หลังจากที่ “นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน” คุณแม่ของนางเอกสาว “แตงโม ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์” ได้มาออกรายการ โหนกระแส แล้วบอกว่ามีการเรียกร้องค่าเยียวยาจาก “ปอ ตนุภัทร เลิศทวีวิทย์” และ “โรเบิร์ต ไพบูลย์ ตรีกาญจนานันท์” เบื้องต้นคือ 30 ล้านบาท จนเป็นกระแสวิจารณ์ทั้งประเทศ และมีแฮชแท็กเกิดขึ้นมากมาย อาทิ #มีแม่เมื่อพร้อม #30ล้านเจ็บจ่ายจบ ฯลฯ
หลังจากนั้นในช่วงค่ำทางรายการ ดราม่าวันนี้ โดยมี “ต๊ะ นารากร ติยายน” รับหน้าที่พิธีกรดำเนินรายการ พร้อมทั้งยังมี “บีม ศรัณยู ประชากริช” และ “นายสันธนะ ประยูรรัตน์” อดีตตำรวจสันติบาล ได้ร่วมมาพูดคุยประเด็นการเสียชีวิตของแตงโมด้วย ซึ่งทาง ต๊ะ นารากร เองก็ได้มีการโทรศัพท์สายตรงถึงคุณแม่แตงโม ถึงประเด็นสังคม 30 ล้านบาทนี้ แต่ครั้งนี้ทางด้านคุณแม่ของแตงโมได้มี “ทนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย” มาร่วมพูดคุยไปพร้อมกันด้วย หลังพิธีกรกล่าวถามว่ารู้สึกอย่างไรที่กำลังโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหลังจากไปออกรายการมา ทางแม่แตงโมก็เผยว่า
แม่ : “มาว่าคุณแม่ได้ยังไง คือคุณแม่ไม่ได้หมายถึงว่าคุณแม่จะเอาเงินเขามา จ่ายเงินให้คุณแม่ 30 ล้านน่ะ มันไม่ใช่ คุณแม่สมมติว่าน้องโมมีรายได้ปีละเท่านี้ๆ ก็คูณไป สมมติว่าน้องโมมีชีวิตอยู่อีก 30 ปีก็คูณไป ก็จะเป็นเงินที่ทางฝ่ายนู้นจะต้องจ่ายให้คุณแม่ แค่นี้ มันไม่ใช่ 30 ล้านหรอก แต่พี่หนุ่มไม่ได้พูดคำว่าสมมติ เพราะคุณแม่สมมติ (คุณแม่คิดเองหรือมีใครแนะนำ?) มีค่ะ คุณตำรวจแนะนำว่าควรจะออกมาเป็นแนวนี้ถ้าจะคุยกับคุณปอนะ
ปัดตำรวจแนะนำเพราะอยากเร่งปิดคดี
แม่ : “ไม่ๆ ค่ะ คือพอเราไปโรงพักบ่อยๆ เราก็สนิทกันนะคะ คุยกันหลายเรื่อง และมีเรื่องนี้เข้ามาด้วยว่าคุณแม่เป็นยังไง จะเอายังไงเรื่องนี้ เรื่องจะต้องขึ้นศาล พอปิดสำนวนก็ต้องขึ้นศาล ท่านก็แนะนำว่าคุณแม่เอาอย่างนี้สิ เพื่อนผมอะไรท่านก็พูดไป คุณแม่ก็จำๆ มาแหละ แล้วก็มาพูดให้พี่หนุ่มฟัง คุณหนุ่มก็บอกว่าคุณแม่เต็มที่เลยนะวันนี้ (หัวเราะ) คุณแม่ก็เต็มที่เหมือนกัน มันก็มีเรื่องอื่นนะ แต่เรื่องเงิน 30 ล้านนี่มันไม่ใช่ประเด็นนะ มันเป็นประเด็นเรื่องอื่นมากกว่า
ทีนี้มาเน้นเรื่องเงินเลยกลายเป็นคุณแม่เสียหายไป มันไม่ใช่เลยค่ะ แล้วมันก็มีเรื่องของน้องอีสเตอร์ เรื่องประกัน เรื่องกรมธรรม์ คุณแม่ไม่มีสิทธิที่จะรับเงินตรงนี้ เพราะคุณแม่เป็นผู้รับมรดกของน้องโมเท่านั้น แต่ตรงนี้น้องโมเขาเซ็นให้อีสเตอร์ไปแล้ว ก็เป็นของอีสเตอร์ไป ทีนี้อีสเตอร์จะรับด้วยวิธีไหนเดี๋ยวคุณแม่ขออนุญาตให้พูดกับทนายความได้ไหมคะ จะได้ให้ความกระจ่าง
กับทนายเจอกันทางไลน์น่าจะหนึ่งอาทิตย์แล้วด้วยซ้ำไปค่ะ มีผู้ใหญ่แนะนำว่าคุณแม่ต้องมีทนายแล้วนะ แต่คุณแม่ก็ไม่ได้ใช้แกสักที เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องใช้ทนายความ คุณแม่เดินเอกสารเองไม่ได้ใช้ทนายความเลย และเดินเอกสารทั้งหมดเสร็จแล้วเมื่อวานนี้ถึงเริ่มมีทนายความ แล้ววันนี้คุณหนุ่ม กรรชัยก็บอกว่าแม่จ๋า คุณแม่มาออกรายการหนุ่มหน่อยนะ คุณแม่เต็มที่เลยนะ คุณแม่ก็เต็มที่ไง (หัวเราะ) ก็พูดความจริง มันก็เป็นเรื่องอื่นๆ ด้วยมันไม่ใช่มาเน้นประเด็นเรื่อง 30 ล้านหรอก ทีนี้คุณทนายจะอธิบายให้ฟังเรื่อง 30 ล้านนะคะ”
ทนาย : “เรื่องนี้วันนี้ผมมีโอกาสได้มาให้คำปรึกษาคุณแม่เป็นวันแรกเลยนะครับ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีผู้ใหญ่แนะนำให้รู้จักกับทางคุณแม่นะครับ ผมก็ได้โทรศัพท์มาหาคุณแม่ คุณแม่ก็ยืนยันว่ายังไม่ได้ใช้ทนายในช่วงนี้ พอดีมีรายการโหนกระแสออกอากาศไป บังเอิญว่าผมได้ดูก็เลยโทรศัพท์ไปหาคุณแม่ คุณแม่ก็เลยเรียกผมมาพบวันนี้เลย ผมก็เลยอยากจะอธิบายสักนิดนึงในเรื่องนี้ คือไอ้ 30 ล้านเนี่ย ผมเคยถามคุณแม่ว่ารายได้ของคุณน้องแตงโมจะอยู่ที่เดือนละประมาณเท่าไหร่ หรือว่างานนึงได้รับประมาณเท่าไหร่ ซึ่งคุณแม่ก็ประมาณการออกมาว่าประมาณ 30 ล้าน
แต่จุดประสงค์ของคุณแม่ไม่ใช่ว่าจะไปเรียกกับทางคุณปอ คุณโรเบิร์ตนะครับ แต่ในทางกฎหมายแล้วถ้าพนักงานสอบสวนเสร็จสิ้นส่งสำนวนส่งให้อัยการแล้ว และอัยการส่งฟ้องต่อศาล ผมเองจะยื่นเป็นโจทก์ร่วม และยื่นคำร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเข้าไปนะครับ ซึ่งการจ่ายต่างๆ มันจะต้องไปอยู่ในชั้นศาลแล้ว ส่วนการที่เขาจะเยียวยาคุณแม่ในเรื่องของสภาพจิตใจอะไรต่างๆ อันนี้ทางคุณปอ คุณโรเบิร์ต หรือว่าท่านอื่นๆ ก็สามารถกระทำได้อยู่แล้ว
แต่ในเรื่องของเงิน 30 ล้านต่างๆ ถ้าเกิดว่าเราจะมาทวงถามกันลักษณะแบบนี้ ผมก็มองว่ามันไม่ถูกต้องนะครับ อันนี้มันเป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาที่จะไปว่ากันในชั้นศาล ถ้าเกิดว่าคุณแม่ขอเยอะไป เขาก็สามารถที่จะมีทนายในการต่อสู้ว่ามันเยอะไป แต่ทางเราก็จะเตรียมหลักฐานต่างๆ ที่น้องแตงโมมีอยู่ทั้งหมดเพื่อนำเสนอต่อศาล และศาลจะใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาว่าจะต้องยังไง แต่ว่าในการเยียวยาค่าสินไหมทดแทน มันก็เป็นเรื่องของคดีอาญาที่จะมีผลกับผู้ถูกกล่าวหาว่าศาลเห็นสมควรจะพิพากษาว่าจะเป็นอย่างไรครับ”
ยันยังไม่คุยกับไฮโซปอถึงเรื่องนี้
แม่ : “ยังไม่ได้คุยค่ะ”
ทนาย : “ยังไม่ได้คุยเลยครับ คือคุณแม่ประเมินการคร่าวๆ แต่ยังไม่มีการพูดคุยกับคุณปอ คือตอนนั้นคุณแม่ยังไม่มีทนาย ซึ่งผมเองมองว่าถ้าคุณแม่ยังมีการนำเสนอลักษณะแบบนี้มันก็เป็นการไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ ก็เลยมีโอกาสได้มาปรึกษากันในวันนี้ครับ”
แม่ไม่มีส่วนในเงินประกัน 1 ล้าน แต่แนะให้ยื่นเรื่องต่อศาลเยาวชนฯ ให้หน่วยงานที่เป็นกลางดูแลเงินก้อนนี้
ทนาย : “คือตามที่ตรวจดูเอกสารคุณแตงโมไม่ได้รับรองบุตรบุญธรรมนะครับ คุณแม่จึงไม่มีสิทธิ ในส่วนของใบมรณบัตรตอนนี้ก็อยู่กับคุณแม่ แต่ผมให้คำแนะนำไปว่าทางออกที่ดีที่สุดเราอาจจะต้องยื่นเรื่องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวให้หน่วยงานที่เป็นกลางเขามาดูแลเงินก้อนนี้ ซึ่งจุดประสงค์ของคุณแม่ก็คือมอบให้เป็นทุนการศึกษาของน้องไปเลยนะครับ คุณแม่ไม่ได้ว่าจะเอามาใช้จ่าย
แต่ในทางออกของผมตอนนี้กำลังปรึกษากับทีมทนายด้วยกันอยู่ว่าเราจะไปร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัว หรือจะทำร้องคุ้มครองชั่วคราว จะออกมาลักษณะไหน อันนี้ผมขออนุญาตปรึกษาทีมนิดนึงครับว่าเราจะมีวิธีการทำยังไง จะให้คุณแม่ไม่โดนกล่าวหาลักษณะว่าคุณแม่ต้องการเงิน แต่จุดประสงค์ของเราคือคุณแม่ต้องการนำเงินก้อนนี้ไปเป็นทุนการศึกษาให้กับน้อง ซึ่งทางคุณกระติกเองก็จะไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวนอกจากจะขออนุญาตศาลอะไรต่างๆ ซึ่งศาลเองก็คงจะมีผู้เป็นกลางที่จะมาดูแลในเรื่องนี้ด้วยครับ”
ไม่แบ่งเงินมาใช้แน่นอน
แม่ : “ไม่แบ่งค่ะ”
โวยไม่ได้เห็นแก่เงิน เอาลูกมาหากิน
แม่ : “คุณแม่ไม่ได้อ่านเลยเชื่อไหม ไม่ชอบอ่าน ไม่เคยอ่าน เรื่องกระติกคุณแม่ก็ไม่อ่านนะ ไม่ชอบอ่าน ไม่อ่านจริงๆ ค่ะ มีแต่เพื่อนเล่าให้ฟังเท่านั้นค่ะ ที่เขาบอกว่าคุณแม่เห็นแก่เงิน เอาลูกมาหากิน มันไม่ใช่ค่ะ อย่างที่ท่านทนายบอกค่ะ คุณแม่สมมติว่าถ้าน้องโมมีรายได้เท่านี้ แค่สมมติ”
ไม่ได้คิดจะเอาเงินจากการเสียชีวิตของลูก
แม่ : “ไม่ใช่เลยค่ะ คนละเรื่องกัน”