Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

ก.คลัง เผยความคืบหน้าการเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ของกลุ่มประชาชนที่อยู่ในฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ พบผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 10,544,909 คน

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ของกลุ่มประชาชนที่อยู่ในฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ว่ามีผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ ผ่านแถบ (Banner) โครงการ ‘เราชนะ’ ในแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ แล้ว จำนวน 10,544,909 คน (ข้อมูล ณ เวลา 17.00 น. วันที่ 18 ก.พ. 2564)

อย่างไรก็ดี เนื่องจาก มีผู้ประสงค์ยืนยันตัวตนเข้าโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ จำนวนมากจนส่งผลกระทบต่อระบบของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทางธนาคารฯ จึงปิดระบบดังกล่าวชั่วคราวจนถึงเวลา 20.00 น. และขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถทยอยดำเนินการยืนยันตัวตนได้ และจะได้รับวงเงินสิทธิ์ภายหลังจากการยืนยันตัวตน โดยจะได้รับวงเงินสิทธิ์เพิ่มเป็นรายสัปดาห์ทุกวันพฤหัสบดีจนวงเงินสิทธิ์ครบ 7,000 บาท โดยสามารถสะสมวงเงินสิทธิ์และใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการที่ร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน ‘ถุงเงิน’ ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการ / ร้านค้าและบริการรายย่อยที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564

นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำถึงการเปิดจุดรับลงทะเบียน ณ สาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2564 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ไม่มีสมาร์ทโฟนทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ได้ หรือผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง รวมถึงผู้ที่ลงทะเบียนด้วยตนเองไม่สำเร็จเนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลไม่ถูกต้อง

โดยจากข้อมูลล่าสุดมีประชาชนกลุ่มดังกล่าวลงทะเบียนผ่านสาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทยแล้ว จำนวน 455,354 คน และกระทรวงการคลังจะมีการเปิดจุดรับลงทะเบียนโครงการฯ ผ่านสาขาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินการร่วมกับธนาคารทั้ง 3 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกในการลงพื้นที่รับลงทะเบียนให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าว

ที่ผ่านมากระทรวงการคลังพบว่ามีข่าวปลอม (Fake News) จากสังคมออนไลน์ (Social Media) เกี่ยวกับโครงการฯ ถูกเผยแพร่ออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงการคลังได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของโครงการฯ โปรดอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมจากช่องทางดังกล่าว และขอความร่วมมือประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารของโครงการฯ จากช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการจากทางราชการ ได้แก่ www.เราชนะ.com / www.mof.go.th / www.fpo.go.th และ Facebook Fanpage ‘สถานีข่าวกระทรวงการคลัง’ และ ‘สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง: Fiscal Policy Office’

สุดท้ายนี้ กระทรวงการคลังพบว่ามีประชาชนหรือร้านค้าที่ใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงการคลังได้มีการประสานขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายในประเด็นดังกล่าวแล้ว หากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้แอปพลิเคชัน ‘ถุงเงิน’ ของร้านค้าตลอดจนระงับการจ่ายเงินให้กับร้านค้าทันที รวมถึงระงับการใช้แอปพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’ ด้วย และจะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

กระทรวงการคลังจึงขอความร่วมมือประชาชนรักษาสิทธิ์ของตนเอง และขอให้ร้านค้าและประชาชนปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการฯ สำหรับประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการฯ สามารถแจ้งเบาะแสรวมถึงส่งหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำผิดเงื่อนไขโครงการฯ ถึง “คณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการฯ” ทางไปรษณีย์มาได้ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง

ก่อนหน้านี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานกลุ่มไทยภักดีโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ระบุถึงความใจกล้าของกลุ่มอาจารย์ที่ยืนฟากม็อบ แต่ไม่เคยออกตัวลงสนามเองว่า...

เดือนตุลาคม 2563 มีอาจารย์ 1,118 คนขู่นัดหยุดสอนทั่วประเทศ เรียกร้องนายกฯ ลาออก มาอีกทีอาจารย์ 255 คน มาเรียกร้องให้ศาลให้ประกัน 4 แกนนำที่หน้าเรือนจำ และมีบางคนให้หยุดงานทั่วประเทศ

ล่าสุด นพ.วรงค์ ได้โพสต์ต่ออีกว่า...

#อาจารย์จะกล้าไหม

มีประชาชนจำนวนมากเสนอ ให้ผมทำแพลทฟอร์มล่าชื่อล้านชื่อถอดถอนอาจารย์ แต่ผมลังเลใจ เพราะคิดว่าเขาคงไม่มีสำนึก

เย็นนี้ 19 ก.พ.ม็อบสามนิ้ว นัดรวมตัวหน้าสภา น่าจะเชิญ 48 อาจารย์ หรือชุด 255 อาจารย์ มานำม็อบน่าจะดีกว่า

ถ้าแน่จริง ให้หยุดสอน มาร่วมกับม็อบ หลังจากที่อาจารย์เหล่านี้ หลบหลังม็อบมานาน

อยากรู้เหมือนกันว่า อาจารย์เหล่านี้จะกล้ากับ มาตรา 112ไหม

#รู้ไหมประชาชนเบื่ออาจารย์พวกนี้


ที่มา:

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2850694241868275&id=1635406246730420

ทลายขบวนการ IO ภาค 2 ‘ณัฐชา’ แฉหลักฐานเด็ดกลางสภา! ชี้ มีนายทหารสัญญาบัตรคุมปฏิบัติการอื้อ ตั้งข้อกล่าวหา 3 ข้อ ไม่ไว้วางใจ ‘พล.อ.ประยุทธ์’

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขต25 พรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยเป็นการอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ด้วยข้อกล่าวหา 3 ข้อ คือ 1.) ไม่ปฏิบัติตามนโยบายเร่งด่วน 12 ประการที่ท่านแถลงไว้เองต่อสภาโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อ 7 ที่สัญญาว่าจะป้องกันและลดผลกระทบในเชิงสังคม ความปลอดภัย อาชญากรรมทางไซเบอร์ ในทางตรงกันข้ามกลับก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์เสียเอง 2.) จงใจใช้งบประมาณแผ่นดิน เวลาราชการ และบุคลากรของรัฐในการสร้างความเกลียดชัง 3.มีพฤติกรรมโกหกซ้ำซาก ปฏิเสธว่าไม่มีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร และไม่ตอบสนองต่อการตรวจสอบของประชาชน และสภาผู้แทนราษฎร

นายณัฐชา กล่าวว่า "พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้อาชีพทหารแทนที่ทหารจะได้ทำหน้าที่ปกป้องประชาชนจากอริราชศัตรู กลับตั้งตัวเป็นศัตรูของประชาชน แทนที่จะปกป้องสถาบันกษัตริย์ เทิดทูนไว้เหนือการเมือง กลับนำเอาพระมหากษัตริย์มาเป็นเกราะกำบังตัวเองจากการวิจารณ์ของประชาชน เอาความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์มาเป็นอาวุธทำร้ายประชาชน ทั้งหมดก็เพื่อค้ำยันบัลลังก์อำนาจของตัวเอง"

นายณัฐชา ยังได้เปิดคลิปหลักฐานการประชุมออนไลน์ของ ม.ทบ. ที่ 21 กลางสภาอีกด้วย โดยในการประชุมดังกล่าวได้มีการสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม และมองประชาชนทั่วไปที่วิพากษ์วิจารณ์กองทัพว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งยังได้เผยหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอการประชุมของทหารอีกหนึ่งชิ้นด้วย โดยคลิปวีดีโอนี้เป็นการประชุมเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเป็นเวลาสี่วันก่อนศาลสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่มีการสั่งการให้เตรียมการรับมือการยุบพรรคอนาคตใหม่อย่างชัดเจน ทำให้เกิดคำถามว่าเหตุใดถึงรู้ก่อน เหตุใดจึงรู้ล่วงหน้าได้

นายณัฐชา ยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่า จากหลักฐานที่เปิดออกมานี้ จะสังเกตเห็นได้ว่าคนนั่งหัวโต๊ะมีความกังวล และย้ำว่าอย่าให้เอกสารหลุด โดยเฉพาะเอกสารการเงิน แสดงว่าปฏิบัติการนี้มีการใช้งบประมาณแผ่นดิน เงินภาษีของประชาชนใช่หรือไม่ ที่พวกท่านใช้มาทำงานด่าทอด้อยค่าประชาชน

“ทหารได้พูดในคลิปว่า ยังไงเราก็สู้ไม่ได้เพราะกำลังสู้กับฝั่งที่จัดตั้งมาดี มืออาชีพ ผมยืนยันตรงนี้นะครับว่าพวกท่านเข้าใจผิด เพราะคนที่ท่านคิดว่าเป็นปฏิบัติการไอโอของอีกฝั่ง แท้จริงเป็นแค่ประชาชน คนทั่วไปที่ไม่พอใจการทำงานของรัฐบาล การทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ เมื่อท่านประเมินผิด นโยบายของพวกท่านจึงผิดพลาด คนที่เป็นทหารท่านน่าจะรู้ดีว่า หากกำหนดศัตรูผิดตัว มุ่งรบกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ปลายทางของพวกท่านมีเพียงความพ่ายแพ้เท่านั้น เพราะยิ่งโดนแฉเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอกย้ำให้สังคมเห็นว่า คนที่เกลียดรัฐบาล เกลียด พล.อ. ประยุทธ์ เป็นของจริง แต่คนที่ชมรัฐบาล คนที่คอยสรรเสริญประยุทธ์ เป็นของปลอม” นายณัฐชา ระบุ

นายณัฐชา กล่าวต่อไปด้วยว่า "เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีเอกสารฉาวจากกองทัพหลุดมาอีกครั้ง ว่าด้วยการทำไอโอ โดยเป็นการเปิดอบรมผ่านหลักสูตรของโรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน มีกลไกการทำงานแบ่งทีมเป็นฝ่ายขาว ที่เป็นงาน PR ประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจของสถาบันกษัตริย์ และ ฝ่ายดำมุ่งโจมตีด้อยค่าฝ่ายตรงข้ามด้วยข้อหาไม่จงรักภักดี และล้มล้างสถาบัน เอกสารนำเสนอที่หลุดออกมา ยังระบุกลไกการสั่งงานอย่างเป็นระบบผ่าน 2 แอพพลิเคชั่นที่ให้เอกชนทำขึ้น คือ Twitter Broadcast และ Free Messenger โดยระดับแกนนำเท่านั้นที่จะใช้ 2 แอพนี้ในการทำงาน ส่วนระดับสนับสนุนใช้ไลน์กลุ่มตามเดิม ในเอกสารระบุหน่วยที่ใช้งาน 2 แอพนี้ ว่า มี ร.2.รอ. ร.11.รอ. ร.21.รอ. และป.2.รอ. ทั้งยังปรากฏเป้าหมายยอดบัญชีไอโอกว่า 54,800 บัญชีภายใต้การควบคุมดูแลจากหน่วยงานต่างๆ ของกองทัพถึง 19 หน่วย"

“การทวีตข้อความซ้ำ ๆ เป็นร้อย ๆ พัน ๆ สร้างกระแสปลอม ๆ ขึ้นมาในทวิตเตอร์ มันผิดกฎครับ องค์กรระดับโลกอย่าง Twitter เลยนิ่งเฉยไม่ได้ เมื่อปลายปีที่แล้ว ทวิตเตอร์ระงับบัญชี 926 บัญชี โดยระบุชัดครับว่าพบปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ IO ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพบก ทวิตเตอร์ก็มาแบนอีกบัญชีในช่วงเดือนพฤศจิกายน คือบัญชีทางการหรือ official account ของ “โรงเรียนจิตอาสาพระราชทาน” ด้วยข้อหาเป็นสแปม หรือทวีตข้อความซ้ำๆ มากเกินไป” นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวต่อด้วยว่า "การทำไอโอทำในนามโรงเรียนจิตอาสาก็จริง แต่ใช้ทหารในกองทัพ อาทิ ชื่อทวิสเตอร์ ‘เฮียตือ สนามเป้า’ ตัวจริงคือ พันโทธรรม์ มาลัยทอง สังกัดกองพลทหารม้าที่สองรักษาพระองค์ หรือ ชื่อบัญชี ‘เสือขาว’ ที่ทวีตโจมตีผู้ชุมนุมทาง Twitter ปรากฎว่าภาพที่ประกอบทวีต ถูกชาวเน็ตนำไปขยายดูเงาสะท้อนจากกระจกรถ พบว่าสติกเกอร์ติดหน้ารถ ระบุว่าเป็นบัตรผ่านเข้าออก เขตพระราชฐานในพระองค์ 904 ปี 2563 ชื่อ คมทวน คล้ายอักษร ทะเบียนรถ 4กว 5004"

นายณัฐชา กล่าวว่า "มีหลักฐานอีกชิ้นว่ามีการสั่งการหลังบ้าน ให้ปฏิบัติการภารกิจไอโอ โดยผู้ประสานงานจิตอาสา 904 รุ่นหลัก 5/63 พลตรี จักรชัย ศรีคชา หรือที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้บัญชาการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ พิมพ์สั่งลูกน้องโดยมีถ้อยคำที่ว่า "ให้เหมือนเราไปม็อบ แล้วบอกว่าการ์ดอาชีวะ กินเหล้า ทำพฤติกรรมรุนแรง ไม่เห็นด้วยกับเป้าหมายของม็อบ" "

นายณัฐชา ยังได้กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า "สิ่งที่สำคัญที่สุดของการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่แค่เรื่องใช้ภาษีประชาชน ใช้หน่วยงานรัฐโดยไม่เกิดประโยชน์ แต่ยังใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรี สร้างความเกลียดชัง สร้างความแตกแยกในหมู่ประชาชน โดยใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ การกระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ นอกจากจะตอกลิ่มให้สังคมร้าวลึกแล้ว ยังทำให้บทบาทและสถานะของสถาบันกษัตริย์ถูกตั้งคำถาม จึงขอไม่ไว้วางใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกต่อไป"

TMB มองปี 64 หลายธุรกิจทยอยฟื้นตัว แต่รายได้ยังต่ำกว่าภาวะปกติ เผยกลุ่มธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ สุขภาพฟื้นแล้ว แต่สิ่งพิมพ์ อสังหา ท่องเที่ยว ยังร่อแร่ แนะรัฐเร่งเสริมสภาพคล่อง

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ (TMB Analytics) คาดว่ารายได้รวมของธุรกิจไทยในปี 64 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 63 ที่ 2.1% แต่ยังต่ำกว่าปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด ถึง -14.6% โดยคาดว่าธุรกิจที่ฟื้นแล้วจะขยายตัวจากปีก่อน 2.8% และธุรกิจที่กำลังฟื้นจะขยายตัวจากปีก่อน 2.5% ในขณะที่ธุรกิจที่ยังไม่ฟื้นจะหดตัวจากปีก่อน -1.2%

ด้านแนวโน้มการฟื้นตัวของแต่ละธุรกิจที่วิเคราะห์ด้วยการใช้เกณฑ์เปรียบเทียบแนวโน้มรายได้ของธุรกิจในปี 64 กับรายได้ธุรกิจปี 62 ซึ่งสามารถแบ่งแนวโน้มธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มธุรกิจที่ฟื้นแล้ว (รายได้ธุรกิจปี 64 สูงกว่าปี 62) ได้แก่ อาหาร ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ยางพารา อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ธุรกิจด้านสุขภาพ ไอทีและเทเลคอม เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วน โดยได้รับอานิสงส์จากการส่งออกที่ดีขึ้นตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว พฤติกรรมการเว้นระยะห่างทางสังคม การทำงานที่บ้าน การซื้อขายสินค้าออนไลน์ และการดูแลสุขภาพมากขึ้น

กลุ่มธุรกิจกำลังฟื้น (รายได้ปี 64 ต่ำกว่าปี 62 ระหว่าง 80-100%) ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ เครื่องดื่ม วัสดุก่อสร้าง เคมีภัณฑ์ บริการธุรกิจ สินค้าอุปโภคบริโภค ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักรและอุปกรณ์ เหล็กและโลหะ ผลิตภัณฑ์เกษตร พลังงาน รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มนี้มีทิศทางฟื้นตัวตามทิศทางการการบริโภคและการลงทุนในประเทศที่คาดว่าจะทยอยฟื้นตัวจากการส่งออก และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ แต่จะฟื้นตัวไม่เต็มที่ ยังต้องรอวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 นำมาฉีดให้ประชาชนในประเทศอย่างทั่วถึงเสียก่อน

กลุ่มธุรกิจที่ยังไม่ฟื้น (รายได้ปี 64 ต่ำกว่า 80% เมื่อเทียบกับปี 62 ) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์กระดาษและสิ่งพิมพ์ อสังหาริมทรัพย์ เฟอร์นิเจอร์ บริการส่วนบุคคล การขนส่งทางอากาศ สินค้าแฟชั่น ธุรกิจท่องเที่ยว อยู่ในหมวดสินค้าบริการและสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง และยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แม้ว่าจะมีความหวังวัคซีนป้องกันโควิด-19 แต่อัตราการฉีดจะยังไม่ทั่วถึงในปีนี้ นอกจากนี้หลังจากฉีดไปแล้วยังต้องรอความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมาก่อน จึงจะทำให้เริ่มฟื้นตัวได้

จากข้อมูลดังกล่าวแนะนำให้ผู้ประกอบการหาโอกาสจากธุรกิจของตนเอง โดยการประเมินปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ภาคเกษตรที่ดีขึ้น และมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ว่ามีส่วนใดบ้างที่ธุรกิจจะได้รับผลประโยชน์บ้าง และพิจารณาทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เว้นระยะห่างทางสังคม ทำงานที่บ้าน และซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น

นอกจากนี้ภาครัฐควรเพิ่มแรงสนับสนุนธุรกิจที่ฟื้นแล้วและกำลังฟื้นให้กลับมาปกติ เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวถือเป็นโอกาสของธุรกิจส่งออกสินค้า ภาครัฐควรเร่งเจรจากับประเทศคู่ค้าเพื่อขายสินค้าให้ได้มากขึ้น รวมถึงดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป สินค้าเกษตรมีทิศทางดีขึ้น ภาครัฐควรสนับสนุนการลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการมีกำไรมากขึ้น เป็นต้น

สำหรับธุรกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวภาครัฐสามารถช่วยประคับประคองผู้ประกอบการให้ผ่านพ้นความยากลำบากนี้ ด้วยการใช้มาตรการช่วยเหลือ เช่น การให้เงินกู้เสริมสภาพคล่อง รวมถึงการยืดหนี้ให้สำหรับธุรกิจที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ จนกว่าธุรกิจจะสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ดังเดิมอีกครั้ง

ข่าวด่วนจากพม่า วันนี้ 19 กุมภาพันธ์ มีรายงานว่า มยา ตะเว ตะเว คาย หญิงพม่าวัย 20 ปี หนึ่งในผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า ที่ถูกกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงที่ศีรษะ ได้เสียชีวิตลงแล้ว หลังจากที่ทีมแพทย์ได้พยายามยื้อชีวิตไว้นานถึง 10 วัน

ผู้ประท้วงหญิงรายนี้ ทำงานเป็นพนักงานขายที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่งในกรุงเนปิดอว์ ซึ่งได้เข้าร่วมการประท้วงต่อต้านรัฐประหารเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับหน่วยปราบจลาจลของพม่า และมีการใช้กระสุนยางเพื่อสลายการชุมนุม แต่ปรากฏว่า มยา กลับได้รับบาดเจ็บสาหัสจากลูกกระสุนปืนปริศนาเข้าบริเวณด้านหลังของศีรษะ ขณะที่เธอกำลังหลบอยู่หลังป้ายรถเมล์กับกลุ่มผู้ประท้วงคนอื่น แม้ว่าในวันนั้นเธอจะสวมหมวกกันน็อคอยู่ แต่คมกระสุนได้เจาะทะลุหมวกกันน็อคเข้าถึงศีรษะ เป็นเหตุให้เธอล้มลง หมดสติ และอยู่ในอาการโคม่านับจากวันนั้น

ทางกองทัพพม่าออกมายืนยันว่า ใช้เพียงกระสุนยางในการปราบปรามจลาจล และยืนยันว่าจะมีการสอบสวนหาความจริงให้กระจ่าง แต่ภาพข่าวที่มยาได้รับบาดเจ็บจากถูกยิงด้วยกระสุนจริง และภาพหลุดที่มีเจ้าหน้าที่ถือปืนคล้ายปืนกลอูซี เล็งไปที่ผู้ชุมนุม กลายเป็นกระแสร้อนแรงอย่างมากในพม่า และมีการแชร์ออกไปทั่วโลก

ทางโรงพยาบาล และครอบครัวของมยา ได้ออกมายืนยันการเสียชีวิตของเธอแล้วในวันนี้ และจะมีการชันสูตรพลิกศพเพื่อเก็บ.รายละเอียดในการสืบสวนต่อไปถึงที่มาของกระสุนปริศนา และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในวันเกิดเหตุ

มยา ตะเว ตะเว คาย นับเป็นผู้เสียชีวิตรายแรก ในกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร นอกจาก มยาแล้ว มีรายงานเจ้าหน้าที่ตำรวจพม่าเสียชีวิตในหน้าที่อีก 1 ราย ตั้งแต่มีการประท้วงครั้งใหญ่ในพม่าเป็นต้นมา


อ้างอิง

https://www.theguardian.com/global-development/2021/feb/19/myanmar-protester-shot-in-head-during-police-crackdown-has-died-says-brother

https://www.channelnewsasia.com/news/asia/mya-thwate-thwate-khaing-myanmar-protester-shot-in-head-dead-14234992

เลขาธิการสหประชาชาติร้อง ตั้งคณะทำงานพิเศษ แจกจ่ายวัคซีนโควิด-19 ให้เข้าถึงได้ทั่วโลก ไม่ผูกขาดอยู่เพียงประเทศร่ำรวย แฉ วัคซีน 3 ใน 4 ของโลกอยู่ในมือ 10 ประเทศร่ำรวย มีอีกถึง 130 ประเทศ ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกด้วยซ้ำ

อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติระบุว่า มีอยู่ 10 ประเทศที่ฉีดและสำรองวัคซีนโควิด-19 รวมกันไปแล้วถึงร้อยละ 75 ของวัคซีนทั้งหมดที่มีในปัจจุบัน ในขณะที่ประเทศอีกมากกว่าครึ่งโลก คือ 130 ประเทศยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกด้วยซ้ำ

กูเตอร์เรสกล่าวว่า นี่เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม ที่ประเทศไม่กี่ประเทศควบคุมปริมาณวัคซีนโควิด-19 จำนวนมากของโลกไว้ เพื่อจัดการกับความไม่เท่าเทียมกันนั้น เลขาธิการเสนอให้สมาชิก G20 ตั้งหน่วยงานฉุกเฉินเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ทั่วโลก

“ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงวัคซีนเป็นการทดสอบศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” เขากล่าวในการประชุมกับคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ทั่วโลกมีผู้ได้รับวัควีนไปแล้วประมาณ 188 ล้านคน กูเตอร์เรสไม่ได้ระบุชื่อ 10 ประเทศที่ถือครองวัคซีนโควิด-19 ถึง 3 ใน 4 ของวัคซีนทั้งหมด แต่คาดว่าบางส่วนคงเป็นประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงอย่างแน่นอน เช่น สหรัฐอเมริกา

คณะทำงานที่เสนอจะประกอบด้วยสมาชิกของกลุ่ม G20 ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งจะสนับสนุนเงินและความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ประเทศต่าง ๆ สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศใน “Global South” หรือประเทศแถบแอฟริกา ละตินอเมริกา และอเมริกาใต้

หน่วยงานนี้จะทำหน้าที่คล้าย ๆ กับ COVAX ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มจากองค์กรพันธมิตรเพื่อวัคซีน Gavi และองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยซื้อวัคซีนโควิด-19 จำนวนมาก และส่งไปยังประเทศยากจนซึ่งไม่สามารถแข่งขันกับประเทศที่ร่ำรวยในการทำสัญญาซื้อขายกับบริษัทยารายใหญ่ได้

ปัจจุบัน 10 ประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สูงสุดได้แก่ สหรัฐอเมริกา 56.28 ล้านคน, จีน 40.52 ล้านคน, อังกฤษ 16.5 ล้านคน, อินเดีย 9.42 ล้านคน, อิสราเอล 6.88 ล้านคน, บราซิล 5.88 ล้านคน, ยูเออี 5.28 ล้านคน, ตุรกี 5.22 ล้านคน, รัสเซีย 3.9 ล้านคน และอิตาลี 3.21 ล้านคน

หนึ่งใน 130 ประเทศที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ยังรวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน


ที่มา : https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/142416

https://edition.cnn.com/2021/02/18/world/united-nations-130-countries-no-vaccine-trnd/index.html

https://ourworldindata.org/covid-vaccinations

เทศบาลกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย งัดไม้แข็ง หากประชาชนปฏิเสธรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพราะอาจต้องเสียค่าปรับสูงถึง 10,000 บาท

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เผยว่า นายอาหมัด ริซา ปาเตรีย รองผู้ว่าราชการกรุงจาการ์ตา ได้แถลงถึงการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของประชาชนชาวอินโดนีเซียว่า “เป็นเรื่องที่จำเป็น” หลังพบสถิติผู้ป่วยสะสมสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือมากกว่า 1.2 ล้านคน และเสียชีวิตแล้วเกือบ 34,000 คน

ทั้งนี้คำแถลงดังกล่าวได้มาพร้อมอำนาจตามคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี ‘โจโค วิโดโด’ ซึ่งลงนามเมื่อต้นเดือนก.พ.ว่า ชาวอินโดนีเซียที่ปฏิเสธเข้ารับการฉีดวัคซีน อาจไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐบางส่วนได้ หรืออาจต้องชำระค่าธรรมเนียม โดยผู้นำอินโดนีเซียให้อำนาจรัฐบาลท้องถิ่นในการกำหนดบทลงโทษเองนั้น ชาวกรุงจาการ์ตาที่ฝ่าฝืน อาจต้องชำระค่าปรับสูงสุด 5 ล้านรูเปียห์ (ราว 10,715.68 บาท) แต่ ปาเตรีย ยืนยันว่า “จะเป็นทางเลือกสุดท้าย”

ทั้งนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียต้องการให้จำนวนประชากรเข้ารับการฉีควัคซีนเป็นไปตามเป้าหมาย คือไม่ต่ำกว่า 181.5 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งประเทศซึ่งมีอยู่ราว 270 ล้านคน ภายในระยะเวลา 15 เดือน นับตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อเดือนที่แล้ว คิดเป็นประมาณ 67% เพื่อให้เพียงพอสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างชาวอินโดนีเซีย 1,202 คน โดยสำนักวิจัยไซฟุล มูจานี เมื่อเดือน ธ.ค.ปีที่แล้ว ปรากฏว่ามีเพียง 37% ยืนยันจะเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ส่วน 17% ปฏิเสธ แต่กลุ่มตัวอย่างมากถึง 40% ยังตัดสินใจไม่ได้


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/foreign/826313

พรุ่งนี้อย่าลืม ! 21 กุมภา 64 ลงทะเบียน 'ม33 เรารักกัน' รับเงินเยียวยา 4,000 บาท ไม่ได้รับสิทธิ์ขอทบทวนสิทธิ์ได้

พรุ่งนี้แล้ว​ (21 ก.พ.64)​ ที่โครงการ 'ม.33 เรารักกัน'​ จะเปิดให้ลงทะเบียน​ โดยโครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อช่วยเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพของผู้ประกันตนมาตรา 33 จากผลกระทบของการระบาดโควิด-19​ คาดว่า​ จะมีผู้เข้าข่ายมีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยาในครั้งนี้ 9.27 ล้านคน โดยรัฐบาลจะจ่ายเยียวยารายละ 4,000 บาท ใช้วงเงินประมาณ 37,100 ล้านบาท

สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจในขั้นตอนการลงทะเบียนและทบทวนสิทธิ์ 'โครงการ ม.33 เรารักกัน'​ นั้น​ สามารถติดตามได้ดังนี้...

***การลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิ์...

วันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค. 2564​ >> ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com

วันที่ 8-14 มี.ค. 2564​ >> ธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลคัดกรอง

วันที่ 15-21 มี.ค. 2564​ >> ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านทาง www.ม33เรารักกัน.com และกดยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน 'เป๋าตัง'

วันที่ 22, 29 มี.ค. และ 5, 12 เม.ย. 2564 >>

ผู้ได้รับสิทธิ์ จะได้วงเงินผ่าน 'เป๋าตัง'​ ครั้งละ 1,000 บาท

วันที่ 22 มี.ค. - 31 พ.ค. 2564​ >> เริ่มใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการ ผ่านร้านค้า/ผู้ประกอบการ/บริการ ภายใต้ร้านธงฟ้าที่ใช้แอปฯ 'ถุงเงิน'​/ โครงการ '​คนละครึ่ง'​ / โครงการ 'เราชนะ'​

***การขอทบทวนสิทธิ์

วันที่ 15 - 28 มี.ค. 2564​ >> เปิดให้ขอทบทวนสิทธิ์ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com

วันที่ 29 มี.ค. - 4 เม.ย. 2564​ >> ธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลคัดกรอง

วันที่ 5-11 เม.ย. 2564​ >> ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านทาง www.ม33เรารักกัน.com และกดยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน 'เป๋าตัง'​

วันที่ 12, 19 เม.ย. 2564 >> ผู้ได้รับสิทธิ์ จะได้วงเงินผ่าน 'เป๋าตัง'​ ครั้งละ 2,000 บาท

วันที่ 12 เม.ย. - 31 พ.ค. 2564​ >> เริ่มใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการ ผ่านร้านค้า/ผู้ประกอบการ/บริการ ภายใต้ร้านธงฟ้าที่ใช้แอปฯ 'ถุงเงิน'​/ โครงการ 'คนละครึ่ง' / โครงการ 'เราชนะ'​


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/2036116

'ชวน' ยัน โหวตเสร็จก่อนเที่ยง ประชาธิปัตย์ไม่แตกแถวมติพรรค

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมสภาว่า ในวันนี้ใช้วิธีเสียบบัตรโหวตทีละคนทั้ง​ 10 คนตั้งแต่นายกรัฐมนตรี แต่จะใช้วิธีการนับองค์ประชุมก่อน ถึงแม้ว่าจะไม่ครบองค์ประชุมก็ตาม แล้วจึงจะให้ลงมติได้ โดยวิธีเสียบบัตรพร้อมกันทั้ง 487 คน และใช้เวลาไม่นานเสร็จก่อนเที่ยง

ขณะเดียวกัน ที่รัฐสภา นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถึงกรณีมีกระแส ส.ส.ภายในพรรคประชาธิปัตย์เสียงแตก ว่า ทุกคนต้องทำตามมติพรรคอย่างแน่นอน เมื่อถามย้ำว่า ใช่หรือไม่ที่ทุกคนจะทำตามมติพรรค นายเฉลิมชัยยิ้มและกล่าวว่าก็รอดูแล้วกัน
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top