Saturday, 5 July 2025
TheStatesTimes

งานวิจัยใหม่เมืองผู้ดียัน บุหรี่ไฟฟ้าไม่ทำคนสูบบุหรี่เพิ่มเครือข่ายฯ แนะยิ่งปล่อยใต้ดิน ยิ่งคุมลำบาก  

เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเผยผลศึกษาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในคนวัยหนุ่มสาวของอังกฤษ ไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราการสูบบุหรี่ ชี้อังกฤษมีมาตรการควบคุมที่ดีทำให้จำกัดการใช้อยู่ในกลุ่มผู้สูบบุหรี่ได้ ขณะที่ไทยยังปล่อยให้บุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายแต่กลับเติบโตอย่างมากในตลาดใต้ดิน ทำให้เกิดการทุจริต คอรัปชั่น ยากต่อการควบคุม

นายอาสา ศาลิคุปต ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า “ลาขาดควันยาสูบ” และเพจ “บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร” เปิดเผยผลการศึกษาเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าล่าสุดที่ทำในประเทศอังกฤษ ว่า “งานวิจัยล่าสุดของอังกฤษชี้ชัดว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ทำให้คนหันมาสูบบุหรี่เพิ่มขึ้น หมายความว่าข่าวที่เรามักจะอ่านเจอว่าต้องแบนบุหรี่ไฟฟ้า​ เพราะจะยิ่งทำให้คนไทยสูบบุหรี่มากขึ้นนั้นไม่จริง ตรงกันข้าม อังกฤษกลับยืนยันการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำไม่มีความสัมพันธ์ทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำที่มีอายุระหว่าง 16 ถึง 24 ปี นั่นหมายความว่า เราสามารถตัดข้ออ้างบุหรี่ไฟฟ้าทำให้คนมาสูบบุหรี่เพิ่มมากขึ้นออกไปได้เลย”

การศึกษาดังกล่าว จัดทำโดยคณะผู้วิจัยจากสถาบันระบาดวิทยาและสุขภาพ มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (UCL) และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ “Addiction” ซึ่งเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในคนหนุ่มสาว เปรียบเทียบกับอัตราการสูบบุหรี่ที่เปลี่ยนแปลงไปในผู้สูบบุหรี่เป็นประจำรวมถึงผู้ที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อนด้วย โดยคณะผู้วิจัยให้เหตุผลว่า ถ้าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นการดึงดูดให้คนหันมาสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจริง จะต้องเห็นอัตราการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งผลการวิจัยสรุปชัดเจนว่า อัตราการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำในระหว่างปี 2007-2018 ไม่มีความสัมพันธ์ทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญกับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ อายุระหว่าง 16 ถึง 24 ปี

นอกจากนี้ หนึ่งในทีมวิจัยเห็นว่า หากพิจารณาความเป็นไปได้แบบสุดโต่งจะคาดการณ์ได้ว่า จากจำนวนผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่มีอายุระหว่าง 16​ - 17 ปีในอังกฤษทั้งหมด 74,000 คน อาจมีผู้ใช้ 7,000 คนหันมาสูบบุหรี่ แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีผู้สูบบุหรี่ถึง 5 หมื่นคนต่อปีจะเลิกสูบบุหรี่เพราะการใช้บุหรี่ไฟฟ้า

11 ปี วันสถาปนา ‘จังหวัดบึงกาฬ’ จังหวัดลำดับที่ 77 ของประเทศไทย 

หากย้อนกลับไปในวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554 หรือว่า 11 ปีก่อน ประเทศไทย ได้มีจังหวัดเพิ่มขึ้นมาจากเดิม 76 จังหวัด กลายเป็น 77 จังหวัด โดยจังหวัดนั้นก็คือ ‘จังหวัดบึงกาฬ’

โดยประวัติของจังหวัดบึงกาฬ เดิมเป็น อำเภอบึงกาฬ ซึ่งเป็นตำบลหนึ่งในเขตการปกครองของอำเภอชัยบุรี จังหวัดนครพนม โดยมีที่ว่าการอำเภอ ตั้งอยู่ที่บริเวณปากน้ำสงคราม ต่อมาทางราชการได้ย้ายที่ว่าการอำเภอมาตั้งที่บึงกาญจน์ริมฝั่ง ตรงข้ามเมืองปากซัน แขวงบลิคำไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยในปี พ.ศ. 2459 ทางราชการ ก่อสร้างที่ว่าการอำเภอขึ้นใหม่และโอนการปกครองอำเภอชัยบุรีมาขึ้นกับจังหวัดหนองคาย ส่วนบริเวณที่ตั้ง ที่ว่าการอำเภอชัยบุรีเดิมนั้น ทางราชการยุบมาเป็นตำบลอยู่ในเขตการปกครอง ของอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

ปี พ.ศ. 2475 ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยท่านหนึ่งเดินทางมาตรวจราชการที่อำเภอชัยบุรี พบว่า หมู่บ้านบึงกาญจน์ มีหนองน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง กว้างประมาณ 160 เมตร ยาวประมาณ 3,000 เมตร ชาวบ้าน เรียก “บึงกาญจน์” เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ทางการจึงเปลี่ยนชื่ออำเภอชัยบุรีเป็น “อำเภอบึงกาญจน์” ตั้งแต่ นั้นมา ต่อมาปี พ.ศ. 2477 ทางการได้เปลี่ยนชื่อ อำเภอบึงกาญจน์ เป็น “อำเภอบึงกาฬ” เพื่อความสะดวกและเข้าใจง่าย ต่อมาได้แยกอำเภอเซกา อำเภอพรเจริญ อำเภอศรีวิไล และอำเภอบุ่งคล้า ออกจากอำเภอบึงกาฬ ตามลำดับ

"สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย" จัดอบรมพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่าย ช่วยเหลือ "คนพิการทางจิต"

(22 มีนาคม 2565)​ ณ ชลพฤษ์ รีสอร์ท ตำบลบ้านพร้าว อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก "นางนุชจรี คล้ายสุวรรณ" นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย กล่าวรายงาน "นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ" อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ  ให้เกียรติเป็นประธานเปิดอบรมตามโครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่าย “การให้ความช่วยเหลือคนพิการทางจิตตามแนวทางการปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิต ตามพระราชบัญญัติสุขภาพจิต พ.ศ. 2551”  ผ่านระบบ Zoom Meeting เพื่อให้เครือข่ายเกิดการเชื่อมโยงการทำงานด้านจิตเวชร่วมกันกับแกนนำเครือข่ายของสมาคมฯ รวมทั้งได้รับความรู้ ความเข้าใจในเรื่องสิทธิด้านต่างๆ ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ เกิดความมั่นใจ ช่วยเหลือ และส่งต่อเพื่อให้ได้รับการรักษาทันต่อเหตุการณ์

'บิ๊กแจ๊ส'​ ขอบคุณ กกต. ให้ความยุติธรรมต่อชาวปทุมธานี​ ลั่น!! จะทำให้ปทุมติดเป็น 1 ใน 5 เมืองน่าอยู่ให้ได้

(22 มี.ค.65)​ ที่มูลนิธิมงคล-จงกลธูปกระจ่าง ต.เชียงรากใหญ่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ได้มีข้าราชการ และเครือข่ายคนรักปทุมธานีเดินทางมาให้กำลัง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายก อบจ.ปทุมธานี หลังมติ กกต.ยกคำร้อง ปมหาเสียงนายก อบจ.ปทุมธานี รอดใบแดง

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ กกต.ที่ให้ความยุติธรรมต่อตนเองและพี่น้องชาวปทุมธานีทุกๆ​ คน ก็อย่างเป็นที่ทราบกันทั่วๆ​ ไป การลงมาเล่นแข่งขันกันการเมือง ก็ยอมต้องมีผู้แพ้และผู้ชนะ ซึ่งในเมื่อเราชนะก็ต้องมีการร้องเรียนกันต่างๆ​ นานา ก็เป็นเรื่องปกติ ซึ่งตนเองเองพึ่งทราบอาจจะยังไม่เป็นทางการว่าผลการประชุมของคณะกรรมการ กกต. ที่ตนโดนร้องเรียนซึ่งมีกระแสข่าวมาตลอดว่าจะต้องโดนใบแดง 

"แม้แต่วันนี้เป็นวันที่ กกต.นัดลงมติตั้งแต่เช้าก็มีข่าวออกมาแล้วว่าวันนี้โดนใบแดงแน่ ก็เฉยๆ นะ เมื่อวันนี้มีมติออกมา หากเป็นจริงตามที่เป็นข่าว กกต.ทั้ง 7 ท่าน ลงมติ 7​ ต่อ 0 ยกคำร้องว่าตนไม่ผิด ตนบริสุทธิ์ใจ ก็ต้องกราบขอบพระคุณท่าน กกต.ทั้ง 7 ท่าน ที่ให้ความเป็นธรรมและตัดสินด้วยตามเนื้อผ้าจริงๆ เนื่องจากตนไม่มีการไปวิ่งเต้นเสียเงินเสียทอง แต่ตัวเลขที่ออกมาบอกว่ามีเงินตั้ง 200 ล้าน ทำให้พี่น้องประชาชนหวั่นไหว และต่อจากนี้ไปก็ขอให้ยืนยันกับพี่น้องชาวปทุมธานี อบจ.จะเดินหน้าพัฒนาจังหวัดปทุมธานีให้ยั่นยืน ไม่มีหยุดชะงักต่อไปแล้ว ฝากทุกท่านเพื่อนข้าราชการใน อบจ.ที่รู้สึกหวั่นไหว มีการปล่อยข่าวเป็นระยะว่าต้องโดนใบแดง ขอให้หันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนชาวปทุมธานี ช่วยกันพัฒนาปทุมธานีต่อไป"

พล.ต.ท.คำรณวิทย์​ กล่าวอีกว่า​ หลังจากนี้ตนจะพานายกเทศมนตรี นายก อบต. ทั้งหมดของจังหวัดปทุมธานีเกือบ 70 ท่าน ไปสัมมนาร่วมกับ สจ. ทั้ง 36 ท่าน เพื่อให้การเมืองในจังหวัดปทุมธานีทุกระดับต้องเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ไม่ใช่ สส.ไปทาง สจ.ไปทาง อบจ.ไปทาง มัวแต่ทะเลาะเบาะแว้งกัน อย่างไงก็ไม่เจริญ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้เราจะเดินหน้าไปด้วยกันให้การเมือง ในปทุมธานีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความสามัคคีกันทุกระดับ เพื่อพัฒนาปทุมธานีให้ขึ้นมาเป็นเมืองน่าอยู่ที่ 1 ใน 5 ให้ได้ และต่อไปจะมีโครงการต่างๆ อีก หากทุกฝ่ายร่วมมือกันจะทำปทุมธานีให้เป็นเมืองท่องเที่ยว พี่น้องต้องมาท่องเที่ยวในปทุมธานี เศรษฐกิจปทุมธานีต้องดี จะไม่ทำให้พี่น้องชาวปทุมธานีผิดหวังโดยเด็จขาด ที่ได้เลือกตนมาด้วยคะแนนเสียงเกือบ 250,000 คะแนน และวันนี้ กกต.ก็ชี้ขาดไปแล้ว ความชอบธรรมมันจบไปแล้ว ต่อจากนี้เราจะสำนึกอย่างไรที่จะขอบคุณพี่น้องประชาชน ขอบคุณบ้านเกิดเมืองนอน ที่ต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีกให้พี่น้องอยู่ดีมีสุข เนื่องจากช่วงนี้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ขยับขึ้นมา ขอให้พี่น้องชาวปทุมธานีช่วยกันระมัดระวัง ผมไม่อยากให้ช่วงเทศกาลสงกรานต์เราต้องหยุดชะงัก อยากให้สงกรานต์ที่เป็นประเพณีแห่งเทศกาลของพี่น้องชาวมอญ คนต้องหลั่งไหลเข้ามาจังหวัดปทุมธานี ทาง อบจ.ได้เตรียมแผนที่จะจัดงานไว้แล้วเช่นมีการจัดการแข่งขันชกมวยไทยไฟต์ ที่ปทุมธานี ในวันที่ 17 เมษายน 2565 จะเดินหน้าจัดไทยไฟต์ให้ได้ ให้พี่น้องชาวปทุมธานีได้มาดูไทยไฟต์ฟรี และถ่ายทอดไปทั่วโลกทั่วประเทศ ให้พี่น้องทุกจังหวัดต้องรู้จักปทุมธานี ซึ่งทาง ร.ต.อ.ดร.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต ได้วางมาตรการป้องกันโควิด-19 รวมถึงได้ขออนุญาตทางจังหวัดเรียบร้อย 

States TOON EP.52

ฮีโร่ VS ฆาตกร

ติดตามการ์ตูนอัปเดตได้ทุกสัปดาห์

 

 

'รองโฆษกรัฐบาล' แจง คืบหน้า แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ช่วยครู-ตำรวจ ไปแล้วหลายราย

เมื่อวันที่ 23 มี.ค.65 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง ความคืบหน้าการแก้ปัญหาหนี้ภาคประชาชนตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ที่กำหนดให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน ว่า รัฐบาลดำเนินการมาระยะหนึ่งปรากฏผลอย่างเป็นรูปธรรม จากนี้จะเร่งสร้างการรับรู้ต่อสาธารณะให้มากขึ้นอีก เพื่อประชาชนที่มีปัญหาหนี้สินจะได้ใช้ประโยชน์จากมาตรกการช่วยเหลือของรัฐบาลอย่างเต็มที่ คณะกรรมการติดตามการดำเนินนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา และรายงานความคืบหน้าให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ เมื่อ 22 มี.ค. ได้แก่

1.การแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ซึ่ง กยศ.ได้ให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาไปแล้ว 6.15 ล้านราย วงเงินรวม 6.75 แสนล้านบาท พร้อมออกมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินช่วยผู้กู้ยืม เช่น ลดเบี้ยปรับร้อยละ 100 กรณีปิดบัญชีคราวเดียว 58,286 ราย และลดเบี้ยปรับร้อยละ 80 กรณีชำระหนี้ทันงวด 325,231 ราย นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมได้บูรณาการแก้ไขปัญหาหนี้สิน กยศ.อย่างเป็นระบบทั้งก่อนศาลมีคำพิพากษาและหลังจากศาลมีคำพิพากษาเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้

2.กำหนดให้การไกล่เกลี่ย และการปรับโครงสร้างหนี้เป็นวาระของประเทศ ซึ่งเน้นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFls) และวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) ได้จัดโครงการพักชำระหนี้ของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตามความสมัครใจ ซึ่งมีกองทุนเข้าร่วม 413 กองทุน สมาชิกรวม 32,055 ราย รวมวงเงินกู้ที่พักชำระหนี้จำนวน 901 ล้านบาท 

นอกจากนี้กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์ ดำเนินโครงการหมอหนี้เพื่อประชาชน ซึ่งเป็นการพัฒนาเว็บไซต์ แชตบอท และไลน์ เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับแนวทางปรับธุรกิจและมาตรการต่างๆ ให้กับลูกหนี้เป็นรายกรณีด้วย

3.การแก้ปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ กระทรวงยุติธรรมได้จัดมหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยเหลือลูกหนี้ ปรับโครงสร้างหนี้ และพักชำระหนี้ ประมาณ 5,000 คัน ซึ่งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อกำหนดแนวทางกำกับดูแลสินเชื่อและธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อ

4.การแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการครู และข้าราชการตำรวจ ในส่วนกระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการ เช่น ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สวัสดิการตัดเงินเดือนให้เป็นสวัสดิการที่แท้จริง โดยสหกรณ์ออมทรัพย์ครูไม่น้อยกว่า 10 แห่ง ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเหลือไม่เกินร้อยละ 5 และขยายผลการแก้ไขหนี้ครูผ่านสหกรณ์ต้นแบบ  สำหรับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ   ข้าราชการตำรวจได้รับการแก้ไขปัญหาหนี้สินแล้วหลายพันราย

'บิ๊กตู่' จับ 7 กระทรวง เซ็น MOU เร่งขับเคลื่อน พัฒนาคุณภาพชีวิต เด็กปฐมวัย-ผู้สูงอายุ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม 2565 นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีกำหนดการเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ 7 กระทรวง: การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (กลุ่มเด็กปฐมวัย และผู้สูงอายุ) พ.ศ. 2565 – 2569 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล 

นายธนกร กล่าวว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ 7 กระทรวง: การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (กลุ่มเด็กปฐมวัย และผู้สูงอายุ) พ.ศ. 2565 – 2569 เป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ ที่มีเป้าหมายสำคัญเพื่อพัฒนาคนในทุกมิติและทุกช่วงวัยภายใต้แผนแม่บทที่ 11 การพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ลงนามร่วมกันเมื่อ 30 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา

“โฆษกรัฐบาล” โว โครงสร้างพื้นฐาน“บก-ราง-น้ำ-อากาศ” คืบ  เร่ง เคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว ยกระดับคุณภาพชีวิตปชช.ประชาชน 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโครงสร้างขนาดใหญ่ของประเทศ  ที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นระบบสาธารณูปโภคต่างๆเช่น ไฟฟ้า น้ำประปา โครงข่ายด้านการสื่อสาร ระบบคมนาคมขนส่งทั้งทางราง ทางบก ทางอากาศ และทางน้ำ รวมถึงการเกิดของนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความพร้อมในการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศ 

นายธนกร กล่าวว่า รัฐบาลดำเนินโครงการ ให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรม มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปในทิศทางที่ดีมากยิ่งขึ้นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบขนส่งทางราง (รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง) การเปิดประมูลและให้บริการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ การพัฒนาโครงข่ายถนน เช่น การสร้างมอเตอร์เวย์ พัฒนาท่าเรือ รวมถึงการพัฒนาท่าอากาศยาน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการรองรับผู้โดยสารและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ หรือ SEZ โดยออก พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ปี 2561 เพื่อรองรับการดำเนินการที่สำคัญในอนาคต เช่น เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่ออุตสาหกรรมเป้าหมาย เมืองใหม่อัจฉริยะน่าอยู่ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นต้น 

นายธนกร กล่าวว่า เพื่อให้คนไทยมีความสุข อยู่ดี กินดี สังคมมีความมั่นคง เสมอภาคและเป็นธรรม รัฐบาลได้ดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้เกิดโครงข่ายคมนาคมที่สมบูรณ์ในประเทศและเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ เพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งโครงการต่าง ๆ มีความคืบหน้าค่อนข้างมาก หลายโครงการเป็นการลงทุนต่อเนื่อง  เมื่อโครงการต่าง ๆ แล้วเสร็จ จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศกับนานาประเทศได้ และประชาชนคนไทยจะได้รับประโยชน์จากแผนการการลงทุนด้านคมนาคม  โดยเฉพาะในเชิงเศรษฐกิจจากเม็ดเงินการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 

‘Red Cross Ambassador’ คนรุ่นใหม่ สวยเก่ง ลุยงานอาสากับสภากาชาดไทย! | Click on Clear THE TOPIC EP.174

📌เปิดโลก ‘นางงาม’ จิตอาสา! ไปกับ ‘ศศิ สุริยจันทราทอง’ กุลธิดากาชาด ปี 2562 ! 

📌 ใน Topic : ‘Red Cross Ambassador’ คนรุ่นใหม่ สวยเก่ง ลุยงานอาสากับสภากาชาดไทย!

ในรายการ Click on Clear THE TOPIC จับประเด็น เน้นความรู้

ดำเนินรายการโดย ปริม กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา PROGRAM DIRECTOR THE STATES TIMES

.

.

‘เสธ.นิด’ ฟันธง สงครามรัสเซียยูเครน จบในอีก 3 วีค ชี้ถึงเวลาที่ ‘ปูติน’ ต้องปิดเกม ก่อนกำลังทหารล้า

พลอากาศโทวัชระ ฤทธาคนี หรือ เสธ.นิด อดีตนายทหารนักบินกองทัพอากาศ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก Vachara Riddhagni ถึงความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ว่า สงครามรัสเซียยูเครน 2022 นั้น คือสงครามตัวแทน Proxy War ยุคข้อมูลข่าวสาร หรือยุคดิจิตอล เมื่อสหรัฐฯ ใช้ยูเครนเป็นกลไก “ดูดซับอำนาจการรบของรัสเซียในทุกมิติสงครามให้ลดลง เช่นสงครามร้อน สงครามเศรษฐกิจการเงิน สงครามจิตวิทยามวลชน สงครามข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น” 

แต่ผมคิดว่าสหรัฐฯ เข้าใจผิดเพราะประธานาธิบดีปูตินได้ทำกรณีศึกษาและหาหนทางปฏิบัติ Appreciation ของ “ทุกตัวละครอย่างดีเยี่ยม เช่น ไบเดน บอริส จอห์นสันหรือ มาครอง คิดอย่างไร มีแผนร่วมอย่างไร” 

โดยการสร้างสมมติฐานเชิงวิเคราะห์ลักษณะ If -Then หรือ “ถ้าเป็นอย่างนี้จะเป็นยังไงแล้วอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง” 

สถานการณ์การรบยังคงเป็นการปิดล้อมเมือง ตัดเส้นทางคมนาคม ตัดเส้นทางขนอาวุธส่งให้กองทัพยูเครน ฝ่ายกองทัพยูเครนก็เหลือพื้นที่ดำเนินกลยุทธ์น้อยลงไปทุกที่ “ในที่สุดจะอ่อนกำลังลงไปเรื่อยๆ และจะยอมแพ้ในที่สุด 

ส่วนอาวุธที่ยึดได้มานั้น ในที่สุดจะตกเป็นบำเหน็จสงครามให้กองทัพ DPR และ LPR ในอนาคตโดยรัสเซียไม่ต้องสนับสนุน

ดังนั้นช่วงนี้เป็นช่วงที่วิกฤติของพลเมืองในหลายๆ เมืองรวมทั้งในกรุงเคียฟที่ฝ่ายทหารยูเครนไม่ยอมให้ “ประชาชนอพยพออกไป เพราะต้องการใช้ประชาชนเป็นตัวประกันในเรื่องการส่งเสบียงอาหารน้ำและเวชภัณฑ์รวมทั้งยาต่างๆ” 

ข่าวนี้เป็นข่าวจากฝ่ายรัสเซียเราจึงฟังหูไว้หูแต่ “ความจริงจะปรากฏเองในอนาคต” แต่มันเป็น “หนทางปฏิบัตการหนึ่งที่ทำให้กองทัพรัสเซียปฏิบัติลำบาก็มากขึ้น” 

ผมพยากรณ์ว่า “สงครามรัสเซียยูเครน 2022 จะยุติลงใน 3 สัปดาห์หรือบวก/ลบข้างหน้านี้เพราะ

1.) สงครามถึงจุดที่กองทัพรัสเซียต้องตัดสินใจขั้นเด็ดขาดด้วยกำลังรบในขณะนี้ มิฉะนั้นทหารจะเริ่มล้าลงหากจะเปลี่ยนกำลังใหม่นั้นจะเสียเวลาอีกในการสับเปลี่ยนกำลังและเป็นการทำให้ฝ่ายยูเครนได้ปรับกำลังรบเช่นกันและจะได้มีกำลังทหารรับจ้างเพิ่มขึ้น (ประเทศตะวันตกระดมทุนจ้างทหารรับจ้างให้)

ช่วงนี้มีการยุทธ์ที่ เมืองท่า มาริอูลโปลซึ่งกองทัพรัสเซียคงจะยึดได้ในวันี้พรุ่งนี้ “การขนส่งทางทะเลด้วยเรือสินค้าชาตินาโต้ซึ่งรัสเซียทำลายไม่ได้ หากทำลายก็จะเป็นกับดักรัสเซียให้เผชิญหน้ากับนาโต้โดยตรงซึ่งกลายเป็นความชอบธรรมในการสงครามของนาโต้สนับสนุนฝ่ายกองทัพยูเครน แต่ถ้าท่าเรือที่เมือง มาริอูลโปถูกยึดได้ การขนส่งทางทะเลก็จะยุติลง”

2.) ฤดูกาลกำลังจะเปลี่ยนเป็น “ฤดูใบไม้ผลิ เริ่มฤดูกาลเพาะปลูก” ฤดูกาลที่ผู้คนต้องการความผาสุก

3.) เมื่อเข้าฤดูร้อนนั้นทำให้การปฏิสังขรณ์อาคารบ้านเรือนที่พังเพราะภัยสงครามกระทำได้ง่ายขึ้นเพราะการขนส่งสะดวกขึ้น คนงานใช้เวลากลางแจ้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.) ฝ่ายประธานาธิบดีปูตินต้อง “มุ่งเน้น (Focus)ทำสงครามเศรษฐกิจการเงิน สงครามจิตวิทยามวลชนและสงครามข้อมูลข่าวสาร” 

5.) จะเป็นเวลาที่ชาว DPR และ LPR จะจัดการบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น เชิง การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจการเงินและระเบียบสังคมใหม่


ที่มา : https://www.facebook.com/1010126969/posts/10224777539958410/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top