Wednesday, 18 June 2025
TheStatesTimes

ธนาคารแห่งประเทศไทย เตรียมปล่อยกู้สินเชื่อซอฟต์โลน และโครงการพักหนี้ตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย.นี้

นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย.นี้เป็นต้นไป ธปท.จะเริ่มให้สถาบันการเงินมาขอเงินกู้ ตาม พ.ร.ก.ความช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดโควิด-19 ทั้ง มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู) และมาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้) วงเงินรวม 3.5 แสนล้านบาท เพื่อนำไปปล่อยกู้ภาคธุรกิจต่อ หลังจากได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.64

ล่าสุด ธปท. ได้ออกประกาศจำนวน 2 ฉบับ เพื่อกำหนดขอบเขตคุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจที่สามารถเข้าร่วมโครงการ หลักการ และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าว โดยกระทรวงการคลังและ ธปท. ได้เตรียมความพร้อมกับสถาบันการเงิน เพื่อให้สามารถกระจายเม็ดเงินไปสู่ลูกหนี้ได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ ขอให้สถาบันการเงินรับคำขอเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือจากลูกหนี้ได้ตั้งแต่ พ.ร.ก. ฟื้นฟูฯ มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ ลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ ธปท. และติดต่อสถาบันการเงินที่ใช้บริการได้ทันที


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม ""บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!"" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เดินหลง...ในดงโซเชียล​ By รัตนา & โกสินทร์

เปิดโซเชียลมาเห็นภาพ ท่านเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน อำเภอเกาะพะงัน ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ให้จัด 'โรงพยาบาลสนาม'​ แล้ว ได้แต่ปลงสังขาร 'อนิจจา วต สังขารา'​ สังขารทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง

นั่นก็เพราะวัดคงยังเป็นที่พึ่งพิงให้ประชาชนได้เสมอในทุกสถานการณ์ มองมุมหนึ่งก็รู้สึกสงบถึงขั้วหัวใจ อากาศแม้จะร้อนแต่ก็เย็นสบาย ยิ่งมีเสียงสวด “กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา” ให้ฟังยามนอนพักสังเกตุอาการ คงได้เจริญสติด้วยใจระทึกว่า ทำไมน้อ! ถึงติดเชื้อโควิดได้

ว่าแต่พอพูดถึงเรื่องการกักตัวในพื้นที่​ รพ.สนามแล้ว​ ก็ได้แต่ถอนหายใจ!

เพราะที่ไหน ๆ​ ก็จะระงมไปด้วยเสียงบ่นของผู้กักตัว

บางพื้นที่ ที่ไม่มีระบบปรับอากาศ​ ปล่อยให้ร้อน นอนไม่หลับ​ บ่นๆ​ๆ​ กันอยู่นั่น

เห็นภาพแล้วก็ละเหี่ยใจ ทำไมคุณ ๆ​ ดันไม่มองเห็นความลำบากของนักรบเสื้อกาวน์ ที่ต้องสวมชุด PPE มาดูแลคุณกันหน่อยล่ะฮึ?

อยากถามตรงนี้ ว่าใครลำบากมากกว่ากัน ยิ่งมาทราบว่า เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มาจากสถานบันเทิงด้วยแล้ว ใจอยากให้ย้ายไปกักตัวที่ 'ศาลาวัด'​ พร้อมเสียง​ “กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา” ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้มีสำนึกรับผิดชอบตัวเองกันมากขึ้น

แล้วนี่น่ะ​ ล่าสุด หนู ๆ​ น้อง ๆ บ่นกันเต็มโซเชียล ว่าทำไม รพ.สนาม ถึงไม่มีการกั้นฉากกั้นม่าน ให้เป็นสัดส่วน เชื้อไม่แพร่กันง่ายหรือไง? ทำไมไม่กั้นฉากกั้นห้องหอแบบในต่างประเทศ?

เอ้า!! ตั้งใจฟังนะเด็ก ๆ​ ภาพ รพ.สนามจากต่างประเทศ เป็นการตั้ง รพ.สนาม เพื่อดูแลผู้ป่วยที่มีอาการหนัก การกั้นฉากติดม่าน เค้าใช้บังสายตาไม่ให้เห็นการรักษาผู้ป่วยที่อยู่เตียงข้าง ๆ จะได้มีความเป็นส่วนตัวและลดความเครียด ต่างจาก รพ.สนาม ในบ้านเรา ที่ออกแบบใช้งาน สำหรับกักตัว สังเกตอาการ ถ้ามีอาการก็ส่งตัว แยกส่วนเข้า รพ. ดูแล

อีกอย่างหนึ่ง คุณหมอก็เคยบอกแล้วว่า การกั้นม่าน จะเพิ่มความแออัดทำให้ การไหลเวียนของอากาศไม่สะดวก เพิ่มการสะสมของเชื้อในอากาศ ทางที่ดีนอนบนเตียง​ อย่าไปรวมกลุ่มเล่นไพ่กันสนุกสนาน (อย่างที่มีภาพหลุด) หรือถ้าไม่มีอาการเลย ก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตามที่เค้าอนุญาต เหมือนน้อง ๆ ที่ รพ.สนามเชียงใหม่เค้าช่วยกันประกอบเตียงสนามที่ทำจากกระดาษ สำหรับรองรับผู้ที่ต้องกักตัวรายใหม่กันดีกว่า

เข้าใจป่ะ!!

ขอบ่นเรื่อง รพ.สนาม เท่านี้

ไถโซเชียลต่อ​ หลุดกรอบจอของศาลาวัด ก็มาสะดุดข่าวฝรั่งฝังตัวในไทย​ 35​ ปี 'เดวิด สเตร็คฟัสส์'​ นักวิชาการชาวอเมริกัน อดีต ผอ.โครงการ CIEE ขอนแก่น ผู้ดูแล 'The Isaan Record'​ ที่พึ่งถูกยกเลิกวีซ่าไป

ล่าสุดลือกันว่า เจ้าตัว เสนอขอทำงานให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น 'ฟรี'​ เพื่อหวังให้ ม.ขอนแก่น​ ออกหนังสือรับรองการว่าจ้างเพื่อยื่นขอต่อใบอนุญาตทำงาน​ (Work permit) สำหรับขอต่อวีซ่าอยู่ต่อในไทย

ตรงนี้คงขอจับตาดู ว่าจะมีมหาวิทยาลัยอื่นไหมที่สนใจว่าจ้าง นักวิชาการต่างชาติท่านนี้ เพื่อผลิตงานวิจัย​ 'ต่อต้าน ม.112'​ ตามที่เค้าชอบทำวิจัยศึกษาด้านนี้มาตลอด 35 ปี

ส่วนตัวแล้ว​ สงสัยคงต้องเร่งกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แกไปได้ดี​ 'นอกบ้านเรา'​ เหมือนเพื่อนนักวิจัย สุรชัย ณ เจแปน จะเป็นการดีที่สุด

ก่อนจะลาจาก​ เจออีกฟีดกระแทกตาในโซเชียล​ต่อเชื่อมกับ​ 'เจ้าพ่ออีสานเรคคอร์ด'​ นายนี้ เพราะดันมีข่าวหลุดแชทหลุด เรื่องลี้ ๆ​ หนี ๆ​ ไปยังต่างแดนของกลุ่มแกน​ 3​ นิ้ว​

โดยหนึ่งในนิ้วอย่าง​ น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด แกนนำกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย (Democracy Restoration Group - DRG) และกลุ่มคณะราษฎร 63​ ก็เร่งออกมาปฏิเสธว่า ทั้งหมดคือเฟกนิวส์ให้งงงวยกันเบา ๆ​ ว่า...

"ไม่ต้องลงทุนถึงขั้นสร้างแชตปลอมออกมาโจมตีกันแบบนี้ เพราะมันดูไร้สาระมาก และที่สำคัญ ไม่มีใครใช้แชตไลน์คุยกับสถานทูตนะคะ มันไม่ปลอดภัย"

...ใครคือทูตก็ไม่รู้ แล้วใครเป็นคนบอกว่าเป็นทูต

...คุยกับทูตไม่ปลอดภัยอันนี้ก็น่าสนใจ

...แต่เสียดายที่ไม่ยอมบอกต่อว่า ไม่ปลอดภัยจากอะไร เพราะอะไร

ซึ่งใครจะเชื่อไม่เชื่อ แต่เราอยากบอกว่า กลุ่มสามนิ้ว ทั้งลูกเด็กเล็กแดง ไปจนถึงนักวิชาการ ต่างออกมาแก้ข่าวกันอุตลุด ถึงขนาดจับผิดเรื่องภาษาอังกฤษกันแบบขำ ๆ แต่เหงื่อตกเนียน ๆ

แบบนี้มันน่าพิลึกอย่างไรไม่รู้นะจ๊ะ ทั้ง ๆ​ ที่ สาวสวยหลังม็อบ​ ออกมาระบุพิกัดเองเลยว่า ไม่เคยติดต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตผ่านทางไลน์

เอ!! ถ้าไม่มีฟืนไฟคงไม่มีควันให้เราเห็น ว่าไหม?

เราสอง รัตนา & โกสินทร์ อ่านด้วยสายตาฉงน...งงงวย​


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

'เทพไท'​ เสนอตัดงบสัมมนา-ดูงาน-ก่อสร้าง-ซื้ออาวุธ ในการจัดงบ​ 65 มาแก้ปัญหาโควิด ชี้ไม่ควรออก พรก.เงินกู้อีก เชื่อส.ส.ฝ่ายค้าน-รบ.หนุนแน่

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต​ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีที่สำนักงบประมาณ จะเสนอร่างพระราชบัญญัติ​ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เพื่อขอจัดทำเอกสารงบประมาณ ในวงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท นั้นว่าเป็นวงเงินงบประมาณที่จัดตั้งน้อยกว่า วงเงินงบประมาณ ปี​ 2564 ที่มีวงเงิน​ 3.3 ล้านล้านบาท

โดยการกู้งบประมาณขาดดุล 608,962.5 ล้านบาท ประมาณการรายได้ 2,677,000 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับวงเงินงบประมาณ ปี​ 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ประมาณการรายได้ 2.4 ล้านล้านบาท และการกู้งบประมาณขาดดุล 700,000 ล้านบาท ประมาณการรายได้จะน้อยกว่า แต่การกู้งบประมาณขาดดุลจะสูงกว่า ซึ่งจะเป็นภาระหนี้ของประเทศต่อไป

นายเทพไท กล่าวต่อว่า อยากจะเสนอให้ครม.มีความรอบคอบในการอนุมัติจัดทำงบประมาณประจำปี 2565 ของสำนักงบประมาณ ควรเตรียมแผนงานโครงการรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบ​ 3 หรืออาจจะมีรอบ​ 4 หรือรอบ​ 5 ตามมาก็ได้ ซึ่งไม่ต้องรื้อแผนงบประมาณในภายหลังอีก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง​ รัฐบาลควรปรับลดแผนการใช้เงินงบประมาณของทุกกระทรวง ทบวง กรม มาเป็นงบประมาณที่ใช้ในการแก้ปัญหาประเทศ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยตัดงบประมาณในส่วนต่าง ๆ เช่น

1.) งบการประชุมสัมมนา

2.) งบการศึกษาดูงาน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ

3.) งบประมาณการก่อสร้างโครงการใหม่ ยกเว้นโครงการที่มีงบผูกพัน

และ​ 4.) งบจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ และการก่อสร้างค่ายทหาร เพื่อให้รัฐบาลได้มีเม็ดเงินงบประมาณเพียงพอ ในการเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ช่วงโควิดกำลังระบาด และไม่ควรที่จะใช้พระราชกำหนด​ (พรก.) เงินกู้เพิ่มเติมอีกในอนาคต

“ผมเชื่อว่าถ้ารัฐบาลจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ตามความเหมาะสม และความจำเป็นของสถานการณ์บ้านเมือง ก็สามารถแถลงเหตุผลต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้เข้าใจ อย่างตรงไปตรงมา ก็จะได้รับการสนับสนุนจาก ส.ส. ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านอย่างแน่นอน” นายเทพไท กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แจ้งราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศระเบียบคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. 2564

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แจ้งว่า ขณะนี้ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศระเบียบคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ว่าด้วยมาตรฐานการประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของมัคคุเทศก์ ที่พึงปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พ.ศ.2564 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. 2564 เป็นต้นไป

สำหรับสาระสำคัญมาตรฐานนี้ กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่ให้บริการนำเที่ยวกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 63 ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนด คือ ให้บริการนำเที่ยวนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ผ่านมาตรการกักตัวตามระยะเวลาและในสถานที่ที่รัฐกำหนด และต้องได้รับการรับรองมาตรฐาน SHA และต้องมีระบบการควบคุมการเดินทางของนักท่องเที่ยวในระหว่างที่มีการให้บริการนำเที่ยว หรือแทรคกิ้ง ด้วย

ขณะเดียวกันยังกำหนดให้มีการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายนักท่องเที่ยวก่อนขึ้นรถ หากพบว่ามีอุณหภูมิร่างกายเท่ากับหรือมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ขึ้นไป หรือมีอาการไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก หรือเหนื่อยหอบ ให้รีบแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งต่อไปยังสถานพยาบาลทันที จัดบริการเจลแอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อให้กับนักท่องเที่ยวสำหรับพกติดตัวขณะท่องเที่ยว โดยอย่างน้อยให้มี 1 คน ต่อหนึ่งขวดหรือหนึ่งหลอด พร้อมมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาด สำหรับนักท่องเที่ยวให้เพียงพอตลอดรายการนำเที่ยว เช่น เจลล้างมือที่มีแอลกอฮอล์อย่างน้อย 70% ขึ้นไป หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย สบู่เหลวล้างมือ

รวมทั้งกำหนดให้มัคคุเทศก์สื่อสารกับนักท่องเที่ยวเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงการแพร่กระจายเชื้อขณะนำเที่ยว ส่วนมัคคุเทศก์ ผู้ช่วยมัคคุเทศก์ พนักงานขับรถและนักท่องเที่ยวทุกคนต้องสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยทุกครั้งขณะปฏิบัติหน้าที่หรือขณะท่องเที่ยว พร้อมทำความสะอาดและอาจฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อบนยานพาหนะนำเที่ยวทุกวัน และทุกครั้งหลังจากใช้บริการเสร็จสิ้น โดยเน้นจุดสัมผัสร่วม เช่น ราวบันได ที่พักแขน พนักพิง ราวจับ เบาะนั่ง หน้าต่าง ส่วนเครื่องดื่มหรืออาหารว่างสำหรับนักท่องเที่ยวต้องจัดเก็บอย่างเหมาะสมต้องมีถังขยะมีฝาปิดหรือถุงขยะสภาพดีสำหรับแยกทิ้งขยะที่เหมาะสมและเพียงพอ และมีการเก็บรวมขยะโดยมัดปากถุงให้มิดชิดเพื่อส่งไปกำจัดอย่างถูกต้อง


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘คลัง’ ขอครม.เพิ่มงบ ‘เราชนะ’ อีก 3 พันล้านบาท ช่วยผู้ใช้สิทธิไม่มีสมาร์ทโฟนและติดเตียง หลังพบจำนวนผู้ใช้สิทธิสูงเกินคาดจาก 31 ล้านคน เป็น 33 ล้านคน พร้อมขยายระยะเวลาโครงการออกไปอีก 1 เดือน

เมื่อวันที่ 20 เม.ย.2564 นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (20 เม.ย.) นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอของบประมาณจำนวน 3 พันล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการ เราชนะ เพิ่มเติม เนื่องจาก มีจำนวนผู้ใช้สิทธิเพิ่มจากที่คาดการณ์ไว้จากกว่า 31 ล้านคน เป็นราว 33 ล้านคน

นอกจากนี้ ยังเสนอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการเป็นสิ้นสุด มิ.ย. จาก พ.ค.นี้ เพื่อรองรับการใช้สิทธิของกลุ่มที่ได้รับสิทธิใหม่ โดยกลุ่มผู้ได้รับสิทธิใหม่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟนและป่วยติดเตียง

"เดิมเราคาดการณ์จำนวนผู้ใช้สิทธิเราชนะที่ประมาณ 31 ล้านคน แต่ขณะนี้ มีผู้ใช้สิทธิมากกว่านั้น เราคาดว่า จะเพิ่มเป็น 33 ล้านคน จึงเสนอคณะรัฐมนตรีเพิ่มวงเงินเพื่อรองรับการใช้จ่ายดังกล่าว"

สำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่นั้น กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ซึ่งจะดำเนินการหลังสิ้นสุดโครงการเราชนะแล้ว อาจจะเป็นโครงการที่เคยดำเนินการไปแล้วในระยะที่ผ่านมาและจะมีโครงการใหม่เพิ่มเติมด้วย


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รัฐบาลลาว เดินหน้าฉีดวัคซีนโควิดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายแล้ว 85% และคาดว่า อีก 22% ของประชากร จะได้ฉีดภายในปีนี้

รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กำลังดำเนินการตามแผนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยขณะนี้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว

รายงานระบุว่า รัฐบาลลาววางแผนที่จะฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนอย่างน้อย 150,000 รายในขั้นตอนแรกของโครงการ

หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ ไทมส์ รายงานโดยอ้างคำพูดของนายพอนปะเสิด อุ่นพม อธิบดีกรมอนามัยและส่งเสริมสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขลาว โดยระบุว่า 85% ของประชากรกลุ่มเป้าหมายในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องนั้น ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนแล้ว

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการเฉพาะกิจแห่งชาติเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 เปิดเผยข้อมูล ณ วันที่ 4 เม.ย. ว่า ลาวได้ฉีดวัคซีนโดสแรกให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงประมาณ 103,000 ราย ส่วนโดสที่ 2 จำนวน 6,171 ราย การฉีดวัคซีนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขกำลังเร่งดำเนินการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลลาวได้ขยายโครงการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น นอกเหนือจากผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข

นอกจากนี้ ข้าราชการและเจ้าหน้าที่จากกระทรวง, องค์กรเทียบเท่ากระทรวง, หน่วยงานท้องถิ่น, สถานทูตต่างประเทศ, องค์กรระหว่างประเทศ และครอบครัวตลอดจนธุรกิจบางประเภทที่มีความความเสี่ยง ได้ถูกผนวกรวมเข้ากลุ่มเป้าหมายภายใต้โครงการเพิ่มเติมด้วย

รายงานก่อนหน้านี้ ยังระบุว่า ประมาณ 22% ของจำนวนประชากรลาว หรือประมาณ 1.6 ล้านคน จะได้รับการฉีดวัคซีนในปี 2564

อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% ของจำนวนประชากร ภายในปี 2565 และจะมีผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไป

ที่มา : https://www.komchadluek.net/news/foreign/464176


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ชลบุรี - ตำรวจพัทยาติดโควิด 1 นาย กักตัว 10 นาย หลังตรวจเชิงรุก

รองผู้กำกับพัทยาฯ เผย มีตำรวจในสังกัด ติดโควิด 1 นาย ส่วนอีก 10 นาย เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง ต้องกักตัว แจงพี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนกยังเปิดให้บริการตามปกติ ภายใต้มาตรการควบคุมเชื้อไวรัสโควิด-19

วันที่ 19 เมษายน 2564ตามที่ เมื่อวันที่ 18 เม.ย.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทาง สภ.เมืองพัทยา นำโดย พ.ต.ท.สมพล นาคขำพันธุ์ รอง ผกก.ส.รรท.ผกก.สภ.เมืองพัทยา ได้ทำหนังสือชี้แจง กรณีข้าราชการตำรวจ สภ.เมืองพัทยา ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยได้รับผลตรวจยืนยันจาก โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา ซึ่งขณะนี้เป็นผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พร้อมสำรวจข้าราชการตำรวจที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่อาจจะได้รับเชื้อจากผู้ป่วย เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อ เบื้องต้นพบว่า มีผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยประมาณ 40 ราย โดยสั่งการให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงกักตัว และไปตรวจหาเชื้อไวรัส พร้อมเฝ้าดูอาการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด จากการสัมภาษณ์ พ.ต.ท.สุรเดช นามโยธา รอง ผกก.ป.สภ.เมืองพัทยา ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ โดยเปิดเผยว่า เบื้องต้นให้ข้าราชการตำรวจในสังกัดที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงจำนวน 10 นาย ไปตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 พร้อมรายงานผลให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่และกักตัว เฝ้าดูอาการที่บ้านพักของตนเอง หรือบ้านพักของทางราชการ เว้นระยะห่างใส่หน้าการอนามัย สังเกตอาการ 14 วัน โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยเคร่งครัด ให้สามารถติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์ ทางไลน์ หรือช่องทางอื่น ๆ ได้ตลอดเวลา หากจะต้องสอบถามงานที่ตนเองปฏิบัติหน้าที่ประจำ ทั้งนี้หากตรวจพบข้าราชการตำรวจกลุ่มเสี่ยงสูงทั้ง 10 นาย ที่ต้องกักตัว ไม่ปฏิบัติตามมาตรการการแพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 จะพิจารณาโทษทางวินัยต่อไป

ในส่วนของโรงพักพัทยา ได้ทำการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ไปแล้ว 2 รอบ ทุกซอกทุกมุม ทุกพื้นที่ที่ให้บริการประชาชน จึงฝากถึงพี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนก โรงพักพัทยายังเปิดให้บริการตามปกติ เพราะได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันของโควิด-19 อย่างดีอยู่แล้ว สามารถเชื่อมั่นและมาใช้บริการได้ตามปกติ


ภาพ/ข่าว  อนันต์ สุขวัฒนะ เอกชัย สุขวัฒนะ  ผู้สื่อข่าวภูมิภาค พัทยา จ.ชลบุรี

หอการค้าไทย ถกซีอีโอธุรกิจไทย กว่า 40 บริษัท วางแผนช่วยรัฐกระจายวัคซีน หลังพบคนไทยได้ฉีดวัคซีนต่ำมาก เพียง 0.4% เท่านั้น ลุ้นเป้ากรุงเทพฯ ได้ฉีด 70% ในปี 64 หรืออย่างน้อย 50,000 โดสต่อวัน

วันที่ 20 เมษายน พ.ศ.2564 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยจัดการประชุมระหว่างหอการค้าไทยกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของบริษัทใหญ่กว่า 40 บริษัท จากทุกกลุ่มธุรกิจของไทยผ่านระบบประชุมทางไกล เพื่อร่วมกันวางแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของภาคเอกชน และต้องจัดหาวัคซีนทางเลือกให้เพียงพอ โดยสนับสนุนภาครัฐให้สามารถเปิดประเทศได้อย่างรวดเร็ว เพื่อความปลอดภัยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวนโยบายหลัก ภารกิจ 99 วันแรกของการทำงานในหอการค้า ที่ต้องมีการ Connect the dots คือ ดึงความร่วมมือจากทุกฝ่าย ให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

อย่างไรก็ตาม วัคซีนล็อตใหญ่ที่จะเริ่มเข้ามาตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้ จะต้องมีการเตรียมตัว และวางแผนการกระจายวัคซีนให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้น หอการค้าไทยและเครือข่ายภาคเอกชน จะช่วยสนับสนุนภาครัฐในการกระจายวัคซีนที่ภาครัฐจัดซื้อมา ให้เกิดประสิทธิภาพและทั่วถึงมากที่สุด โดยจะเริ่มที่ กทม.ก่อน เพื่อเป็นตัวอย่างให้จังหวัดอื่น ๆ พร้อมสนับสนุนให้เอกชนมีส่วนร่วมในการเจรจาซื้อวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติม

“หอการค้าไทยตั้งเป้าหมายว่า ภายในปี 2564 ต้องบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนในกรุงเทพฯ 70% โดยบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นด่านหน้าของ กทม. ต้องได้รับการฉีดทั้งหมด 100% ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน ส่วนการฉีดวัคซีนสำหรับประชาชนทั่วไปในกรุงเทพฯ ต้องให้ได้อย่างน้อย 50,000 โดสต่อวัน โดยภาคเอกชนจะเข้ามาเสริมการทำงานของภาครัฐเพื่อให้ได้เป้าหมายดังกล่าว พร้อมกันนั้น จะจัดทำรูปแบบมาตรฐาน หรือรูปแบบตัวอย่างของภาคเอกชนที่สนับสนุนการฉีดวัคซีน ให้กับจังหวัดอื่น ๆ ภายในสิ้นเดือนเมษายนนี้ และเชื่อมั่นว่า ภาคเอกชนสามารถใช้ความถนัด ความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรของพวกเราเพื่อประเทศได้ ” นายสนั่น กล่าว

ทั้งนี้ หอการค้าไทยและเครือข่าย จะแบ่งงานออกเป็น 4 ทีม เพื่อสนับสนุนการฉีดวัคซีน ได้แก่

TEAM A: Distribution and Logistics ทีมสนับสนุนการกระจายและฉีดวัคซีน ช่วยสนับสนุน สถานที่ บุคลากร อาสาสมัคร และอุปกรณ์ IT เช่น คอมพิวเตอร์ ปริ๊นเตอร์ เครื่องอ่านบัตรประชาชน ให้ กทม. เพิ่มจากโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ซึ่งตอนนี้ได้มีการเตรียมและไปลงพื้นที่สำรวจกับ กทม. แล้วในระยะแรก จำนวน 10 พื้นที่ใน กทม. ที่เอกชนจะนำร่อง เช่น กลุ่มเซ็นทรัล , SCG , เดอะมอลล์ , สยามพิวรรธน์ , เอเชียทีค , โลตัส , บิ๊กซี , ทรูดิจิตัลพาร์ค เป็นต้น โดยจะสรุปกับ กทม. ภายในวันที่ 27 เมษายนนี้ และในระยะถัดไปจะมีการหารือในการจัดทำหน่วยฉีดวัคซีนเคลื่อนที่ไปยังจุดต่าง ๆ เพื่อลดการเคลื่อนย้ายของประชาชน

TEAM B: Communication ทีมการสื่อสาร เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและมาฉีดวัคซีนในสถานที่ที่พร้อม เพราะปัจจุบันหลายคนยังไม่เข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีน หลายคนไม่ยอมฉีด ดังนั้น ต้องทำความเข้าใจให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ภาครัฐจะทำระบบ “หมอพร้อม” เสร็จสิ้นในเดือนนี้ ซึ่งจะสามารถระบุสถานที่ต่าง ๆ ที่ลงทะเบียนฉีดวัคซีน การจัดคิวการฉีดที่ไม่หนาแน่น หรือลำดับการฉีดที่เหมาะสม โดยได้รับการสนับสนุนจากหลายบริษัท เช่น Google, LINE , Facebook , VGI และ Unilever เป็นต้น

TEAM C: IT Operation ทีมเทคโนโลยีและระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการลงทะเบียน ขั้นตอนในการฉีดที่รวดเร็ว และมีระบบการติดตามตัว พร้อมสามารถออกใบรับรองการฉีดวัคซีนได้ โดยมีหลายบริษัท นำทีมโดย IBM เข้ามาสำรวจและปรับปรุงกระบวนการ

TEAM D: Extra Vaccine procurement ทีมจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ร่วมกับภาครัฐและเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน โดยจะไปสำรวจความต้องการฉีดวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติม เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของรัฐบาล และทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วมากขึ้น นำโดยสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งในวันนี้ได้มีการหารือกันแล้ว ประเมินว่ายังต้องการวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมอีก 30 ล้านโดส เพื่อให้ครอบคลุม 70% ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งวัคซีนทางเลือก ได้แก่

1.) ประเทศสหรัฐอเมริกา วัคซีน Moderna และ Pfizer

2.) ประเทศจีน วัคซีน Sinopharm และ CanSino Biologics

3.) ประเทศอินเดีย วัคซีน COVAXIN จากบริษัท Bharat Biotech

และ 4.) ประเทศรัสเซีย วัคซีน Sputnik V ซึ่งภาคเอกชนยินดีที่จะจ่ายค่าวัคซีนให้กับพนักงานของบริษัทรวมแล้วเกือบ 1 ล้านราย เพื่อแบ่งเบาภาระให้กับรัฐบาล

“ผลสรุปจากการประชุม CEO ทุกบริษัทเห็นตรงกันว่าขณะนี้ประเทศไทยได้รับการฉีดวัคซีนไปเพียง 0.4% ของประชากรเท่านั้น ซึ่งถือว่าล่าช้ามากสำหรับการที่จะเปิดประเทศที่จะต้องฉีดให้ได้ถึง 70% ของประชากร ภาครัฐจำเป็นต้องจัดหาวัคซีนให้เพียงพอกับทุกคน โดย CEO ทุกท่านพร้อมที่จะช่วยภาครัฐ ซึ่งหอการค้าไทยพร้อมที่จะเป็นตัวกลางในการ Connect the dots เพื่อฟื้นเศรษฐกิจไทย และเชื่อว่า หากคนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จะทำให้ประเทศไทยของเราฝ่าวิกฤติ COVID-19 นี้ไปได้อย่างแน่นอน” นายสนั่น กล่าวทิ้งท้าย


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ปทุมธานี - มรภ.วไลยอลงกรณ์ เปิดครัว ส่งข้าวกล่องแทนความห่วงใย บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย รพ.สนาม มธ. 400 กล่องต่อวัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดทำอาหารส่งโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุพจน์ ทรายแก้ว อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ (มรวอ.) กล่าวว่า เนื่องด้วยสถานการณ์ การแพร่ระบาดของไวรัส “โควิด-19 เข้าสู่ระยะที่ 3 ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลจึงไม่เพียงพอ ทำให้ต้องมีโรงพยาบาลสนามเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ซึ่งบริเวณที่ใกล้เคียงกับมหาวิทยาลัยก็คือ โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

ซึ่งตอนนี้มีจำนวนผู้ป่วย เต็มพื้นที่ ทำให้ขาดแคลน สิ่งของอุปโภค บริโภคหลายอย่าง ซึ่ง มรภ.วไลยอลงกรณ์ ไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้รีบจัดตั้งโรงครัวขึ้น ภายในชื่อ “ด้วยความห่วงใยจากใจวไลยอลงกรณ์ เราจะสู่ covid19 ไปด้วยกัน”  โดยได้จัดทำข้าวกล่อง วันละ 400 กล่อง จัดส่งถึง 30 เมษายน (เบื้องต้น) ส่งมอบให้ที่ รพ. สนามธรรมศาสตร์ เพื่อให้เพียงพอกับจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ และ ผู้ป่วยที่มาพักรักษาอาการ ทั้งนี้หากท่านใดมีความประสงค์ จะร่วมบริจาค น้ำดื่ม นม น้ำผลไม้ ขนมขบเคี้ยว ทิชชู หรือของอุปโภคอื่น ๆ สามารถนำมามอบได้ที่อาคารศูนย์ฝึกประสบการณ์วิชาชีพ (โรงแรมของมหาวิทยาลัย) ได้ โดยทางมหาวิทยาลัยจะได้รวบรวมและส่งมอบไปยัง รพ.สนามธรรมศาสตร์ ต่อไป อธิการบดีกล่าว


ภาพ/ข่าว  ประภาพรรณ  ขาวขำ รายงาน

‘หมอยง’ ชี้!! ติดโควิดแล้ว ‘ติดได้อีก’ แต่ติดได้ยากขึ้นกว่า ‘คนไม่เคยติด’

นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan เกี่ยวกับผลลัพธ์ของการติดเชื้อโควิด-19 ในรายของผู้ที่เคยติดมาก่อนหน้านี้แล้วว่า…

โควิด-19 ผู้ที่ติดเชื้อมาแล้ว ติดเชื้อซ้ำได้หรือไม่ ต้องฉีดวัคซีนอีกหรือไม่?

จากการติดตามบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศอังกฤษ เปรียบเทียบกลุ่มที่ติดเชื้อมาแล้วกับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อนเป็นระยะเวลา 7 เดือน พบว่าผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้ว โอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำใหม่น้อยกว่าผู้ที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อนร้อยละ 84 จากข้อมูลก็เปรียบเสมือนว่าคนที่เคยติดเชื้อมาแล้วมีประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยละ 84 (Hall VJ et al, Lancet 2021; 397: 1459–69)

น่าจะพูดง่าย ๆ ให้เข้าใจว่า ถ้าการติดเชื้อจริงหรือเอาไวรัสจริงมาเป็นวัคซีน ทำให้เกิดโรค ยังป้องกันได้ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อมีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้มีประสิทธิภาพร้อยละ 84 วัคซีนถ้าสร้างภูมิต้านทานให้ได้เท่ากับการติดเชื้อจริงในธรรมชาติจะป้องกันได้ร้อยละ 84 การติดเชื้อซ้ำถึงแม้ว่าเคยติดเชื้อมาแล้วก็เกิดขึ้นได้ แต่ก็น้อยกว่าคนที่ยังไม่เคยติดเชื้อมาก่อน ในระยะยาวถึงแม้ว่าติดเชื้อมาแล้ว ภูมิต้านทานไม่ได้ปกป้องแบบร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนโรคบางโรค เช่น โรคหัด โรคสุกใส ที่เป็นแล้วจะไม่เป็นอีกในชีวิตนี้

จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า การที่เคยเป็นโรคแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก ทำนองเดียวกันการฉีดวัคซีนก็เหมือนกับการกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานแบบการติดเชื้อ วัคซีนจึงไม่สามารถป้องกันได้ 100% วัคซีนที่ป้องกันได้เกินกว่า 84% ก็ถือว่าเหนือกว่าการติดเชื้อโดยธรรมชาติแล้ว

ในอนาคตการให้วัคซีน จำเป็นต้องมีการให้ซ้ำอีกแน่นอน ในวัคซีนทุกชนิดจะต้องมีการกระตุ้นน่าจะเป็นหลัง 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันในระยะยาวหรืออาจจะต้องกระตุ้นทุกปีหรือทุก 2-3 ปีก็คงขึ้นอยู่กับข้อมูล

ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ติดเชื้อมาแล้วก็ยังคงต้องให้วัคซีนในการป้องกันโรค ระยะเวลาในการให้วัคซีนหลังติดเชื้อควรจะอยู่ในระยะ 3-6 เดือนหลังจากติดเชื้อ จำนวนครั้งในการให้วัคซีนในผู้ติดเชื้อมาแล้ว เป็นที่น่าสนใจเพราะเชื่อว่าการกระตุ้นเพียงครั้งเดียวก็น่าจะเพียงพอ แต่ถ้าติดเชื้อมาแล้วเป็นปี การให้วัคซีนก็อาจจะต้องให้แบบคนที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้จะเป็นโอกาสทองของบริษัทวัคซีนแน่นอน

ที่มา: https://www.facebook.com/108692177438990/posts/290843352557204/


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top