Tuesday, 17 June 2025
TheStatesTimes

ดีอีเอส สั่งการ NT ติดไวไฟ-ซีซีทีวี หนุน รพ.สนาม

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า จากความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องมีการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 และเป็นการป้องกันการแพร่ระบาด จึงได้มอบหมายให้ นางสาว อัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ ประสานงานไปยัง บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ให้ดำเนินการสนับสนุนติดตั้งระบบ Internet Wi-Fi ระบบโทรศัพท์ IP Phone รวมถึงระบบกล้องวงจรปิด (CCTV) ให้บริการกับเจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ใช้ในการติดต่อสื่อสาร โดยพร้อมอำนวยความสะดวกในการใช้งานให้กับ รพ.สนามทุกแห่ง ที่แจ้งความประสงค์เข้ามาที่ NT

โดยนับตั้งแต่สถานการณ์ระบาดโควิดรอบล่าสุด เริ่มแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น NT ได้เข้าไปสนับสนุนภารกิจของบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งในส่วนของรถพยาบาลเคลื่อนที่และหน่วยคัดกรองผู้ป่วย รพ.สนาม รวมถึงสถานกักกันโรคแห่งรัฐ (SQ) สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ดำเนินการไปแล้วในหลายจังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ น่าน พิษณุโลก ประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น

และล่าสุดระหว่างวันที่ 17 -18 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้เข้าไปช่วยติดตั้งและประสานงานอีกหลายจังหวัด ได้แก่ 1. รพ. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย รองรับประมาณ 200 เตียง 2. รพ.สนาม มรภ.ราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา ประมาณ 250 เตียง 3. รพ.สนาม มรภ.ร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด ประมาณ 200 - 250 เตียง 4. รพ.สนาม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ รองรับ 200 เตียง 5. รพ.มหาวิทยาลัยพะเยา รองรับวอร์ดคนไข้ชั้น 2 และโถงทางเดิน 6. รพ.สมุทรปราการ มรภ.ธนบุรี สมุทรปราการ ทำ รพ. สนาม กับ Hospitel 7. รพ.ผู้สูงอายุบางขุนเทียน ขยายเตียงเพิ่ม 500 เตียง 8. รพ.สนามเอราวัณ 1 บางบอน ของ กทม. 9. รพ.สนาม ของ รพ. กลาง 10. รพ.สนาม ของ รพ. วชิรพยาบาล และ 11. รพ.สนาม จ.ขอนแก่น ตั้งที่ อบจ. ขอนแก่น

ทั้งนี้ หน่วยงานสาธารณสุข และ รพ.สนาม ที่มีความต้องการให้ NT เข้าไปสนับสนุนการติดตั้งระบบสื่อสารอินเทอร์เน็ต และ CCTV ในภารกิจป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ บมจ. โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) โทร. 02-5001111
“ภารกิจดังกล่าว เป็นงานหนึ่งที่กระทรวงดิจิทัลฯ สนับสนุนได้ อีกทั้งยังจะช่วยประสานงานกับผู้ให้บริการมือถือและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต เข้ามาช่วยติดตั้ง Wi-Fi ที่ รพ.สนามให้อีกด้วย ท้ายสุดนี้กระทรวงฯ และหน่วยงานในสังกัด รวมถึง NT ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ และผู้ป่วย ผ่านพ้นวิกฤตนี้โดยเร็ว” นายชัยวุฒิกล่าว

ทำใจทุเรียนปีนี้แพงแน่ คาดราคาพุ่งกก.140 บาท

นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยแนวโน้มราคาทุเรียนในปีนี้ ว่า จะมีราคาที่ปรับสูงขึ้น โดยประเมินราคาไว้ที่กก.ละ 130 - 140 บาท ส่งผลให้คนไทยอาจได้กินทุเรียนแพงกว่าปีที่แล้ว เพราะปีนี้กำลังซื้อจากจีนเพิ่มมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวหลังจากโควิด และความต้องการบริโภคทุเรียนในประเทศยังมีต่อเนื่อง แต่ผลผลิตในประเทศมีไม่เพียงพอความต้องการ เนื่องจากเกิดพายุฝนนอกฤดูกาลทำให้ทุเรียนอ่อนพลัดหล่นจากต้นเสียหายจำนวนมาก

ทั้งนี้ประเมินว่า ในปีนี้ ผลผลิตทุเรียนจะมีถึง 1.28 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 15.44% จากปีก่อน หลังจากเกษตรกรหันมาปลูกทุเรียนแทนพืชชนิดอื่น ทั้ง ลองกอง เงาะ และยางพารา เนื่องจากราคาทุเรียนช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ประกอบกับปีนี้มีสภาพอากาศเอื้ออำนวยและปริมาณน้ำเพียงพอต่อการผลิต แต่ก็พบว่าผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้ราคาทุเรียนปีนี้จะเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 9.23% โดยมีราคา กก. 100 - 140 บาท หรือเฉลี่ย กก.ละ 120 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่เพิ่มต่อเนื่อง 6 ปีติดต่อกัน เมื่อเทียบกับปี 58 ที่ราคาเพียง กก. 50 บาท

สำหรับความต้องการบริโภคทุเรียนสดและผลิตภัณฑ์ทุเรียนภายในประเทศปีนี้จะมี 513,437 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17.89% เช่นเดียวกับการส่งออกมีปริมาณ 761,659 ตัน เพิ่มขึ้น 11.64% อย่างไรก็ตาม ยอดการส่งออกยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยทำได้เพียง 30% ของความต้องการตลาด และยังสามารถเติบโตได้อีกถึง 70% ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่เกษตรกรจะเพาะปลูกทุเรียนกันเพิ่ม

ทบ.เข้าช่วยเหลือ ปชช. บริจาคโลหิต 13 ล้านมิลลิลิตร พร้อมแจกน้ำ 4.1 ล้านลิตร /ซ่อมสร้างบ้านผู้ยากไร้ 277 ใน มี.ค. กำลังชายแดนเข้มจับกุมเข้าเมืองผิดกฎหมาย 1,134 คน ลุยยึดยาบ้า 27 ล้านเม็ด, ไอซ์ 652 กก.

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกยังคงต่อเนื่องในการช่วยเหลือประชาชนในมิติต่าง ๆ ภายใต้สถานการณ์ โควิด-19 โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ผู้ด้อยโอกาส หรือในภาวะที่เกิดภัยพิบัติ  ทั้งนี้ ในปัจจุบัน หน่วยทหารได้เข้าดูแลประชาชนในหลายด้าน ได้แก่ การบริจาคโลหิตภายใต้โครงการ “บริจาคโลหิตจิตอาสาเพื่อชาติ”  เพื่อเป็นการช่วยสำรองโลหิตไว้ให้เพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วย เนื่องจากโลหิตสำรองของสภากาชาดไทยมีปริมาณลดลงจากผลกระทบของสถานการณ์ COVID-19 โดยกำลังพลจิตอาสา ครอบครัว และประชาชน ได้ร่วมบริจาคโลหิต เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมดูแลและช่วยเหลือสังคม มาตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค. จนถึงปัจจุบัน ได้ปริมาณโลหิตรวม 12,922,690 มิลลิลิตร และมีกำลังพลจิตอาสาร่วมบริจาคแล้ว 33,268 นาย  ทั้งนี้ กองทัพบกจะดำรงความต่อเนื่องในการร่วมบริจาคโลหิตให้กับสถานพยาบาล เพื่อให้มีปริมาณโลหิตสำรองที่เพียงพอต่อความต้องการ

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ในปัจจุบันหลายพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง และประชาชนได้รับความเดือนร้อนในการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ กองทัพบกจึงได้บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายภายใต้โครงการ “ราษฎร์ รัฐ ร่วมใจ ช่วยภัยแล้ง” ดำเนินการแจกจ่ายน้ำสำหรับการอุปโภค บริโภคให้กับประชาชนที่ประสบภัยแล้งตามพื้นที่ต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 63 จนถึงปัจจุบัน ได้แจกจ่ายน้ำรวมทั้งสิ้น 4,130,000 ลิตร ในพื้นที่ 34 จังหวัด และกองทัพบกยังคงเดินหน้าช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง โดยเฉพาะพื้นที่ถิ่นทุรกันดารที่ยากต่อการเข้าถึง ในลักษณะการเติมน้ำในที่เก็บน้ำชุมชน ทั้งนี้ หากได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้งสามารถติดต่อได้ที่หน่วยทหารใกล้บ้านท่าน หรือติดต่อศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพบก โทรศัพท์ 02-297-7648

สำหรับการซ่อมแซมบ้านเรือนให้กับประชาชนตามที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งที่เป็นผู้ยากไร้ไม่มีที่อยู่อาศัย และผู้ประสบวาตภัยในพื้นที่ต่าง ๆ โดยใช้ทหารชุดช่างของกองทัพบกเข้าดำเนินการนั้น สำหรับส่วนแรก ได้ดำเนินการโครงการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้กับผู้ยากไร้และด้อยโอกาส ภายใต้โครงการจิตอาสาพระราชทาน “เราทำความดีด้วยหัวใจ” มาตั้งแต่ ปี 2561 และได้รับการสนับสนุนวัสดุก่อสร้างจากภาคเอกชน ล่าสุด กองทัพบกได้ส่งมอบบ้านให้ประชาชนผู้ยากไร้ตามชุมชนต่าง ๆ แล้ว 277 หลัง รอส่งมอบอีก 10 หลัง และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก  81 หลัง รวมถึงการสร้างสวนหย่อม 27 แห่ง เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชน เพื่อให้ประชาชนมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น อันจะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนในพื้นที่

นอกจากนี้ จากการที่เกิดพายุฤดูร้อนในช่วงเดือน เมษายน 64 ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ กองทัพบกได้เข้าช่วยซ่อมแซมบ้านเรือนให้กับผู้ประสบวาตภัย ใน 6 จังหวัด ได้แก่  จ.อุบลราชธานี, นครพนม, อุดรธานี, ศรีสะเกษ, พิษณุโลก และ เชียงราย  โดยดำเนินการซ่อมแซมบ้านแล้ว จำนวน 1,750 หลัง และอยู่ระหว่างดำเนินการจำนวน 277 หลัง เพื่อให้สามารถกลับมาดำรงชีวิตได้ตามปกติต่อไป

สำหรับการทำงานในพื้นที่ชายแดน กองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก ยังคงเข้มมาตรการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ COVID-19 รวมถึงการสกัดกั้นยาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย และการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและไม่ผ่านการคัดกรอง โดยในห้วงเดือนมี.ค. 64 ที่ผ่านมา สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย 218 ครั้ง  จับกุมผู้กระทำผิด 1,134 คน (ไทย 202 คน, กัมพูชา 36 คน, เมียนมา 803 คน, ลาว 45 คน, เวียดนาม 10 คน,จีน 37 คน, มาเลเซีย 1 คน และผู้นำพาชาวไทย 37 คน)

นอกจากนี้กองกำลังชายแดนได้ตรวจพบการกระทำผิด พ.ร.บ.ยาเสพติด 125 ครั้ง จับกุมผู้กระทำผิดได้ 127 คน ยึดได้ของกลาง ยาบ้า 27,345,325 เม็ด , ไอซ์ 652 กก. , กัญชา 2,457.23 กก. , พืชกระท่อม 1,415 กก., ฝิ่น 7.54 กรัม, เฮโรอีน 60.8 กก.และ เคตามีน 6.5 กก.  โดยมีผลการปฏิบัติที่สำคัญ ได้แก่ กองกำลังสุรสีห์ ลาดตระเวนตรวจยึด ไอซ์ 50 กก. ที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 64 และ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกบูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดยาเสพติดในพื้นที่ อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่ สามารถยึดยาบ้า 932,000 เม็ด และไอซ์ จำนวน 52 กิโลกรัม เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 64

กรมเจ้าท่า ประกาศมาตรการคุมเข้มลดจำนวนการเดินเรือเข้าพื้นที่เสี่ยงในเขตควบคุมสูงสุด 18 จังหวัด และลดให้บริการช่วงเวลา 23.00-04.00 น. ตั้งแต่ 18 เม.ย. 2564 เป็นต้นไป

นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) เปิดเผยหลังลงนามในประกาศกรมเจ้าท่าที่ 75/2564 เรื่อง การปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2564 และต่อมาได้มีการขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไปเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2564 และข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 20) ได้กำหนดให้ส่วนราชการปฏิบัติตามมาตรการเพื่อยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่อย่างเร่งด่วน

กรมเจ้าท่าได้ออกประกาศกำหนดแนวทางในการเดินทางเข้าประเทศไทยสำหรับเจ้าของเรือ ผู้ครอบครองเรือ ผู้ประกอบการเดินเรือ ผู้ประกอบการท่าเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสาร เพื่อปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ดังนี้

1.) ประกาศของกรมเจ้าท่าฉบับใดที่เกี่ยวกับมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ขัดหรือแย้งกับประกาศฉบับนี้ให้ใช้ประกาศนี้บังคับ

2.) มาตรการสำหรับผู้ประกอบการเดินเรือ เจ้าของเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ

(1.) พิจารณาปรับลดจำนวนเที่ยวการเดินเรือตามความจำเป็นให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ ในการให้บริการผู้โดยสารระหว่างจังหวัดในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 20) ลงวันที่ 16 เมษายน 2564

(2.) ควบคุมดูแลให้ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสาร ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A โดยเว้นระยะห่างและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้อื่น (D-Distancing) สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย (M-Mask wearing)

(3.) ตั้งจุดบริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือให้เพียงพอและทั่วถึง พร้อมควบคุมดูแลผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสารต้องทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์หรือล้างมือบ่อยๆ (H-Hand washing)

(4.) จัดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย (T-Temperature) และตรวจหาเชื้อ (T-Testing) แอปพลิเคชันไทยชนะ และหมอชนะ (A-Application) แก่ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสาร ก่อนลงเรือโดยสาร

(5.) ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือ และผู้โดยสารต้องปฏิบัติตามประกาศกรมเจ้าท่าที่ 8/2564 เรื่องกำหนดให้ผู้ประกอบการเรือ ผู้ประกอบการท่าเรือ เจ้าของเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ และผู้โดยสารปฏิบัติ กรณีมีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ลงวันที่ 11 มกราคม พ.ศ.2564 ที่ไม่ได้กำหนดไว้ในประกาศนี้อย่างเคร่งครัด

3.) มาตรการสำหรับผู้ประกอบการท่าเรือ

(1.) ขอความร่วมมือให้ประชาชนงดหรือชะลอการเดินทางในช่วงนี้โดยไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงเสี่ยงเดินทางเข้าไปในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด 18 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น ชลบุรี เชียงใหม่ ตาก นครปฐม นครราชสีมา นนทบุรี ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ภูเก็ต ระยอง สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สระแก้ว สุพรรณบุรี และอุดรธานี

(2.) ดำเนินการตรวจสอบและกำกับดูแลผู้โดยสารให้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขและมาตรการอื่นๆ

4.) มาตรการสำหรับผู้โดยสาร

(1.) ขอความร่วมมือประชาชนงดหรือชะลอการเดินทางทางน้ำหรือโดยสารระบบขนส่งสาธารณะทางน้ำในช่วงเวลานี้ และหลีกเลี่ยงไปในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด

(2.) ขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขและมาตรการอื่น ๆ

5.) ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองเรือ ผู้ประกอบการเดินเรือ ผู้ประกอบการท่าเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือ คนประจำเรือและผู้โดยสาร ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่จังหวัดหรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดของแต่ละจังหวัดกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

6.) ขอให้ผู้ประกอบการเรือโดยสาร เจ้าของเรือ นายเรือ ผู้ควบคุมเรือที่ให้บริการในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และในเขตอำเภอเมืองในจังหวัดและส่วนภูมิภาค พิจารณาปรับลดการให้บริการในช่วงเวลาตั้งแต่ 23.00-04.00 น.

ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2564 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระลอกใหม่จะคลี่คลายลง หรือมีประกาศเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

“บิ๊กป้อม” มาแล้ว ขอเป็นกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ สู้โควิด-19 ดูแลปชช.ทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และในฐานะห้วหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ขอร่วมเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร พลเรือน และเจ้าหน้าที่ทุกคนซึ่งเป็นด่านหน้าช่วยเหลือประชาชน
ที่ร่วมมือปฎิบัติหน้าที่ดูแลและเฝ้าระวังเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในทุกพื้นที่ของประเทศอย่างเข้มแข็ง แม้จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสก็ตาม

เชื่อว่าด้วยความเข้มแข็งในการปฎิบัติหน้าที่ของทุกฝ่ายมั่นใจว่าจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ไปได้ ประชาชนทุกคน ถือเป็นส่วนสำคัญที่สามารถสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และให้ประเทศไทยสามารถรอดพ้นจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ไปได้โดยการปฎิบัติตนตามคำแนะนำทางการแพทย์ไม่ว่าจะเป็น เว้นระยะห่างทางสังคม งดกิจกรรมการรวมตัวกัน ล้างมือบ่อย ๆ การใส่หน้ากากทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ลดการเดินทาง เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อและการแพร่ระบาดไปสู่บุคคลอื่น ๆ

รัฐบาลมีเป้าหมายที่ชัดเจน ในการสนับสนุนบุคคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่เข้าไปช่วยเหลือประชาชนทั้งเป็นผู้ป่วยที่แสดงอาการและไม่แสดงอาการ ให้สามารถเข้าสู่ระบบการรักษาสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง ทั้งการจัดหาเตียงรักษาผู้ป่วยให้เพียงพอ รวมทั้งการจัดโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศที่พร้อมให้บริการผู้ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตามรัฐบาลยังมีแผนเร่งการนำเข้าวัคซีน และเร่งผลิตวัคซีนในประเทศ เพื่อดำเนินการฉีดป้องกันให้กับประชาชนให้ได้ตามแผนทางการแพทย์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ตามมาตรฐานสาธารณสุขสากล ซึ่งจะนำไปสู่การเปิดประเทศได้อย่างเป็นทางการได้อย่างรวดเร็วที่สุด

พีค of the week EP.15

เงียบเหงาวันสงกรานต์กันอีกปี เหตุเพราะมีการระบาดซ้ำซ้อนขึ้นอีกครั้ง ไม่ต้องโทษใคร มาช่วยควบคุมแก้ไขกันให้ผ่านพ้นไปจะดีกว่า พร้อมกับปลุกจิตสำนึกร่วมกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ ไม่อย่างนั้น ไม่ใช่แค่ประเทศเสียหาย แต่เรา ๆ ท่าน ๆ ได้เสียหายกันทั้งประเทศแน่นอน

สงกรานต์เหงาหงอยก็จริง แต่การข่าว ‘เรื่องโรคระบาด’ มาแรงและเป็นที่สนใจทั้งสัปดาห์ ทั้งการแถลงการณ์จากนายกฯ หรือเหล่าคนดังที่ติดเชื้อรายวัน รวมไปถึงการฉีดวัคซีนของส.ส. พรรคก้าวไกล ที่ถูกแซวไม่น้อยว่า นอกจากก้าวไกลแล้ว ยังก้าวไว และก้าวก่อนเสียด้วย ข่าวสารทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ใน พีค of the week ep.15 นี้แล้ว ตามไปดู! Let’s go! go!

.

.

พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 64 ถึงการแถลงข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการรับมือสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19

เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2564 นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว "Oak Panthongtae Shinawatra" ระบุว่า ลุงบอกจะแถลงข่าว... คนทั้งประเทศก็รอฟัง นึกว่าจะนำเสนอทางรอด จาก #Covid19

ลุงพูดไปบ่นไป ฟังก็ไม่รู้เรื่อง วัคซีนก็ไม่มา สาระก็ไม่มี ลุงนำพาประเทศฝ่าโควิด เหมือนตาบอดคลำทาง ไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์

ประเทศไทย อยากมีบัณฑิต ทำได้ง่ายนิดเดียว ลุงก็ลุกจากเก้าอี้สิครับ ลาออกไปซะ จะได้มีบัณฑิต มาบริหารประเทศบ้าง

#ผนงรจตกม คำ ๆ นี้ ใกล้จะเป็นความจริง ขึ้นมาทุกทีแล้วครับ


ที่มา : https://www.facebook.com/oakpanthongtae/posts/307193384109060

กลายเป็นกระแสร้อนแรงในเกาหลีใต้ เมื่อบริษัท Namyang Dairy Products หนึ่งในบริษัทผู้ผลิตนมที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้ได้เปิดตัวโยเกิร์ตรุ่นใหม่ Bulgaris ออกวางตลาด โดยเคลมว่าโยเกิร์ตรุ่นนี้มีสรรพคุณต้านไวรัส Covid-19 ได้ผลดีถึง 77.8%

มีการอ้างผลการทดลองจากห้องแล็บ โดย ปาร์ค จุง-ซู หัวหน้าศูนย์วิจัยผลิตภัณฑ์ของบริษัท Namyang ยืนยันว่า Bulgaris เป็นโยเกิร์ตโปรไบโอติคส์ที่คิดค้นขึ้นจากทีมวิจัยของบริษัท และมีการทดสอบพบว่าจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย สามารถยับยั้งโอกาสการติดเชื้อไขหวัดใหญ่ H1N1 ได้ถึง 99.999% และเชื้อ Covid-19 ได้ถึง 77.8% เจ๋งกว่าวัคซีน Covid-19 บางตัวที่กำลังฉีดอยู่ตอนนี้เสียอีก

พอเคลมแรงด้วยผลการวิจัยของบริษัทเช่นนี้ ก็ทำให้โยเกิร์ตรุ่น Bulgaris ของ Namyang ฮิตเปรี้ยงทันทีที่วางจำหน่าย ชาวเกาหลีใต้รีบมากว้านซื้อหมดเกลี้ยงทุกชั้นวางในซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้ออย่างรวดเร็ว จนบางแห่งต้องจำกัดปริมาณการซื้อต่อคนกันเลยทีเดียว

และส่งผลให้หุ้นของบริษัท Namyang พุ่งแรงตลอดสัปดาห์ตามกระแสฮือฮาของสินค้าใหม่ ที่มากับคำวิจารณ์มากมายว่าโยเกิร์ตจะสามารถป้องกัน Covid-19 ได้จริงอย่างที่กล่าวอ้างหรือไม่

แล้วในที่สุดองค์การควบคุมโรคแห่งเกาหลีใต้ และเจ้าหน้าที่ด้านอาหาร และยา กระทรวงสาธารณสุข (อย.เกาหลี) ก็ออกมาแถลงข่าว เอาผิดบริษัท Namyang ในการอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงในผลิตภัณฑ์อาหาร ว่ามีคุณสมบัติคล้ายยา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ และเป็นเพียงการเสนอผลการวิจัยเพื่อการตลาด ที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด

นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในเกาหลีใต้ได้ออกมาหักล้างคำกล่าวอ้างของทีมวิจัยของ Namyang ว่า เป็นเพียงการทดลองจากการนำผลิตภัณฑ์ไปใช้กับตัวเชื้อไวรัสตรง ๆ โดยไม่ได้มีการทดลองกับกลุ่มทดลองที่เป็นมนุษย์

และมีการเปิดเผยการทดลองที่ทีมวิจัย Namyang กล่าวอ้างว่า เป็นการทดลองด้วยการเทโยเกิร์ต Bulgaris ลงบนเซลส์จากปอดของลิง ที่ทำขึ้นที่ห้องแล็บของคณะสัตวแพทย์ของมหาวิทยาลัย Chungnam National University ที่บริษัท Namyang เป็นผู้ให้ทุนสนับสนุน และพบว่ากรดจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตสามารถทำลายเชื้อไวรัสได้

โดยผู้เชี่ยวชาญได้อธิบายว่า ในโลกนี้มีงานวิจัยของบริษัทยาเป็นจำนวนมากที่ทดลองยากับเชื้อไวรัสโดยตรงแบบนี้ และได้ผลดี แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อนำตัวยามาใช้โดยผ่านร่างกายมนุษย์ จะสามารถต้านทานไวรัสได้อย่างในห้องทดลอง และไม่สามารถสรุปสรรพคุณของยาด้วยลักษณะนี้หากยังไม่เคยทำการทดลองกับคนจริงๆ

นั่นคือมุมมองของนักวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับส่วนหน่วยงานด้านอาหารและยาของรัฐบาลเกาหลีใต้ ก็มีความเห็นในอีกแง่มุมหนึ่งว่าการที่ Namyang ออกสินค้าที่เป็นอาหาร แต่ทำแผนการตลาด และโฆษณาว่ามีสรรพคุณเหมือนยานั้นผิดกฏหมาย เพราะอาหารไม่ใช่ยา เบื้องต้นจึงออกคำสั่งห้ามจำหน่าย โยเกิร์ตรุ่น Bulgaris ชั่วคราว และต้องนำสินค้าออกจากชั้นวางทุกแห่งทันที

แต่นั่นยังไม่จบ เพราะบริษัท Namyang อาจโดนข้อหาหนักอีกกระทงจากการทำผลิตกฏหมายโฆษณามาตรา 8 ของเกาหลีใต้ ด้วยการจัดงานสัมนาวิชาการที่มีเป้าหมายในเชิงธุรกิจพาณิชย์ และเคลมอวดอ้างสรรพคุณของ ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Bulgaris ที่มีถึง 8 ประเภท แต่ใช้ผลลัพธ์จากการทดลองผลิตภัณฑ์เพียงแค่ 1 ประเภทเท่านั้น ก็อาจเข้าข่ายผิดกฏหมายที่จะทำให้บริษัทต้องยุติกิจการชั่วคราวนาน 2 เดือน และทีมงานผู้รับผิดชอบอาจมีโทษปรับสูงถึง 100 ล้านวอน หรือ จำคุกนานถึง 10 ปี อีกด้วย

และเมื่อมีข่าวเช่นนี้ออกมา ก็ทำให้หุ้น Namyang ที่เคยรุ่ง ก็ร่วงกราวรูด และกลายเป็นอุทธาหรณ์สำหรับคนทำธุรกิจว่า อย่าใจเร็วด่วนได้ เห็นเพียงแค่กระแส และยอดขาย จะโฆษณาอย่างไรก็ได้


อ้างอิง:

https://m.mk.co.kr/news/english/view/2021/04/367550/

http://m.koreaherald.com/view.php?ud=20210414001025

https://koreajoongangdaily.joins.com/2021/04/15/business/industry/namyang-dairy-covid19/20210415181200286.html

https://m.pulsenews.co.kr/view.php?year=2021&no=363354

‘เจ้าสัวซีพี’ ทุ่ม 200 ล้าน มอบน้ำดื่ม-อาหาร-อุปกรณ์แพทย์ ให้ใช้เน็ตทรูฟรี หนุน รพ.สนามรักษาโควิด ฝากนายกฯ ต้องช่วยเอกชนนำเข้าวัคซีนแบ่งเบาภาระรัฐ

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวผ่านระบบทรู วีรูม ถึงแนวทางให้การสนับสนุนวงการแพทย์ในการดูแลและป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสวิด-19 ว่า การกลับมาระบาดของโควิดรอบ 3 ในประเทศ พบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งอย่างรุนแรงกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับรอบก่อน ๆ จึงเป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายต้องช่วยเหลือกัน ในทางการแพทย์ ถือว่าประเทศไทยสามารถทำได้ดีที่สุด ทั้งในด้านโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ที่มีความเสียสละเพื่อประชาชน

ดังนั้น เพื่อให้การติดเชื้อโควิดรายใหม่ มีจำนวนน้อยที่สุด ก็อยากให้ทุกคนร่วมมือกัน โดยในส่วนของเครือซีพี ที่เรามีความสามารถในเรื่องของการผลิตอาหาร ก็จะให้การสนับสนุน ทีมบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยในโรงพยาบาล ที่ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งไม่ได้มีการเตรียมพร้อมในเรื่องอาหารและน้ำไว้รองรับ แต่ต้องใช้เวลาในการกักตัวดูอาการกว่า 10 วัน จึงจัดตั้งงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท ในการสนับสนุนด้านน้ำดื่ม อาหาร และอุปกรณ์ที่จำเป็น ให้กับโรงพยาบาล

ทั้งนี้ ในจำนวนงบประมาณทั้ง 200 ล้านบาท จะให้การสนับสนุนโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มูลค่า 50 ล้านบาท รวมถึงโรงพยาบาลอื่นๆ ต่อไป อาทิ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า โรงพยาบาลรามาธิบดี และวิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก เรือ อากาศ เพื่อเป็นกำลังใจให้หมอและพยาบาล ที่สู้กับศัตรูที่ไม่มีตัวตน เนื่องจากหมอและพยาบาลสูงมาก มีความอันตรายถึงชีวิต แต่ไม่ย่อท้อในการทำงาน โดยมองว่าการทำงานของหมอและพยาบาลดีอยู่แล้ว รวมถึงรัฐบาลที่มีความกระตือรือร้นในการควบคุมการระบาดโควิด-19 แต่อาจยังไม่เพียงพอ เครือซีพีจึงต้องการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือครั้งนี้ ในการช่วยออกแรงคืนประโยชน์สู่สังคม

“ฝากถึงรัฐบาลให้การส่งเสริมและสนับสนุนเอกชนนำเข้าวัคซีนต้านโควิด อย่างน้อยก็เพื่อให้แต่ละบริษัทสามารถนำวัคซีนเข้ามาดูแลพนักงาน หรือลูกค้าของตัวเองได้ ซึ่งจะเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณของรัฐบาลอีกทางหนึ่ง โดยอยากฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยตรง” นายธนินท์กล่าว

นายธนินท์กล่าวว่า หากรัฐบาลจะมีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ จะสร้างความเสียหายให้กับภาคธุรกิจในมูลค่าที่สูง ดังนั้นควรใช้วิธีการร่วมมือเพื่อสกัดการแพร่ระบาดไวรัส ขณะที่ธุรกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้ เนื่องจากมองว่า ไม่ว่าจะเป็นคนตัวใหญ่หรือตัวเล็กก็ต้องช่วยกัน อาทิ คนตัวเล็กแบบประชาชน ก็ต้องป้องกันตัวเอง ใส่หน้ากากอนามัย พยายามไม่ออกจากบ้าน ส่วนตัวใหญ่อย่างบริษัท ก็ต้องช่วยเหลือตัวเองและพนักงานให้ปลอดภัยด้วย นอกจากนี้ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด จะสนับสนุนสัญญาณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ใช้ในโรงพยาบาลสนาม ที่สามารถใช้ได้ฟรี เพื่อให้ผู้กักตัวที่ติดเชื้อโควิด สามารถทำงานได้ ซึ่งถือเป็นการใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทั้งการติดต่อกับที่บ้าน รวมถึงการสื่อสารระหว่างกันของแพทย์และพยาบาลด้วย

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าในเทศกาลตะจ่านหรือสงกรานต์ในเมียนมาปีนี้ ไม่ได้มีการจัดและฝั่งกองทัพก็ไม่ได้จัดทำเวทีขึ้นในแต่ละเมืองเหมือนที่เคยทำมาในครั้งก่อนที่จะเกิดวิกฤตโควิด-19 ระบาด

ในขณะที่ฝั่งผู้เรียกร้องประชาธิปไตยก็รณรงค์ว่าช่วงวันหยุดสงกรานต์ครั้งนี้ให้งดการเล่นน้ำเพื่อเป็นการไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต โดยบางกระแสถึงขั้นพูดว่าหากใครเล่นน้ำหรือครอบครัวไหนเล่นน้ำ ครอบครัวนั้นเข้าข้างกองทัพ เดือดร้อนเอาผู้ปกครองที่มีเด็กเล็กๆ ที่ต้องหาเหตุผลอีกทีว่าทำไมปีนี้พวกเขาถึงเล่นน้ำไม่ได้

แต่ในขณะเดียวกัน ณ บรรยากาศบริเวณชายหาดอิรวดีไม่ว่าจะเป็นชายหาดงุยเซา หรือ ชายหาดชองตา ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวจนการจราจรติดขัด หาดเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่หลั่งไหลมาเที่ยวจากทุกสารทิศ สวนกระแสกับสงกรานต์เงียบจนมีคนออกมาบอกว่าก็ไม่เล่นน้ำแล้วไง Beach Strike แทน

 

บรรยายกาศที่ชายหาดงุยเซาในช่วงเทศกาลตะจ่านที่ผ่านมา

 

เส้นทางการจราจรในบริเวณชายหาดงุยเซาคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจนจราจรติดขัด

 

ในเทศกาลตะจ่านหรือสงกรานต์ในเมียนมาทุกปีนั้น ถ้าหากตัดงานกิจกรรมการเล่นน้ำออกไปแล้วละก็ ในอดีตย่างกุ้งหรือเมืองใหญ่ๆ หลายเมืองก็แทบเป็นเมืองร้าง เพราะห้างร้านเกือบ 100% จะปิดบริการหมด เนื่องจากพนักงานในร้านกลับบ้านต่างจังหวัดก็ดี หรือเจ้าของร้านเดินทางกลับต่างจังหวัดที่เป็นบ้านเกิดภูมิลำเนาของตนเองก็ดี

ซึ่งการเปิดบริการของร้านค้าจะเริ่มมีมากขึ้นในช่วงวันหยุดหลังรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีได้เข้ามาบริหารประเทศ แล้วปรับเปลี่ยนวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์จากในอดีตที่เคยกำหนดให้หยุด 10 วัน แต่ตอนหลังให้เหลือเพียง 7 วัน แล้วนำวันที่เหลือไปหยุดชดเชยในวันหยุดอื่น ๆ แทน

ในอดีตในเมียนมาไม่มีวันหยุดสากลอย่างวันที่ 31 ธันวาคมเป็นวันหยุดวันสิ้นปีและวันที่ 1 มกราคมเป็นวันหยุดวันขึ้นปีใหม่

ดังนั้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์รัฐบาลเมียนมาในอดีตจะกำหนดให้วันที่ 11 - 16 เมษายนเป็นวันหยุดในเทศกาลสงกรานต์ หรือ ตะจ่าน และวันที่ 17 - 20 เมษายน เป็นวันหยุดวันขึ้นปีใหม่ รวม 10 วัน เพื่อให้คนเมียนมาที่ทำงานไกล จากบ้านเกิดมีโอกาสได้เดินทางกลับไปยังบ้านเกิดเพื่ออยู่สังสรรค์กับครอบครัว เช่น คนที่มีบ้านเกิดในรัฐคะฉิ่น แต่มาทำงานที่ทวาย จะต้องเดินทางโดยรถบัสประมาณเกือบ 30 ชั่วโมงบนเส้นทางมากกว่า 1,600 กิโลเมตร แต่มาเปลี่ยนแปลงโดยเริ่มมีวันหยุดวันปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคม เมื่อปี 2018 และเพิ่มวันหยุดวันสิ้นปีในวันที่ 31 มกราคม 2019 เมื่อเปรียบเทียบจำนวนวันหยุดราชการในอดีตของเมียนมาในยุคของรัฐบาลเต็งเส่งจะมีวันหยุด 23 วัน แต่ปัจจุบันมีการเพิ่มวันหยุดและวันหยุดชดเชยในกรณีที่หากวันหยุดนั้นตรงกับวันเสาร์หรืออาทิตย์เป็นจำนวนทั้งหมด 33 วันตามลำดับ


ที่มา: AYA IRRAWADEE


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top