Monday, 23 June 2025
TheStatesTimes

‘เขตเศรษฐกิจเชียงของ’ เชื่อมต่อ ‘เขตเศรษฐกิจพิเศษบ่อหาน (จีน)-บ่อเต็น (ลาว)’ เพิ่มศักยภาพการค้าข้ามพรมแดนแม่โขง-ล้านช้าง เป้าหมายสร้างมูลค่าการค้า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ

แม้ว่าอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่รัฐบาลยังคงเดินหน้าลงทุนในโครงการ โครงสร้างพื้นฐาน และ ขับเคลื่อนนโยบายเพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ล้านช้าง ได้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการปี 2558 ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และจีน ซึ่งร่วมมือกันใน 5 สาขาสำคัญ ได้แก่ ความเชื่อมโยง การพัฒนาศักยภาพในการผลิต ความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ความร่วมมือทรัพยากรน้ำ การเกษตรและการลดความยากจน

โดยกระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบให้เป็นหน่วยประสานงานหลักของไทยในสาขาความร่วมมือเศรษฐกิจข้ามพรมแดน รัฐบาลได้พัฒนาการอำนวยความสะดวกทางการค้าตามแนวชายแดน เช่น พิธีการศุลกากร เพื่อช่วยให้การปล่อยสินค้าคล่องตัว เพิ่มประสิทธิภาพการบริการโลจิสติกส์ ลดต้นทุนผู้ประกอบการ ซึ่งจะแล้วเสร็จสมบูรณ์สิ้นปีนี้

ขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ กำลังศึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย

โดยการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงของ มีเป้าหมาย คือ

1.) เชียงของเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน (Cross Border e-Commerce: CBEC)

2.) ส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยและอาเซียน ผ่านเส้นทาง R3A (ที่เชื่อมระหว่าง จีน ลาว และไทย ผ่านจุดพรมแดนและเมืองสำคัญ เช่น อ.เชียงของ บ้านห้วยทราย บ่อเต็น บ่อหาน และคุนหมิง) และเขตการค้าเสรีคุณหมิง และ

3.) ยกระดับการค้าสู่พื้นที่จีนตอนเหนือ และยุโรปในอนาคตต่อไป เพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเชียงของ

ทั้งนี้ รัฐบาลได้อนุมัติ โครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ จังหวัดเชียงราย บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (ข้ามแม่น้ำโขง) แห่งที่ 4 ติดกับ ด่านพรมแดนเชียงของ เพื่อเป็นประตูการค้าที่สำคัญบนแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor)

โดยเป็นการพัฒนา สถานีขนส่งสินค้า (Truck Terminal) รองรับกิจกรรมการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศบนเส้นทางสาย R3A ให้เป็นสถานีปรับเปลี่ยนการขนส่งระหว่างประเทศสู่ภายในประเทศ รวมถึง เพื่อเชื่อมต่อระบบการขนส่งทางถนนไปสู่ทางรถไฟ ซึ่งโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายฯ ระยะที่1 จะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2565

ขณะที่ โครงการระยะที่ 2 ซึ่งครม.เพิ่งเห็นชอบเมื่อ 20 เมษายน ที่ผ่านมา เป็นการสร้างอาคารเปลี่ยนถ่ายและบรรจุสินค้า และลานกองเก็บตู้สินค้า

ที่จะรองรับเส้นทางรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย คาดจะก่อสร้างเสร็จในปี 2568

สำหรับ การค้าข้ามพรมแดนแม่โขง-ล้านช้าง จะเป็นตลาดสำคัญของไทย ที่มีเป้าหมายมูลค่ากว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยรัฐบาลตั้งเป้าเพิ่มยอดการส่งออกทั้งในกลุ่มประเทศสมาชิกและที่จะขยายไปยังจีนตอนเหนือและยุโรปในอนาคต

หากสามารถผลักดัน โครงการเศรษฐกิจพิเศษเชียงของ เชื่อมต่อกับ เศรษฐกิจพิเศษบ่อหาน (จีน)-บ่อเต็น (ลาว) ได้สำเร็จ ผู้ประกอบการไทยจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีสำหรับสินค้าที่อยู่ในรายการที่จีนกำหนดให้สามารถขอรับสิทธิพิเศษสำหรับ CBEC ได้ (Positive Lists for CBEC) อาทิ ผลไม้อบแห้ง ชา กาแฟ เครื่องสำอาง ซึ่งจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิตในอัตราร้อยละ70 ของอัตราภาษีปกติอีกด้วย

ที่มา : https://www.facebook.com/100003657944356/posts/2317383428393566/

กรุงเทพฯ - มูลนิธิมาดามแป้ง รุกฉีดฆ่าเชื้อโควิด ช่วยวิกฤตบ่อนไก่ด่วน หลังพบผู้ติดเชื้อสูง

มูลนิธิมาดามแป้ง ทำงานเชิงรุกรุดลงพื้นที่ชุมชนบ่อนไก่พัฒนา เขตปทุมวัน อาสาฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ทันทีหลังพบผู้ติดเชื้อสูงจากการตรวจเชิงรุกต่อเนื่อง

วันที่ 7 พฤษภาคม 2564 มูลนิธิมาดามแป้ง โดย มาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานกรรมการมูลนิธิ และ ซีอีโอ เมืองไทยประกันภัย ซึ่งแม้จะอยู่ในช่วงกักตัว 14 วัน ก็ส่งอาสากล้าใหม่ของมูลนิธิฯ ลุยงานสู้โควิด-19 แบบต่อเนื่องทุกวัน

โดยนอกจากการช่วยชาวชุมชนคลองเตย ขณะนี้ได้ขยายความช่วยเหลือไปยังชุมชนบ่อนไก่พัฒนา เขตปทุมวัน หลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตจากการพบผู้ติดเชื้อในชุมชน 2 วันที่ผ่านมาเกือบ 200 คน ยังไม่รวมกับผู้มีความเสี่ยงสูงต้องกักตัวในบ้านอีกด้วย ด้วยลักษณะชุมชนที่มีความหนาแน่น แออัดคล้ายกับชุมชนคลองเตย

โดยมูลนิธิมาดามแป้ง ได้ร่วมมือกับผู้นำชุมชนเริ่มเข้าฉีดพ่นทันทีหลังได้รับการประสานขอความช่วยเหลือ ซึ่งวางแผนดำเนินการในทุกสัปดาห์เช่นเดียวกับในพื้นที่คลองเตย จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะดีขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจ คลายความวิตกกังวลให้กับประชาชนในพื้นที่สีแดง

นอกจากนี้ ครัวมาดาม ยังได้ให้ความช่วยเหลือด้านวัตถุดิบประกอบอาหารแก่ทีมงานฐานเทพวารินทร์ ซึ่งเป็นอาสาสมัครของชุมชนบ่อนไก่พัฒนาอีกด้วย

โครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารคืบหน้า ล่าสุด 4 จังหวัด ได้แก่ ร้อยเอ็ด เพชรบุรี สระบุรีและกาญจนบุรี พร้อมร่วมโครงการ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กรกอ.) เปิดเผย วันนี้ (7พ.ค.) ว่า การปฏิรูปภาคเกษตรแบบครบวงจรภายใต้ ‘5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย’ คืบหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร ได้รับความสนใจจากภาครัฐ ภาคเอกชนและภาควิชาการในหลายจังหวัด ขณะนี้มีจังหวัดเสนอตัวเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นใหม่ได้แก่กาญจนบุรี เพชรบุรี สระบุรี และร้อยเอ็ด

“จังหวัดเพชรบุรีมีพื้นที่อำเภอท่ายางและแก่งกระจาน จะพัฒนาเป็นเขตผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเกษตรในรูปแบบเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) จังหวัดกาญจนบุรีที่อำเภอท่าม่วงเป็นนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารและเอสเอ็มอี มุ่งตลาด 7 ประเทศรอบอ่าวเบงกอล โดยเล็งทวายเป็นท่าเรือส่งออก การพัฒนาเกษตรอุตสาหกรรมของทั้ง 2 จังหวัด เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจตะวันตก (Western Economic Corridor) ส่วนสระบุรีจะพัฒนาเป็นซิลิคอนวัลเล่ย์เกษตรอาหารเน้นสตาร์ทอัพที่ spin-off จากผลงานวิจัยและพัฒนาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมหรือศูนย์ AIC ในโมเดลเดียวกับการพัฒนาซิลิคอนวัลเลย์ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด”

นายอลงกรณ์ เปิดเผยด้วยว่า ล่าสุด นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ประธานคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นประธานการประชุมหารือการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร จังหวัดร้อยเอ็ด ณ ห้อง Smart Room ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีนายชนาส ชัชวาลวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนสถาบันการศึกษา ภาคเอกชน เข้าร่วมหารือ พร้อมได้ถ่ายทอดสัญญาการประชุมผ่านระบบ zoom meeting ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายส่งเสริมเขตอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และมติจากการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย (กรกอ.) เห็นชอบให้มีการส่งเสริมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารขึ้นมาโดยจะดําเนินการในพื้นที่ 18 กลุ่มจังหวัด โดยจะมีการเชื่อมโยงการนํานวัตกรรมทางการเกษตรมาใช้ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ในแต่ละจังหวัด ซึ่งเป็นการพัฒนาเกษตรกรในช่วงต้นทาง เพื่อยกระดับเกษตรกร ให้สามารถป้อนวัตถุดิบ การเกษตรไปสู่อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารในช่วงปลายทาง

โดยจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นหนึ่งในจังหวัดเป้าหมายในการดำเนินการโครงการหนึ่งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหาร หนึ่งกลุ่มจังหวัด ของพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ดังนั้น การประชุมในครั้งนี้จึงเป็นการหารือถึง แนวทางการจัดทําข้อมูลรายละเอียดศักยภาพของพื้นที่ และสินค้าเป้าหมาย พร้อมทั้งจัดทําแนวทางการพัฒนาเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารของจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมเสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ต่อไป

โดยจะพิจารณาข้อเสนอของทุกจังหวัดที่เสนอตัวเข้าร่วมโครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรมบรรจุในวาระการประชุมของอนุกรรมส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารก่อนนำเสนอต่อ กรกอ. ในการประชุมเดือนหน้า หากจังหวัดใดสนใจจะเข้าร่วมโครงการสามารถเสนอตัวมาได้ก่อนการประชุมสัปดาห์หน้า

ทั้งนี้ มติที่ประชุม กรกอ. ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ.2564 ได้เห็นชอบโครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรม โดยส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารทั้งขนาดเล็กขนาดกลางขนาดใหญ่ให้ครบทั้ง 18 กลุ่มจังหวัด เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและตอบโจทย์การเพิ่มมูลค่าตลอดห่วงโซ่ของผลผลิตการเกษตรโดยจะกระจายการลงทุน การสร้างงาน และการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อเป็นการสร้างความสมดุลใหม่ของการพัฒนาประเทศ (New Development Balancing) ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่

1.) ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต

2.) ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0

3.) ยุทธศาสตร์ ‘3’s’ (Safety-Security-Sustainability) เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคง และเกษตรยั่งยืน

4.) ยุทธศาสตร์การบริหารเชิงรุกแบบบูรณาการกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะโมเดล ‘เกษตร-พาณิชย์ทันสมัย’ และ

5.) ยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนตามแนวทางศาสตร์พระราชา

เชียงใหม่ - เซเว่น อีเลฟเว่น ซีพีเอฟ ส่งมอบอาหารและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ให้โรงพยาบาลสนามในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ป้องกันโควิด-19 ต่อเนื่อง

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ร่วมกับ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เร่งเดินหน้าโครงการ “ซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19”ตามนโยบายเครือเจริญโภคภัณฑ์ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยคนไทยก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ได้ในเร็ววัน

ล่าสุดในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ นายบวรเวทย์ ตันตรานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชอยส์ มินิสโตร์ จำกัด ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในพื้นที่ ส่งมอบแอลกอฮอลล์ทำความสะอาด, หน้ากากอนามัยและน้ำดื่ม ตามโครงการ “คนไทยไม่ทิ้งกัน” ของเซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมด้วย ผู้แทนซีพีเอฟ ร่วมส่งมอบอาหารปลอดภัย ในโครงการ "CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19" ภายใต้ “ซีพี ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด” โดยมี นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้รับมอบ

อีกทั้งยังได้ส่งมอบครุภัณฑ์ทางการแพทย์และเครื่องอุปโภค บริโภค ให้กับ นพ.ยุทธศาสตร์ จันทร์ทิพย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสันทราย, นายวริช ไกยสิทธิ์ และ นายนพดล นวนพนัส ปลัดอำเภอสันทราย จ.เชียงใหม่ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมรับมอบ เพื่อนำไปสนับสนุนการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ของโรงพยาบาลสนามในจังหวัดเชียงใหม่ ต่อไป

สำหรับ โครงการ “คนไทยไม่ทิ้งกัน” ของเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นการส่งมอบครุภัณฑ์ทางการแพทย์และน้ำดื่ม เพื่อสนับสนุนภารกิจในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฎิบัติหน้าที่ที่โรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ โดยบริษัทยังเดินหน้าประสานความร่วมมือผ่านทางมหาเถรสมาคม เพื่อน้อมถวายเครื่องวัดอุณหภูมิและแอลกอฮอล์ให้กับวัด พระสงฆ์ สามเณร และทยอยมอบของใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตให้กับผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาสกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามปณิธานองค์กรของซีพี ออลล์ “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” ต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยทั้งหมดภายใต้ โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19" ซึ่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่การระบาดครั้งแรก จะส่งตรงถึงโรงพยาบาลสนาม โดยทีมโลจิสติกของซีพีเอฟ ประกอบด้วยอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานหลากหลายเมนู อาทิ เกี๊ยวกุ้ง, ข้าวอบธัญพืชและไก่, สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าและราเมนโฮลวีตผัดขี้เมาไก่ เป็นต้น

‘Wisesight’ ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลมีเดียรายใหญ่ในประเทศไทย สะท้อนมุมมองโซเชียลกับวัคซีนต้านโควิด 5 แบรนด์ ที่ทุกคนกำลังจะได้ฉีดเร็ว ๆ นี้ พบ วัคซีน ‘Sinovac’ ถูกโลกโซเชียลพูดถึงมากสุด กว่า 5.5 ล้านครั้ง

ข่าวการฉีดและจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด-19 ถือเป็นประเด็นร้อนแรงบนโลกโซเชียลในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดรัฐบาลได้ประกาศให้ประชาชนเริ่มลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีนโควิดผ่านช่องทาง Line Official Account และ Application หมอพร้อม ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด (Wisesight) ส่องความคิดเห็นของคนไทยบนโลกโซเชียลเรื่องวัคซีนต้านโควิด ทั้ง 5 แบรนด์ ที่รัฐได้ทำการนำเข้ามาเพื่อให้บริการแก่ประชาชน ได้แก่ ซิโนแวค (Sinovac), ไฟเซอร์ (Pfizer), แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca), ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) และ สปุตนิก วี (Sputnik V)

ไวซ์ไซท์ได้ทำการเก็บข้อมูลผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE ในช่วงวันที่ 20-30 เมษายน พ.ศ.2564 พบว่าประเด็นดังกล่าวได้รับ Engagement สูงกว่า 10,000,000 Engagement จากช่องทาง Facebook และ Twitter เป็นหลัก โดยความคิดเห็นของชาวโซเชียลส่วนใหญ่ได้ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องประสิทธิภาพ และกังวลถึงผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนเป็นอันดับต้น ๆ เรามาดูกันครับว่าในสถานการณ์นี้ชาวโซเชียลพูดถึงวัคซีนแบรนด์ไหนกันมากที่สุด!

อันดับ 1 : ซิโนแวค (Sinovac) 5,520,197 Engagement

วัคซีนเทคโนโลยีชนิดเชื้อตายที่มีชื่อว่า "โคโรนาแวค" (CoronaVac) ผลิตโดย บริษัท ซิโนแวค ไลฟ์ ไซแอนซ์ ประเทศจีน มีประสิทธิภาพป้องกันสายพันธ์ดั้งเดิมได้ 49.6% แต่ประสิทธิภาพจะลดลงอีกเมื่อเจอสายพันธุ์แอฟริกา อังกฤษ และบราซิล โดยประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องและได้รับการพูดถึงควบคู่กันคือไม่อยากฉีด และคุณภาพต่ำ

อันดับ 2 : ไฟเซอร์ (Pfizer) 3,022,726 Engagement

วัคซีนชนิดสารพันธุกรรม (mRNA) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เคยใช้กับวัคซีนป้องกันโรคอีโบล่า และมีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสกลายพันธ์ุได้สูง ร่วมกันผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกาและบริษัทไบโอเอ็นเทค ประเทศเยอรมนี (Pfizer-BioNTech) โดยประเด็นหลักที่เกี่ยวข้อง และได้รับการพูดถึงควบคู่กันคือความต้องการฉีด และคุณภาพดีที่สุด

อันดับ 3 : แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) 925,936 Engagement

วัคซีนที่ใช้วิธีการผลิตแบบเวกเตอร์ ผลิตโดยบริษัท AstraZeneca สัญชาติอังกฤษ-สวีเดน ร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด มีประสิทธิภาพป้องกันสายพันธุ์ดั้งเดิมได้ 76% ส่วนสายพันธุ์อื่น ๆ ยังไม่มีผลระบุที่ชัดเจน โดยประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องและได้รับการพูดถึงควบคู่กันคือเรื่องการผูกขาด และคุณภาพดี

อันดับ 4 : ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) 671,431 Engagement

วัคซีนเทคโนโลยีชนิดเชื้อตาย ที่พัฒนาโดยบริษัทชิโนฟาร์ม ประเทศจีน มีประสิทธิภาพป้องกันสายพันธ์ุดั้งเดิมได้ 70% แต่ประสิทธิภาพจะลดลงเมื่อเจอสายพันธุ์แอฟริกา โดยประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องและได้รับการพูดถึงควบคู่กันคือความต้องการฉีด และราคาแพง

อันดับ 5 : สปุตนิก วี (Sputnik V) 294,338 Engagement

วัคซีนที่ใช้วิธีการผลิตแบบเวกเตอร์เช่นเดียวกับวัคซีนของแอสตราเซเนกาที่ต้องฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ผลิตโดยประเทศรัสเซีย ตั้งชื่อตามดาวเทียมดวงแรกที่ถูกส่งขึ้นไปโคจรรอบโลก มีประสิทธิภาพสูงถึง 91.6% โดยประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องและได้รับการพูดถึงควบคู่กันคือความต้องการฉีด และคุณภาพดีที่สุด

ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง!! 'กัญจนา ศิลปอาชา' เดินหน้าช่วยเหลือผู้พิการไทย ควักเงินล้าน​ หนุนผ่าน "องค์การคนพิการระดับชาติ"

'กัญจนา ศิลปอาชา'​ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มอบเงินช่วยเหลือคนพิการไทย ผ่าน 'องค์การคนพิการระดับชาติ'

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม  2564 ณ มูลนิธิออทิสติกไทย คุณกัญจนา ศิลปอาชา (คุณนา) ประธาน 'มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย'​ (มพพท) มอบเงินให้กับ 'มูลนิธิออทิสติกไทย'​ จำนวน 1​ ล้านบาท 'สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย' จำนวน 2 แสนบาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,200,000 บาท เพื่อดำเนินจัดถุงยังชีพมอบให้แก่คนพิการและครอบครัว โดยมอบหมายให้ 'สภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศ' และ 'องค์การคนพิการระดับชาติ' รับหน้าที่ส่งมอบถุงยังชีพให้แก่คนพิการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม และเป็นพื้นที่ควบคุม ในช่วงสถานการณ์เชื้อไวรัสโควิด19 ที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ จำนวนรวม 1,500 ชุด 

งานในครั้งนี้​ ได้​ คุณนิกร จำนง กรรมการมูลนิธิฯและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 'พรรคชาติไทยพัฒนา'​ เข้าร่วมเป็นเกียรติมอบเงิน​

รวมไปถึง อ.ชูศักดิ์ จันทยานนท์ นายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทยคุณสุชาติ โอวาทวรรณสกุล นายกสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย, คุณเอกกมล แพทยานันท์ นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย, คุณกิตติพงษ์ หาดทวายกาญจน์ กรรมการสมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย, อ.ปราโมทย์ ธรรมสโรช, คุณกิจจาพร ชื่นบุญ มูลนิธิออทิสติกไทย, คุณธิติวัฒน์ สิทธิพูนปวีร์ ผู้แทนเครือข่าย สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย, คุณชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย ที่ได้เข้าร่วมงานการรับบริจาคดังกล่าวด้วย

สำหรับ คุณกัญจนา ถือเป็นผู้ผลักดันและส่งเสริมสิทธิคนพิการมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2538 ในสมัยพรรคชาติไทย ฯพณฯบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 รับผิดชอบงานด้านการศึกษา ได้ริเริ่มนโยบาย 'คนพิการทุกคนที่อยากเรียนต้องได้เรียน'​ ต่อมาจนกลายเป็นนโยบาย และสโลแกนระดับประเทศ เกิดการปฎิรูปการจัดการศึกษาคนพิการ มีการจัดสร้างศูนย์การศึกษาพิเศษทั่วประเทศ ให้ความสำคัญกับ 'นโยบายเรียนร่วม/เรียนรวม'​ ที่ให้คนพิการสามารถเรียนร่วมในโรงเรียนทั่วไปได้ ทำให้คนพิการจำนวนมากได้เรียนจากหลักปีละหมื่นคน เป็นปีละกว่าสี่แสนคน จนถึงปัจจุบัน

ท้ายนี้ 'ผู้นำคนพิการ' ได้เข้าขอบคุณ คุณกัญจนา  ศิลปอาชา คณะกรรมการมูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย ที่มอบโอกาส และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ในการช่วยเหลือคนพิการต่อไป

"แม้เงินจำนวนดัวกล่าว อาจจะช่วยเหลือคนพิการ ที่มีมากกว่า 2 ล้านคนทั่วประเทศไม่ได้ครบทุกคน แต่อย่างน้อย ก็ยังเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใย จากผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง และเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างแรงจูงใจ ให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม มาร่วมกัน​ 'คนละไม้_คนละมือ'​ เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยให้น่าอยู่ สืบไป" กัญจนา​ กล่าว

'มัลคอล์ม แม็กลีน' ผู้พลิกโฉมหน้าการขนส่งสินค้ายุคใหม่ 'ลดต้นทุน-เวลา-แรงงาน'

ทุกวันนี้เราคุ้นเคยกับภาพรถบรรทุกขนกล่องเหล็กขนาดใหญ่ที่เรียกกันว่า 'ตู้คอนเทนเนอร์' ซึ่งตู้เหล่านี้มีบทบาทที่สำคัญสำหรับการขนส่งระหว่างประเทศ เพราะช่วยลดต้นทุนและเวลาในการขนถ่ายสินค้าระหว่างรถบรรทุก, เรือ และรถไฟ 

ในสัปดาห์นี้ จึงขอเล่าเรื่องราวของชายผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดการขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์

มัลคอล์ม แม็กลีน (Malcom McLean) ในวัยหนุ่มได้ซื้อรถบรรทุกมือสองและทำธุรกิจขนส่งสินค้าให้แก่เกษตรกร ระหว่างรอการขนส่งสินค้าที่ท่าเรือ แม็กลีน เขาได้สังเกตวิธีการทำงานในยุคนั้นที่ยังใช้แรงงานคนเป็นหลัก... 

คนงานทยอยขนสินค้าลงจากรถบรรทุกแล้วไปเก็บในคลังสินค้าที่ท่าเรือ เมื่อเรือมาถึงท่าก็ทยอยขนสินค้าขึ้นเรือด้วยวิธีการชักรอก กว่าจะขนสินค้าขึ้นและลงเรือเสร็จก็ใช้เวลาหลายวัน หากช่วงไหนที่คนงานไม่ว่างหรือสภาพอากาศไม่ดี ก็หยุดทำงาน ส่งผลให้รถบรรทุกต้องจอดรอเป็นเวลานานเสียโอกาสในการไปวิ่งหารายได้ 

เมื่อเห็นดังนั้น แม็กลีน จึงคิดว่าจะมีวิธีการปรับปรุงการขนส่งให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการลดเวลาและต้นทุนในการขนส่ง แต่วิธีการขนส่งแบบใหม่ที่เขาคิดได้ต้องมีการปรับปรุงหลายอย่าง ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนจำมาก จึงได้แต่เก็บความคิดเอาไว้ในใจ

ในปี 1940 แม็กลีนวัย 42 ปี ซึ่งตอนนี้เขาได้กลายเป็นเจ้าของบริษัทรถบรรทุกที่ใหญ่เป็นอันดับ 5 ของสหรัฐอเมริกาในยุคนั้น และมีรถบรรทุกมากกว่า 1,700 คัน ก็ได้คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะเอาไอเดียที่เคยคิดไว้ตอนหนุ่มมาทำให้เป็นจริง 

เขาจึงตัดสินใจขายธุรกิจรถบรรทุก แล้วนำเงินมาซื้อมาธุรกิจเดินเรือ Pan Atlantic Tanker ที่มีเรือขนส่งน้ำมันอยู่ 2 ลำ แล้วยังกู้เงินมาอีก 42 ล้านเหรียญฯ เพื่อซื้อท่าเรือและอู่ต่อเรือ เพราะเขามั่นใจว่าวิธีการขนส่งแบบใหม่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการขนส่งไปได้

แม็กลีน มีความคิดว่า หากสามารถขนเฉพาะส่วน 'หางเทรลเลอร์' ของรถบรรทุกขึ้นไปไว้บนเรือแทนที่จะใช้คนงานทยอยขนสินค้าขึ้นลง จะช่วยลดระยะเวลาในการขนถ่ายสินค้าและลดค่าใช้จ่ายได้ แต่เมื่อได้ทดลองจึงพบปัญหาว่า 'หางเทรลเลอร์' ที่มีล้อนั้น ลดพื้นที่บรรทุกสินค้าของเรือและยังไม่สามารถเอาหางเทรลเลอร์วางซ้อนกันได้ ส่งผลให้ในเรือหนึ่งลำขนส่งสินค้าได้ไม่มากต้นทุนการขนส่งจึงสูง 

แม็กลีน จึงได้พัฒนาส่วนหางเทรลเลอร์แบบใหม่ที่สามารถถอดล้อออกได้ เพื่อลดความสูงและสามารถวางซ้อนกันได้ แต่หางเทรลเลอร์แบบใหม่กลับใช้งานไม่สะดวกอย่างที่คิด แม็กลีน จึงได้ปรึกษากับ คีธ แทนท์ลิงเกอร์ (Keith Tantlinger) วิศวกรที่ทำงานในบริษัทผลิตเทรลเลอร์ และเขาก็ได้ช่วยออกแบบตู้คอนเทนเนอร์ที่สามารถแยกออกจากหางเทรลเลอร์ได้สำเร็จ

แล้วความฝันของแม็กลีน ก็เป็นความจริง!! 

เมื่อวันที่ 26 เมษายน 1956 เรือ SS Ideal X เรือบรรทุกน้ำมันที่มีการปรับปรุงใหม่ เพื่อสามารถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์บนดาดฟ้าเรือได้ แล่นออกจากท่าเรือที่นิวยอร์กไปยังฮุสตันพร้อมกับตู้คอนเทนเนอร์ 58 ตู้และน้ำมัน 15,000 ตัน 

จากนั้นในปีต่อมา เรือ Gateway City เรือคอนเทนเนอร์เต็มรูปแบบของแม็กลีนที่ขนตู้คอนเทนเนอร์ได้มากถึง 226 ตู้ แต่ใช้เวลาในการขนสินค้าขึ้นลงเพียงแค่ 8 ชั่วโมง ก็ได้ออกให้บริการ ซึ่งหากเทียบต้นทุนการขนส่งแล้ว แบบเดิมจะอยู่ที่ 5.86 เหรียญต่อตัน ส่วนแบบใหม่จะลดลงเหลือ 0.16 เหรียญต่อตัน ถูกลงมากกว่าเดิมถึง 37 เท่า 

นอกจากนั้นรถบรรทุกและเรือไม่ต้องจอดรอขนสินค้าขึ้นลงเป็นเวลานาน สามารถเพิ่มเวลาในการวิ่งรับส่งสินค้าเพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย

การขนส่งวิธีใหม่ของแม็กลีน นอกจากจะเร็วกว่าและถูกกว่าแล้ว สินค้ายังมีโอกาสเสียหายและสูญหายน้อยกว่าวิธีเดิมอีกด้วย เพราะสินค้าไม่ได้ถูกยกขนโดยตรงและยังใช้แรงงานน้อยลง

จากจุดนี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วงการขนส่ง ต่างให้ความสนใจกับการขนส่งด้วยระบบตู้คอนเทนเนอร์ โดยในปี 1962 ท่าเรือนิวยอร์กได้เปิดตัวท่าเรือแห่งใหม่ที่เป็นท่าเรือคอนเทนเนอร์แห่งแรกของโลก ตามมาด้วยการเปิดตัวท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่ร็อตเตอร์ดัมในปี 1966 และท่าเรือสิงคโปร์ในปี 1972  

แน่นอนว่า ในทุกวันนี้มีการขนส่งด้วยตู้คอนเทนเนอร์ทุกท่าเรือหลักของโลก แต่มันจะไม่เกิดขึ้นได้ หากจุดเริ่มต้นทั้งหมดไม่ได้มาจาก 'มัลคอล์ม แม็กลีน' บุคคลระดับตำนานที่มีอิทธิพลต่อวงการอุตสาหกรรมและการค้าของโลกยุคใหม่


ข้อมูลอ้างอิง 
https://www.pbs.org/wgbh/theymadeamerica/whomade/mclean_hi.html
https://www.shippingandfreightresource.com/leaders-and-visionaries-in-shipping-malcom-mclean/
https://www.maritime-executive.com/article/the-story-of-malcolm-mclean
https://portfolio.panynj.gov/2015/06/23/the-world-in-a-box-a-quick-story-about-shipping/
https://www.shippingandfreightresource.com/leaders-and-visionaries-in-shipping-malcom-mclean/
 

ทยอยช่วยคนพิการ!! 'ภาครัฐ'​ ผนึก​ 'เอกชน'​ ขับเคลื่อนทีม 'เรามีเรา'​ ส่งมอบของบริจาค​ ช่วยคนพิการช่วงโควิดระบาดหนัก

ณ อาคาร 60 ปี บ้านราชวิถี กรมประชาสงเคราะห์ กรุงเทพมหานคร 'นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ'​ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.)​ รับมอบแพมเพิส ถุงอเนกประสงค์ ถุงยังชีพ ข้าวสารและน้ำดื่ม พร้อมเงินบริจาค จากภาคเอกชนและภาคีเครือข่าย เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง อาทิ คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสในสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์​ (พม.) ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลำบากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในขณะนี้ 

พร้อมส่งต่อความห่วงใยมอบสิ่งของบริจาคจำนวน 300 ชุด ให้กับองค์กรคนพิการ 7 แห่ง ได้แก่ สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย สมาคมคนพิการแห่งประเทศไทย, สมาคมผู้ปกครองออทิสซึม (ไทย), สมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทย, สมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย, สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย, สมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปแจกจ่ายสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นให้กับคนพิการที่ได้รับผลกระทบในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ต่อไป

นอกจากนี้ ทาง พก. ยังได้จัดให้มีคณะทำงานช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้ชื่อ 'ทีมเรามีเรา'​ ประกอบด้วย นักสังคมสงเคราะห์, นักพัฒนาสังคม และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้ความช่วยเหลือคนพิการ ซึ่งเป็นบุคลากรของ พก. จำนวน 15 ทีม เพื่อรับแจ้งเหตุ ประสานส่งต่อ และดำเนินการช่วยเหลือคนพิการที่ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และส่วนภูมิภาค โดยประสานงานผ่านศูนย์บริการคนพิการประจำจังหวัดทั่วประเทศ 

อธิบดี พก. กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนการดำเนินงานประกอบด้วย 

1) การเฝ้าระวังและคัดกรองข่าวสารคนพิการที่ต้องการความช่วยเหลือ จากสื่อออนไลน์ สายด่วนศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 และสายด่วนคนพิการ รวมทั้งได้รับการประสานงานจากภาคีเครือข่าย  

2) การประสานงาน โดยการประสานข้อมูล (Fact Finding) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จากนั้น จึงให้ความช่วยเหลือ 

และ 3) การติดตามผลให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง  

ทั้งนี้ มีการแบ่งคนพิการออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่... 

กลุ่มแรก คนพิการที่ติดเชื้อ ช่วยเหลือโดยการประสานหาโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel  

กลุ่มที่ 2 คนพิการที่อยู่ในครอบครัว ที่มีคนติดเชื้อ ช่วยเหลือโดยประสานตรวจเชื้อ และความช่วยเหลืออื่นๆ 

และกลุ่มที่ 3 คนพิการที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง มีความวิตกกังวล ช่วยเหลือโดยให้คำปรึกษาคลายกังวล และแนะนำการปฏิบัติตนอย่างถูกวิธี

ทั้งนี้ทาง​ พม. และ​ พก. ยังได้แสดงความขอบคุณเครือข่ายและพันธมิตรในการขับเคลื่อนภารกิจงานครั้งนี้ และหากพบคนพิการที่มีภาวะความเสี่ยงจาก COVID - 19 ติดต่อ 1300 / 1479 หรือ ศูนย์บริการคนพิการจังหวัดทั่วประเทศ 

นอกจากนี้​ หากมีความประสงค์จะร่วมบริจาคสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นสำหรับคนพิการในหน่วยงานสังกัด พก. สามารถติดต่อสอบถามได้ที่หน่วยงานทั้ง 22 แห่ง ทั่วประเทศ โทร 0 2354 3388 และ 1479 หรือเว็บไซต์ www.dep.go.th และ เฟสบุ๊กกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

วิกฤต COVID-19 ลิขิตดวงดาว

โหราศาสตร์จีนเน้นเรื่องการบริหารพลังธรรมชาติในระบบเบญจธาตุทั้ง 5 เช่น ธาตุไม้ ธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุทอง และธาตุน้ำ ตามศาสตร์ดุลยอัตลักษณ์หลักแห่งความสมดุล โดยมีปัจจัยแห่ง “ฟ้า” (ดวงดาว ยุคสมัย และกาลเวลา) สัมพันธ์กับ “ดิน” (ชัยภูมิที่ตั้ง และทิศทาง) และมี “คน” เป็นผู้เร่งหรือชะลอผลดีหรือผลร้ายที่ส่งผลกระทบต่อมวลมนุษย์ทั้งหลายในโลกใบนี้

อย่างเช่นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่สร้างวิกฤตทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม สร้างความสับสนและความสูญเสียอันใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ สืบเนื่องจากดาวประจำปีดาวเจ็ดแสด “七赤” (ชิกเฉี่ยะ) หรือ “破軍” (พั๊วคุง) ธาตุทอง สถิตเข้าใจกลางแผนภูมิเดิม ในปีพ.ศ. 2563 กระจายกระแสพลังส่งต่อสู่ดาวหกขาว “六白” (หลักแป๊ะ) หรือ “武曲” (บูเขี๊ยก) ธาตุทอง เข้าทำหน้าที่ประจำปีพ.ศ. 2564 แทน ซึ่งดาวประจำปีทั้ง 2 ดวง ล้วนส่งผลกระทบต่อ ปอด ระบบทางเดินหายใจ และยังจะส่งไม้ต่อ ให้กับดาวห้าเหลือง “五黃” (โหงวอึ๊ง) หรือ “廉貞” (เนี่ยมเจง) ธาตุดิน ที่ทำให้เกิดภัยพิบัติ โรคร้าย เข้าทำหน้าที่ประจำปีพ.ศ. 2565 แทนอีกที ทั้งหมดนี้เป็นสามในวัฎจักรนัยศาสตร์ ตำราดาว 9 ดวงที่เรียกว่า ดาวเหินม่วงขาว “紫白飛星” (จี๋แป๊ะปวยแช)

ดาวเจ็ดแสด “七赤” (ชิกเฉี่ยะ) หรือดาว “破軍” (พั๊วคุง) คือ ดาวทหาร

ดาวหกขาว “六白” (หลักแป๊ะ) หรือดาว “武曲” (บูเขี๊ยก) คือ ดาวขุนนาง

ทั้ง “ดาวเจ็ดแสด” และ “ดาวหกขาว” ต่างมีคุณลักษณ์ของการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ 

ส่วนดาวห้าเหลือง “五黃” (โหงวอึ๊ง) หรือดาว “廉貞” (เนี่ยมเจง) คือ ดาววิบัติ มีคุณลักษณ์เกี่ยวกับโรคร้ายภัยเวร

 

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ติดต่อลุกลามระลอกแล้วระลอกเล่า จนเกิดเป็นโรคอุบัติสายพันธุ์ใหม่ สายพันธุ์พื้นเมืองกลายพันธุ์ลามกระจายไปทั่วอย่างไม่จบสิ้น ล้วนเกิดจากการใช้อำนาจอย่างไม่เบ็ดเสร็จต่างจากคุณลักษณ์ของดาวประจำปี “ดาวทหาร” และ “ดาวขุนนาง” ที่โลกเสรีต่างละเลยและเพิกเฉยต่อความเด็ดขาด เพียงยึดสิทธิเสรีภาพและคำนึงถึงเศรษฐกิจมากกว่าชีวิตของประชาชน ซึ่งต่างจากมาตรการแบบเบ็ดเสร็จเจ็บแต่จบ ล็อคดาวน์ ประเทศหรือล็อคดาวน์พื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดอย่างทันท่วงทีเฉกเช่นพญามังกร สะท้อน สถานการณ์ที่แตกต่างระหว่าง ประเทศที่ยึดหลักเสรีภาพกับประเทศเผด็จการที่คำนึงถึงชีวิตของคนเป็นสำคัญ

ฉันใดที่ภูมิคุ้มกันหมู่จากการฉีดวัคซีนยังไม่ทั่วถึงครอบคลุมไม่ทั่วโลก ฉันนั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะยังดำรงคงอยู่ต่อไปอีกปี สืบเนื่องเพราะดาวแห่งวิบัติห้าเหลืองจะมาทำหน้าที่เป็นดาวประจำปี พ.ศ. 2565 ที่จะถึงนี้ เสมือนเป็นเชื้อชนวนพร้อมที่จะปะทุให้เกิดความสูญเสีย สร้างความสับสนและวุ่นวายจากโรคร้ายภัยเวรให้เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

แม้ว่า “ฟ้า” จะเป็นผู้ลิขิตวิกฤติ COVID-19 แต่เราคงต้องเป็นผู้กู้วิกฤติชีวิตของตนเอง การตั้งการ์ดสูงเข้าไว้ด้วยการสวมหน้ากาก ปิดปาก ปิดจมูก หมั่นล้างมือ กินร้อน ช้อนส่วนตัว และอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ จะเป็นมาตรการเบ็ดเสร็จที่จะคลายล็อคจากโรคระบาดโรคร้ายภัยเวร ดั่งคำที่ว่า 趨吉避凶 (ชูเกียกปี่เฮียง) หลบวิบากก่อนการเสริมพลังมงคล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top