Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

เจ้าหน้าที่ตำรวจ - อย. บุกทลายโรงงานลักลอบผลิตผงชูรส น้ำยาล้างจาน สบู่ยี่ห้อดังย่านลำลูกกา ปทุมธานี อึ้ง พบของกลางเป็นตัน เผยใช้ถุงบรรจุพิมพ์เลียนแบบ ก่อนส่งไปขายตามตลาดนัด เน้น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 23 ก.พ. ที่โกดังเลขที่ 38/8 ภายใน อรดาแฟคเตอร์รี่แลนด์ คลอง 8 ลำลูกกา ต.ลำลูกกา อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พล.ต.ต.วิวัฒน์ ไชสังฆะ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต. ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ., ภญ. สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกันแถลงผลการทลายโรงงานลักลอบผลิตผงชูรส น้ำยาล้างจาน และสบู่ สวมยี่ห้อดัง ย่านลำลูกกา

พล.ต.ต.วิวัฒน์ ไชสังฆะ รอง ผบช.ก.กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนว่า มีโรงงานแห่งหนึ่งย่านลำลูกกา ลักลอบผลิตผงชูรส น้ำยาล้างจาน และสบู่ ปลอม จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เข้าตรวจค้นสถานที่ดังกล่าว พบแรงงานต่างด้าวจำนวนหนึ่งกำลังบรรจุผงชูรสยี่ห้อ อายิโนะโมะโต๊ะ น้ำยาล้างจานยี่ห้อ ซันไลต์ และสบู่ยี่ห้อ เบนเนท

จากการสืบสวนพบว่า สถานที่แห่งนี้มีพฤติการณ์ลักลอบผลิตผงชูรส น้ำยาล้างจาน และสบู่ ปลอมมากว่า 1 ปีแล้ว ผลิตผงชูรสโดยแบ่งบรรจุจากผงชูรสไม่มียี่ห้อนำมาผสมเกลือ ก่อนบรรจุใส่ถุงที่พิมพ์ยี่ห้อ “อายิโนะโมะโต๊ะ” ผลิตน้ำยาล้างจานโดยแบ่งบรรจุจากน้ำยาล้างจานที่ผสมเอง แล้วนำมาบรรจุถุงที่พิมพ์ยี่ห้อ “ซันไลต์” ส่วนสบู่จะนำมาห่อพลาสติกและบรรจุลงกล่องที่พิมพ์ยี่ห้อ “BENNET” แล้วส่งสินค้าสำเร็จรูปไปขายในจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส

เจ้าหน้าที่จึงยึดของกลางไว้ทั้งหมด เป็นผงชูรสสำเร็จรูปปลอมยี่ห้อ อายิโนะโมะโต๊ะ กว่า 5,000 ซอง ผงชูรสวัตถุดิบ กว่า 22 ตัน เกลือวัตถุดิบกว่า 1.4 ตัน ซองผงชูรสเปล่ากว่า 1.1 แสนชิ้น น้ำยาล้างจานสำเร็จรูปยี่ห้อ ซันไลต์ 20 ถุง ซองน้ำยาล้างจานเปล่ากว่า 25,000 ชิ้น สบู่ยี่ห้อ BENNET กว่า 2,088 ก้อน สบู่เปลือยรอบรรจุกว่า 20 กระสอบ ลังบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์การผลิต และเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตอีกจำนวนหนึ่ง

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 ฐานผลิตอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาตและปลอม มีโทษสูงสุด จำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 5 พันบาทถึง 1 แสนบาท ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ฐานผลิตวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 โดยไม่แจ้งข้อเท็จจริงและปลอม มีโทษสูงสุด ต้องระวางโทษกึ่งหนี่งของโทษตามมาตรา 75 (จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 7 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) และตามพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ฐานผลิตเครื่องสำอางที่ไม่ได้จดแจ้ง/ปลอม/แสดงฉลากไม่ถูกต้อง มีโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ ในประเด็นการละเมิดเครื่องหมายการค้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเชิญผู้เสียหายมาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไป

พล.ต.ต. วิวัฒน์ ไชสังฆะ รอง ผบช.ก. กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่แจ้งเบาะแสการกระทำความผิด ทำให้เจ้าหน้าที่ทั้ง อย. และ บก. ปคบ. สามารถสืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิดพร้อมของกลางเป็นจำนวนมาก ไม่ให้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพหลุดลอดไปจำหน่าย หากพบเห็นการลักลอบผลิต นำเข้า หรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งมาที่สายด่วน ปคบ. 1135 เพื่อตำรวจ บก. ปคบ. และเจ้าหน้าที่ อย. จะร่วมกันปราบปรามผู้กระทำความผิดกฎหมายอย่างเข้มข้นต่อไป

ด้านภญ. สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์สุขภาพปลอมที่ยึดได้ใช้วิธีสวมยี่ห้อผลิตภัณฑ์ที่ขออนุญาตอย่างถูกต้อง ทำให้ตรวจสอบได้ยาก ขอให้ผู้บริโภคระวังสินค้าที่มีราคาถูกเป็นพิเศษหรือขายในแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ หากไม่แน่ใจให้ตรวจสอบกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ตามที่ปรากฏในฐานข้อมูลของ อย. และหากพบการลักลอบผลิต นำเข้า จำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งมาที่สายด่วน อย. 1556

ส่วนนายชาย ปราบเล่ง กรรมการผจก. สบู่เบนเนท กล่าวว่า การดูของแท้หรือของปลอมนั้น ให้ตรวจดูบริเวณใต้กล่อง จะมีล็อตนำเบอร์ และตรงยี่ห้อจะมีสัญญาลักษณ์ ตัว R อยู่ และการซื้อสบู่ของบริษัทก็สามารถซื้อได้ตามร้ายค้าชั้นนำ และร้านค้าที่หน้าเชื่อถือ ซึ่งส่วนมากสบู่ปลอมจะขายตามตลาดนัด หรือไม่ก็ในเฟซบุ๊ก ที่มีราคาถูกกว่าราคาจริงมาก


อ้างอิงเพจ : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_6010337

‘พ่อมดดำ’ เตือนพรรคการเมืองคิดให้ดีก่อนเช็คบิล ส.ส.แหกมติ ชี้ รัฐธรรมนูญให้เอกสิทธิ์ - อิสระ หากด่วนลงดาบอาจขัดรัฐธรรมนูญถึงขั้นถูกยุบพรรคได้ หวังป้องกันระบบ ‘ใบสั่ง’ แต่ถ้าส.ส.สวนมติพรรคแลกผลประโยชน์ สมควรถูกประณาม - ลงโทษ

นายสุชาติ ตันเจริญ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 กล่าวถึงกรณี ส.ส.ลงมติในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลไม่เป็นไปตามมติพรรค และแต่ละพรรคมีการตั้งกรรมการสอบสวนว่า

ประเด็นนี้ไม่ควรมองในมิติเสถียรภาพของรัฐบาล ความเป็นเอกภาพของฝ่ายค้าน หรือมารยาททางการเมืองเพียงอย่างเดียว จำเป็นต้องมองในมุมของหลักการ และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต่อการทำหน้าที่ของ ส.ส.ด้วย

เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ได้บัญญัติเกี่ยวกับความเป็นอิสระ และเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ไว้ในหลายส่วน อาทิ มาตรา 114 ที่ระบุว่า ส.ส.ย่อมเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงําใดๆ ขณะที่มาตรา 124 ก็ระบุว่า ในที่ประชุมสภาฯ ที่ประชุมวุฒิสภา หรือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา สมาชิกผู้ใดจะออกเสียงลงคะแนน ย่อมเป็นเอกสิทธิ์โดยเด็ดขาด ตลอดจนข้อบังคับสภาฯ ข้อที่ 178 วรรคหนึ่ง ได้กำหนดไว้สอดคล้องกัน คือ ทั้งในการอภิปราย หรือการลงมติ สมาชิกของพรรคการเมืองย่อมมีอิสระ ไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ เพื่อเป็นหลักประกันในการทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนของปวงชนชาวไทย ที่ต้องมีอิสระ

“การลงมติใด ๆ ของ ส.ส.แต่ละคนย่อมเป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส.ผู้นั้นที่จะไม่อยู่ในอาณัติมอบหมาย หรือความครอบงำใดๆ ตามที่รัฐธรรมนูญและข้อบังคับสภาฯ ได้บัญญัติรองรับไว้อย่างชัดเจนว่า ส.ส.ย่อมอยู่ภายใต้หลักของการทำหน้าที่ด้วยความเป็นอิสระเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเป็นหลักการทั่วไปของการปกครองระบอบประชาธิปไตย” นายสุชาติ กล่าว

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า การดำเนินการของพรรคการเมืองเพื่อสอบสวน ส.ส.ที่ไม่ลงมติตามมติพรรคนั้นสามารถกระทำได้ภายใต้ข้อบังคับของพรรคการเมืองนั้นๆ เพื่อแสวงหาเหตุผลที่ ส.ส.ไม่ปฏิบัติตามมติพรรค และนำไปชี้แจงต่อประชาชน รวมทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบ ในกรณีฝ่ายรัฐบาล อาจจะเป็นเพราะรัฐมนตรีผู้นั้นชี้แจงข้อกล่าวหาได้ไม่ชัดเจน ซึ่งก็ต้องเป็นรัฐมนตรี หรือพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล ต้องดำเนินการชี้แจงเพิ่มเติม ส่วนส.ส.ฝ่ายค้านก็อาจมองรัฐมนตรีชี้แจงได้ชัดเจนดีแล้วจึงลงมติไว้วางใจให้ เป็นต้น

ส่วนการจะสอบสวนเพื่อนำไปสู่การลงโทษ ซึ่งข้อบังคับของแต่ละพรรคกำหนดโทษสูงสุดถึงขั้นขับออกจากพรรคนั้น ควรต้องพึงระวังว่าอาจจะขัดต่อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 เข้าข่ายการกระทำที่ไม่เป็นไปตามที่รัฐธรมนูญกำหนด หรือเป็นลักษณะที่ยินยอมให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากใช้เหตุผลว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่พอใจ แล้วมาสอบสวนหรือลงโทษ ส.ส.ที่สังกัดพรรคตัวเอง อาจเข้าข่ายคนนอกครอบงำ เป็นเหตุให้นำไปสู่การร้องขอให้ยุบพรรคการเมืองนั้นได้

นายสุชาติ กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนอยู่ในระบบพรรคการเมืองมาตลอด เข้าใจดีถึงความสำคัญของความเป็นเอกภาพของพรรคการเมือง ยืนยันว่าไม่ได้ต้องการให้ท้ายหรือสนับสนุนให้ ส.ส.แหกมติพรรค แต่ต้องไม่ลืมว่า มติพรรคไม่ได้มีสภาพบังคับตามกฎหมาย เป็นเพียงธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อรักษาความเป็นเอกภาพของพรรค แต่เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดไว้เช่นนี้พรรคต้นสังกัดก็ย่อมต้องให้เกียรติวิจารณญาณของ ส.ส.ด้วยเช่นกัน แม้ ส.ส.จะต้องสังกัดพรรคการเมือง และอยู่ภายใต้ข้อบังคับของพรรคการเมือง แต่ก็ไม่มีกฎหมายใดจะอยู่เหนือรัฐธรรมนูญที่ให้อิสระไว้ได้ อีกทั้งการยึดติดให้ ส.ส.ต้องปฏิบัติตามมติพรรคอย่างเคร่งครัดก็อาจนำไปสู่ระบบใบสั่ง ทำให้ ส.ส.ที่เป็นตัวแทนของประชาชน ไม่มีเสรีภาพในการออกเสียงอย่างเป็นอิสระ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

“ผมเห็นว่าการลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจฯของ ส.ส.เป็นวิจารณญาณของผู้นั้นที่จะตัดสินใจได้โดยอิสระ แต่ในทางกลับกันหากการลงมติของ ส.ส.ผู้นั้นไม่เป็นไปตามมติพรรค เพียงเพื่อแลกรับผลประโยชน์ต่างตอบแทนใดๆ หรือมีวาระส่วนตัวซ่อนเร้น ก็เป็นเรื่องที่ควรต้องถูกประณามและลงโทษในแง่จริยธรรมเช่นกัน หากชี้แจงไม่ได้หรือมีหลักฐานชัดเจน” นายสุชาติ กล่าว

นักร้อง นักแสดง นักเคลื่อนไหว “ทราย เจริญปุระ” โวยเพจบางเพจชำแหละการแต่งตัวของ “ไผ่ ดาวดิน” ใช้ของแบรนด์เนม ทั้งตัวรวมกว่า 4 หมื่น ระบุเป็นคนจัดแจงรองเท้าวิ่งให้เอง เซฟร่างกายระหว่างจัดกิจกรรมเดินจากโคราชถึงกรุงเทพฯ

อีกทั้งเสื้อผ้าส่วนใหญ่เน้นทน ถามสนอะไรกับของใช้ ราคาชีวิตที่จ่ายไปมีใครคิดบ้างไหม

วันนี้ (23 ก.พ.) เฟซบุ๊ก Inthira Charoenpura ของ น.ส.อินทิรา เจริญปุระ หรือทราย นักร้อง นักแสดง พิธีกร และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความถึงกรณีที่เฟซบุ๊กเพจแห่งหนึ่ง ออกมาชำแหละการแต่งกายของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 ที่กำลังจัดกิจกรรมเดินทะลุฟ้า จากจังหวัดนครราชสีมาถึงกรุงเทพมหานคร ระยะทาง 247.5 กิโลเมตร ว่า

“เจอคอนเทนต์ราคาเสื้อไผ่กับอุปกรณ์งานเดินเข้าไปถึงกับเหม่อ นี่เคี่ยวเข็ญและขอร้องกันแทบตาย ว่าให้ใส่ ต้องใส่ รองเท้านี่คุณใส่รองเท้าเซฟร่างกายด้วยเถอะ ก็ยังจะดื้อบอกตอนเป็นพระผมก็เท้าเปล่าเดินได้ เดินไกลก็ใส่แตะเอา เลยต้องกางให้ดูว่าถ้าเจ็บ เข้าโรงพยาบาล มันไม่คุ้มไง หารระยะทางกับราคารองเท้าและค่าที่เราจะเซฟร่างกายได้ด้วยครับไผ่ แล้วเสื้อนี่ก็ใส่แล้วไผ่ก็ซักเอง ใครมันใส่เสื้อครั้งเดียวแล้วทิ้งวะ ข้าวของไผ่ส่วนใหญ่ก็เน้นทนนั่นแหละ เพราะพี่ก็ลุยจ๊างงงงง คนทำคอนเทนต์งี่เง่าแล้วก็เรื่องนึง คนเอาเรื่องนี้ไปเป็นสาระก็สิ้นสติกว่า จะบ้าตาย”

ทราย เจริญปุระ ยังย้ำอีกว่า “สนใจอะไรกับราคาของใช้ ราคาที่ไผ่ต้องจ่ายชีวิตไป ต้องประกันตัว เพราะออกมาเรียกร้อง ต้องติดคุกนี่มีใครคิดราคาบ้างมั้ย”

สำหรับเครื่องแต่งกายของนายจตุภัทร์ที่เฟซบุ๊กเพจแห่งหนึ่งออกมาชำแหละ ประกอบด้วย หมวก THE NORTH FACE ราคา 1,450 บาท, แว่น RAYBAN CLUBMASTER ราคา 6,350 บาท, เสื้อแจ็กเกต THE NORTH FACE ESSENTIAL H2O ราคา 4,375 บาท, เสื้อแขนกุด UNDER ARMOUR UA MENS BASELINE PERFORMANCE ราคา 1,812 บาท, นาฬิกา GARMIN INSTINCT ราคา 10,900 บาท, กางเกง NIKE FLEX STRIDE RUN DIVISION ราคา 1,900 บาท, กระเป๋า FREITAG F11 LASSIE ราคา 7,700 บาท และรองเท้า NIKE REACT INFINITY RUN FLYKNIT 2 ราคา 5,800 บาท รวมทั้งสิ้น 40,287 บาท ซึ่งออกมาโจมตีว่าการแต่งกายของนายจตุภัทร์ ล้วนแต่ใส่สินค้าแบรนด์เนม อาทิ แบรนด์กีฬาและการออกกำลังกายอย่าง NIKE และ UNDER ARMOUR หรือแบรนด์เสื้อผ้าสำหรับเดินป่าอย่าง THE NORTH FACE


ที่มา :

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000017961

https://www.facebook.com/themettad/photos/a.899340993547876/1864291800386119/?type=3

https://www.facebook.com/anythingbutITR?fref=nf

https://www.facebook.com/themettad/photos/a.899340993547876/1864291800386119/?type=3

เคาะแล้ว ! บทลงโทษ 4 ส.ส.ก้าวไกล คณะกรรมการวินัยฯ เผย ผิดวินัยร้ายแรง ให้ตัดสิทธิพึงมีในฐานะสมาชิกพรรคการเมือง แจงชัดไม่ขับออกจากพรรค ดักทางการเมืองเก่ารอเก็บผลประโยชน์ ย้ำไม่อยากเตะหมูเข้าปากหมา

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 64 ที่พรรคก้าวไกล มีการประชุมคณะกรรมการวินัยและจรรณยาบรรณสมาชิกพรรคก้าวไกล ครั้งที่ 2/64 โดย นายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นวาระปกติ แต่ดังที่ทราบกันดีว่า ในการลงมติตามญัตติอภิปรายไม่ไว้วางในรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล มีสมาชิก 4 ท่าน ได้แก่ นายคารม พลพรกลาง , นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ , นายพีรเดช คำสมุทร และนายขวัญเลิศ พานิชมาท ได้ลงมติไว้วางใจ นายอนุทิน ชาญวีระกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่พรรคก้าวไกล เป็นผู้อภิปราย และเห็นสอดคล้องกันว่า นายอนุทิน เป็นผู้บริหารจัดการวัคซีนผิดพลาด เอาประชาชนไปกระจุกเสี่ยงจากวัคซีนแหล่งเดียว ไม่สนใจคำแนะนำของบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ความสามารถ ขาดความโปร่งใส ขัดขวางกลไกการตรวจสอบ ทั้งที่เงินทุกบาทที่ซื้อวัคซีนล้วนเป็นเงินภาษีที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชน

และหากมีการฉีดวัคซีนล่าช้าจะส่งผลให้ปัญหาปากท้องลากยาวไม่จบสิ้น ประชาชนทุกข์ยากแสนสาหัส คนตกงาน สูญเสียอาชีพ รายได้ฝืดเคือง และทำมาหากินด้วยความยากลำบาก จึงทำให้ไม่อาจไว้วางใจได้ ซึ่งการลงมติไว้วางใจดังกล่าวยังขัดกับความรู้สึกของประชาชน สมาชิก และผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลจำนวนมาก จึงทำให้ต้องนำเอาพฤติการณ์ของสมาชิกทั้ง 4 คน เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการวินัยฯ ในครั้งนี้ด้วย

สำหรับผลการประชุม คณะกรรมการวินัยฯ ทั้ง 5 คน มีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า ภายหลังการลงมติดังกล่าว สมาชิกทั้ง 4 มีการให้ข้อมูลต่อสาธารณะและสื่อมวลชนเพิ่มเติมในหลายครั้งหลายวาระ ซึ่งจากการตรวจสอบรายละเอียดพบว่า มีข้อความหลายประการที่ส่งผลเสียหาย โดยเฉพาะต่ออุดมการณ์และแนวทางทำงานของพรรค นอกจากนี้ ยังพบว่า สมาชิกทั้ง 4 ได้ขาดการร่วมกิจกรรมต่างๆของพรรค รวมถึงขาดการเข้าร่วมประชุมพรรคอย่างต่อเนื่องและยาวนานพอสมควร ซึ่งทางพรรคมีข้อมูลหลักฐานที่บันทึกไว้อย่างชัดเจน โดยพฤติกรรมเหล่านี้เข้าข่ายผิดวินัยร้ายแรงตามข้อบังคับพรรค ข้อ 119 กล่าวคือ

หากเป็นการทำผิดวินัยทั่วไป คณะกรรมการวินัยฯ มีสิทธิลงโทษได้ 4 อย่าง ได้แก่ การตักเตือน การภาคทัณฑ์ การตัดสิทธิที่พึงมีในฐานะสมาชิกพรรคการเมือง และการให้พ้นสมาชิกภาพจากพรรคการเมือง ส่วนกรณีกระทำผิดวินัยร้ายแรง คณะกรรมการวินัยฯมีสิทธิลงโทษได้ 2 อย่างคือ การตัดสิทธิที่พึงมีในฐานะสมาชิกพรรคการเมือง และการให้พ้นสมาชิกภาพจากพรรคการเมือง

“สำหรับสมาชิกทั้ง 4 คน คณะกรรมการวินัย เห็นตรงกันว่า ให้ตัดสิทธิที่พึงมีในฐานะสมาชิกพรรคการเมือง ส่วนสาเหตุที่ไม่ตัดสินให้พ้นจากสมาชิกภาพพรรคการเมืองนั้น เหตุผลเป็นไปตามที่หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคให้เหตุผลก่อนหน้านี้ คือเพื่อไม่ให้มีผลต่อสัดส่วนการทำงานต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรและเพื่อไม่ให้เป็นการเตะหมูเข้าปากหมาสมประโยชน์นักการเมืองและพรรคการเมืองที่กำลังทำการเมืองแบบเก่าและรอคอยอยู่” นายณัฐวุฒิ กล่าว

ทั้งนี้ รายละเอียดบทลงโทษ ในส่วนของพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรค รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคจะไม่ส่งสมาชิกทั้ง 4 ลงรับสมัครเลือกตั้งครั้งถัดไปและจะดำเนินการตามระเบียบพรรคเพื่อให้ถอด นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ออกจากการเป็นรองเลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นอำนาจเลขาธิการพรรคดำเนินการ

นอกจากนี้ พรรคก้าวไกล ไม่อนุญาตให้สมาชิกทั้ง 4 เข้าร่วมกิจกรรมและไม่อนุญาตให้ใช้ชื่อพรรคในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทางการเมือง รวมถึงส่วนที่เป็นโควต้าเวลาของพรรคการเมือง เช่น การปรึกษาหารือ การตั้งกระทู้ถามสด การนั่งเป็นกรรมาธิการคณะต่าง ๆ หรือการอภิปรายในสัดส่วนโควต้าของพรรค พรรคขอตัดสิทธิในสัดส่วนเหล่านี้สำหรับสมาชิกทั้ง 4 และในฐานะรองหัวหน้าพรรค ขอเรียนว่าเพื่อให้การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง พรรคจึงขอสงวนสิทธิในการส่ง ส.ส. หรือสมาชิกพรรคลงทำงานในพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด เชียงราย และชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ของสมาชิกทั้ง 4 คนทันที

“ขอยืนยันอีกครั้งว่า การกระทำผิดดังกล่าว เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะ มีความชัดเจน มีข้อมูล มีพยานหลักฐาน คณะกรรมการวินัยจึงของตัดสินโทษต่อสมาชิกทั้ง 4 ดังที่แจ้งไว้ต่อสื่อมวลชน” นายณัฐวุฒิ ระบุ

เพิ่งเข้าเมืองมาได้หมาดๆ ก็ถูกไล่เข้าป่าอีกแล้ว หลัง ‘ติ๊ก เจษฎาภรณ์’ โดนวิจารณ์แหลกหลังออกมาทวิตเกี่ยวกับทางเดินเท้าไทยที่ยังย่ำแย่

โดยพระเอกหล่ออมตะ ‘ติ๊ก - เจษฎาภรณ์ ผลดี’ แชร์ภาพคนเดินตกท่อ แม่เข็นลูกบนถนนแทนฟุตบาท พร้อมทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ ตั้งคำถามถึงสิทธิพื้นฐานเกี่ยวกับทางเดินเท้า

‘ติ๊ก เจษฎาภรณ์’ โพสต์ทวิตเตอร์ว่า “เรารู้สึกอย่างไรกันบ้างครับที่จะต้องคอยมาสอดส่องเรียกร้องสิทธิพื้นฐานกับผู้ที่มีหน้าที่โดยตรง สวัสดิภาพที่ดีกับบรรยากาศที่ดีย่อมน่าจะได้รับก่อนสิ่งใด ขอบคุณเจ้าของเพจนะครับ #ทางเท้า #ฟุตบาทไทย”

หลังจากนั้นกลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ทันที เพราะมีคนแห่แชร์โพสต์ดังกล่าวหลายหมื่นแชร์ในเวลาไม่นาน ซึ่งในนั้นมีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แต่ในส่วนที่ไม่เห็นด้วยนั้น ก็เรียกว่ากลายเป็นดราม่าถึงขั้นด่ายับพระเอกหล่ออมตะว่าไม่มีสมอง พร้อมไล่กลับเข้าป่ากันเลยทีเดียว


ที่มา: https://www.facebook.com/141108613290/posts/10159534528253291/

24 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกยกให้เป็นวันสำคัญของชาติอีกวันหนึ่ง นั่นคือ วันศิลปินแห่งชาติ ซึ่งที่มาของวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

โดยพระองค์ทรงได้รับการสรรเสริญว่า มีพระปรีชาสามารถในศิลปกรรมต่าง ๆ หลายสาขา เพื่อเป็นการเชิดูพระเกียรติคุณ วันนี้จึงถูกยกให้เป็น ‘วันศิลปินแห่งชาติ’ ร่วมด้วยอีกวันหนึ่ง

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรี พระองค์ที่ 2 มีพระนามเดิมว่า ฉิม พระราชสมภพเมื่อวันพุธขึ้น 7 ค่ำ เดือน 4 ปีกุน ซึ่งตรงกับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2310 โดยทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 4 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และขึ้นเสวยราชสมบัติในช่วงปีพ.ศ. 2352 - 2367

ตลอดการขึ้นครองราชย์ ทรงได้รับการยกย่องว่า เป็นพระปฐมบรมศิลปินแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยทรงมีพระปรีชาสามารถในศิลปกรรมด้านต่าง ๆ ทั้งด้านกวีนิพนธ์ ด้านประติมากรรม และด้านดนตรี โดยทรงโปรดการแต่งบทกลอน และมีเครื่องดนตรีชิ้นโปรด นั่นคือ ซอสามสาย และทรงเคยพระราชนิพนธ์บทเพลงที่มีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือ เพลงบุหลันลอยเลื่อน

ด้วยพระปรีชาสามารถอันเปี่ยมล้น ต่อมาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติประกาศให้วันที่ 24 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันศิลปินแห่งชาติ ทั้งนี้เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในการส่งเสริม และทำนุบำรุงศิลปกรรมของชาติ ตลอดรัชสมัยของพระองค์

ธรรมเนียมหนึ่งในวันศิลปินแห่งชาตินั้น คือการประกาศผลการคัดเลือกศิลปินแห่งชาติ ที่มีอยู่ด้วยกัน 3 สาขา ได้แก่ สาขาทัศนศิลป์ สาขาวรรณศิลป์ และสาขาศิลปะการแสดง จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2528 และมีการประกาศเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการเชิดชูทรัพยากรบุคคลทางด้านศิลปะ ที่ได้สืบสานงานศิลปะของชาติ รวมถึงการถ่ายทอดภูมิปัญญาของบรรพบุรุษในอดีต ให้ดำรงอยู่ และสืบต่อไปยังอนาคตข้างหน้าด้วยนั่นเอง


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki

https://hilight.kapook.com/view/56456

https://www.m-culture.go.th/chiangmai/ewt_news.php?nid=631&filename=index

แม้วันนี้จะมี ‘สื่อ’ เกิดขึ้นมากมาย แต่หนึ่งในสื่อที่ยังมีความนิยม และทรงพลัง ต่อผู้คนในทุกระดับ นั่นก็คือ สื่อวิทยุ ซึ่งวันนี้ มีความพิเศษสำหรับแวดวงการกระจายเสียงทางวิทยุของเมืองไทย เพราะถูกยกให้เป็น ‘วันวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ’

ย้อนเวลากลับไปราว 91 ปีก่อน วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดการส่งวิทยุไปสู่ประชาชน โดยผู้ที่เป็นผู้บุกเบิกการกระจายเสียงทางวิทยุในเวลานั้น คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และการคมนาคม ในสมัยรัชกาลที่ 7

เริ่มต้น ท่านได้ตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงขึ้นที่ตึกทำการไปรษณีย์ปากคลองโอ่งอ่าง ตำบลวัดราชบูรณะ โดยใช้ชื่อสถานีว่า 4 พีเจ (4PJ) ต่อมา ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ซึ่งตรงกับวันพระราชพิธีฉัตรมงคล ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ก็ได้ทรงเปิดการกระจายเสียงวิทยุสู่พสกนิกรเป็นครั้งแรก โดยใช้ชื่อว่า ‘สถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พญาไท’ ตั้งอยู่ที่วังพญาไท มีกำลังส่งกว่า 2.5 กิโลวัตต์

โดยพิธีเปิดสถานีในวันนั้น เป็นการอัญเชิญกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันพระราชพิธีฉัตรมงคล กระจายเสียงไปสู่พสกนิกรให้ได้รับฟัง ในเวลาต่อมา จึงจัดตั้งให้วันที่ 25 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ

จวบจนถึงปัจจุบัน กิจการวิทยุกระจายเสียงได้พัฒนาแพร่หลายขึ้นเป็นลำดับ จนกลายมาเป็นกลไกหนึ่งที่มีความสำคัญในกระบวนการสื่อสาร และมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ข่าวสาร วิชาการ และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนถึงวันนี้ การกระจายเสียงจากวิทยุก็ยังคงมีความสำคัญ แม้จะผันผ่านไปตามกาลเวลา แต่เสน่ห์และคุณค่าก็ยังคงอยู่เช่นเดิม

คนไทยคุ้นเคยกับคำว่า ‘โครงการหลวง’ กันมายาวนาน ซึ่งวันนี้เมื่อกว่า 30 ปีก่อน ถือเป็นวันแรกที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงจัดตั้ง ‘มูลนิธิโครงการหลวง’ ขึ้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวไทยภูเขาอย่างยั่งยืน

ที่มาของ ‘โครงการหลวง’ เกิดขึ้นจากพระราชประสงค์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงห่วงใย และมีพระราชปณิธานอยากให้ชาวเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตลอดจนสามารถสร้างรายได้ทดแทนการปลูกฝิ่น ที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย

จึงเป็นที่มาของการจัดตั้ง ‘โครงการหลวง’ ซึ่งเป็นโครงการส่วนพระองค์ในการส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวแก่ชาวเขา เพื่อเป็นการสร้างรายได้ โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ. 2512

โดยในช่วงระยะแรกนั้น ถูกจัดเป็นโครงการอาสาสมัคร ที่ได้บุคลากรจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ กรมวิชาการเกษตร กรมปศุสัตว์ กองทัพอากาศ ฯลฯ มาร่วมกันพัฒนาโครงการให้เติบโต รุดหน้า และขยายออกไปในวงกว้าง

กระทั่งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โครงการหลวงจดทะเบียนเป็น ‘มูลนิธิโครงการหลวง’ โดยพระราชทานเงินเพื่อเป็นทรัพย์สินของมูลนิธิฯ เริ่มแรก 500,000 บาท เพื่อให้เป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ที่ถาวรมั่นคง

นับจนถึงวันนี้ มูลนิธิโครงการหลวง ยังคงสืบสานพระราชปณิธานต่อไป โดยปัจจุบันได้ขยายโครงการออกไปใน 8 จังหวัดภาคเหนือ มีสถานีวิจัย 4 สถานี และมีศูนย์พัฒนาโครงการอีกกว่า 21 แห่ง รวมทั้งมีหมู่บ้านในเขตปฏิบัติการอีกกว่า 267 หมู่บ้าน ซึ่งผลผลิตจากโครงการหลวง อาทิ ผลไม้ พืชผักปลอดสารพิษ ผลิตภัณฑ์แปรรูป ‘ดอยคำ’ ก็จัดเป็นสินค้าที่ได้รับความสนใจในวงกว้าง

เหนือสิ่งอื่นใดนั้น คือความมุ่งหวังให้ชุมชนโครงการหลวงเติบโตอย่างมีคุณภาพ และอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเอง ลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งหมดถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน


ที่มา: http://www.royalprojectthailand.com/about

ย้อนเวลากลับไปราว 50 - 60 ปีก่อน เพลงไทยที่เรียกตัวเองว่า ‘เพลงไทยลูกกรุง’ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยหนึ่งในนักร้องที่จัดว่าอยู่ในระดับหัวแถวของแนวเพลงดังกล่าวนี้ มีชื่อของ ‘สุเทพ วงศ์กำแหง’ รวมอยู่ในนั้น

กว่า 60 ปีที่ขับขานบทเพลงให้ผู้คนได้รับฟัง ปฏิเสธไม่ได้ว่า นี่คือตัวอย่างของการเป็นนักร้องคุณภาพอย่างแท้จริง

เรืออากาศตรี สุเทพ วงศ์กำแหง เป็นชาวจังหวัดนครราชสีมาโดยกำเนิด เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่ม ได้เข้ารับราชการเป็นทหารอากาศ สังกัดกองพันต่อสู้อากาศยาน ต่อมาในช่วงปีพ.ศ. 2498 ก็ได้เข้ามาประจำอยู่ที่วงดุริยางค์ทหารอากาศ ครั้นเมื่อออกจากราชการกองทัพอากาศแล้ว สุเทพก็ได้เข้าร่วมกับคณะชื่นชุมนุมศิลปิน มีโอกาสร้องเพลงทั้งในรายการวิทยุและโทรทัศน์จนมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น

สุเทพ วงศ์กำแหง กลายเป็นนักร้องที่โด่งดังมาก ๆ จากการได้ร้องเพลงคู่กับ สวลี ผกาพันธ์ นักร้องหญิงแห่งยุคในเวลานั้น จนทั้งคู่กลายเป็นนักร้องทรงพลังที่มีแฟนเพลงติดตามผลงานกันมากมาย และด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ชวนฟัง เจ้าตัวจึงได้รับการขนานนามว่า ‘เป็นนักร้องเสียงขยี้แพรฟองเบียร์’

สุเทพ วงศ์กำแพง มีผลงานเพลงอมตะมากมาย อาทิ รักคุณเข้าแล้ว เธออยู่ไหน บ้านเรา เสน่หา ซึ่งหลาย ๆ บทเพลงก็ยังถูกศิลปินรุ่นหลัง ๆ ในวันนี้ นำไปร้องคัฟเวอร์กันอยู่เสมอ ตลอดเส้นทางอาชีพนักร้อง สุเทพ วงศ์กำแหง ได้รับรางวัลการันตีมากมาย อาทิ รางวัลแผ่นเสียงทองคำพระราชทาน รางวัลเสาอากาศทองคำ และรางวัลอันทรงเกียรติอย่าง รางวัลศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง ในปีพ.ศ. 2533

กระทั่งเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พงศ. 2563 นักร้องเจ้าของฉายา เสียงขยี้แพรฟองเบียร์ท่านนี้ ก็ได้เสียชีวิตลงในบ้านพักย่านวัฒนา กรุงเทพฯ ด้วยวัย 86 ปี แม้ตัวจะจากไป แต่น้ำเสียงและบทเพลงอันเป็นอมตะ ของนักร้องที่ชื่อ ‘สุเทพ วงศ์กำแหง’ ก็จะยังคงอยู่ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและรับฟังกันตลอดไป


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สุเทพ_วงศ์กำแหง

รัฐบาล เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อขบวนการแลกสิทธิ ‘เราชนะ’ และมาตรการอื่นๆ เป็นเงินสด ชี้เป็นการใช้ผิดวัตถุประสงค์เข้าข่ายผิดกฎหมาย ฐานฉ้อโกง

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้มีประชาชนแจ้งเข้ามาเกี่ยวกับการดำเนินการนำสิทธิของโครงการเราชนะ หรือมาตรการอื่นๆ ไปซื้อขายสิทธิ จึงขอแจ้งเตือนประชาชนว่าขอให้หลีกเลี่ยงการดำเนินการในลักษณะเช่นนั้น เพราะถือเป็นความผิด โดยกองบังคับการปราบปรามได้ดำเนินการตรวจสอบเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการฉ้อโกง จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ หากมีการเสนอให้ผลประโยชน์แลกเปลี่ยนเป็นเงินสด

นอกจากนี้ มีอีกประเด็นที่มีการร้องเรียนเข้ามาคือ ผู้ร่วมโครงการในส่วนของร้านค้าในโครงการเราชนะมีการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ขอให้ส่วนที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในไปดำเนินการออกตรวจสอบทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ให้ขึ้นป้ายแสดงราคาสินค้าให้ชัดเจน และห้ามจำหน่ายสินค้าเกินราคา หากใครฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี

“อยากขอประชาสัมพันธ์เรื่องการลงทะเบียนของประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน นอกจากจะสามารถลงทะเบียนที่ธนาคารกรุงไทยแล้ว ยังสามารถลงทะเบียนได้ที่ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รวมถึงสามารถลงทะเบียนได้ที่สำนักงานคลังจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานสรรพสามิต และสำนักงานสรรพากรพื้นที่”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top