Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

ศบค.เคาะแล้ว ต่อ พรก.ฉุกเฉินอีก 1 เดือน ถึง 31 มี.ค. แต่ผ่อนคลายให้นั่งดื่มและฟังดนตรีสดได้ถึง 23.00 น. ยกเว้นสมุทรสาครจังหวัดเดียวที่ยังเป็นพื้นที่สีแดง

เมื่อวันที่ 22 ก.พ.ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.เปิดเผยว่า ที่ประชุม ศบค.เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบต่อ พรก.ฉุกเฉิน ไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม และเหลือพื้นที่สีแดงเพียงจังหวัดเดียวคือจังหวัดสมุทสาคร ส่วนสีส้ม เหลือ 8 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ สมุทรสงคราม นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี ราชบุรี ตาก เป็นต้น สีเหลือง 14 สีเขียว 54 จังหวัด

ทั้งนี้ สามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ทุกพื้นที่ ยกเว้นสมุทรสาคร จนถึงเวลา 23.00 น. รวมถึงสามารถเล่นดนตรีสดได้ แต่คงห้ามเต้น ส่วนศูนย์การค้าเปิดได้ตามปกติ สำหรับสถานการศึกษาสามารถเปิดได้ตามปกติและผสมผสาน ส่วนสถานที่ออกกำลังกายเปิดได้ตามปกติ ส่วนการแข่งขันยังคงจำกัดผู้ชุม

อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อกำหนดในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น ให้เป็นอำนาจของแต่ละจังหวัดเป็นผู้ประกาศ

หาเสียงแนวใหม่ ! ‘กรณ์’ - ‘สราวุฒิ’ ลงพื้นที่สำรวจแหล่งท่องเที่ยว เขต 3 นครศรีธรรมราช ล่องแพยาง - บอร์ดยืนพาย โชว์การท่องเที่ยวทางน้ำ เป็นของดีอันใหม่ แพ็คทีมผู้บริหารพรรค เดินสายพบประชาชนหลายพื้นที่ ย้ำความพร้อมลงมือทำทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เป็นไปอย่างคึกคัก ผู้สมัครหมายเลข 1 นายสราวุฒิ สุวรรณรัตน์ จากพรรคกล้า ลงพื้นที่หาเสียงพบปะประชาชนต่อเนื่อง ผู้บริหารพรรคทั้งนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค , นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรค , และรองหัวหน้าพรรค นายวรวุฒิ อุ่นใจ , นายพงศ์พรหม ยามะรัตน์ , นายภิมุข สิมะโรจน์ ที่ปรึกษาพรรค พร้อมทีมงานกล้าอาสา ที่เคยลงพื้นที่ช่วยชาวนครศรีธรรมราชเมื่อครั้งประสบอุทกภัย พบปะพูดคุยกับ ชาวบ้าน ได้รับการสะท้อนปัญหาน้ำประปาไม่ทั่วถึงหลายพื้นที่ใน อ.พระพรหม รวมถึงปัญหาที่ดินทับซ้อนในพื้นที่ใน อ.เฉลิมพระเกียรติ นอกจากนี้พรรคกล้ายังได้เข้าไปช่วยวางแผนเติมเงินในกระเป๋าให้ชาวบ้าน ด้วยการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์กระจูด ที่ อ.ชะอวด และเตรียมผลักดันเป็นเมืองท่องเที่ยวอันซีนของประเทศไทยอีกด้วย

นายกรณ์ ได้โพสต์เฟซบุคส่วนตัว พร้อมยก อ.ชะอวด เป็น Hidden Gem มีของดีซ่อนอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นทุ่งกระจูดที่พรุควนเคร็ง สามารถนำกระจูดมาจักสานเป็นผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น แหล่งท่องเที่ยวริมน้ำที่สวยงาม สะพานโค้ง 100 ปี , บ้านวังหอน , นบบัวแก้ว ทุ่งนาใต้ , หนานเรือหนานครก หรือที่คลองห้วยแหยง

นายกรณ์ บอกว่า รักการท่องเที่ยวทาง “น้ำ” มาตั้งแต่เด็ก สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเป็นนักกีฬาพายเรือ ทำให้ทุกครั้งที่มาชะอวด ต้องไปท่องเที่ยววิถีริมน้ำในทุกครั้งที่มีโอกาส ชะอวดมีของดีอยู่แล้ว หากเติมความคิดสร้างสรรค์เข้าไป มันจะกลายเป็นความสดใหม่ ที่สร้างโอกาสให้กับคนชะอวด และนครศรีธรรมราชได้อีกมาก ยิ่งยุคนี้เป็นยุคโซเชียลมีเดีย มีเพจท่องเที่ยว มีบล็อคเกอร์มากมาย นอกจากมีแหล่งท่องเที่ยวสวยๆแล้ว การมีรูปเก๋ๆ ไว้โพสต์ก็ทำให้เกิดการแชร์ไปในวงกว้าง สร้างโอกาสในแหล่งท่องเที่ยวได้อีกด้วย

หัวหน้าพรรคกล้า ยังได้ชวนลูกสาว (กานต์ จาติกวณิช) และนายสราวุฒิ สุวรรณรัตน์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม เบอร์ 1 มาช่วยกันใส่ไอเดียให้กับแหล่งท่องเที่ยว นำแพยางน่ารักสดใส ลอยน้ำเล่นกันที่คลองห้วยแหยง นอกจากได้รูปสวยๆ แล้วยังมีเด็กๆและชาวบ้านแถวนั้นให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และเอาบอร์ดยืนพาย (Stand Up Paddle board) ไปลองแม่น้ำปากพนัง ใต้สะพานโค้งรถไฟ 100 ปี ผสมผสานวิถีชุมชนกับของอินเทรนด์ ทำให้ชะอวดมีสีสันขึ้นได้ ผู้คนจะมาท่องเที่ยวกันมากขึ้น ทำให้รู้ว่านอกจากไอไข่แล้ว นครศรีธรรมราชยังมีของดีอีกหลายอย่าง

‘ธรรมนัส’ สั่งยุติโครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรม ‘จะนะ’ เสียดาย ครม.เห็นชอบกับแผนงาน แต่ต้องให้ ศอ.บต. และ สศช. ศึกษาโครงการร่วมกัน โอดในความจริง สศช. ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดำเนินการขยายผลเมืองต้นแบบ สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ไปสู่เมืองต้นแบบ 4 อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต ว่า

“ที่ประชุมเห็นชอบให้ยุติโครงการเป็นการยุติชั่วคราว เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น โดยขั้นตอนจากนี้ จะรายงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมทำหนังสือถึงศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ด้วย

“ปัจจัยหลักที่พิจารณาให้ยุติโครงการนี้ คือ ครม.เห็นชอบกับแผนงาน แต่ครม.มีเงื่อนไขว่าต้องให้ ศอ.บต.และสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ศึกษาโครงการร่วมกัน แต่ สศช.ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรเลย ศอ.บต.ทำแต่เพียงลำพัง จึงเดือดร้อนมาจนถึงวันนี้ ทั้งนี้ที่ผ่านมาได้ตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องของระเบียบและข้อกฎหมาย และอีกคณะเป็นการพิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาได้ข้อสรุปแล้วว่า ทำผิดมติคณะรัฐมนตรี” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว

หยุดข้องใจสัมพันธภาพ ‘ไทย - จีน’ โดย อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ | Contributor EP.8

รู้จัก 'จีน' ให้มากขึ้นในปี 2021
จากมือยุทธศาสตร์ด้านจีน แห่งประชาธิปัตย์ 
อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ เลขานุการคณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร 
บทสัมภาษณ์ที่จะย้ำให้เห็นว่า ‘จีน’ คือ ‘มหามิตร’ ที่ไทยควรคบไว้
พร้อมหยุดคลางแคลงในใจสัมพันธภาพ ไทย – จีน
แต่ลองมองอนาคต ไทย – จีน แบบรอบทิศ ทั้งการเมือง - เศรษฐกิจ 
ว่าจุดไหนที่ ‘ไทย’ ควรเข้าไปสอดแทรก!!

กรมการค้าภายใน ชี้ราคาน้ำมันปาล์มปรับขึ้นจริง แต่เชื่อมีนาคมนี้เริ่มปรับราคาลง หลังผลปาล์มฤดูใหม่ทยอยออกทำให้มีผลผลิตเพียงพอ

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีปัญหาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดราคาแพงและขาดแคลน ว่า ในเดือน มี.ค.64 คาดว่า สถานการณ์น้ำมันปาล์มจะเริ่มคลี่คลายกลับสู่ภาวะปกติ โดยผลผลิตปาล์มจะทยอยออกสู่ตลาดอีกครั้ง ดังนั้นในช่วงนี้ขอให้ผู้บริโภคใช้น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันลำข้าวไปก่อน

ส่วนราคาการขายในตอนนี้ พบว่ามีราคาปรับขึ้นจริง แต่ยืนยันว่ายังไม่มีปัญหาการขาดแคลน โดยบางพื้นที่มีการจำกัดการซื้อ ก็เพื่อต้องการกระจายสินค้าให้ทั่วถึง โดยในกรณีที่น้ำมันปาล์มขวด ตามร้านโชห่วย ร้านค้าในตลาดสดขายขึ้นเป็นขวด 60 บาท กรมฯ ได้ขอความร่วมมือสมาคมตลาดสดไทยดูแลไม่ให้มีการปรับขึ้นราคาเกินจริงจนทำให้ชาวบ้านเดือนร้อน

นายวัฒนศักย์ กล่าวว่า น้ำมันปาล์มแพงเป็นปัญหาระยะสั้น ๆ และหลังจากนี้น่าจะเริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น อยากขอให้ชาวบ้านช่วยเห็นใจแก่เกษตรกรบ้าง เพราะที่ผ่านมาราคาผลปาล์มสดตกต่ำมานาน และเพิ่งกลับมีราคาสูงขึ้นช่วงนี้ จึงขอโอกาสให้เกษตรกรได้ขายผลปาล์มราคาดีบ้าง เพราะในเดือนมีนาคม เมื่อผลปาล์มฤดูใหม่ทยอยออกมา น่าจะทำให้มีผลผลิตเพียงพอ และทำให้ราคาปาล์มขวดลดลง

วันนี้เป็นวันสำคัญของ ‘โรงเรียนวัดบวรนิเวศ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงเรียนเก่าแก่ของประเทศไทย โดยเป็นวันที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาโรงเรียนวัดบวรนิเวศขึ้นเป็นครั้งแรก

โดยที่มาของโรงเรียนวัดบวรนิเวศนั้น เริ่มต้นเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง ‘วิทยาลัย’ ขึ้นในวัดบวรนิเวศ โดยพระราชทานนามว่า มหามกุฏราชวิทยาลัย เพื่อใช้เป็นที่ศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุ สามเณร ทั้งนี้เบื้องต้นได้แบ่งเป็น 2 แผนก คือ ส่วนที่ใช้เป็นที่เล่าเรียนพระปริยัติธรรม และอีกส่วนจัดตั้งเป็นโรงเรียน โดยให้เป็นสาขาหนึ่งของวิทยาลัยแห่งนี้

จึงเป็นที่มาของ ‘โรงเรียนวัดบวรนิเวศ’ โดยในยุคแรกเริ่ม ได้เชิญ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรณาณวโรรส มาทรงเป็นผู้จัดการโรงเรียนพระองค์แรก ต่อมาการเรียนการสอนในโรงเรียน ได้ขยายตัวกว้างขวางออกไปตามลำดับ ในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงมีพระราชประสงค์ให้ขยายการศึกษาให้แพร่หลายไปทั่วประเทศ จึงโปรดเกล้าฯ ให้นำหลักสูตรและวิธีการสอนที่ใช้ในโรงเรียนวัดบวรนิเวศ ไปใช้สอนตามโรงเรียนต่าง ๆ ทั่วประเทศ จึงถือได้ว่า โรงเรียนวัดบวรนิเวศ เป็นโรงเรียนสาธิตในการใช้หลักสูตร เป็นแห่งแรกของประเทศไทย

จวบจนเข้าสู่รัชสมัยในรัชกาลที่ 6 โรงเรียนวัดบวรนิเวศก็ยังถูกใช้เป็นสถานที่เพาะบ่มความรู้ โดยในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ สร้างตึกมนุษยนาควิทยาทาน นอกจากจะเป็นที่ระลึกแก่ พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส อาคารแห่งนี้ยังเป็นสถานที่สำหรับการเรียนการสอนของนักเรียนโรงเรียนวัดบวรนิเวศ และโรงเรียนฝึกหัดครูวัดบวรนิเวศอีกด้วย

นับถึงวันนี้ เป็นเวลากว่า 128 ปีมาแล้ว ที่โรงเรียนวัดบวรริเวศได้เปิดการเรียนการสอนตลอดมา และเหนือสิ่งอื่นใด คือการผลิตบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ ออกสู่สังคม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki

ผลลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ 6 ครั้งย้อนหลัง รัฐมนตรีท่านไหน ถูก ‘ไม่ไว้วางใจ’ (%) มากที่สุด!!

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประยุทธ์ 2 (2564)

1.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 206 งดออกเสียง 3 ผู้เข้าร่วมประชุม 481 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 42.83%

2.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 274 ไม่ไว้วางใจ 204 งดออกเสียง 4 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 42.35%

3.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไว้วางใจ 275 ไม่ไว้วางใจ 201 งดออกเสียง 6 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 41.70%

4.) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไว้วางใจ 268 ไม่ไว้วางใจ 207 งดออกเสียง 7 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 42.95%

5.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 205 งดออกเสียง 3 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 42.53%

6.) ***นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไว้วางใจ 258ไม่ไว้วางใจ 215 งดออกเสียง 8 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 45% (ถูกไม่ไว้วางใจมากที่สุดในการอภิปรายรอบ 6 ครั้งล่าสุด)

7.) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ไว้วางใจ 263 ไม่ไว้วางใจ 212 งดออกเสียง 5 ไม่ลงคะแนน 1 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 43.98%

8.) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไว้วางใจ 268 ไม่ไว้วางใจ 201 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 1 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 41.70%

9.) นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 206 งดออกเสียง 4 ผู้เข้าร่วมประชุม 482 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 42.74%

10.) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไว้วางใจ จำนวน 274 คน ไม่ไว้วางใจ จำนวน 199 คน งดออกเสียง 5 คน ไม่ลงคะแนน 1 คน ผู้เข้าประชุม 479 คน สัดส่วนไม่ไว้วางใจ =41.54%

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประยุทธ์ 1 (2563)

1.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 49 งดออกเสียง 2 ผู้เข้าร่วมประชุม 323 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 15.17%

2.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 277 ไม่ไว้วางใจ 50 งดออกเสียง 2 ผู้เข้าร่วมประชุม 329 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 15.20%

3.) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 54 งดออกเสียง 2 ผู้เข้าร่วมประชุม 328 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 16.46%

4.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 54 งดออกเสียง 2 ผู้เข้าร่วมประชุม 328 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 16.46%

5.) นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไว้วางใจ 272 ไม่ไว้วางใจ 55 งดออกเสียง 2 ผู้เข้าร่วมประชุม 329 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 16.72%

6.) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไว้วางใจ 269 ไม่ไว้วางใจ 55 งดออกเสียง 7 ผู้เข้าร่วมประชุม 331 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 16.62%

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ (2555)

1.) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 308 ไม่ไว้วางใจ 159 งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 9 ผู้เข้าร่วมประชุม 480 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 33.13%

2.) ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 287 ไม่ไว้วางใจ 157 งดออกเสียง 25 ไม่ลงคะแนน 11 ผู้เข้าร่วมประชุม 480 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 32.71%

3.) พลอากาศเอกสุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (รมว.คมนาคม ในขณะนั้น) ไว้วางใจ 284 ไม่ไว้วางใจ 160 งดออกเสียง 25 ไม่ลงคะแนน 11ผู้เข้าร่วมประชุม 480 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 33.33%

4.) พลตำรวจโทชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมช.คมนาคม ในขณะนั้น) ไว้วางใจ 284 ไม่ไว้วางใจ182 งดออกเสียง

5.) ไม่ลงคะแนน 10 ผู้เข้าร่วมประชุม 481 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 37.84%

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ (2554)

1.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกกรัฐมนตรี วางใจ 249 ไม่วางใจ 184 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 23 ร่วมประชุม 467 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.40%

2.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี วางใจ 249 ไม่วางใจ 185 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 22ร่วมประชุม 469 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.45%

3.) นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง วางใจ 245 ไม่วางใจ 185 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 22 ร่วมประชุม 464 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.87%

4.) นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ วางใจ251ไม่วางใจ 186 งดออกเสียง 9 ไม่ลงคะแนน 23 ร่วมประชุม 469 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.66%

5.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วางใจ 246 ไม่วางใจ 182 งดออกเสียง 17 ไม่ลงคะแนน 21ร่วมประชุม 466 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.06%

6.) นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร วางใจ 247 ไม่วางใจ 185 งดออกเสียง 16 ไม่ลงคะแนน 22 ร่วมประชุม470 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.36%

7.) นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย วางใจ 250 ไม่วางใจ 188 งดออกเสียง 8 ไม่ลงคะแนน 23 ร่วมประชุม 469 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.09%

8.) นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม วางใจ 248 ไม่วางใจ 188 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 22 ร่วมประชุม 469 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.09%

9.)นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วางใจ 243 ไม่วางใจ188 งดออกเสียง 16 ไม่ลงคะแนน21 ร่วมประชุม 468 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.17%

10.)นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ วางใจ 247 ไม่วางใจ 188 งดออกเสียง 13 ไม่ลงคะแนน 21 ร่วมประชุม469 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.09%

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ (2553)

1.)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 246 ไม่ไว้วางใจ 186 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 21 ผู้เข้าร่วมประชุม 464 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.09%

2.)นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 245 ไม่ไว้วางใจ 187 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน 21 ผู้เข้าร่วมประชุม 464 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.30%

3.)นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไว้วางใจ 244 ไม่วางใจ 187 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 22 ผู้เข้าร่วมประชุม 465 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ =40.22%

4.) นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไว้วางใจ 239 ไม่วางใจ190 งดออกเสียง 15 ไม่ลงคะแนน 21 ผู้เข้าร่วมประชุม 465 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 40.86%

5.) นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ 236 ไม่วางใจ 194 งดออกเสียง 14 ผู้เข้าร่วมประชุม 22 ผู้เข้าร่วมประชุม 466 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ =41.63%

6.) นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ไว้วางใจ 234 ไม่วางใจ 196 งดออกเสียง 13 ไม่ลงคะแนน 22 ผู้เข้าร่วมประชุม 465 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 41.15%

***อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ (2552)

1.)นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไว้วางใจ 246 ไม่วางใจ 176 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 15 ผู้เข้าร่วมประชุม 449 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 39.20%

2.)นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไว้วางใจ 246 ไม่วางใจ 174 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 15 ผู้เข้าร่วมประชุม 447 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 38.93%

3.)นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไว้วางใจ237 ไม่วางใจ 184 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 13 ผู้เข้าร่วมประชุม 447 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 41.16%

4.)นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ246 ไม่วางใจ 167 งดออกเสียง 20 ไม่ลงคะแนน 14 ผู้เข้าร่วมประชุม 446 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 37.44%

5.)นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไว้วางใจ 246 ไม่วางใจ 174 งดออกเสียง 12 ไม่ลงคะแนน 15 ผู้เข้าร่วมประชุม 447 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 38.93%

6.) นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ไว้วางใจ 246 ไม่วางใจ 168 งดออกเสียง 18 ไม่ลงคะแนน 15 ผู้เข้าร่วมประชุม 447 สัดส่วนไม่ไว้วางใจ = 37.58%


ที่มา: Wikipedia

รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ ‘สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์’ ยก 8 ประเด็นคาใจแจงฝ่ายค้าน ยืนยันเศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่อย่างที่ฝ่ายค้านอภิปรายในสภา

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 64 ในหัวข้อ “เรื่องจริงเศรษฐกิจไทย” โดยชี้แจง 8 ประเด็นข้อสงสัยของพรรคฝ่ายค้าน เรื่องการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ยืนยันไม่ได้แย่อย่างที่อภิปรายในสภา มีเนื้อหาดังนี้...

#เรื่องจริงเศรษฐกิจไทย

จบลงไปแล้วนะครับสำหรับการอภิปรายที่รัฐสภาในญัตติไม่ไว้วางใจท่านนายกฯ และรัฐมนตรีอีก 5 ท่าน ซึ่งผมได้เตรียมชี้แจงข้อสงสัยและข้อกล่าวหาของพรรคฝ่ายค้าน เรื่องการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดในสภา เนื่องจากเวลาไม่พอ ผมจึงขอสรุปสาระสำคัญซึ่งเป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่จะทำให้มองเห็นการบริหารจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาล และข้อเท็จจริงของสถานการณ์เศรษฐกิจไทยขณะนี้ ว่าไม่ได้แย่อย่างที่อภิปรายกันในสภาครับ

1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19

ตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ผู้อภิปรายหลายท่านบอกว่าประเทศไทยย่ำแย่ที่สุดในรอบหลายสิบปี ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ย่ำแย่ของทุกประเทศ จุดต่ำสุดของไทยอยู่ที่เดือน เม.ย. ปีที่แล้ว หลังรัฐบาลค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ดัชนีชี้วัดทุกตัวจึงดีขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งเดือน ธ.ค. มีการระบาดระลอกใหม่ ดัชนีบางตัวก็ยังดีกว่าเดือน เม.ย. ด้วยเรามีประสบการณ์และข้อมูลจากการระบาดครั้งแรก จึงไม่จำเป็นต้องล็อกดาวน์ แต่คุมเข้มบางจังหวัด ตัวเลขเศรษฐกิจดูจะลดลง แต่สัญญาณบวกได้ปรากฏอยู่ในไตรมาสที่ 4 โดยมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทั้งการบริโภค การลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงการลงทุนและบริโภคของรัฐ

ข้อมูลของสภาพัฒน์ ปี 63 เราติดลบ 6.1% แต่ถ้าติดตามข้อมูลมาตั้งแต่ต้นปี หลายสถาบันเห็นว่าไทยจะติดลบ 10 %, 8.5% บ้าง แต่ประเทศไทยเราร่วมมือกันและควบคุมได้ ถือว่าบอบช้ำไม่มาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน ไม่มีใครไม่ลบ แต่ที่ต่ำที่สุดคือฟิลิปปินส์ มีเพียงเวียดนามที่เป็นประเทศที่เพิ่งเติบโต แต่ก็เติบโตน้อยกว่าอัตราที่เคยเติบโตอยู่มาก ปีที่ผ่านมาประเทศไทยเราไม่ได้แย่ที่สุด เราเกาะกลุ่มอยู่ในประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้

2. การว่างงาน

ผู้อภิปรายหลายท่านบอกว่ามีคนว่างงาน 10 ล้านคน แต่คงเป็นประมาณการตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดการระบาด เพราะเขาไม่รู้ว่าการระบาดอย่างนี้ มีผลกระทบให้เกิดการว่างงานกันเท่าไร ก็คงมองในกรณีเลวร้ายที่สุดถึง 10 ล้านคน แต่ตัวเลขจริงที่ปรากฎออกมาคือ 1.9% ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนสูงกว่านี้ แสดงให้เห็นถึงความบอบช้ำที่มีทั่วโลก แต่ประเทศไทยเราทำได้ดี

3. ความน่าเชื่อถือในสายตานานาชาติ

3 สถาบันจัดอันดับเครดิต คือ มูดี้ส์ ฟิทช์เรตติ้ง และสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส ประเมินให้ไทยอยู่ในอันดับเท่าเดิม ในขณะที่หลายประเทศถูกปรับลดอันดับลง สำหรับความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการของประเทศไทยที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจหรือการควบคุมการแพร่ระบาด ปรากฏว่าอยู่ในการจัดอันดับต่างๆ หรือการยอมรับจากนานาชาติ ล่าสุดเราติดอันดับ 1 ใน 4 ประเทศที่ควบคุมการระบาดของโควิด-19 ดีที่สุดในโลก ในขณะที่ความเข้มแข็งทางการเงิน การคลัง ติดอันดับต้นๆ ของประเทศเกิดใหม่ที่น่าลงทุนที่สุด นี่คือการประเมินเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมานี้เอง

4. รัฐบาล Very กู้ จริงหรือเปล่า

ปี 63 หนี้สาธารณะของเราอยู่ที่ราว 52% ของจีดีพี ตัวเลขกลมๆ ของหนี้สาธารณะคือ 8.1 ล้านล้านบาท ตอนที่ท่านนายกฯ รับตำแหน่งใหม่ๆ หนี้สาธารณะมีอยู่ 5.5 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6 ล้านล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับรัฐบาลก่อนหน้านั้น ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง 2 ปี 8 เดือน หนี้ของเขาเพิ่ม 1.3 ล้านล้านบาท รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ อยู่ 6 ปี 9 เดือน หนี้เพิ่มขึ้น 2.6 ล้านล้านบาท เฉลี่ยกู้ต่อเดือนไม่ต่างกัน แต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ยังกู้น้อยกว่าด้วยซ้ำไป เงินกู้เหล่านี้ได้ถูกกระจายไปใช้ในการลงทุนโครงการสำคัญๆ ตั้งแต่ปี 59-63 จำนวน 162 โครงการ เป็นโครงการทางด้านคมนาคม สาธารณูปโภค และพลังงานเกือบทั้งหมด นี่คือการสร้างพื้นฐานให้ประเทศไทยเติบโตต่อไปในอนาคต และเป็นการกู้ที่ไม่เกินเลยจากรัฐบาลก่อนหน้านี้

5. รัฐบาลนี้ทำให้หนี้ครัวเรือนสูงที่สุด

รัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลที่ทำให้หนี้ครัวเรือนสูงที่สุด เพราะสูงมาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว และสูงมาเรื่อยๆ ตอนที่ท่านนายกฯ เข้ามาเมื่อกลางปี 57 เรามีหนี้ครัวเรือนประมาณ 80% ท่านพยายามประคับประคองไม่ให้เพิ่ม มีปีหนึ่งลดลงไปที่กว่า 70% พอมาเกิดวิกฤต จีดีพีลดลงจาก 80% ที่พยายามรักษาไว้ กลายเป็น 86% เราพยายามบริหารจัดการให้เป็นหนี้มีคุณภาพ ประมาณ 65% ของหนี้ครัวเรือนจึงเป็นหนี้ที่กู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ใช้ประกอบธุรกิจ ซื้อพาหนะ ที่เหลือเป็นเรื่องการอุปโภคบริโภค ซึ่งในไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา ตอนนั้นเกิดโควิด-19 แล้ว เรามีหนี้ครัวเรือนเป็นหนี้เสียที่อยู่ในระบบธนาคารเพียง 3% อยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยของหนี้เสียของระบบธนาคาร

6. แบงก์จะล้มไหม

ความแข็งแกร่งของสถาบันการเงินดูที่ทุนที่มีความเพียงพอต่อสินเชื่อที่ปล่อยออกไป ซึ่งวันนี้อยู่ในสัดส่วน 20% มากกว่าอัตราขั้นต่ำที่ ธปท. กำหนด คือประมาณ 11% นับว่าสูงกว่าราว 2 เท่า เอ็นพีแอลหรือหนี้เสียในระบบ 3.1% ถ้าเรากลัวกันว่าเศรษฐกิจดิ่งแล้วแบงก์จะล้ม ก็ไปดูกันตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง ตอนนั้นทุนของสถาบันการเงินมีเพียง 9.5% ซึ่งต่ำกว่าปัจจุบันมากกว่าครึ่งหนึ่ง ต้องถือว่าสถาบันการเงินเข้มแข็งมาก สินเชื่อก็โตขึ้นในปีที่ผ่านมา กำไรยังมีอยู่ สถาบันการเงินยังมีความเข้มแข็งที่จะดูแลลูกหนี้

7. ธุรกิจหนี้ท่วมจนต้องปิดกิจการมากที่สุด

วันนี้ 21 สถาบันการเงินมีการปรับโครงสร้างหนี้จำนวนที่อยู่ในวิสัยที่ลูกหนี้จะดำเนินกิจการต่อไปได้ และในปี 63 มีการจัดตั้งใหม่ 63,340 ราย เช็กเด้งน้อยลง 23% การขอใบอนุญาตส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ มีผู้ขอมากกว่าปี 62 สำหรับเรื่องที่บอกว่าประชาชนหนี้ท่วมจนอยู่ไม่ได้นั้น ที่ผ่านมาเราให้ไป 50,000 ล้านบาท เป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ มีจำนวนคนหลายล้านคนที่ได้รับการช่วยเหลือเรื่องดอกเบี้ยและการพักชำระหนี้ จนถึงสิ้นปี มีมาตรการเยียวยาครอบคลุมคน 42.3 ล้านคน และรัฐบาลยังได้มีมาตรการลดค่าน้ำ ค่าไฟ และเงินสมทบประกันสังคม พร้อมเสริมสภาพคล่อง สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเป็นเงิน 2 แสน 9 หมื่นกว่าล้านบาท

ก่อนโควิด-19 ระลอกใหม่เมื่อเดือน ธ.ค. ครม. อนุมัติการช่วยเหลือผ่านการค้ำประกันของ บยส. ให้ธุรกิจที่มีปัญหา โดยเฉพาะที่เป็นเอสเอ็มอีในวงเงิน 1 แสน 5 หมื่นล้านบาท กลุ่มที่เป็นรายย่อยไมโครเอสเอ็มอีอีก 2.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้การคิดดอกเบี้ยผิดนัด ธปท. ปรับการคิดดอกเบี้ยผิดนัดใหม่เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติ และคิดดอกเบี้ยผิดนัดตามจำนวนที่ผิดนัด ตรงนี้เป็นการบรรเทา ลดค่าใช้จ่ายทางการเงินจะมีผลตั้งแต่เดือน เม.ย. 64

8. ประเทศไทยไม่ได้เหลื่อมล้ำมากที่สุด

มีคนพูดว่าประเทศไทยเหลื่อมล้ำมากที่สุดในโลก นั่นเป็นแค่มิติเดียว คือความมั่งคั่ง ถ้าจะดีต้องดูให้ครบทุกมิติ ต้องดูโอกาส การเข้าถึงระบบสาธารณสุข สิทธิประโยชน์ต่างๆ การดูแลโดยภาครัฐบาล รวมกันแล้ว ไทยเราเป็นประเทศอันดับต้นๆ ในอาเซียนที่มีความเหลื่อมล้ำน้อย ยิ่งหากดูเรื่องความยากจน เราน้อยที่สุด ถ้าไม่นับสิงคโปร์ เพราะรัฐบาลสร้างโอกาส มีสวัสดิการด้านสาธารณสุข และมีสวัสดิการที่ดูแลประชาชนที่มีความเปราะบาง


เครดิตเพจ : https://www.facebook.com/supattanapongp/photos/pcb.175498857710644/175479794379217/

เมื่อวันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ชาวพม่ามีนัดชุมนุมครั้งประวัติศาสตร์ ที่เรียกว่าวันลุกฮือ ‘22222 uprising’ (จากตัวเลขวันที่ 22/2/2021) ที่จะเป็นการนัดหยุดงานร่วมเดินขบวนประท้วงต่อต้านการรัฐประหารของทัพพม่าครั้งใหญ่ที่สุด

การนัดชุมนุมครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่มีข่าวยืนยันการเสียชีวิตของ ‘มยา ตะเวง ตะเวง คาย’ หญิงสาวพม่า หนึ่งในผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกกระสุนปืนจริงที่ศีรษะเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามมาด้วยการสลายการชุมนุมด้วยกระสุนจริงโดยเจ้าหน้าที่ในเมืองมัณฑะเลย์ เมื่อวันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย และบาดเจ็บกว่า 30 คน

และในวันนี้ ชาวพม่าจึงพร้อมใจกันนัดหยุดงานทั่วประเทศ เพื่อเข้าร่วมชุมนุมตั้งแต่ช่วงเช้า โดยเฉพาะในย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และกรุงเนปิดอว์ ที่มีผู้มาร่วมชุมนุมกันมากมายมหาศาลมากกว่าแสนคน เนืองแน่นเต็มท้องถนน ซึ่งชาวเน็ตในพม่าต่างออกมารายงานสถานการณ์ในแต่ละเมือง และพบว่ามีการนัดเดินขบวนประท้วงร่วมกันเกือบทุกเมืองแล้วทั่วประเทศ

บริษัท ห้าง และร้านค้าหลายแห่ง ก็หยุดทำการในวันนี้ อาทิเช่น KFC และ บริษัทขนส่ง Food Panda ที่อนุญาตให้พนักงานเข้าร่วมชุมนุมเพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนชาวพม่าในการเรียกร้องประชาธิปไตย ส่วนธนาคาร โรงพยาบาล สถานที่ราชการยังคงเปิดทำการ แต่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ออกไปร่วมชุมนุมได้ แต่ให้จัดสรรบุคลากรอย่างเหมาะสม เพื่อยังคงเปิดให้บริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนทั่วไปได้

ถึงแม้ว่ารัฐบาลทหารได้ออกคำสั่งว่าการนัดหยุดงานเพื่อเข้าร่วมชุมนุม หรือเป็นสัญลักษณ์ของการอารยะขัดขืนเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งจะมีการจับกุมและลงโทษตามกฎหมาย แต่บริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ 12 แห่งในพม่าได้ออกแถลงการณ์ สนับสนุนพนักงานชาวพม่าหากต้องการจะหยุดงานเพื่อร่วมชุมนุมตามหลักสิทธิเสรีภาพ

ซึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 12 แห่งได้แก่ บริษัท เบียร์ คาร์ลสเบิร์ก และ ไฮเนเกน, เนสท์เล่, โคคา-โคลา, บริษัทผลิตเสื้อผ้า H&M, บริษัทเทเลคอม Telenor และ Ooredoo, บริษัทน้ำมัน Unocal, Total และ Woodside, บริษัทขนส่ง Maersk และบริษัทผลิตอุปกรณ์สื่อสารอย่าง Ericsson ซึ่งได้เข้ามาลงทุนและจ้างแรงงานพม่ารวมกันมากกว่า 100,000 คน

โดยทางกลุ่มบริษัทข้ามชาติเหล่านี้ เน้นย้ำว่ายังต้องการที่จะทำธุรกิจในพม่า แต่ทั้งนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชนสากล ที่เน้นความสำคัญของการแสดงออกตามแนวทางประชาธิปไตย และเรียกร้องให้รัฐบาลพม่าแก้ไขสถานการณ์ในประเทศโดยเร็วที่สุด ให้สอดคล้องกับเจตนารมย์ของประชาชนชาวพม่า

และชาวพม่าก็หวังว่าการลุกฮือ 22222 ในวันนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนหน้าสำคัญในประวัติศาสตร์ของพม่า แต่ทั้งนี้การจับกุมแกนนำกลุ่มผู้ประท้วงยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้จับกุมกลุ่มต่อต้านไปแล้วถึง 640 คน และตัดสัญญาอินเตอร์เน็ตติดต่อกันเป็นวันที่ 8 ส่วนประสิทธิภาพของสัญญาณโดยรวมลดลงเหลือเพียง 13% ของระดับการใช้งานปกติ แต่ก็ยังไม่อาจยับยังการนัดชุมนุมของหนุ่ม-สาว ชาวพม่าจากทั่วประเทศได้


อ้างอิง:

https://www.aljazeera.com/news/2021/2/22/myanmar-new

https://www.mmtimes.com/news/least-two-more-dead-tensions-escalate-myanmar.html

https://www.straitstimes.com/asia/se-asia/myanmar-protesters-plan-even-bigger-rallies-after-deadly-clashes

นพ.ยง ภู่วรวรรณ เผยเหตุไม่ฉีดวัคซีนโควิดให้ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี และเด็กต่ำกว่าอายุ 18 ปี เหตุมีความเสี่ยงสูง ขณะที่ข้อมูลผลข้างเคียงยังมีไม่มากพอ แต่ในอนาคตอันใกล้ได้ฉีดทุกคนแน่

วันนี้ (23 ก.พ.) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสถานการณ์ “วัคซีนโควิด-19” ถึงเหตุผล ทำไมวัคซีน Sinovac ฉีดให้กับผู้มีอายุ 18 - 59 ปี ว่า จากการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย ข้อมูลของวัคซีน Sinovac ยังมีข้อมูลการฉีดวัคซีนในผู้ที่อายุเกิน 60 ปี มีจำนวนน้อย

จากการศึกษาในระยะที่ 1 ถึงระยะที่ 3 มีผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี อยู่เกือบร้อยละ 4

ดังนั้น ทางคณะกรรมการ จึงอนุญาตให้ฉีดในภาวะฉุกเฉิน กับผู้ที่มีอายุ 18 - 59 ปี เช่นเดียวกัน ทำไมไม่ให้เด็กต่ำกว่าอายุ 18 ปี ก็เพราะยังไม่มีข้อมูลในการศึกษาในกลุ่มอายุดังกล่าว

ในทางปฏิบัติจึงจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ที่ถูกกำหนดไว้ และในอนาคตข้างหน้าเมื่อมีข้อมูลการฉีดในผู้สูงอายุมากเพียงพอ ก็จะขยับการฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุต่อไป

ในวันข้างหน้า หรือในระยะเวลาอันใกล้ มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่จะขยับอายุขึ้นไป เมื่อมีข้อมูลมากพอ

อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ที่มีอายุ 60 ปี หรือมากกว่า และมีความเสี่ยงสูง ที่จะติดเชื้อหรือป่วยเป็นโรคโควิด-19 และเกิดอันตรายได้สูง อย่างเช่นคุณหมอจังหวัดมหาสารคาม ก็สามารถที่จะให้ได้ แต่จะต้องประเมิน ประโยชน์ที่จะได้จากวัคซีน มากกว่าอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น โดยแพทย์ได้ให้ข้อมูลทั้งหมด และเจ้าตัวยินดีรับความเสี่ยง ก็สามารถทำได้ ด้วยความยินยอมของผู้นั้น

โดยความเห็นส่วนตัว ในระยะเวลาอันใกล้ ข้อมูลการฉีดวัคซีนในผู้สูงอายุ ก็จะมีเพิ่มขึ้นและคงจะได้ฉีดกันทุกคน อดใจรอ


ที่มา : https://web.facebook.com/story.php?story_fbid=5272855232757051&id=100000978797641&_rdc=2&_rdr


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top