Wednesday, 25 June 2025
TheStatesTimes

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 ของ พ.ร.บ.ประกันสังคม ในโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ ซึ่งผู้ที่มีสิทธิจะได้รับเงินโอนคนละ 4,000 บาท สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค.นี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ รับคนละ 4,000 บาท เริ่มลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www. ม33เรารักกัน.com ตั้งแต่วันที่ 21 ก.พ. - 7 มี.ค. 64 โดยคุณสมบัติ จะต้องเป็นผู้ประกันตนตาม มาตรา 33 ที่มีสัญชาติไทย ต้องไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ต้องมีเงินฝากในบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท นับถึง 31 ธันวาคม 2563

ระยะเวลาดำเนินการ

โครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ ผู้มีสิทธิข้างต้น สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www. ม33เรารักกัน .com และตรวจสอบการได้รับสิทธิตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 7 มีนาคม 2564 จากนั้นธนาคารทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลการคัดกรอง ระหว่างวันที่ 8 - 14 มีนาคม 2564 ผู้ได้รับการยืนยันสิทธิกดใช้งานและกดยืนยันตัวผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ระหว่างวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2564 และสามารถรับโอนเงินผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ได้ครั้งละ 1,000 บาท รวมทั้งสิ้น 4,000 บาท ในวันที่ 22,29 มีนาคม และวันที่ 5,12 เมษายน 2564 โดยเริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม - 31 พฤษภาคม 2564

การขอทบทวนสิทธิ

สำหรับผู้ที่ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ จะสามารถขอทบทวนสิทธิได้ด้วยการขอทบทวนสิทธิผ่าน www.ม33เรารักกัน.com ระหว่างวันที่ 15 - 18 มีนาคม 2564 จะทำการตรวจสอบข้อมูล รวมทั้งประมวลผลคัดกรองและแจ้งยืนยันการได้รับสิทธิระหว่างวันที่ 29 มีนาคม - 4 เมษายน 2564 ผู้ได้รับสิทธิ์ต้องกดใช้งานและยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชันง ‘เป๋าตัง’ ระหว่างวันที่ 5 - 11 เมษายน 2564 รับโอนเงินเข้าแอปพลิชัน “เป๋าตัง” ครั้งละ 2,000 บาท ในวันที่ 5 และ 12 เมษายน 2564 และเริ่มใช้แอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ จ่ายเงินสำหรับการซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายในโครงการเราชนะได้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2564

วันนี้เป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ โดยถูกยกให้เป็น ‘วันสมเด็จพระนารายณ์มหาราช’ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อวันจันทร์ เดือนยี่ ปี พ.ศ. 2175 ซึ่งตรงกับวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2175 นั่นเอง

สมเด็จพระนารายณ์ หรืออีกพระนามหนึ่งว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 3 เป็นพระมหากษัตริย์ในอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา โดยทรงขึ้นครองราชย์เมื่อแรม 2 ค่ำ เดือน 12 พ.ศ. 2199 ในขณะที่มีพระชนมายุ 25 พรรษา

ตลอดรัชสมัยของพระองค์ ทรงมีพระราชกรณียกิจที่ส่งเสริมให้กรุงศรีอยุธยาเจริญรุ่งเรือง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การต่างประเทศ การศึกษา และศิลปวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านการค้าขาย ทรงติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยพระองค์ทรงปรับปรุงพระคลังสินค้า โปรดเกล้าฯ ให้ต่อเรือกำปั่นหลวง เพื่อทำการค้ากับต่างประเทศ นอกจากนี้ยังทรงจัดคณะทูตเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีถึงประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่มีความรอบรู้และปราดเปรื่อง ตลอดจนทรงมีไหวพริบปฏิภาณในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้ลุล่วง โดยครั้งหนึ่งฝรั่งเศสได้ส่งคณะทูตนำโดย เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ มาเข้าเฝ้าเพื่อทูลขอให้พระองค์ทรงเข้ารีต แต่พระองค์ทรงปฏิเสธด้วยพระปรีชาสามารถไปว่า

"การที่ผู้ใดจะนับถือศาสนาใดนั้น ย่อมแล้วแต่พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์จะบันดาลให้เป็นไป ถ้าคริสตศาสนาเป็นศาสนาดีจริงแล้ว และเห็นว่าพระองค์สมควรที่จะเข้าเป็นคริสตศาสนิกแล้ว สักวันหนึ่งพระองค์จะถูกดลใจให้เข้ารีตจนได้"

นอกจากนี้พระองค์ยังได้ให้เสรีภาพแก่ราษฎร ที่จะนับถือคริสตศาสนาได้ตามความเลื่อมใสของตน เรื่องนี้ทำให้เชอวาเลียร์ เดอ โชมองต์ พอใจเป็นอย่างยิ่ง

วันนี้ถือเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ‘สมเด็จพระนารายณ์มหาราช’ จึงสมควรเป็นอย่างยิ่งในการเทิดพระเกียรติและระลึกถึงพระปรีชาสามารถ ตลอดจนพระอัจฉริยภาพอันเปี่ยมล้นของพระองค์


ที่มา: https://www.lib.ru.ac.th/journal/feb/feb16-Narai.html

เปิดไทมไลน์จลาจล ‘ม็อบ ปะทะ ตำรวจ’ 13 ก.พ. 64

ม็อบ13กุมภา - กลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าขึ้นมาทันที ในระหว่างการชุมนุมจัดกิจกรรม นับ 1 ถึงล้าน คืนอำนาจให้ประชาชน เมื่อวันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งเกิดเหตุประทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน จนเกิดกระแสดราม่า ‘ตำรวจกระทืบหมอ’ เราลองไปย้อนดูไทม์ไลน์กันว่า ในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง

- 18.50 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนถึงหน้าศาลฎีกา โดยมีกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนตั้งแนวกั้น

- 18.58 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มใช้ความรุนแรง ทำลายรั้วและผลักดันเจ้าหน้าที่

- 19.44 น. กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มปาขวดน้ำ สิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ พร้อมเรียกร้องให้ปิดไฟ มีเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้น 2 ครั้ง

- 20.13 น. กลุ่มผู้ชุมนุมมีการสาดสี และปาก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง

- 20.28 น. กลุ่มผู้ชุมนุมขว้างประทัดยักษ์ ระเบิดควันใส่เจ้าหน้าที่

- 20.20 น. นายอรรถพล บัวพัฒน์ (ครูใหญ่ พอกันที) แกนนำราษฎร ประกาศยุติการชุมนุม

- 21.06 น. ควบคุมตัวหญิงมีอาการเมาสุรา ก่อเหตุอาละวาด เพื่อนำไปสงบสติอารมณ์

- 21.40 เจ้าหน้าที่ได้เคลียร์พื้นที่ถนนหน้าศาลฎีกาแล้วเสร็จ และเจ้าหน้าที่ EOD ได้เข้าตรวจพิสูจน์หลักฐาน

- 22.10 น. พ.ต.อ.อรรถวิทย์ สายสืบ ให้สัมภาษณ์สื่อว่ามีผู้ถูกจับกุม 11 คน นำตัวไปบก.ตชด.ภาค 1

- 22.58 น. ที่ สน.นางเลิ้ง เกิดเหตุวุ่นวาย กรณีมีการยิงการ์ดอาชีวะบาดเจ็บ 2 คน

‘กล้วยไม้ไทย’ มีความงดงาม และมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ซึ่งหนึ่งในผู้ที่บุกเบิก และคว่ำหวอดอยู่ในแวดวงกล้วยไม้ไทยมายาวนาน นั่นคือ ศาสตราจารย์ระพี สาคริก อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยวันนี้เมื่อ 3 ปีก่อน เป็นวันที่นักวิชาการท่านนี้ได้เสียชีวิตลง...

ย้อนเวลากลับไป ศ.ระพี สาคริก ได้เข้าเป็นอาจารย์ประจำในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่เนื่องจากมีความสนใจในงานด้านการวิจัยทางการเกษตรเป็นเดิมทุน จึงเริ่มต้นงานวิจัยพันธุ์ข้าว พันธุ์ผัก และยาสูบ กระทั่งได้เข้ามาศึกษาค้นคว้าด้าน ‘กล้วยไม้’ อย่างจริงจัง จึงอุทิศตนให้กับงานวิจัยกล้วยไม้มาโดยตลอด

ศ.ระพี ได้รับการยอมรับจากวงการกล้วยไม้ของโลกว่า เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องกล้วยไม้มากที่สุดคนหนึ่ง ยืนยันได้เป็นอย่างดีจากผลงานการค้นคว้าและส่งเสริมกล้วยไม้ ทั้งในด้านการปรับปรุงพันธุ์ ขยายพันธุ์ ตลอดจนด้านธุรกิจการส่งออก ทำให้ ‘กล้วยไม้ไทย’ กลายเป็นสินค้าส่งออกด้านเกษตรที่สำคัญชนิดหนึ่งของประเทศไทย

ศ.ระพี ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานเหรียญดุษฎี เข็มศิลปวิทยา สาขาเกษตรศาสตร์ (พ.ศ. 2511) รวมทั้งได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ ในปี พ.ศ. 2513 นอกจากนี้ยังเคยเป็นอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ส่วนในบทบาทงานด้านการเมือง เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาแล้ว

ศ.ระพี สาคริก เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ในวัย 95 ปี ซึ่งวันนี้เป็นวันครบรอบ 3 ปีของการจากไป แต่ผลงานของนักวิชาการท่านนี้ก็ยังคงถูกยกย่อง ตลอดจนองค์ความรู้ต่าง ๆ ก็ยังคงถูกถ่ายทอดสู่คนรุ่นหลังต่อไป จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็น ‘บิดาแห่งกล้วยไม้ไทย’


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki

'บิ๊กตู่' เตือนม็อบมีพยานหลักฐาน - กล้องบันทึกภาพชัดเจนใครก่อเหตุรุนแรง ขออย่าฟังความข้างเดียวดราม่าตำรวจทำร้ายแพทย์อาสา ชี้เจ้าหน้าที่เองก็ถูกทำร้าย ลั่นเคลื่อนไหวปลุกระดมเวลานี้ไม่เกิดประโยชน์ประเทศชาติ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กล่าวถึงความกังวลต่อการชุมนุมมีการจุดกระแสเจ้าหน้าที่ทำร้ายและอาจจะมีการเคลื่อนไหวไปที่หน้ารัฐสภาในวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ และการควบคุมสถานการณ์เพราะเริ่มมีการยกระดับความรุนแรงมีระเบิดในพื้นที่ชุมนุม ว่า ยืนยันว่าจะให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่ในการทำหน้าที่ตามกฎหมายด้วยความละมุนละม่อม

ขณะเดียวกันขอฝากเตือนผู้ก่อเหตุด้วยว่าทุกอย่างเป็นไปตามพยานหลักฐานจำนวนมาก รวมถึงกล้องต่าง ๆ ก็ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จึงขอให้เสนอข่าวสองทางว่ามีการปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่ด้วยและต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานด้วยความระมัดระวัง และมีชีวิตจิตใจเหมือนกัน ถ้าใช้ความรุนแรงตอบโต้ไปมาก็มีแต่ทำให้เกิดความรุนแรงเกิดขึ้นและไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวม

เมื่อถามว่า ในฐานะกำกับดูแลตำรวจจะชี้แจงหรือแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ตำรวจทำร้ายร่างกายทีมแพทย์ อย่างไร และต้องกำชับให้ระมัดระวังอะไรเพิ่มเติมหรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ก็บอกไปแล้วมีการทำร้ายเจ้าหน้าที่ด้วย ซึ่งต้องไปพิสูจน์ทราบเจ้าหน้าที่แพทย์จริงหรือไม่ ขณะนี้อยู่ในกระบวนการสอบสวนและฟังความข้างเดียว ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย"

เมื่อถามถึงการนัดหมายชุมนุม 17 ก.พ.และ 20 ก.พ. ซึ่งเป็นช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นห่วงหรือไม่ว่าผลการอภิปรายและลงมติในสภาฯ จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวชุมนุมนอกสภา พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ตนคิดว่า อย่ามีการเคลื่อนไหวในทางปลุกระดมปลุกปั่น ให้เกิดการชุมนุม ไม่เกิดประโยชน์อะไรต่อประเทศชาติในเวลานี้ เพราะประเทศชาติมีปัญหาอยู่ ทั้งโควิดและปัญหาต่างๆ มากมาย ถึงไม่ควรเพิ่มความขัดแย้งให้มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันกระบวนการทำงานก็เป็นเรื่องของรัฐสภาและรัฐบาลที่ต้องชี้แจงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงขอให้ประชาชนเฝ้ารอฝั่งที่บ้านดีกว่ามาประท้วงซึ่งไม่รู้เพื่อจุดมุ่งหมายอะไร ซึ่งหลายคนพอจะทราบอยู่แล้ว"

เมื่อถามว่ามีรายงานข่าวว่ากลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหารเมียนมาในไทยแฝงตัวร่วมชุมนุมในพื้นที่ปทุมวันและสนามหลวงช่วงที่ผ่านมา ได้กำชับให้หน่วยความมั่นคงดูแลเรื่องนี้อย่างไร เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงในอนาคต พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมขอเตือนว่าให้ใช้ความระมัดระวังให้มากที่สุดในฐานะมิตรประเทศและอาเซียน ต้องระมัดระวังทุกมิติและทุกประเด็นพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากร้ายแรงว่าจะดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด"

ส่วนประเด็นความพร้อมต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันพรุ่งนี้ (16 ก.พ.) มีความกังวลกับข้อกล่าวหาที่เกี่ยวพันกับสถาบันอย่างไร ถ้าละเอียดอ่อนมากจะขอให้ประชุมลับหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนคงไม่ต้องตอบ เรื่องความเกี่ยวกังวลเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ ในสภา ซึ่งมันควรหรือไม่ควรก็ไปว่ากันมา เป็นเรื่องของสมาชิกและเป็นเรื่องที่สภาต้องดำเนินการให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกประการ

เมื่อจักรวาล ‘การเมืองไทย’ ไม่มีรัฐบาลไหน ไม่ทุจริต!! โดย 'วัชระ เพชรทอง' | Contributor EP.7

เมื่อจักรวาล ‘การเมืองไทย’ ไม่มีรัฐบาลไหน ไม่ทุจริต!

ล้วงลึก ‘มิติแห่งการโกง’
สังคมการเมืองไทย จากจอมแฉแห่งยุค 

‘วัชระ เพชรทอง’ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ แบบบัญชีรายชื่อ
กับบทบาท ‘นักการเมือง – นักตรวจสอบทุจริต’ นอกสภา

.

.

 

 

 

กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เผยผลวิเคราะห์ "น้ำบาดาล" หรือ "พุโซดา" ปลอดภัยสามารถดื่มได้ แต่ต้องผ่านการกรองที่ได้มาตรฐานก่อน โวคุณภาพเทียบเท่าน้ำแร่ ยี่ห้อดังจากประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศส พร้อมเร่งเจาะอีก 3 บ่อ ทำโครงการหาน้ำกินน้ำใช้ และน้ำเพื่อการเกษตร

นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า จากการที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลได้สำรวจและเจาะพบแหล่งน้ำบาดาลในพื้นที่อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 3 แห่ง โดยบ่อน้ำบาดาล 2 แห่ง ที่เจาะพบน้ำบาดาลพุ่งขึ้นมาเป็นน้ำพุสูงราว 2 - 3 เมตร มีรสชาติคล้ายน้ำโซดา สามารถใช้ดื่มกินได้ สร้างความฮือฮาให้แก่ชาวบ้านและผู้พบเห็นนั้น

ขณะนี้ผลการตรวจสอบและวิเคราะห์น้ำบาดาลออกมาแล้ว ปรากฏว่า บ่อน้ำบาดาลที่บ้านทุ่งคูณ บ่อที่ 1 และบ่อที่ 2 น้ำบาดาลมีไบคาร์บอเนตสูง 2,420 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 1,870 มิลลิกรัมต่อลิตร ฟลูออไรด์สูงเล็กน้อย 1.4 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 1.1 มิลลิกรัมต่อลิตร และมีเหล็กสูง 10 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 28 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ โดยมีคุณภาพเทียบเท่ากับน้ำแร่ ยี่ห้อดังจากประเทศเยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เตรียมหาเครื่องกรองสนิมเหล็กในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสได้ชิมด้วย

อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กล่าวว่า "เป็นความโชคดีที่น้ำบาดาลจากแหล่งน้ำบาดาลห้วยกระเจาไม่มีสารพิษหรือสารปนเปื้อนร้ายแรง และจากการตรวจสอบปริมาณน้ำบาดาลทั้ง 2 บ่อ คาดว่าจะสามารถพัฒนาน้ำขึ้นมาใช้ได้ไม่น้อยกว่า 2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน หรือไม่น้อยกว่า 500,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี

จากนั้นได้ให้นักวิทยาศาสตร์ ของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลทดลองกรองน้ำบาดาลจากบ่อน้ำบาดาลที่เก็บมาจากพื้นที่ ซึ่งมีสีเหลืองขุ่นเพื่อกรองเอาสารละลายเหล็กออก โดยอธิบดีได้ทดลองดื่มให้ดู พร้อมผู้สื่อข่าวได้ทดลองดื่ม น้ำที่ผ่านการกรองแล้ว น้ำดังกล่าวมีความใสสะอาดขึ้น แต่ยังคงรสหวานและไม่มีกลิ่นสนิมเหล็กแต่อย่างใด"

อย่างไรก็ตาม อธิบดีได้ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมว่า เป้าหมายตามภารกิจของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล คือ การจัดหาแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งท้ายที่สุดพื้นที่ห้วยกระเจา กรมทรัพยากรน้ำบาดาลจะทำโครงการศึกษา สำรวจ และพัฒนาน้ำบาดาลจากแหล่งกักเก็บในหินแข็งระดับลึกในพื้นที่ธรณีวิทยาโครงสร้างซับซ้อน เพื่อพัฒนาน้ำบาดาลขึ้นมาให้ประชาชนได้ใช้ในการอุปโภคบริโภค และเพื่อการเกษตร โดยเร่งเจาะอีก 3 บ่อ เพื่อให้ครบทั้ง 6 บ่อ ซึ่งจะพัฒนาให้เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล


ที่มา : เพจ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม-ประเทศไทย

https://www.facebook.com/mnreTH/posts/3885734331478987

เครือซีพี คิกออฟ!! รีแบรนด์ยกเครื่อง ดันชื่อใหม่ ‘Lotus’s’ พร้อมโลโก้ลุคส์หวานสดใส

เปิดเผยความคืบหน้าการเปลี่ยนชื่อและปรับเปลี่ยนแบรนด์เทสโก้ โลตัส (TESCO Lotus) เป็น โลตัส (Lotus’s) ว่า หลังจากที่เครือซีพี ภายใต้บริษัท ซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดย บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) สัดส่วน 40% บมจ.เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง สัดส่วน 40% และบริษัท ซี.พี. เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ CPF สัดส่วน 20% ได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ Tesco Store (Malaysia) เข้ามาแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 63

โดยทางเครือซีพีได้ปรับแบรนด์โลตัสครั้งใหญ่ตามกฎของการโอนถ่ายกิจการจากกลุ่มเทสโก้ ประเทศอังกฤษ และเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การบริหารงานของเครือซีพีที่ต้องการให้โลตัสมีความทันสมัยมากขึ้น หลังจากที่โลตัสเปิดให้บริการในไทยมานานกว่า 27 ปี โดยนำร่องปรับแบรนด์ครั้งใหญ่และทยอยรีโนเวทสาขาเลียบทางด่วนรามอินทราฯ / สาขาอ่อนนุช และสาขาพระราม 4 ก่อนจะทยอยปรับสาขาอื่น ๆ ทั้งในประเทศไทยและมาเลเซียต่อไป

รมว.คลัง เผยครม.ไฟเขียว ยืดเวลาจ่ายหนี้สินเชื่อฉุกเฉินอาชีพอิสระ ออกไปไม่เกิน 12 เดือน จากเดิม 6 เดือน พร้อมออกสินเชื่อช่วยธุรกิจท่องเที่ยวดอกเบี้ยต่ำ วงเงิน 10,000 ล้านบาท ผ่านโครงการ ‘SMEs มีที่ มีเงิน’ ผ่านธนาคารออมสิน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ นำไปสู่การออกประกาศพื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด มีการสั่งปิดสถานที่และระงับการให้บริการของสถานบริการ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชนและการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในภาคธุรกิจท่องเที่ยวและสาขาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Supply Chain)

เนื่องจากเป็นภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบ เรื่อง มาตรการด้านการเงินเพื่อดูแลและเยียวยาผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เพิ่มเติม เพื่อบรรเทาภาระหนี้สินของประชาชนและช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยมีด้วยกัน 2 โครงการ คือ

1.) การปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีอาชีพอิสระที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ที่ธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 40,000 ล้านบาท แห่งละ 20,000 ล้านบาท ให้แก่ประชาชนที่มีอาชีพอิสระหรือเกษตรกรรายย่อย อัตราดอกเบี้ยคงที่ ไม่เกิน 0.10% ต่อเดือน

โดยขยายระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ยออกไปเป็นไม่เกิน 12 เดือน จากเดิม 6 เดือน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารออมสินและ ธ.ก.ส. กำหนด พร้อมทั้งขยายระยะเวลากู้ออกไปเป็นไม่เกิน 3 ปี จากเดิม 2 ปี 6 เดือน ทั้งนี้ รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 มิ.ย.2564

2.) โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่ มีเงิน สำหรับธุรกิจการท่องเที่ยว วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว โดยใช้ที่ดินว่างเปล่า หรือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีเอกสารสิทธิเป็นโฉนดที่ดินเป็นหลักประกัน

และไม่ต้องผ่านการตรวจสอบข้อมูลเครดิตบูโร วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 70% ของราคาประเมินที่ดินของทางราชการ สูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 3 ปี ดอกเบี้ย 0.10% ต่อปีในปีแรก 0.99% ต่อปีในปีที่ 2 และ 5.99% ต่อปีในปีที่ 3 รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 มิ.ย.2564

สาธารณสุข จับตาใกล้ชิด "โควิดกลายพันธุ์" อังกฤษ - แอฟริกาใต้ - บราซิล หวั่นกระทบประสิทธิภาพวัคซีน เผยเชื้อโควิดจะกลายพันธุ์ทุก 2 เดือน ชี้เชื้อระบาดในไทยระลอกใหม่เป็นสายพันธุ์เมียนมา แต่หากควบคุมไม่ได้จะกลายเป็นสายพันธุ์ไทยแทน

รศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก รพ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงกรณีการพบคนไทยรายแรกติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ว่า ในปัจจุบันได้มีคำแนะนำให้มีการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของไวรัสใน 3 สายพันธุ์ ประกอบด้วย

สายพันธุ์ B.1.1.7 ที่ระบาดอยู่ในอังกฤษ โดยไวรัสตัวนี้สามารถจับกับเซลส์มนุษย์ได้ดีขึ้น และแบ่งตัวได้ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดการแพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว

สายพันธุ์ B.1.351 ที่ระบาดอยู่ในแอฟริกาใต้ โดยไวรัสตัวนี้สามารถหนีภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น และอาจมีผลต่อการใช้วัคซีนที่พัฒนาโดยสายพันธุ์ดั้งเดิม

สายพันธุ์ P.1 ที่ระบาดอยู่ในบราซิล ซึ่งพลาสม่าหรือระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์จับกับไวรัสนี้ได้น้อยลง เมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

"ผู้ป่วยชายไทยรายนี้ เดินทางมาจากประเทศแทนซาเนีย ต่อเครื่องที่เอธิโอเปีย พอถึงไทยได้เข้าพักใน Local Quarantine หลังจากนั้นมีอาการไอ ไข้ต่ำ ๆ จึงถูกย้ายไปที่ รพ.รัฐบาลแห่งหนึ่ง พอ 4 ก.พ.ตรวจ PCR พบว่าติดโควิด-19 และปอดอักเสบ ซึ่งผู้ป่วยเดินทางมาจากประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยง จึงนำไวรัสไปตรวจที่ศูนย์โรคอุบัติใหม่เพื่อหาสายพันธุ์ และพบว่าเป็นสายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่มีการกลายพันธุ์"

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเป็นลำดับแล้วหลังได้รับยาต้านไวรัส ซึ่ง รพ.จุฬาฯ ได้มีการเฝ้าระวังไวรัสกลายพันธุ์ที่อาจจะเจอได้ในประเทศไทย โดยได้มีการตรวจหาไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ในผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศที่อาจจะเป็นแหล่งระบาดในสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง เช่น แอฟริกาใต้ อังกฤษ และบราซิล

ซึ่งเป็นมาตรการที่ รพ.จุฬาฯ ทำร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้คนไทยมีโอกาสติดเชื้อไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการใช้วัคซีนในอนาคตได้

ทั้งนี้ นับตั้งแต่มีการระบาดในประเทศไทย ในรอบแรกจะพบว่าไวรัสมีการกลายพันธุ์ทุก 2 เดือน โดยจับได้ 3 สายพันธุ์ ส่วนการระบาดในรอบใหม่นี้ ยังเป็นสายพันธุ์ที่มาจากเมียนมาเป็นหลัก และหากไม่สามารถยับยั้งการระบาดจากคนสู่คนได้ ก็อาจจะกลายเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นสายพันธุ์ของไทยเอง

ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดไม่ให้ไวรัสกลายพันธุ์ คือพยายามหยุดการระบาด โดยการหมั่นล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ทั้งนี้ เพื่อยับยั้งโอกาสไม่ให้ไวรัสเข้ามาอยู่ในตัวคน เพราะเมื่อไวรัสเข้ามาอยู่ในตัวคนแล้ว จะมีกระบวนการแบ่งเซลล์ที่อาจทำให้เกิดโอกาสการกลายพันธุ์ได้ และอีกวิธีในการช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดได้ คือการใช้วัคซีน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top