคนฮ่องกงในยุคนั้นว่า แค่ก้าวขาออกจากบ้านก็ต้องโดนรีดไถแล้ว แต่ประมาณ 30-40 ปีต่อมาทั้งสองกลับมีการพัฒนาอย่างยิ่งยวด ทั้งที่หากมองจุดตั้งต้นทางเศรษฐกิจนั้นประเทศไทยมีจุดเริ่มต้นทางการเงินและทรัพยากรสูงกว่าประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง จุดพลิกผันสำคัญประการหนึ่งที่ทั้งคนสิงคโปร์และฮ่องกงยอมรับคือ การแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นทำให้ประเทศทั้งสองมีความเจริญก้าวหน้ามีการพัฒนาเช่นทุกวันนี้ สอดคล้องกับคำกล่าวที่เป็นแคมเปญรณรงค์ขององค์กรความโปร่งใสสากลในปี 2547 ที่ว่า เมื่อมีคอร์รัปชั่นทุกคนเป็นผู้จ่าย (With corruption everyone pays)

น่าสนใจอย่างยิ่งละครับ

งานศึกษาจำนวนมากสรุปว่า “ความตั้งใจของคนในชาติ และผู้นำ” มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับการทุจริตประพฤติมิชอบ โดยที่สิงคโปร์และฮ่องกงจัดตั้งหน่วยงานพิเศษสำหรับการต่อสู้กับการคอร์รัปชั่นโดยเฉพาะ (ก็คล้าย ๆ ป.ป.ช. บ้านเรา) และหน่วยงานดังกล่าวเต็มไปด้วยคนหนุ่มสาวที่ไฟแรงและมีอุดมการณ์ในการต่อสู้กับคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ เป็นทั้งผู้นำการเปลี่ยนแปลงและเป็นที่พึ่งให้กับผู้ชี้เบาะแสการทุจริตประพฤติมิชอบ รายงานของ Transparency International เองก็ให้ข้อเสนอแนะในแนวทางเดียวกัน คือ ผู้นำรัฐบาลมีบทบาทสำคัญ และจะต้องแสดงออกชัดเจนถึงพันธกรณี โดยมีกำหนดระยะเวลาแน่นอนในการต่อต้านคอร์รัปชั่น

กรณีของฮ่องกงนั้น ได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง I Corrupt All Cops (2009) ผลงานการกำกับของ หว่อง จิ้ง (Wong Jing) คำอธิบายของภาพยนตร์ดังกล่าวให้ข้อมูลว่า หว่อง จิ้ง เติบโตทันที่จะเห็นสภาพสังคมฮ่องกงในยุคที่ ตำรวจกับโจรแทบไม่ต่างกัน มาจนกระทั่งในช่วงทศวรรษที่ 80-90 ที่ผู้ปกครองฮ่องกงปราบปรามคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง จนทำให้วันนี้ ฮ่องกงกลายเป็นเมืองที่มีความโปร่งใสมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

I Corrupt All Cops เริ่มต้นด้วยการฉายให้เห็นความฟอนเฟะของสังคมฮ่องกงยุค 50-70 ที่ตำรวจในฐานะผู้รักษากฎหมาย คือ “หัวโจก” ใหญ่ของการรีดนาทาเร้นประชาชน โดยรัฐบาลที่ปกครองเกาะฮ่องกง ทำได้แค่ “หลี่ตา” แถมตัวหัวหน้าตำรวจยังรู้เห็นเป็นใจกับแก็งค์มาเฟีย โดยรับส่วยแลกกับการให้ความคุ้มครองอย่างถูกกฎหมายและไม่ต้องถูกจับ การก่อตั้งหน่วย Independent Commission Against Corruption (ICAC) กลายเป็นความหวังที่เหลือของคนฮ่องกง แม้ว่าช่วงแรก ๆ คนจะมองว่าเป็นเพียงหน่วยงาน “เสือกระดาษ” ที่ตั้งขึ้นมาก็ไม่แตกต่างจากตำรวจทั่วไป แต่โชคดีที่หน่วยงานใหม่นี้เต็มไปด้วย คนหนุ่มไฟแรง นักศึกษาจบใหม่ที่มีอุดมการณ์ต่อต้านคอร์รัปชั่น อยากเห็นสังคมฮ่องกงดีขึ้น ต่างเข้ามาสมัครเป็นพนักงาน ท้ายที่สุด ICAC ได้รับการยกย่องว่าเป็นรูปแบบการต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ดีรูปแบบหนึ่งของโลก

แต่กว่าจะเห็นความสำเร็จ คนที่เคยต่อสู้กับความอยุติธรรม และการคอร์รัปชั่นมาก่อนจะรู้ว่าไม่ง่าย

ความน่าสนใจคือ แล้วจะนำมาปรับใช้กับประเทศไทยอย่างไร และจะฝ่าด่าน “แบบไทย ไทย” ได้หรือไม่ น่าติดตามในตอนหน้านะครับ

อัพเดตข้อมูลข่าวสารเล็กน้อยครับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีของเล่นใหม่ คือ คลังข้อมูลการป้องกันการทุจริต (Anti-Corruption Toolbox) สำหรับให้ประชาชนและเครือข่ายเข้าไปใช้บริการ ทั้งการเล่นเกม การแจ้งเบาะแส และข้อมูลต่าง ๆ น่าสนใจครับในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชน ก็ขอให้ผู้สนใจลองดาวน์โหลดโปรแกรมดังกล่าวไปทดลองใช้ เพื่อยืนยันว่าอย่างน้อยเราก็พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเล็ก ๆ ที่จะไม่ทนต่อการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ

คราวหน้าจะมาพูดถึงกรณีศึกษาประเทศสิงคโปร์และฮ่องกงครับ ว่าเค้าประสบความสำเร็จในการต่อสู้คอร์รัปชั่นอย่างไร และการมีส่วนร่วมของประชาชนสำคัญไม่แพ้การมีผู้นำที่ดีอย่างไร

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top