‘บจ. ไทย’ โกยกำไร 9 เดือน ทะลุ 8 แสนลบ. รับอานิสงส์เปิดประเทศ หลังโควิดคลาย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผย ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน 9 เดือนแรก มีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 41% ขณะที่กำไรสุทธิกว่า 8.2 แสนล้านบาท เติบโต 14.2% หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้น หลังสถานการณ์โควิดคลาย

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 780 บริษัท คิดเป็น 97.5% จากทั้งหมด 798 บริษัท (รวม SET และ mai และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน และบจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 65 พบว่ามี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 593 บริษัท คิดเป็น 76.1% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 65 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มีรายได้ 13,171,982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.1% บจ. มีต้นทุนการผลิต 10,302,728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.9% กำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) 1,489,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.6% และมีกำไรสุทธิ 825,344 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.2% สำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ 30 ก.ย.65 บจ. ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.59 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 1.54 เท่า เมื่อเทียบกับงวดปีก่อน

"การยกเลิกมาตรการควบคุมโควิดและการเปิดประเทศช่วยให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจเติบโตดีและมีการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การใช้จ่ายของคนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ทำให้ธุรกิจที่เติบโตได้ดีคือ กลุ่มธุรกิจธนาคารและบริษัทเงินทุนมีการขยายตัวด้านสินเชื่อได้ดี ธุรกิจพาณิชย์ ธุรกิจอาหาร ธุรกิจโรงพยาบาลมียอดขายเพิ่มขึ้น รวมถึงทำให้กลุ่มธุรกิจโรงแรมมียอดขายเพิ่มขึ้นและมีผลขาดทุนลดลง ทั้งนี้ ความผันผวนของสินค้าโภคภัณฑ์และอัตราแลกเปลี่ยนยังกระทบต่อต้นทุนการผลิตและอัตราการทำกำไรของ บจ." นายแมนพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ หากแยกผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ระบุว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 185 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 192 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงาน โดยงวดสะสม 9 เดือนปี 2565 พบ บจ. ที่รายงานกำไรสุทธิจำนวน 131 บริษัท คิดเป็น 71% ของบริษัทที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2565 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 153,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.8% ต้นทุนขาย 121,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.0% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ลดลงจาก 23.6% มาอยู่ที่ 21.0% กำไรจากการดำเนินงาน 8,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% และมีกำไรสุทธิรวม 6,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% โดย 4 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มียอดขาย กำไรจากการดำเนินงาน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง กลุ่มบริการ และกลุ่มเทคโนโลยี

ด้านผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. มียอดขายรวม 52,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8% กำไรจากการดำเนินงาน 2,956 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4% ขณะที่กำไรสุทธิรวม 2,183 ล้านบาท ลดลง 18.6%

"ผลการดำเนินงานของ บจ. mai งวด 9 เดือนปี 2565 บจ. ส่วนใหญ่มียอดขายเติบโต สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว หลังจากผ่านช่วงการระบาดของ COVID-19 และการเริ่มกลับมาของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมมียอดขายเพิ่มขึ้น ยกเว้นกลุ่มธุรกิจการเงิน อย่างไรก็ตาม บจ. ส่วนใหญ่มีต้นทุนสูงขึ้น จากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ ทำให้อัตราการทำกำไรลดลง และโดยรวมยังสามารถควบคุมสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายได้ดี ทำให้กำไรจากการดำเนินงานยังคงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เริ่มเห็นการฟื้นตัวของกลุ่มธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจจัดงานอีเวนต์ ธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว รวมถึงธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลบวกจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัว"

ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 309,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากสิ้นปี 2564 และโครงสร้างเงินทุนรวมแข็งแรงขึ้น โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E ratio) อยู่ที่ 0.89 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2564 ที่เท่ากับ 1.03 เท่า

ปัจจุบันมี บจ. ใน mai 193 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2565) ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 580.47 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market capitalization) อยู่ที่ 518,418 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 5,853 ล้านบาทต่อวัน


ที่มา : https://mgronline.com/stockmarket/detail/9650000113443