Tuesday, 10 June 2025
TheStatesTimes

ชาวนาฝาก ‘กรณ์’ ทวงถามรัฐ ส่วนต่างประกันข้าว 3,000 บาท หายไปไหน

(29 พ.ย. 65) นายกรณ์ จากติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวภายหลังเข้าร่วมเกี่ยวข้าวอิ่มปีที่ 9 ร่วมกับชาวนา จ.มหาสารคาม ว่า โครงการ 'ข้าวอิ่มมหาสารคาม' เป็นโครงการนโยบายนำร่องเพื่อพิสูจน์ว่าเกษตรพรีเมียม สามารถทำให้ชาวนาไทยเราอยู่ดีกินดีได้ ในสมัยที่ตนเคยช่วยดูแลโครงการประกันรายได้ เราได้ตั้งใจว่า นอกจากการมีประกันรายได้เพื่อดูแลค่าครองชีพเฉพาะหน้าแล้ว เรื่องนโยบายเศรษฐกิจด้านการเกษตร ต้องต่อยอดให้เกษตรกรไทยมีรายได้สูงอย่างยั่งยืนอีกด้วย

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า ตั้งแต่ลงพื้นที่ขอนแก่นช่วงเข้าก่อนเดินทางมา จ.มหาสารคาม ก็มีชาวนามาร้องเรียนว่าตน 'โครงการประกันรายได้เกษตรกร' มีส่วนต่างประกันรายได้ที่หายไปประมาณ 3,000 บาท เขาอยากรู้ว่าเงินตรงนี้หายไปไหน โดยที่หลักการของการประกันรายได้คือการ ‘จ่ายส่วนต่าง’ ระหว่างราคาที่ชาวนาขายได้ กับราคาที่ชาวนาควรจะได้รับ คือราคาประกัน โดยที่รัฐเป็นผู้กำหนดว่าราคาขายคือเท่าไร เรียกว่าราคาอ้างอิง โดยรอบล่าสุดนี้ 25 พฤศจิกายน 2565 ประกาศว่า ชาวนาที่ปลูก ข้าวหอมมะลิ จะได้ราคาส่วนต่างไว้ที่ตันละ 890 บาท โดยคิดจากราคาอ้างอิงที่ 14,110 บาท ต่อให้ข้าวที่ความชื้นต่ำกว่าเกณฑ์ 15% ก็ได้ราคาเพียง 12,000 กว่าบาทเท่านั้นเอง ผมเช็คแล้วเช็คอีกกับโรงสี และทีมงานทั้งมหาสารคาม ร้อยเอ็ดก็ยืนยันเสียงเดียวกัน

“ความหมายของมันคือ รัฐมองว่า ชาวนาควรจะขายข้าวหอมมะลิได้เองในตลาดที่ตันละ 14,110 บาท และรัฐทบส่วนต่างให้อีก 890 บาท ถึงจะทำให้ชาวนาที่ปลูกข้าวหอมมะลินี้ มีรายได้ค่าข้าวที่ตันละ 15,000 บาท แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น วันนี้ผมพบทั้งชาวนาและ ธกส.เสียงเดียวกันเลยครับว่า ราคาขายจริงที่ชาวนาได้คือ 11,000 บาท เพียงเท่านั้น นั่นแปลว่า รายได้จากการปลูกข้าวคือ 11,000 บวก 890 บาท ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า เกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงของกระทรวงพาณิชย์ ไม่ตรงกับสภาพจริงของราคาตลาด และนี่เป็นสาเหตุทำให้ชาวนาที่ควรมีรายได้ตันละ 15,000 บาท ได้เงินเพียง 11,890 บาทเท่านั้น ผมเห็นใจชาวนา ว่าแบบนี้ไม่น่าจะตรงกับหลักการเดิมของนโยบาย” นายกรณ์ กล่าว

‘บจ. ไทย’ โกยกำไร 9 เดือน ทะลุ 8 แสนลบ. รับอานิสงส์เปิดประเทศ หลังโควิดคลาย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน 9 เดือนแรก มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 41% ขณะที่กำไรสุทธิกว่า 8.2 แสนล้านบาท เติบโต 14.2% หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้น หลังสถานการณ์โควิดคลาย

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 780 บริษัท คิดเป็น 97.5% จากทั้งหมด 798 บริษัท (รวม SET และ mai และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และบจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 65 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 593 บริษัท คิดเป็น 76.1% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 65 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มีรายได้ 13,171,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.1% บจ. มีต้นทุนการผลิต 10,302,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.9% กำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,489,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.6% และมีกำไรสุทธิ 825,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.2% สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 ก.ย.65 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.59 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.54 เท่า เมื่อเทียบกับงวดปีก่อน

"การยกเลิกมาตรการควบคุมโควิดและการเปิดประเทศช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตดีและมีการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การใช้จ่ายของคนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ทำให้ธุรกิจที่เติบโตได้ดีคือ กลุ่มธุรกิจธนาคารและบริษัทเงินทุนมีการขยายตัวด้านสินเชื่อได้ดี ธุรกิจพาณิชย์ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจโรงพยาบาลมียอดขายเพิ่มขึ้น รวมถึงทำให้กลุ่มธุรกิจโรงแรมมียอดขายเพิ่มขึ้นและมีผลขาดทุนลดลง ทั้งนี้ ความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนยังกระทบต่อต้นทุนการผลิตและอัตราการทำกำไรของ บจ." นายแมนพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ หากแยกผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ระบุว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 185 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 192 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดยงวดสะสม 9 เดือนปี 2565 พบ บจ. ที่รายงานกำไรสุทธิจำนวน 131 บริษัท คิดเป็น 71% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2565 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 153,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% ต้นทุนขาย 121,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.0% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ลดลงจาก 23.6% มาอยู่ที่ 21.0% กำไรจากการดำเนินงาน 8,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% และมีกำไรสุทธิรวม 6,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% โดย 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มียอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มบริการ และกลุ่มเทคโนโลยี

‘รอง มทภ.4’ ย้ำชัด การ์ดเกม บิดเบือนประวัติศาสตร์ ซัด ‘คณะก้าวหน้า’ หนุนผลิต เชื่อหวังผลทางการเมือง

จากกรณีมูลนิธิคณะก้าวหน้าให้การสนับสนุนบอร์ดเกม ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปัตตานี ตามที่ปรากฏบนสื่อออนไลน์เพจเฟสบุ๊ค Urban Creature ได้นำเสนอบอร์ดเกม ที่มีชื่อว่า 'Patani Colonial Territory' ซึ่งเป็นการ์ดเกมสำหรับเยาวชนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปาตานี โดยได้ให้รายละเอียดว่าได้รับการสนับสนุนจากสำนักพิมพ์ KOP1 และได้รับทุนสนับสนุนจาก Common Schoo มูลนิธิคณะก้าวหน้า

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวกลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นถกเถียงในทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากการ์ดเกมดังกล่าวมีเนื้อหาสาระที่นำไปสู่ความแตกแยก โดยเฉพาะประเด็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ อาทิ ภาพการ์ดในเกมที่นำมาประชาสัมพันธ์ เรื่อง 'เอ็นร้อยหวาย' ที่ปัจจุบันในวงวิชาการยอมรับว่าเป็น 'เรื่องเสริมแต่งเพิ่มในภายหลัง' ที่ไม่เป็นความจริง แต่เป็นเรื่องราวที่สร้างขึ้นเพื่อสร้างความเกลียดชัง 'รัฐสยาม' แต่ก็ยังมีการนำเรื่องราวสร้างความหวาดกลัวนี้มาใช้ในการประชาสัมพันธ์

ล่าสุด พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 ตั้งข้อสังเกตถึงการทำบอร์ดเกมดังกล่าวว่า การเคลื่อนไหวในประเด็นเรื่องประวัติศาสตร์เชิงบาดแผล เป็นสิ่งที่หน่วยงานด้านความมั่นคงมีความกังวลอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นล่าสุดที่ได้มีการนำประวัติศาสตร์เชิงบาดแผลในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาผลิตเป็นการ์ดเกม และได้ออกแคมเปญโฆษณาเพื่อดึงเยาวชนเข้ามาทำการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงเพราะการ์ดเกมเข้าถึงกลุ่มเยาวชนได้ง่าย

ทั้งนี้ เมื่อย้อนไปดูประวัติศาสตร์เชิงบาดแผลในหลาย ๆ เหตุการณ์ กลับพบว่าเป็นสิ่งที่ได้รับการปั้นแต่งขึ้นมา เช่น การจับคนมลายู เจาะเอ็นร้อยหวาย แล้วนำไปขุดคลองแสนแสบ ซึ่งเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างยาวนาน แต่ทว่าในเรื่องดังกล่าวนี้ ได้มีการศึกษาอย่างละเอียด ทั้งในเชิงการแพทย์ ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์การขุดคลองแสนแสบ พบว่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนมลายูที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยในขณะนั้นแต่อย่างใด

โดยเฉพาะในข้อเท็จจริงเชิงการแพทย์นั้น แทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้เลย ที่จะนำประชาชนถูกเจาะเอ็นร้อยหวายไปทำงานหนัก ขณะที่ในเชิงประวัติศาสตร์ ได้มีนักวิชาการศึกษาวิจัยมาอย่างถ่องแท้แล้วว่า การขุดคลองแสนแสบนั้นเกิดขึ้นในสมัยใด ส่วนแรงงานกว่า 90% เป็นชาวจีนโพ้นทะเล และมีแรงงานชาวลาวอีกส่วนหนึ่ง โดยไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่า ได้นำเชลยมาเจาะเอ็นร้อยหวาย มาขุดคลองแสนแสบแต่อย่างใด

‘สมคิด’ จวก ‘ประยุทธ์’ ต้องหยุดกู้เงินเพิ่ม ชี้!! ไม่ควรสร้างภาระให้รัฐบาลรุ่นต่อไป

(29 พ.ย. 65) นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน หรือวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่านายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะบรรจุพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ....  เข้าสู่การพิจารณาของสภาเมื่อใด แต่เห็นได้ชัดว่ากฎหมายกัญชา สร้างความแตกแยกของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างชัดเจนอันเนื่องมาจากนโยบายกัญชาเสรี เพราะพรรคร่วมรัฐบาลมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน และยังชัดเจนว่าไม่รับนโยบายดังกล่าวแม้จะอ้างว่าเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่เพราะความไม่ชัดเจนของกฎหมายควบคุมการใช้กัญชา อีกทั้งเกรงว่าจะส่งผลกระทบกับภาพรวมของสังคมไทย แม้จะมีความขัดแย้งกันในเรื่องของกฎหมายกัญชา แต่ยังคงสร้างภาพให้ดูว่าสมัครสมานกลมเกลียวกัน เพราะถึงอย่างไรพรรคร่วมรัฐบาลคงต้องกอดคอกันไปจนนาทีสุดท้ายของรัฐบาล

นายสมคิด กล่าวต่อว่า ในส่วนของการปรับคณะรัฐมนตรี ที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ออกมาส่งสัญญาณถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในตำแหน่งที่ว่างลง น่าประหลาดใจว่าทำไมนายจุรินทร์เพิ่งมาทวงเอาตอนนี้ ทิ้งเวลาผ่านไปนานเกือบ 2 เดือน แม้การปรับคณะรัฐมนตรีจะเป็นอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ นายจุรินทร์ต้องทวงตั้งแต่ต้น ทั้งนี้ การปรับคณะรัฐมนตรีขึ้นกับพล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น

ท่องเที่ยวภูเก็ต ผนึก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ขับเคลื่อนท่องเที่ยวไทยสู่ Digital Transformation

(29 พ.ย. 65) สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ผนึกกำลังการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล จัดงานแสดงเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการท่องเที่ยวครั้งแรกในประเทศไทยภายใต้ชื่อ 'Thailand Travelution 2022' เพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยสู่ Digital Transformation เต็มรูปแบบ โดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดงาน และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ 'ยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล' ระหว่างวันที่ 29 - 30 พฤศจิกายน 2565 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

'บิ๊กตู่' ชี้ การเล่นเกมสามารถสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ ย้ำ!! แต่ต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ถูก

วันนี้ (29 พ.ย. 65 ) ลาดพร้าว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานเปิดการแข่งขันกีฬาอีสปอร์ต รายการ ROV FREE FIGHT BY MDES ที่ห้องประชุมวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซา โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ยินดีที่มาร่วมงานนี้ ถือเป็นโอกาสของเราในวันนี้โลกกำลังเผชิญความท้าทายหลายอย่างด้วยกัน แต่โชคดีที่เราได้เตรียมการมาก่อนแล้วโดยเฉพาะไทยแลนด์ 4.0 ที่ตนได้กำหนดไว้ เพราะมองโลกเปลี่ยนแปลงโดยเร็วด้วยเทคโนโลยี จึงได้กำหนด 4.0 ขึ้นมา วันนี้หลายประเทศไป 5.0 แล้ว จึงถือว่าเราไม่ได้ช้าเกินไป 

จนกระทั่งเรามีวันนี้ ทุกอย่างเป็นเรื่องของยุทธศาสตร์ชาติที่เราต้องสานต่อกันไป ไม่ว่าจะเป็นรุ่นตน คนรุ่นก่อน และคนรุ่นหลัง เด็กและเยาวชนทั้งหมดต้องเดินหน้าประเทศไปในลักษณะนี้ เพื่อรับมือความท้าทายไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์หรือความขัดแย้งในด้านการแข่งขันการลงทุนการค้าเสรีต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องโรคอุบัติใหม่ที่ผ่านมา ซึ่งต่อไปเราไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นมาอีก จึงต้องเตรียมความพร้อมทั้งหมด โดยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้การแข่งขันกีฬา อีสปอร์ต ถือเป็นอาชีพใหม่ธุรกิจใหม่ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องได้รับการพัฒนาเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจด้วย จึงขอให้ทุกคนร่วมกันพัฒนาต่อยอดกีฬาประเภทนี้ไม่ให้ทำแล้วเสียประโยชน์ ที่สำคัญต้องใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แบ่งเวลาให้ถูกต้อง รวมทั้งต้องรู้จักแบ่งเวลาได้ถูกต้อง ถ้าทำได้ ก็ถือว่าเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน การแข่งขันครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่น้อง ๆ ได้แสดงออกทักษะต่าง ๆ ขอให้นักกีฬาทุกคนทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด โดยต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎกติกามารยาท จึงใช้วิจารณญาณให้อภัย ทุกครั้งที่มีการแข่งขันเราจะได้ประสบการณ์และมิตรภาพสำคัญที่สุด นอกจาดนี้ยังมีเพื่อนใหม่สังคมใหม่ ๆ จึงต้องสร้างความทรงจำที่ดีต่อกัน มีความรักและความสามัคคี

'อภิสิทธิ์' ห่วง สมาชิกพรรค ปชป.ลาออก พร้อมแจงร่วมโต๊ะ 'เสี่ยหนู' ไม่มีนัยการเมือง

(29 พ.ย. 65) ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ว่า ตอนนี้ทุกคนรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความชัดเจน บนเวทีทุกคนก็เห็นตรงกันว่าตอนนี้มีปัญหา ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาทำไม่ครบถ้วน ทำให้เกิดปัญหา แต่ในวันพรุ่งนี้ (30 พ.ย.) ศาลก็จะเป็นผู้กำหนดทางออก ถ้าศาลวินิจฉัยว่ามีปัญหาและขัดกันในเรื่องของกฎหมายลูก คงต้องมีการดำเนินการทางกฎหมายใหม่ แต่ถ้าชี้ว่าไม่ขัด มาตราที่มีการผูกติดกับระบบเดิมก็ไม่ต้องใช้ ค้างไว้เช่นนั้น ทั้งนี้ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรเลวร้ายถึงขั้นที่ต้องลงถนน ทุกอย่างอย่างยังคงต้องอยู่ในกติกา ซึ่งทุกคนเห็นตรงกันว่าภายในปีหน้าต้องมีการเลือกตั้ง เพียงแต่ว่าการจัดการเลือกตั้งจะจัดให้ราบรื่นได้อย่างไร ภายใต้ข้อจำกัดที่อาจมีปัญหาในข้อกฎหมาย ที่อาจจะไม่ทันแต่เชื่อว่าจะไม่มีอะไรที่นำไปสู่ความขัดแย้งได้

สตาฟฟ์ 'กาน่า' อำมหิต!! รุมเซลฟี่ 'ซน' ร้องไห้ หลังเกม 'เกาหลีใต้' พ่ายแพ้ กาน่า 2-3

กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ เมื่อ ซน ฮึง มิน กองหน้าซุปตาร์ทีมชาติเกาหลีใต้ที่กำลังเสียใจจากการพ่ายแพ้ กาน่า 2-3 แต่โดนสตาฟฟ์ของ กาน่า เข้ามารุมถ่ายภาพเซลฟี่ จนโดนชาวเน็ตตำหนิว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทอย่างที่สุด

ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 เกาหลีใต้ ตัวเเทนจากเอเชีย ลงสนามแพ้ กาน่า 2-3 ส่งผลให้มีเพียงแต้มเดียวจาก 2 นัด และนัดสุดท้ายต้องดวลกับ โปรตุเกส 

ขณะที่หลังจบเกมมีกลุ่มสตาฟฟ์ของทีมชาติกาน่า เดินปรี่มาหา ซน ฮึง มิน ที่กำลังเสียใจจากผลการแข่งขัน เพื่อถ่ายภาพเซลฟี่ดาวเตะชาวเกาหลีใต้ที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ

มองไทยรอบทิศ กับ ‘ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา’ 

มองไทยรอบทิศ กับ ‘ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา’ 

กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและรวมถึงทั่วโลกเริ่มหวนคืน ภายหลังเชื้อโควิด-19 เริ่มจาง เราเริ่มเห็นตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเวียนเข้ามาตั้งแต่ต้นปี จนกระทั่งถึงเดือนตุลาคม (65) 

เราเริ่มเห็นภาพชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยจนแน่นสนามบินสุวรรณภูมิ 

ภาพเหล่านี้ ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณเด่นชัดว่า ‘ประเทศไทย’ กำลังจะดีขึ้น 

ไม่เพียงเท่านั้น เครื่องจักรเศรษฐกิจส่วนอื่นๆ ก็กำลังเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่น่าสนใจ ไม่ว่าเป็น ‘การส่งออก’ โดยเฉพาะการส่งออกอาหาร ซึ่งถือเป็น ‘พระรองรูปหล่อ’ ที่ผลักออกสู่ตลาดและสร้างแรงกระเพื่อมได้อย่างน่าสนใจ จนคาดว่าจะช่วยเสริมแรงให้เศรษฐกิจไทยฟื้นกลับมาในเร็ววัน

เรื่องนี้ไม่ใช่การมโน แต่ได้รับคำยืนยันจาก ‘ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา’ รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้คลุกวงในอยู่ในความเคลื่อนไหวของการผลิตและการส่งออกมาอย่างยาวนาน มาช่วยแถลง ผ่านบทสัมภาษณ์ที่ทำให้ THE STATES TIMES รู้สึกว่า ‘ประเทศไทย’ ไปรอด!!

Q: ข่าวดีประเทศไทยช่วงนี้มีเยอะมากจริงเลยนะครับ!!
A: ใช่ครับ!! ตอนนี้เครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจเริ่มถูกขับเคลื่อยด้วย ‘ส่งออก’ กับ ‘ท่องเที่ยว’ อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงของไตรมาสสุดท้าย ซึ่งถือเป็นหน้าท่องเที่ยว มีอากาศดี โดนใจคนในหลายๆ ประเทศฝั่งตะวันตกที่หนีหนาวมาพึ่งอากาศ ยิ่งเปิดประเทศชัด2-3 เดือนมานี้ สารพัดทิศก็มาทัวร์ที่ไทย แม้จะมีการติดขัดในเรื่องของสายการบินที่ยังไม่สามารถกลับมาให้บริการได้เต็มที่อยู่บ้าง ซึ่งในหลายๆ ประเทศก็เจอปัญหานี้ 

ขณะเดียวกันในส่วนของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น นวด, ผับบาร์, ร้านอาหาร ก็กลับมาเปิดบริการกันค่อนข้างเยอะแล้ว ทุกคนคึกคัก เพราะการหยุดไป 2 ปีกว่าๆ นี่คือช่วงเวลาที่กลุ่มธุรกิจซึ่งอยู่ในห่วงโซ่นี้จะกลับมาพลิกฟื้นตัว 

Q: ข้ามเรื่องของท่องเที่ยวไปก่อน แล้วไปมองย้อนไปยังเรื่องของ ‘การส่งออก’ คุณมองว่าทิศทางส่งออกของไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป?
A: ถ้ามองภาพรวมการส่งออกในส่วนที่เป็นสินค้าประเภทต่างๆ ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเราได้อานิสงฆ์จริงๆ มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว หลังจากหลายๆ ประเทศเริ่มกลับมาทำธุรกิจ ทำให้การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นมาก คนออกมาจากบ้านได้ ไปร้านอาหารได้ คนออกมาทำธุรกิจได้ ก็ต้องมีการซื้อรถยนต์ ต้องมีการบริโภคต่างๆ เพิ่มเข้ามา ตัวเลขมันเริ่มดีมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แล้วต้นปีนี้ก็ถือว่าเติบโตดีพอสมควร

ดังนั้นตัวเลขการส่งออกของเรา จึงยังแตะเลขสองหลักอยู่ ภายใต้การเติบโตเกิน 10% จากที่ทั้งปีเราคิดว่าน่าจะโตแค่ 8% เท่านั้น แต่ถ้าหากตัวเลขจะตกลงกว่านี้ ก็คงมาจากเรื่องของความกังวลของตัวแปร ‘เศรษฐกิจถดถอย’ มาเป็นตัวดึง ก่อนหน้านี้เท่าที่เราติดตามกัน ทุกท่านคงทราบดีว่า ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกามีเงินเฟ้อสูงมาก ก็พยายามมีวิธีการที่จะสกัดเงินเฟ้อให้ได้ด้วยการขึ้นดอกเบี้ย การขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ หลายๆ ครั้ง มันก็ส่งผลให้การใช้จ่ายมันลดลง ซึ่งเขาต้องการอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะเงินในระบบเขามีเยอะ อย่างก่อนหน้านี้เขามีอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบเยอะ รวมทั้งในช่วงโควิดด้วย เนื่องจากเขาเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่เขามีความสามารถสูง เวลาเกิดสถานการณ์อย่างโควิด คนไม่ต้องทำงานก็มีเงินเดือน ยังมีเงินจับจ่ายเพียงพอ ถึงแม้ข้าวของที่ต้องซื้อเข้ามามันแพงขึ้นเรื่อยๆ 

ฉะนั้นต่อให้ของมันแพงขึ้น แต่ถ้าเขายังมีอำนาจจับจ่ายอยู่ ก็จบ เพียงแต่เงินมันจะยังเฟ้อไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง แล้วพอเฟ้อก็แก้ด้วยการสกัดผ่านการขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ หลายๆ ครั้ง เพื่อกดให้คนไม่ต้องใช้จ่าย เพียงแต่ถ้าให้หยุดการใช้จ่าย มันก็จะนำมาซึ่งเรื่องของความชะงักงันทางเศรษฐกิจ หรือถ้าเป็นต่อเนื่องยาวๆ ก็จะถึงขั้นถดถอย แต่ประเทศมหาอำนาจจะไม่กังวลเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะเขามีความสามารถพอในการที่จะอัดฉีดเข้ามาในระบบใหม่ได้เร็ว

แต่ประเทศอื่นๆ ที่เห็นผลกระทบชัดเจนก็คือเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ทุกประเทศในโลกนี้ค่าเงินอ่อนหมดเลยเพราะมีสหรัฐฯ แข็งอยู่ประเทศเดียว นั่นแปลว่าอะไร แปลว่า เวลาเราเจอสถานการณ์เช่นนี้ ก็ควรมองว่าทุกประเทศทั่วโลกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากเรา ไม่ใช่ว่านำตัวเราไปเทียบเคียงกับสหรัฐฯ เพราะเราเทียบไม่ได้ ถ้าสหรัฐฯ บอกว่าขึ้นดอกเบี้ยเรื่อยๆ แล้วเราจะขึ้นตามเขาไปเรื่อยๆ ก็แปลว่าเราอาจจะมาถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้ในที่สุด แต่ถ้าเราวางตัวเองอยู่ในกลุ่มของประเทศที่ไม่ใช่มหาอำนาจ และมองประเทศที่อยู่ในสถานภาพเดียวกันเป็นพื้นฐาน ค่าเงินเราอ่อน เขาก็อ่อน แต่เราจะดีกว่า คือ อ่อนอยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับคู่ค้าคู่แข่งของเรา นั่นก็จะหมายความว่า เรายังมีความสามารถในการแข่งขันได้อยู่ แต่ถ้าหากเราไปวางตัวอยากจะแข็งเหมือนสหรัฐฯ เครื่องยนต์สองตัวของเรา ก็อาจจะล้มทันที เพราะคู่ค้าของเรารับไม่ไหว ทำให้เราส่งออกไม่ได้ ส่งออกยาก นั่นคือแง่ ‘ส่งออก’ ขณะเดียวกัน คนก็จะไม่มาเที่ยวไทย อยากมาแล้วเจอแต่ของแพง ฉะนั้นตอนนี้เราอยู่ในระหว่างประเทศคู่ค้าคู่แข่ง และประเทศอื่นๆ ที่เหลือทั่วโลกที่คบค้ากันต่อได้ 

Q: พูดถึงอาหาร ตอนนี้ ‘ฮาลาลไทย’ ดูจะไปได้ส่วย แต่กลับกันก็มีความท้าทายอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในเรื่องมาตรฐาน เราต้องฝ่าเรื่องนี้ยังไง?
A: เนื่องจากจำนวนประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามในโลกมีจำนวนมาก และพวกเขาก็มองว่าอาหารฮาลาล คือ มาตรฐานที่เข้มข้น และมาตรฐานนี้ก็ยังส่งผลไปถึงภาพของความสะอาด ปลอดภัย คุณภาพสูง ซึ่งส่งผลให้คนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม ก็เริ่มสนใจ แต่ก็อย่างที่บอกว่าฮาลาลมีมาตรฐานที่เข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซนประเทศที่เขาเป็นประเทศมุสลิม ฉะนั้นถ้าเราบอกว่ามาตรฐานฮาลาลไทย มุสลิมทุกคนที่อยู่ในไทยอาจจะเชื่อมั่นและยอมรับ แต่พอเราจะขายไปประเทศที่เป็นมุสลิมแท้ๆ อย่างมาเลเซีย, อินโดนีเซีย เราก็ต้องไปเจรจากับเขาก่อน ว่ายอมรับฮาลาลไทยไหม ถ้าไม่ยอมรับ อย่างช่วงที่ผ่านมา วิธีการแก้ไขแบบเฉพาะหน้าก็คือต้องยอมให้มาเลเซียมาเป็นคนรับรองแทน โดยใช้มาตรฐานที่ออกโดยมาเลเซีย หรือออกโดยอินโดนีเซีย เพื่อให้การค้าไม่สะดุด แต่วิธีการที่ถูกต้องจริงๆ แล้วมันต้องเทียบเคียงกันได้ หมายความว่าองค์กรมุสลิมไม่ว่าจะเป็นของไทย มาเลย์ฯ อินโดฯ ต้องคุยกันแล้วร่วมเป็นอันเดียวกัน โดยเฉพาะถ้าทำเป็นมาตรฐานฮาลาลของอาเซียนได้อันนี้จะดีมาก เรื่องนี้ขอฝากไว้

Q: ถามต่อว่า ‘ฮาลาลของไทย’ มีจุดเด่นหรือมีความน่าสนใจตรงไหนในสายตาคนทั่วโลกตอนนี้?
A: ฮาลาลของเราพยายามจะผลักดันในเรื่องของวิทยาศาสตร์ คือ การรับรองฮาลาลทั่วไปในอดีตที่ผ่านมา สมมติว่าโรงงานแปรรูปเนื้อไก่ คนที่จะเชือดไก่ก็ต้องเป็นคนมุสลิม แล้วตอนจะเชือดไก่ ไก่ต้องมีสติดีอยู่ ซึ่งคนละมาตรฐานกับทางยุโรปที่จะต้องช็อตให้มันสลบก่อนแล้วค่อยเชือด คนละวิธีกันเลย แต่ว่าในความเป็นฮาลาลไทย ถูกนำเรื่องของวิทยาศาสตร์เข้าไปเกี่ยว ก็คือการที่ใช้แลปทดลองว่ามันมีอะไรที่มันปนเปื้อนมาจากเนื้อสัตว์อื่นๆ หรือมีข้อต้องห้ามอะไรหรือไม่ อันนี้ก็เป็นอีกจุดเด่นหนึ่ง ถ้าสามารถทำให้ทั่วโลกยอมรับได้ก็จะเป็นทางออกที่ดี สำคัญที่สุดคือคำว่า เขายอมรับเราหรือเปล่า เพราะบางทีเราก็คิดว่า ของเราดีที่สุดแล้ว แต่ว่าสุดท้ายมันเจรจาได้หรือไม่ อันนี้ก็สำคัญ 

Q: มีข้อแนะนำใดต่อผู้ประกอบการไทยที่สนใจส่งออกอาหารไปสู่อาเซียนบ้าง?
A: ประเทศไทยเรามีผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเฉพาะ SME กับ Micro SME ที่อยู่ในหมวดอาหาร ซึ่งผมน่าจะ 70-80% เลยทีเดียว ผมขอกล่าวแบบนี้เวลาเราดูตัวเลขเรื่องส่งออก ตัวเลขมักจะไปโผล่ในเรื่องของยานยนต์ เรื่องของสินค้าที่เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ผลิตเยอะๆ แล้วก็มียอดจำหน่ายสูงๆ ราคาแพงๆ แต่เรื่องอาหาร ถึงแม้ไม่ได้อยู่ในอันดับต้นสุด อาจจะมีสัดส่วนประมาณสัก 10% ของ GDP แต่มันเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากและที่สำคัญประชาชนหรือผู้ประกอบการไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าของสินค้าเอง ซึ่งต่างจากสินค้าตัวอื่นที่ต้องเชิญต่างชาติมาลงทุน

เพราะฉะนั้นโอกาสของผู้ประกอบการด้านนี้ ต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะ นึกภาพง่ายๆ ถ้าเวลาสั่งอาหาร เช่น ผัดกะเพรา เราจะรู้ดีว่าผัดกะเพราแต่ละร้านรสชาติมักไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นผัดกะเพราเหมือนกัน มีวัตถุดิบส่วนประกอบที่เหมือนกัน แต่รสชาติที่ออกมาอาจจะต่างกัน ซึ่งความแตกต่างตรงนี้ จะทำให้เราสร้างกลุ่มเป้าหมายเฉพาะขึ้นได้ เช่น คนกลุ่มไหนไม่กินเผ็ด บางคนบอกว่าต้องมีเค็มบ้างนิดหน่อยอะไรอย่างนี้ คนที่เป็น SME ต้องมองนิชมาร์เก็ตเป็นหลัก ไม่ใช่บอกว่า ฉันจะทำสินค้าออกมาแล้วขายให้ทุกคนได้ นั่นแปลว่าคุณกำลังคิดอยากจะไปแข่งกับรายใหญ่ ซึ่งการฆ่าตัวตายชัดๆ ไม่รอดแน่นอนครับ

Q: ภาพรวมของธุรกิจอาหารตอนนี้สดใสแค่ไหน?
A: ก่อนไปถึงจุดนั้น ผมขอเล่าว่าใน 9 เดือนแรก ภาคการส่งออกอาหารของเราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 20 ส่วนสินค้าเกษตร หรืออาหารที่ยังไม่แปรรูป เช่น พืชผัก/เนื้อสัตว์ จะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 16 แต่ถ้ามองกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรคือที่แปรรูปแล้ว ยกตัวอย่างเช่นผักผลไม้กระป๋อง ปลากระป๋อง 9 เดือนแรกยังเติบโตถึงร้อยละ 30 

สินค้าเหล่านี้ที่เป็นพื้นฐาน ที่มีราคาไม่แพง แต่คุณภาพดีมากๆ และมีความปลอดภัยสูง มันจึงเข้าถึงง่าย และทุกครั้งที่สัญญาณทางเศรษฐกิจกลับมา อาหารก็จะเป็นกิจกรรมหนึ่งทางเศรษฐกิจที่ขาดไม่ได้ พอประกอบกับจุดแข็งของประเทศที่มีความหลากหลายของวัตถุดิบอาหารด้วยแล้ว รวมถึงค่าเงินที่อ่อนตัว และการเติบโตในตัวเลขระดับ 2 หลัก หรือเกินกว่า 10% ในภาพรวมของตลาดส่งออกอาหาร ก็ไม่ยากเกินไป 

Q: Soft Power จะช่วยให้อาหารไทยไปไกลขึ้นอีกขั้นตามที่มีการพูดถึงจริงหรือไม่?
A: จริงๆ แล้วอาหารมันเป็น Soft Power ในตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามันจะเข้าถึงกลุ่มคนตรงไหนบ้างและมีคนเอาไปกระจายต่อให้เราได้อย่างไร อย่างช่วงที่ผ่านมาเราก็มีศิลปินดังๆ ช่วย อันนี้เป็นตัวอย่างที่ดี และการประชุมเอเปคที่ผ่านมา อินฟลูเอนเซอร์สำคัญ ก็คือผู้นำประเทศต่างๆ นี่แหละ ถ้าเขามาแล้วได้ทดลองอาหารของไทยที่มันมีเอกลักษณ์ ที่ไปหาที่อื่นไม่ได้ ก็จะยิ่งช่วงให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมอาหารไทยในทุกระดับ เช่น Local / GI (Geopolitical Indications) ไปได้ดียิ่งขึ้นอีก

Q: โดยรวมแล้วในภาพของการส่งออกภาคอาหารไปได้สวย!! ทีนี้ถ้าให้คุณมองตัวแปรต่างๆ เช่น สงครามรัสเซียกับยูเครน ‘ยืดเยื้อ’ จะมีผลดีหรือเสียต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต?
A: ถ้าโดยรวมแล้วไม่มีประเทศไหนได้รับผลดีจากเรื่องนี้เลยนะครับ เพียงแต่ว่าเราจะสามารถเดินต่อไปภายใต้ภาวะความขัดแย้งนี้อย่างไร อันนี้คือเรื่องสำคัญ ถ้าเรายังวางตัวว่าเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเล็ก ซึ่งยังต้องพึ่งพาทุกๆ ฝ่าย ไม่ว่าใครจะขัดแย้งกับใคร แต่เรายังรักษาเรื่องสันติภาพ เรารักษาเรื่องของความเป็นกลางที่เข้าได้กับทุกคน ก็จะเป็นทางรอดของเรา อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ 

Q: มองการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดีอาระเบีย ซึ่งห่างหายไปนานมาก จะส่งผลดีต่อไทยในด้านใดบ้าง? เช่น การส่งออก, การลงทุน และแรงงาน
A: เรียนอย่างนี้นะครับว่า ตอนนี้ตลาดที่เราให้ความสำคัญ คือ ตะวันออกกลาง แล้วก็เน้นไปที่ซาอุดีอาระเบีย เรื่องความสัมพันธ์ที่เราขาดช่วงไปถึง 30 ปี แล้ววันนี้กลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มันทำให้เกิดการดำเนินธุรกิจหรือมีเศรษฐกิจระหว่างกันที่ดีขึ้นแน่นอน เหมือนเราได้ตลาดใหม่กลับมาอีกหนึ่งตลาด ซึ่งก่อนหน้าเราก็ยังค้าขายกัน ไม่ได้ตัดขาดกันทั้งหมด แบบร้อยเปอร์เซ็นต์อาจจะเหลือแค่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะติดทั้งปัญหาการขอวีซ่าเอย การเข้าไปเจรจาธุรกิจ หรือนำเสนอสินค้าใหม่ๆ แต่พอสัมพันธ์กลับมา ไม่ใช่เพียงแค่เปิดโอกาสให้เราขายสินค้าเข้าไป แต่เขาก็ต้องการให้เราไปลงทุนด้วย และเขาก็สนใจมาลงทุนในประเทศไทยด้วยเช่นกัน ผมจึงมองว่าตัวเลขการค้าการลงทุนหลังจากนี้ระหว่างไทยกับซาอุฯ จะดีขึ้น สถานภาพแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ของไทย-ซาอุฯ จะเกิดขึ้นภายในหนึ่งปีหรือสองปี 

นายกฯ เบรกสื่อจี้ถาม 'สุชาติ' ลาออก หลังบอกจะไปทำการเมืองร่วมกัน

(29 พ.ย. 65) พล.อ.ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรี​ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสุชาติ​ ชมกลิ่น​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน​ ลาออกจากการเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ​ โดยระบุว่า จะไปทำงานการเมืองกับนายกรัฐมนตรี​ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ยกมือเพื่อปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าว

เมื่อถามต่อว่า นายกรัฐมนตรี​ มีความชัดเจนทางการเมืองหรือยัง​ เพราะนายสุชาติ​ ยังย้ำว่า​นายกรัฐมนตรีไปไหนไปด้วย​ นายกรัฐมนตรี​ ก็ไม่ยอมตอบเช่นเดียวกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top