Saturday, 17 May 2025
PoliticsQUIZ

อำนาจเจริญ ปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์แห่งที่ 2 ต่อยอด ‘อำนาจเจริญโมเดล’ สร้างต้นแบบวิจัยและผลิตกัญชารักษาโรค เพิ่มโอกาสเข้าถึงการรักษาด้วยยากัญชาอย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย

คุณสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ที่โรงเรือนกัญชาโรงพยาบาลชานุมาน ซึ่งเป็นแห่งที่ 2 ของ จ.อำนาจเจริญ พร้อมติดตามความคืบหน้าการปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โรงพยาบาลชานุมาน โดยมี นพ.ประภาส วีระพล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอำนาจเจริญ นพ.ปฐมพงษ์ ปรุโปร่ง รองนายแพทย์สาธารณสุขฯ รัฐวิสาหกิจชุมชน รายงานผลการดำเนินงานความคืบหน้า

ตามที่กระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยกให้จังหวัดอำนาจเจริญ เป็นจังหวัดนำร่องปลูกกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เพิ่มการเข้าถึงในการรักษาด้วยยากัญชาอย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย ซึ่งมี รพ.สต. โรงพยาบาล ร่วมกับวิสาหกิจชุมชน ดำเนินการ 2แห่ง คือ 1.) โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพโนนดู่ ต.สร้างนกทา อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ 2.)โรงพยาบาลชานุมาน เพื่อวิจัยการผลิตกัญชาประโยชน์ทางการแพทย์ ภายในโรงเรือนระบบปิดตามมาตรฐานสากล เพื่อผลิตวัตถุดิบกัญชา การตรวจสอบคุณภาพ การใช้พื้นที่แปรรูป เพื่อใช้ผลิตยาสมุนไพรไทยต่อไป

พร้อมกันนี้ ยังได้เยี่ยมชมอาคารระบบตากแห้งพลังงานแสงอาทิตย์ โรงพยาบาลชานุมาน ณ นิคมเกษตรกรรมทหารผ่านศึกชานุมาน อ.ชานุมาน จ.อำนาจเจริญ อีกด้วย


ภาพ : บัณฑิต สนุกพันธ์

ข่าว : ประวัติ นิธิเตชะยศสกุล

‘บิ๊กตู่’ มอบนโยบาย ด้านยาเสพติด สั่งเร่งพัฒนาบุคลากร - เตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี และแก้กฎหมายให้ทันสมัย เพื่อไล่ล่าเช็คบิลยึดทรัพย์นักค้ายา ด้าน ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ เผย 4 เดือนจับ 33 เครือข่าย ยึดแล้ว 1,987 ล้านบาท ตั้งเป้า ปี 64 ยึด 6,000 ล้านบาท

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานกรรมการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมีนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ทำหน้าที่กรรมการและเลขานุการ พร้อมด้วย คณะกรรมการอำนวยการ ศอ.ปส. และผู้บริหารจากหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 30 คน ร่วมประชุมณ ห้องประชุมชิดชัย วรรณสถิตย์ อาคาร 2 ชั้น 3 สำนักงาน ป.ป.ส. (ดินแดง)

เมื่อเข้าสู่วาระการประชุม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้บันทึกวีดีโอการมอบนโยบายยาเสพติดเพื่อเปิดในที่ประชุม โดยมีเนื้อหาว่า การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดถือเป็นวาระสำคัญแห่งชาติ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขเป็นลำดับต้น ที่ผ่านมาทุกหน่วยงานได้บูรณาการทำงานร่วมกันในการตัดวงจรยาเสพติดเพื่อให้ได้ทรัพย์สิน รวมถึง การปราบปรามอย่างเข้มข้น โดยในปี 2564 นี้รัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายขยายผล อายัดทรัพย์สินเป็นมูลค่า 6,000 ล้านบาท

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเราต้องเดินหน้าใน 3 เรื่องหลักคือ 1.) การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถทั้งด้านการสืบสวนสอบสวน รวมไปถึงความสามารถของการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีในการติดตามผู้กระทำความผิด 2.) ความพร้อมของเครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น และ 3.) การปรับปรุงกฎระเบียบข้อกฎหมายต่างๆ ให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน

ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการแก้ไขประมวลร่างกฎหมายยาเสพติด รวมทั้งแก้ไขข้อจำกัดทางกฎหมายที่เป็นอุปสรรค ในการปฏิบัติงานโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการยึดทรัพย์ยาเสพติด ดังนั้นผมขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเร่งรัดติดตามเพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด

ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวอีกว่า รัฐบาลและกระทรวงยุติธรรมได้มุ่งมั่นอย่างเต็มที่ และขับเคลื่อนการดำเนินงานอย่างรอบด้านเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมุ่งเน้นไปที่การยึดทรัพย์สินตัดวงจรยาเสพติด

โดยขณะนี้การทำงานในงบประมาณปี 2564 ระยะเวลา 4 เดือน ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 จนถึง 31 มกราคม 2564 สามารถดำเนินการจับกุม ขยายผลยึดทรัพย์ 33 เครือข่าย ได้ทรัพย์สินแล้วกว่า 1,987 ล้านบาท ต้องยอมรับการทำงานเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราจะไม่ย่อท้อ และจะนำแนวทางทั้ง 3 ของนายกรัฐมนตรีมอบให้ไปเร่งดำเนินการ ซึ่งขณะนี้กระทรวงยุติธรรมได้พยายามผลักดันร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ที่หากพิจารณาแล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้ ก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินงานได้ง่ายมากขึ้น นำไปสู่การแก้ไขปัญหายาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรมและมั่นคง

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อถึงสาระสำคัญในการประชุมครั้งนี้ ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาการดำเนินงานของศูนย์ปฏิบัติการยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด และแนวทางการดำเนินงานขยายผลยึดทรัพย์ ตัดวงจรยาเสพติด โดยกำหนดเป็นมูลค่าการยึดทรัพย์สินกระจายลงสู่ระดับจังหวัด ซึ่งพิจารณาจากขนาดปัญหาและงบประมาณที่จัดสรรแต่ละพื้นที่ กำหนดเป็น 3 ขนาด คือ

- ขนาดใหญ่ จำนวน 27 จังหวัด กำหนดเป้าหมายมูลค่าการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดให้ได้จังหวัดละ 90 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 2,430 ล้านบาท

- ขนาดกลาง จำนวน 31 จังหวัด กำหนดเป้าหมายมูลค่าการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติด ให้ได้จังหวัดละ 70 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 2,170ล้านบาท

- ขนาดเล็ก จำนวน 18 จังหวัด กำหนดเป้าหมายมูลค่าการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดให้ได้จังหวัดละ 50 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 900ล้านบาท

- กรุงเทพมหานคร กำหนดเป้าหมายมูลค่าการยึดทรัพย์สินเครือข่ายยาเสพติดให้ได้ 500ล้านบาท และกำหนดเป็นตัวชี้วัดเพื่อกำกับ ติดตามการดำเนินงาน ใช้เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน จำนวน 2 ตัวชี้วัด คือ ตัวชี้วัดระดับความสำเร็จของการตรวจสอบทรัพย์สินคดียาเสพติด และตัวชี้วัดระดับความสำเร็จของการดำเนินการในคดีความผิดฐานสมคบ สนับสนุนช่วยเหลือในคดียาเสพติด

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า “สำนักงาน ป.ป.ส. ได้เสนอการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับนโยบายนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คือ 1.) การกำหนดให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต่อไปได้ แม้ว่าพนักงานอัยการจะมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องจำเลยในคดีอาญา

และหากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าทรัพย์สินดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดก็ให้ศาลมีอำนาจพิพากษาให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้ 2.) การกำหนดให้นำหลักการในการ “ริบทรัพย์สินตามมูลค่า (Value – based Confiscation) มาใช้ในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการริบทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับคดียาเสพติด

ทั้งนี้ ยังรวมถึงการสนับสนุนเครื่องมือที่ทันสมัยให้กับหน่วยงานหลักอย่าง บช.ปส.DSI เพื่อส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขยายผล ยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ตลอดจนการอบรมการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) รวมถึงการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างประเทศ เพื่อให้บุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านการปราบปรามนำองค์ความรู้ที่ได้ไปใช้ในการปราบปรามยาเสพติดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

รมว.สาธารณสุข ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ มั่นใจฝีมือทีมจัดหาวัคซีนโควิดไทย ยังมีความหวังได้วัคซีนตามกำหนด หลังผู้ผลิตจากประเทศจีน ส่งสัญญาณจะพยายามผลิตวัคซีนให้ไทยตามข้อตกลง 2 ล้านโดส แต่จะมาก่อน 2 แสนโดสภายในเดือนก.พ.นี้

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรายังมีความหวังที่จะได้วัคซีนโควิด-19 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งเป็นไปตามแผนเสริม ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากแผนหลัก ล่าสุด ทางผู้ผลิตจากประเทศจีนได้สัญญาว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะส่งวัคซีนให้ไทย ตามที่ได้ตกลงกันไว้จำนวน 2 ล้านโดส

แบ่งเป็นส่งมอบในเดือนกุมภาพันธ์ 2 แสนโดน และจะตามมาหลังจากนั้นอีก 1.8 ล้านโดส ซึ่งจะสอดคล้องกับที่ทางโรงงานในไทย สามารถผลิตได้เอง ภายในช่วงกลางปี ทั้งนี้ ทางผู้ผลิตจากจีนยังกล่าวอีกว่า หากไทยต้องการเพิ่มขึ้น ก็พร้อมดูแลจัดหามา

เท่ากับว่า แผนการวัคซีนของไทยนั้น ไม่ได้ให้ผู้ผลิตเจ้าเดียวมาผูกขาด อย่างไรก็ตาม สำหรับการขึ้นทะเบียนนั้น ขึ้นกับความสมัครใจของผู้ผลิต ทางการไทยไม่มีปิดกั้น แต่จะขึ้นทะเบียนได้หรือไม่ขึ้นกับเงื่อนไขด้วย ทั้ง 2 ฝ่ายต้องยอมรับกันได้

หากการขึ้นทะเบียน ต้องตามมาด้วยการบังคับซื้อ ประเทศไทย ก็ต้องชะลอไปก่อน ไทยมีอิสระในการตัดสินใจ เช่นเดียวกัน ในเรื่องการจองซื้อวัคซีน ก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ถ้าซื้อแล้ว ต้องได้วัคซีนในช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด มิใช่ว่าต้องรอถึงปลายปี เป็นต้น

คิดว่าการจัดหาวัคซีนนั้น มาได้ล่าช้า เบื้องหลังการบริหารจัดการคือคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในคณะกรรมการ ซึ่งระดมสมอง หาทางออกให้ประเทศไทย แน่นอนว่า ส่วนตัวมั่นใจความรู้ ความสามารถของทุกท่าน มั่นใจว่าท่านทำงานหนักมาก และทุกท่านมีความเป็นกลาง คิด และตัดสินใจตามหลักวิชาการอย่างรอบคอบ ขอให้คนไทยเชื่อมั่นในทีมประเทศไทย ให้กำลังใจกัน ดีกว่าการคอยแต่วิพากษ์วิจารณ์ สร้างความสับสนให้แก่สังคม ทั้งยัง ทำลายขวัญกำลังใจคนทำงาน

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า "ขณะนี้ สถานการณ์โรคโควิด 19 ภาพรวมมีการบริหารจัดการได้ดี ควบคุมโรคได้แล้ว ส่วนจังหวัดสมุทรสาคร ตาก และกทม. ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่บ้าง อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ อสม.

และทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ และเอกชน ได้ร่วมมือกันทำงานอย่างหนัก ทั้งการลงพื้นที่สอบสวนโรคและควบคุมการระบาด วางแผนการจัดการกับสถานการณ์ระบาด จัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพียงพอ และ Bubble and Sealed Factory-Accommodation Quarantine ในจังหวัดสมุทรสาคร ให้อยู่ในพื้นที่ แยกผู้ติดเชื้อออกมารักษา ถือว่าสถานการณ์ควบคุมได้ รวมทั้ง ศบค.ได้ออกประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ เป็นต้นมา หากการเฝ้าระวังป้องกันโรคพบว่าผู้ติดเชื้อลดลงมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุข จะได้เสนอมาตรการผ่อนคลายต่อ ศบค.เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ขึ้นกับสถานการณ์ในแต่ละห้วงเวลา ซึ่งทุกภาคส่วนยังต้องเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง"

ทั้งนี้ คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ได้เห็นชอบแผนกลยุทธ์การบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด 19 พ.ศ.2564 ซึ่งมี 2 ระยะ โดยในระยะแรกที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโควิด 19 รักษาระบบสุขภาพของประเทศ ฉีดให้ 5 กลุ่ม ได้แก่

บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน, ประชาชนที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งที่อยู่ในระหว่างเคมีบำบัด รังสีบำบัด ภูมิคุ้มกันบำบัด โรคเบาหวาน โรคอ้วน น้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัมหรือ BMI มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร, ประชาชนที่มีอายุ 60 ขึ้นไป เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย รวมทั้งประชาชนทั่วไปและแรงงานในพื้นที่ระบาดของโควิด 19

และระยะที่ 2 เมื่อวัคซีนมากขึ้นและเพียงพอ เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ สร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากรและฟื้นฟูประเทศให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ฉีดให้กับ 7 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนทั่วไป, แรงงานในภาคอุตสาหกรรม, ผู้ประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยว เช่น พนักงานโรงแรม สถานบันเทิง มัคคุเทศก์, ผู้เดินทางระหว่างประเทศ เช่น นักบิน/ ลูกเรือ นักธุรกิจระหว่างประเทศ, นักการทูต เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ, กลุ่มเป้าหมายระยะที่ 1 ในจังหวัดที่เหลือ และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขอื่น ๆ

นอกจากนี้ ได้เห็นชอบแผนการกระจายวัคซีนโควิด 19 ระยะแรก เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2564 จำนวน 2 ล้านโดส ฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายในจังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด คือ จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดที่ยังพบผู้ป่วย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ตราด และตาก ระยะที่ 2 เดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2564 จำนวน 61 ล้านโดส โดยมีโรงพยาบาลรัฐและเอกชนให้บริการกว่า 1,000 แห่ง วางแผนฉีดวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส เพื่อฉีดวัคซีนให้ครบทั้ง 63 ล้านโดส ภายในปี 2564

‘บิ๊กป้อม’ หนุน ‘ไพบูลย์ นิติตะวัน’ ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความญัตติอภิปรายเกี่ยวข้องสถาบัน ลั่นไม่เจตนาดึงเวลาซักฟอก แค่เป็นห่วงประเด็นกระทบสถาบัน รอศาลตัดสินแล้วว่ากันต่อ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)กรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพปชร.เตรียมเสนอญัตติด่วนให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ญัตติดังกล่าวได้นำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง ว่าเรื่องที่ยื่นไปเป็นเพราะเขากังวลว่าจะเป็นการนำสถาบันเข้ามายุ่งกับการเมือง แต่ไม่ทราบว่าจะยื่นทันหรือไม่ เรื่องนี้นายไพบูลย์ ทำของเขาเอง ไม่ได้มาปรึกษา

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็น่าห่วง ดังนั้นจึงอยากให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความดีกว่า

เมื่อถามว่าเรื่องดังกล่าวอาจถูกมองว่ามีเจตนาคว่ำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการคว่ำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่อาจจะเลื่อนออกไปหน่อย เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญดูเสียก่อน เมื่อถามถึงกรณีที่ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล เตรียมติวรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้นัดกันไว้ในวันที่ 13-14 ก.พ.นี้ และตนจะไปเข้าร่วมด้วย

เมื่อถามถึงเหตุระเบิดบริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าเซนต์หลุยส์ เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "จะทำอย่างไรได้ ก็มันปา"

'บิ๊กตู่' ตบอก! ลั่นพร้อมทุกวันรับมือศึกซักฟอก โยนถาม 'ไพบูลย์' ปมยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความญัตติฝ่ายค้าน เชื่อรัฐมนตรีทุกคนชี้แจงได้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เตรียมเสนอญัตติด่วนให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับอำนาจและหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ญัตติดังกล่าวได้นำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยนายกฯ กล่าวว่า ให้ไปถามนายไพบูลย์ เอง

เมื่อถามย้ำว่า เห็นควรเลื่อนหรือไม่ เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการคว่ำการอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธตอบพร้อมส่ายหัว และกล่าวเพียงว่า "ผมพร้อมที่จะอภิปราย"

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ พร้อมไปติวกับพรรคพลังประชารัฐร่วมกับ 10 รัฐมนตรีที่ถูกซักฟอก ระหว่างวันที่ 13 - 14 ก.พ.หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ผมคงไปติวให้เขามากกว่า อย่างไรก็ตามข้อมูล ชี้แจงไปหมดแล้ว ใครทำอะไรไว้คิดดี ๆ แล้วชี้แจงไป เขาว่ามาก็ชี้แจงไป ผมเชื่อว่าชี้แจงได้ในหลายๆ เรื่อง เพราะอยู่ที่ผลงานมากกว่า ส่วนในเรื่องกฎหมายก็ให้ว่ากันมา และก็ต้องทน เพราะในสภาเขาพูดอะไรก็ได้ แต่ระวังอย่าให้มีปัญหาก็แล้วกัน"

เมื่อถามย้ำถึงกรณีนายไพบูลย์ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่มีความเห็น เขาทำได้หรือไม่ ใครทำได้ก็ทำไป ถ้าเขาไปยื่นศาลก็ฟังศาลแล้วกัน แต่ผมเองไม่มีปัญหาอะไรผมเองไม่มีปัญหากับการไม่ไว้วางใจไว้วางใจ" ก่อนตบที่หน้าอกตัวเองแล้วยืนยืนกับสื่อว่า "พร้อมตลอด พร้อมทุกวัน"

แม้จะออกมาขอโทษต่อสังคมไปแล้ว สำหรับ ‘แอน จักรพงษ์’ ผู้บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จํากัด (มหาชน)หลังจากได้ไปออกรายการทีวีรายการหนึ่ง และมีการพูดจากพาดพิงนางงามจักรวาลคนดัง แคทรีโอนา เกร จนทำให้ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกออนไลน์

แต่ดูเหมือนประเด็นภาคต่อยังไม่จบ เมื่อ ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศีล’ พิธีกรชื่อดัง ผู้จัดการประกวดนางงามเวทีมิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล ทนไม่ไหวออกมาตอบโต้เรื่องนี้อย่างรุนแรง โดยประกาศขอแบน แอน จักรพงษ์ ด้วยการไม่ให้มาออกทุกรายการที่ตนทำอยู่ พร้อมประโยคทิ้งท้ายแรงๆ ว่า “ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างยกเว้นนิสัยและความคิด”

ล่าสุดแอน จักรพงษ์ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวแฉถึงพฤติกรรมของ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล พิธีกรชื่อดังอย่างดุเดือดโดยระบุว่า

เรียนคุณ ณ.... ดิฉันแอน จักรพงษ์ มีความรู้สึกเซอร์ไพรส์กับการกระทำของคุณที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์บุคคลสาธารณะที่มีชื่อเสียงอย่างไม่หยุดยั้ง รวมถึงตัวดิฉันซึ่งเป็นลูกค้าที่อุดหนุนคุณมาตลอดระยะเวลา 4 ปีและเป็นเงินหลายล้านบาท เพื่อการออกสื่อประชาสัมพันธ์ในรายการทอล์กโชว์ของคุณ ซึ่งดิฉันเป็นแขกรับเชิญมากกว่า 7 เทปแล้ว...รวมถึงการให้เกียรติไปเป็นกรรมการงานประกวดนางงามของคุณในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา...

มากไปกว่านั้นคือ การที่เคยพาคุณไปแนะนำตัวกับคู่ค้าของดิฉันในต่างประเทศด้วยความรักและจริงใจเพื่อการขยายงานของคุณให้ประสบความสำเร็จดียิ่งขึ้น โดยดิฉันยกย่องให้คุณเป็นบุคคลที่มีคุณค่ากับเพื่อนฝูงนักธุรกิจของเจเคเอ็นตลอดมาและเราสองคนก็มีมิตรภาพที่ดีต่อกันเสมอ...

แต่อะไรคือ แรงจูงใจที่ทำให้คุณพักนี้ต้องออกมาพูดถึงคนดังหลายคนในเชิงลบตลอดเวลาคะ? คำว่ากตัญญูต่อลูกค้ามีความหมายสำหรับคุณไหมคะ? ดิฉันสร้างบริษัทขึ้นมาด้วยตัวเองตั้งแต่ปี 2014 จนเข้าตลาดหลักทรัพย์ มาถึงปัจจุบันนี้ก็มีรายรับรวมเกือบจะ 10,000 ล้านบาทแล้ว พร้อมกับกำไรและเงินสดนับพันล้าน ซึ่งปีนี้ผลประกอบการก็ยิ่งดีขึ้นไปอีกหลายเท่า...

คำว่าลูกค้าและผู้มีพระคุณที่อุดหนุนเราคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด...ไม่นานมานี้ ดิฉันพลาดพลั้งเกินเลยอะไรไปบนหน้าจอระหว่างการถ่ายทอดสด ในรายการแฉ ก็ออกมาขอโทษอย่างจริงใจกับคนไทยทั้งประเทศแล้วรวมถึงศิลปินท่านนั้น ภายใต้สังกัด TV 5 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ด้วยจดหมายอย่างเป็นทางการในฐานะที่เป็นคู่ค้าซื้อละครกัน

แต่หลังจากนั้นคุณกลับทับถมดิฉัน ด้วยคำเขียนที่ว่า ‘ผมขอแบนคนนี้...ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างยกเว้นนิสัยและความคิด’ วัตถุประสงค์ของคุณคืออะไรคะ? ได้อะไรจากการเหยียบย่ำซ้ำเติมนี้คะ? เราผิดใจอะไรกันหรือคะ? ลูกค้าทุกคนของคุณต่อไปจะกล้าอุดหนุนไหมคะ? ความเป็นสุภาพบุรุษของคุณที่ดิฉันเคยรู้จักมันหายไปไหนคะ? หวังว่าคุณจะรับฟังสิ่งที่แอนเขียนวันนี้เพราะมันจะดีต่อธุรกิจของคุณ ด้วยความห่วงใยและเคารพเหมือนเดิม แอน จักรพงษ์


แหล่งข่าว

https://www.facebook.com/annejkn.official/posts/2907308876204075

https://www.thaipost.net/main/detail/92331

https://www.thairath.co.th/entertain/news/2026599

https://www.thairath.co.th/entertain/news/2025873

สหรัฐอเมริกากำลังกลับมาสวมบทบาทตำรวจโลกอีกครั้ง หลังจากเบาบางลงในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ โดย นันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

สถานการณ์ในพม่าจะออกหัวออกก้อยยังไม่ชัดเจน แต่มิตรประเทศที่ดี คงได้แต่เอาใจช่วยให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี และมิตรประเทศที่ดีต้องไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

แต่ฝ่ายบริหารใหม่ของสหรัฐฯ เริ่มทำตัวเป็น ‘ตำรวจโลก’ ทันที โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศและสถานทูตสหรัฐในพม่า ประกาศชัดเจนว่าจะขอยืนเคียงข้างประชานชาวพม่า ซึ่งต่อต้านทหารพม่าที่ยึดอำนาจ ประกาศสนับสนุนการชุมนุมอย่างสันติ

สหรัฐฯ ใช้สองมาตรฐาน ทีคนอเมริกันชุมนุมคัดค้านการทารุณกรรมที่ตำรวจกระทำต่อคนผิวสีจนเสียชีวิต และตามด้วยสโลแกน Black life matter ที่ดังไปทั่วโลกและตามด้วยการคัดค้านผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนอเมริกันถืออาวุธเดินขบวนชุมนุม ทางการสหรัฐประกาศฉุกเฉิน ใช้กำลังทหารและรถหุ้มเกราะติดอาวุธป้องกันสถานที่ราชการ และใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม

...แต่ไม่มีชาติใดไปสั่งให้รัฐบาลสหรัฐฯ รับฟังเสียงประชาชนเลย!!

สหรัฐฯ อาจจะอินกับบทตำรวจโลกมาก จนนางแมร์เคิล นายกเยอรมัน พูดเมื่อ 26 มกราคมที่ผ่านมาว่า การทูตของไบเดนคือ สงครามเย็นแห่งพันธมิตร และระบุด้วยว่า สหรัฐไม่มีสิทธิที่จะบีบบังคับประเทศอื่นๆ ให้ปฏิบัติตามในการรับใช้สหรัฐ

และนางแมร์เคิลยังเน้นว่า ประเทศอื่นๆ อย่าเข้าร่วมในการครองความเป็นเจ้า Hegemonic ของสหรัฐฯ

พม่ามีทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่ามากมาย ฝรั่งจ้องตาเป็นมัน ‘อยากได้’ แต่ผู้นำพม่าขายให้จีนไม่ใช่ฝรั่ง ถ้าจะได้ทรัพยากรที่สำคัญต้องเปลี่ยนผู้นำประเทศจากทหาร

หนทางเดียว คือ ให้พลเรือนอย่าง นางอองซาน เป็นผู้นำประเทศ ที่ต้องพึ่งฝรั่งอย่างเดียว ทหารก็ไม่เอา ชนกลุ่มน้อยก็ไม่ไว้ใจ ขี่ง่ายกว่าเยอะ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ มันคือข้ออ้างในการเข้าแทรกแซง

จับตาบทบาท ‘ตำรวจโลก’ อย่ากระพริบตา


ที่มา: https://www.facebook.com/100005279737218/posts/1558571360995507/

‘รังสิมันต์ โรม’ เปิดหลักฐาน อัด ‘สิระ’ บิดเบือนข้อเท็จจริง ให้ข้อมูลเท็จ ปมกล่าวหาตนบุกรุก ‘เกาะงำ’ ทำร้ายประชาชน เตรียมฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาท ซัดหวังดิสเครดิตก้าวไกล ก่อนอภิปรายไม่วางใจหรือไม่

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พร้อมเปิดหลักฐานภาพถ่ายในการลงพื้นที่ จากกรณีที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ และนายชัยยันต์ ผลสุวรรณ ส.ส. ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ได้ร่วมแถลงข่าวว่ามีประชาชนที่เกาะงำ จ.ภูเก็ต มาร้องเรียนว่าถูกผมข่มขู่ให้ออกจากพื้นที่นั้น

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนได้ลงพื้นที่เกาะงำ 2 ครั้งด้วยกัน คือช่วงเดือนมกราคม 2562 และ เดือนกันยายน 2562 ตอนที่ลงพื้นที่ดังกล่าวครั้งแรก เป็นช่วงการหาเสียง ที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านพารา ซึ่งอยู่ฝั่งของเกาะภูเก็ต ว่าชาวบ้านไม่สามารถไปเยือนเกาะดังกล่าวได้ เพราะเมื่อเดินทางไปแล้ว มีการใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า ข่มขู่ว่าจะทำร้าย ซึ่งชาวบ้านพารามีความกังวลว่า อาจจะมีกระบวนการให้นายทุนมายึดครองเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัว ตนจึงถือโอกาสนั้นลงพื้นที่ดังกล่าว พบว่าเป็นเกาะที่ยังมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ไม่พบเห็นใครอยู่ในเกาะดังกล่าว

โดยหลังจากนั้นตนลงพื้นที่เกาะงำอีกครั้ง คือเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2562 ซึ่งชาวบ้านบ้านพารา ยืนยันกับผมว่าอีกครั้งว่ามีความพยายามเอาเกาะงำนี้เป็นเกาะส่วนตัวจริง จึงมาร้องยังผมเพื่อขอให้ช่วย ผมลงจึงลงพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งการลงครั้งนี้เป็นการลงร่วมกับทางป่าไม้ เหตุที่ลงพร้อมกับป่าไม้ เพราะตนทราบว่า ทางชาวบ้านน่าจะประสานลงพื้นที่กับทางป่าไม้มาอีกทางหนึ่ง จึงได้มีการลงพื้นที่ร่วมกัน เพราะมีชาวบ้านมาร้องเรียนว่ามีคนบุกรุกพื้นที่เกาะ มีอาวุธปืนยิงไล่คนที่เข้าใกล้ ตนจึงลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้เพื่อตรวจสอบเบื้องต้น จึงได้พบกับครอบครัวดังกล่าว ทางป่าไม้ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าไม้จริง มีการปลูกบ้านอยู่อาศัย ทางป่าไม้จึงแจ้งกับทางครอบครัวดังกล่าวให้ออกจากพื้นที่ภายในเวลาที่กำหนด โดยไม่มีการข่มขู่แต่อย่างใด

โดยตนขอยืนยันว่าตัวผมไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับที่ดินบนเกาะงำเลยแม้แต่น้อย และภายหลังจากที่ลงพื้นที่ครั้งนั้น ตนก็ยังไม่เคยได้ไปที่เกาะแห่งนั้นอีก ในการที่ลงพื้นที่นั้น เบื้องต้นมีการกล่าวว่าจะมีการเอาเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัวจากนายทุน สิ่งที่ผมทำคือการแก้ไขปัญหาความขัดเเย้งเพื่อไม่ให้เกิดความรุนเเรง อีกทั้งกรณีนี้ต่างจากเรื่องสิทธิชุมชนในพื้นที่ป่าหรือกลุ่มชาติพันธ์ที่อยู่อาศัยมาก่อนการประกาศเขตป่า

ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่ามีการคุกคามกักขังหน่วงเหนี่ยวเด็ก ตนขอยืนยันว่าไม่ได้มีการแตะเนื้อต้องตัวเด็กแม้แต่น้อย ตนเองคงไม่มีความสามารถทำแบบนั้น ณ เวลานั้นตนเป็น ส.ส. ได้เพียง 6 เดือน ที่สำคัญเป็น ส.ส. ฝ่ายค้าน จะเอาเด็กไปขังไว้สำนักงานป่าไม้ ข้าราชการที่ไหนเขาจะยอมให้ตนทำเช่นนั้น โดยตนมั่นใจว่าการลงพื้นที่ในครั้งนั้นในบ้านของชาวบ้านมีกล้องวงจรปิด หากมีหลักฐานที่ตนกระทำอย่างที่นายสิระ เเละนายชัยยันต์ กล่าวหาจริง ผมขอให้นำภาพหลักฐานมาชี้เเจง

นายรังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สุดท้ายนี้ ไม่ว่าการหยิบเรื่องดังกล่าวมาโจมตีผมในจังหวะเวลานี้จะเป็นไปด้วยมูลเหตุจูงใจอะไรก็ตาม ตนพร้อมที่จะยืนยันข้อเท็จจริงในทุกประเด็น ทุกกระบวนการ และหากว่านี่คือขบวนการใส่ร้ายป้ายสีตน นั้นเพราะว่ารัฐบาลกังวลใจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน เเละคิดว่ารัฐบาลจะอยู่ต่อไม่ได้ กรณีที่เกิดขึ้นเป็นการดิสเครดิตพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ผมผิดหวังจากใจจริงว่าคนที่ยืนข้างคุณสิระ คือคุณชัยยันต์ ผลสุวรรณ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้ร่วมทำงานด้านอภิปรายไม่ไว้วางใจร่วมกับกัน โดยตนจะดำเนินคดีการทางกฎหมายกลับอย่างแน่นอน พร้อมมั่นใจว่าตนไม่มีประโยชน์ส่วนได้เสียกับคดีเกาะงำ และหวังให้ยุติขบวนการยึดครองเกาะของนายทุนเป็นพื้นที่ส่วนตัว

 

วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนรางวัลซีไรต์ ประจำปี พ.ศ. 2543 จากนวนิยายเรื่อง ‘อมตะ’ ได้โพสต์ข้อความถึงเรื่อง “คุณธรรมกับกฎหมาย” ในเฟซบุ๊กส่วนตัวให้รู้สึกกังวล ถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายไทยที่เริ่มถูกความเมตตามาแทรกแซงกฎระเบียบ

ม็อบหรือการต่อสู้ครั้งนี้มีเป้าหมายอยู่ที่การ “ล้มเจ้า” อาวุธหลักที่พวกเขาใช้ คือ การใช้ถ้อยคำที่ต่ำช้าสามานย์ที่สุดเท่าที่จะนึกหรือคิดขึ้นได้ รวมทั้งพูดเรื่องเพศอย่างโจ่งแจ้ง พวกเขามีหลักคิดและเชื่อว่าถ้อยคำพวกนี้จะสามารถ “ทำลายชนชั้น” ได้ ดังที่ศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ใช้คำว่า “ทำลายช่วงชั้น” ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ “คนเท่ากัน”

…แต่ผลของวิธีนี้ ก็ทำให้ผิดกฎหมายมาตรา 112

แม้มาตรา 112 จะเป็นคดีอาญา แต่ก็มองเป็นคดีแพ่งได้ เพราะเป็นเรื่องการเมือง - เป็นความคิดเห็นทางการเมือง ดังนั้นจึงมีเรื่อง “ความเมตตา” เข้ามาประนีประนอม

ผลที่ตามมาก็คือ การเผชิญหน้ากันระหว่าง “คุณธรรม” (ความเมตตา) กับ “กฎหมาย”

ถ้ากฎหมายถูก “ยกไว้” หรือ “ชะลอไว้” ก็อาจจะส่งผลให้ผิดกฎหมายมาตราอื่นตามมา คือ เจ้าหน้ารัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย

กฎหมายก็คลายความศักดิ์สิทธิ์ เจ้าหน้าที่รัฐก็ขาดความเชื่อถือ เมื่อมีคนทำผิดกฎหมายมาตราอื่นๆ ก็จะอ้างถึงคดีในมาตรา 112 และอ้างถึงความเมตตาบ้าง

นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ขอลายชื่อสาธารณชนเพื่อคัดค้านการยกเลิกมาตรา 112 จึงเป็นเรื่องที่ขำขื่น เพราะปัจจุบันยังมีมาตรา 112 อยู่ ก็ยังคาราคาซังและกังขาว่าจะเอาอย่างไรแน่

ท่านนายกฯ ออกมาประกาศขึงขังว่าจะเอาจริงนั้น >> ยังไม่มีผลมากนัก

ทางออกของเรื่องนี้ในมุมของ วิมล จึงมีดังนี้

ทางออกที่ 1 ให้ดำเนินคดีไปตามปรกติเช่นเดียวกับคดีอื่นๆ ศาลตัดสินแล้วจึงผ่อนโทษหรืออภัยโทษ

ทางออกที่ 2 แก้ไขมาตรา 112 ให้เหมาะสมกับคุณธรรม

ทางออกที่ 3 ยกเลิกมาตรานี้ แล้วมีมาตราใหม่ขึ้นมา

ทางออกที่ 2 กับ 3 นั้นเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร

วิมล มองว่า หากความชัดเจนของกฎหมาย เช่น ม.112 ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ก็จะเป็นตัวอย่างให้กฎหมายอื่นๆ ไม่น่าเชื่อถือ ประเทศก็สูญเสียหลักการปกครอง (ทุกคนเท่าเทียมกันตามกฎหมาย) สังคมก็จะสับสนจนมั่ว คนก็ไม่เกรงกลัวกฎหมาย เห็นได้จากม็อบครั้งนี้ ส่วนคนที่เคารพกฎหมายก็ด่ารัฐบาล และสุดท้ายก็จะไม่สนใจอีกต่อไป


ที่มา: https://www.facebook.com/100002386922271/posts/3731544303601764/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top