สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564
สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน
ประจำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน
ประจำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564
ตามประวัติศาสตร์ ประเทศไทยมีการศึกสงครามมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา มาจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น รวมเวลากว่า 550 ปี จนเมื่อเข้าสู่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรือง มีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้นเป็นลำดับ
โดยสินค้าส่งออกชนิดหนึ่งที่มีการค้าขายจนกลายเป็นของสำคัญ นั่นคือ ข้าว ทว่า ‘ข้าวไทย’ ในยุคสมัยดังกล่าว มีเมล็ดพันธุ์ที่ปะปนกันอยู่มากมาย ทั้งข้าวพันธ์ดีไปจนถึงพันธ์คุณภาพต่ำ ส่งผลให้มีราคาต่ำกว่าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน
ด้วยเหตุนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงทรงโปรดให้มีการประกวดพันธุ์ข้าวขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่เมืองธัญบุรี (รังสิตในปัจจุบัน) มีชาวนาส่งข้าวเข้าประกวดถึง 324 ราย รวมข้าวได้ 165 พันธุ์ ซึ่งข้าวที่ได้รับรางวัลที่ 1 มีชื่อว่า ‘ข้าวปิ่นทอง’
จากการประกวดในครั้งนั้น ทำให้มีการจัดแบ่งพันธุ์ข้าวอย่างมีมาตรฐานยิ่งขึ้น หลังจากนั้นจึงมีการประกวดพันธุ์ข้าวเรื่อยมา โดยนอกจากจะเป็นการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปแล้ว ภายหลังยังมีการแจกจ่ายขยายพันธุ์ข้าวพันธุ์ดี เพื่อให้ประชาชนได้นำไปปลูกต่อไป รวมทั้งยังได้ตั้งพันธุ์ข้าวมาตรฐานเอาไว้ด้วยกัน 8 พันธุ์ ได้แก่ พวงเงิน ขาวทดลอง ทองระย้าดำ จำปาซ้อน ปิ่นแก้ว บางพระ น้ำดอกไม้ และนางตานี ซึ่งต่อมายังได้มีพันธุ์ข้าวอื่น ๆ เกิดขึ้นจากสถานีพันธุ์ข้าว และวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา:
http://brrd.ricethailand.go.th/index.php/2016-07-15-05-29-43/136-2017-05-04-02-32-02
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ระบุ โควิด-19 ทุบเศรษฐกิจเหลือ 2.3พันล้าน หลังประเมินทัศนคติ พฤติกรรมและการใช้จ่ายของผู้คนในช่วงวันมาฆบูชา
จากการสำรวจประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,215 ตัวอย่าง สำรวจตั้งแต่วันที่ 10 - 16 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่า ในปีนี้กลุ่มตัวอย่างจะเดินทางไปทำบุญไหว้พระในวันมาฆบูชา 40% ไม่ไป 37.3% และไม่แน่ใจ 22.7% ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ที่ไม่ไป ส่วนใหญ่มาจากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดโควิด-19 รายได้ลดลง และภาวะเศรษฐกิจไม่ดี
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สำหรับมูลค่าเงินสะพัดวันมาฆบูชาในปี 2564 นี้ คาดว่าจะมีเงินสะพัดประมาณ 2,360 ล้านบาท หรือลดลงติดลบ 9.38% ซึ่งน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีเงินสะพัดประมาณ 2,601 ล้านบาท ถือว่ามีเงินสะพัดต่ำสุดในรอบ 6 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2558 เนื่องจากการใช้จ่ายยังติดลบทุกรายการ อาทิ การทำบุญ และการเดินทางท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งโดยรวมประชาชนมีการใช้จ่ายประมาณ 1,311 บาทต่อคน เท่านั้น
“แม้ในวันมาฆบูชาในครั้งนี้ จะได้หยุดยาว 3 วันแต่ประชาชนยังมีความกังวลกับโควิด-19 อยู่ ส่งผลให้เงินสะพัดอาจไม่มากเท่าที่ควร แต่เศรษฐกิจมีทิศทางฟื้นตัวและเติบโตดีกว่าช่วงเทศกาลตรุษจีนและวาเลนไทน์ที่ผ่านมา เพราะในครั้งนี้ยังมีประชาชนที่ออกมาใช้จ่าย อาทิ ซื้อสัมฆภัณฑ์ ทำบุญ เวียนเทียน และทำทาน กันมากขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อในวันมาฆบูชาไม่ได้สาหัสมาก” นายธนวรรธน์ กล่าว
ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีกบฏ กปปส. ชุดใหญ่สำนวนหลัก หมายเลขดำ อ.247/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. กับพวกแกนนำและแนวร่วม กปปส. รวม 39 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ, ก่อการร้าย, ยุยงให้หยุดงานฯ, กระทำให้ปรากฏด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใดฯ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในราชอาณาจักรฯ, อั้งยี่, ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ, บุกรุกในเวลากลางคืนฯ และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งฯ โดยนายสุเทพกับพวกจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี และได้รับการประกันตัวทุกคน
คดีนี้ อัยการโจทก์ระบุฟ้องพฤติการณ์ความผิดพวกจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย. 2556 - 1 พ.ค. 2557 ต่อเนื่องกัน นายสุเทพ จำเลยที่ 1 ได้จัดตั้งคณะบุคคล ชื่อ ‘คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข’ หรือกลุ่ม กปปส. มีนายสุเทพเป็นเลขาธิการ โดยร่วมกันมั่วสุมเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร กองกำลังแบ่งหน้าที่กันกระทำก่อความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ฐานเป็นกบฏเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ โดยร่วมกันยุยง ปลุกระดมให้ประชาชนทั่วประเทศกระด้างกระเดื่องร่วมชุมนุมขับไล่ ก่อความไม่สงบเพื่อขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ออกจากตำแหน่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป เพื่อมิให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้าบริหารประเทศ ให้ข้าราชการระดับสูงรายงานตัวกับกลุ่ม กปปส.
จากนั้น กปปส.จะแต่งตั้งคณะบุคคลเข้าบริหารประเทศเป็นรัฐบาลประชาชน เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งจะออกคำสั่งแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและ ครม. โดยจะนำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเอง รวมทั้งจัดตั้งกองกำลังส่วนหนึ่งพร้อมอาวุธเข้าไปบุกยึดสถานที่ราชการและหน่วยงานสำคัญต่างๆ หลายแห่ง เช่น ทำเนียบรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานเขตหลักสี่ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง) เพื่อไม่ให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้ รวมทั้งการปิดกั้น ขัดขวางเส้นทางคมนาคมขนส่ง เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน นอกจากนี้ ช่วงระหว่างวันที่ 13 ม.ค. - 2 มี.ค. 2557 พวกจำเลยได้บังอาจปิดกรุงเทพมหานครด้วยการตั้งเวทีปราศรัยทั่วกรุงเทพฯ รวม 7 จุด ปิดกั้นเส้นทางการจราจร จัดตั้งกองกำลังรักษาพื้นที่ วางเครื่องกีดขวาง ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง การกระทำของพวกจำเลยล้วนไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงอำนาจบริหารตามรัฐธรรมนูญ เหตุเกิดในกรุงเทพมหานคร และอีกหลายท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเกี่ยวพันกัน
โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลยด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 116, 117, 135/1, 209, 210, 215, 216, 362, 364, 365 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ.2550 มาตรา 76, 152
สำหรับรายชื่อจำเลยคดีนี้ทั้งหมด 39 คน เรียงลำดับ ประกอบด้วย 1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ 2.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย 3.นายชุมพล จุลใส 4.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ 5.นายอิสสระ สมชัย 6.นายวิทยา แก้วภราดัย 7.นายถาวร เสนเนียม 8.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ 9.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ 10.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก 11.พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ 12.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 13.นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์ 14.นายถนอม อ่อนเกตุพล 15.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 16.นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ 17.นายสาธิต เซกัลป์ 18.น.ส.รังสิมา รอดรัศมี 19.พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี 20.พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ
21.นายแก้วสรร อติโพธิ 22.นายไพบูลย์ นิติตะวัน 23.นายถวิล เปลี่ยนศรี 24.เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ 25.นายมั่นแม่น กะการดี 26.นายคมสัน ทองศิริ 27.พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ 28.นายพิภพ ธงไชย 29.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 30.นายสุริยะใส กตะศิลา 31.นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด 32.พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ สุปิยะพาณิชย์ 33.นายสำราญ รอดเพชร 34.นายอมร อมรรัตนานนท์ 35.นายพิเชษฐ พัฒนโชติ 36.นายสมบูรณ์ ทองบุราณ 37.นายกิตติชัย ใสสะอาด 38.นางทยา ทีปสุวรรณ 39.นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
วันนี้ นายสุเทพ เลขาธิการ กปปส. กับพวกจำเลยรวม 37 คน เดินทางมาศาล ส่วน พล.อ.ปรีชา จำเลยที่ 11 เสียชีวิตแล้ว ขณะที่ พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ จำเลยที่ 32 ซึ่งถูกคุมขังในเรือนจำด้วยคดีอื่น ให้รับฟังคำพิพากษาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำ ขณะที่บรรยากาศในศาล มีผู้ชุมนุมอดีต กปปส. จำนวนหนึ่ง มามอบดอกไม้ให้กำลังใจจำเลยคดี กปปส. พร้อมร่วมรับฟังคำพิพากษาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ที่ศาลจัดแยกไว้ให้ที่ห้องพิจารณา 701 ด้วย ในส่วนการรักษาความปลอดภัย มีเจ้าพนักงานตำรวจศาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.พหลโยธิน ร่วมกันดูแลความสงบเรียบร้อย
ศาลเริ่มอ่านคำพิพากษาเวลา 10.51 น. เสร็จสิ้นในเวลา 17.20 น. พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้ว มีผลพิพากษาจำคุกจำเลยสำคัญคือนายสุเทพ จำเลยที่ 1 จำคุก 5 ปี, นายชุมพล จำเลยที่ 3 จำคุก 9 ปี 24 เดือน, นายพุทธิพงษ์ จำเลยที่ 4 จำคุก 7 ปี, นายอิสสระ จำเลยที่ 5 จำคุก 7 ปี 16 เดือน, นายวิทยา จำเลยที่ 6 จำคุก 1 ปี ปรับ 13,333 บาท, นายถาวร จำเลยที่ 7 จำคุก 5 ปี, นายณัฏฐพล จำเลยที่ 8 จำคุก 6 ปี 16 เดือน, นายเอกนัฏ จำเลยที่ 9 จำคุก 1 ปี ปรับ 13,333 บาท และนายสุวิทย์ จำเลยที่ 16 จำคุก 4 ปี 8 เดือน เป็นต้น
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือน ม.ค.2564 และดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคเดือน ก.พ.2564 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคเดือน ก.พ. 2564 ชี้แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อน หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่มีแนวโน้มคลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของ กทม. และปริมณฑลยังชะลอตัว
ส่วนภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือน ม.ค. 2564 ส่งสัญญาณชะลอตัวจากเดือนก่อน เป็นผลจากไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค. 2563 โดยเฉพาะการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่กลับมาติดลบน้อยลง รวมทั้งการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ลดลง เช่นเดียวกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เพราะผู้บริโภคมีความกังวลเศรษฐกิจและการจ้างงาน ด้านการลงทุนภาคเอกชน ส่งสัญญาณชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าเช่นกัน
ขณะที่เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศ ขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 0.4% ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศ โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี คือ สินค้าอาหาร เช่น น้ำมันปาล์ม และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน และสินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด
สัปดาห์ที่แล้ว มีอีเว้นท์ใหญ่เกิดขึ้นอยู่ 2 เรื่องราว เรียกว่ากลบทุกข่าวไปหมด อีเว้นท์แรก เหตุการณ์ ‘ม็อบ 13 กุมภาฯ’ ที่ออกมารวมตัว ‘นับหนึ่งถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน’ แต่ผลปรากฎว่า เกิดเหตุปะทะกันอีกเช่นเคย พร้อมดราม่าร้อน ๆ ‘ตำรวจกระทืบแพทย์อาสา’ ผ่านไปไม่กี่วัน ‘ศึกซักฟอกระลอกใหม่’ ของฝ่ายค้านกับรัฐบาล ก็เปิดฉากขึ้นตามมาติด ๆ
อุต๊ะ! อีเว้นท์นี้ก็แซ่บลืม มีทั้งซีนแรง ๆ มันส์ ๆ ดวลฝีปากกัน 4 วัน 4 คืน งานนี้ใครพลาดอีเว้นท์ไหน ตามไปรับชมกับ พีค of the week อีพีนี้กันได้เลย Let’s go!!
.
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องอัตราค่าโดยสารของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง โดยมีนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม (ด้านขนส่ง) เป็นประธานฯ เพื่อกำหนดมาตรฐานอัตราค่าโดยสาร ที่จะจัดนำมาใช้ในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑล โดยจะกำหนดอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง หรือตามกิโลเมตร (กม.) ประกอบกับการคาดการณ์จำนวนผู้โดยสาร ก่อนที่จะคำนวณเป็นค่าโดยสารที่แท้จริง
ทั้งนี้เมื่อคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง พิจารณาและกำหนดมาตรฐานเรื่องอัตราค่าโดยสารแล้วนั้น ขสมก.จะรวบรวมข้อมูล และจัดทำแผนลงทุนเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ให้พิจารณาตามกระบวนการ
ซึ่งคาดว่า ขสมก. จะส่งรายละเอียดดังกล่าวไปยังสภาพัฒน์ภายใน มี.ค. 2564 ส่วนจะสามารถเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เมื่อใดนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสภาพัฒน์ฯ ว่าจะตอบกลับมายังกระทรวงคมนาคมหรือแล้วเสร็จเมื่อไร
นายสรพงศ์ ได้กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางอีกว่า ที่ประชุมคณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบการเก็บอัตราค่าโดยสารตามที่แผนฟื้นฟู ขสมก. กำหนด ซึ่งเป็นรถโดยสารปรับอากาศ แบ่งเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย
1.) ตั๋วรายเที่ยว ราคา 15 บาท/เที่ยว
2.) ตั๋วรายวัน (One Day Pass) ราคา 30 บาท/วัน
3.) ตั๋วประเภทเฉพาะ กลุ่มเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พิการที่ระบุไว้ตามกฎหมาย
ทั้งนี้ อัตราค่าโดยสารตามระยะทางในปัจจุบัน ที่จัดเก็บ 15 - 20 - 25 บาทนั้น ยังคงเก็บตามเดิมอยู่ จนกว่า ครม. จะมีมติอนุมัติปรับอัตราค่าโดยสารทั้ง 3 ประเภทข้างต้น
ขณะเดียวกัน จากข้อมูลผลการศึกษาของ ขสมก. ยังได้ระบุไว้ว่า เมื่อมีการจัดเก็บค่าโดยสารตามแผนฟื้นฟู ขสมก. จะมีประชาชนที่ได้รับประโยชน์ในการจ่ายค่าโดยสารที่ถูกลงประมาณ 72% เทียบกับการเดินทางตามระยะทาง เนื่องจากในแผนฟื้นฟูได้กำหนดต้นทุนพลังงานการเดินรถของรถโดยสารปรับอากาศไฟฟ้า (EV) ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.63 บาท/กิโลเมตร (กม.) ในส่วนของรถโดยสารเชื้อเพลิงธรรมชาติ (NGV) จะอยู่ที่ 10 บาท/กม.
ทั้งนี้ ขสมก. ยืนยันว่า หากดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ขสมก. จะสามารถเดินหน้าประกอบกิจการได้ และจะมีอัตราการเติบโตปีละ 3% อย่างไรก็ตาม การใช้อัตราค่าโดยสารตามแผนฟื้นฟู ขสมก.ดังกล่าว ถือเป็นการสนองนโยบายของรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ยังมีมติเห็นชอบในหลักการการปฏิรูปเส้นทางของ ขสมก. จำนวน 108 เส้นทาง ภายใต้แผนฟื้นฟู ขสมก. เพื่อช่วยบรรเทาและแก้ปัญหาจราจรติดขัด รวมทั้งให้เส้นทางการเดินรถไม่ทับซ้อนกัน ซึ่งหลังจากการประชุมในครั้งนี้ ขสมก. จะต้องไปรวบรวมและทบทวนแผนฟื้นฟู ขสมก. จากนั้นจะรายงานให้คณะกรรมการนโยบายฯ ขนส่งทางบกกลาง โดยมีนายศักดิ์สยาม เป็นประธานพิจารณา ก่อนที่ ขสมก. จะเสนอไปยังสภาพัฒน์ฯ และ ครม.ต่อไป
The States Times ขอเปิดคอนเท้นใหม่ เราเรียกชื่อกันว่า ‘พีค of the week’ ซึ่งก็ตรงตามชื่อกันเลยล่ะครับ เราไปรวบประเด็นข่าวพีคๆ ในรอบสุดสัปดาห์ก่อน มาประมวลเพื่อเป็นการเก็บตกบรรยากาศความฮอตของข่าวกันอีกที สัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวไหนที่ ‘พีคๆ’ กันบ้าง ตามไปชมกันได้ในคลิปนี้ได้เลยครับ
.
สัปดาห์ก่อน เรื่องการข่าว มาทั้งเรื่องดีๆ และเรื่องดราๆ (หมายถึงดราม่า) ทั้งข่าวมาตรการเยียวยา หรือดราม่าพิมรี่พาย ยังมีอีกหลายข่าวที่เราคัดสรรมาแล้วว่า ‘มันพีคจริงๆ แม่!’ ไปดูกันซะก่อนจะหมดวันนี้ เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้ คุณจะคุยกับเขา ไม่...รู้...เรื่อง!!
.
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวพีคๆ ให้พูดถึงอยู่หลายข่าว The States Times จับรวบตึงมาให้ชมกัน แต่พิเศษเพิ่มเติมอีกสักนี๊ด ข่าวพีคๆ ครั้งนี้ เป็น ‘พีคแบบลุงๆ’ ตามไปดูกันว่า มี ‘ลุง’ คนไหนพีคแบบจัดๆ กันบ้าง Let’s go!!
.