Wednesday, 23 April 2025
Politics

‘ถาวร เสนเนียม’ ร่อนแถลงการณ์ ถึงพี่น้องประชาชน เผย!! สาเหตุตัดสินใจ ไม่ลงสมัครชิงนายกฯอบจ.สงขลา

(14 ธ.ค. 67) นายถาวร เสนเนียม ร่อนแถลงการณ์ ถึงพี่น้องประชาชน ระบุว่า …

เรียนพี่น้องประชาชนที่สนใจติดตามการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาและสื่อมวลชนทุกท่านครับ

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในช่วงหลายวันที่ผ่านมาจากหลายสื่อหลายกระแสด้วยกันว่า ผมกำลังจะได้รับการสนับสนุนจากพรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคภูมิใจไทยและได้รับแรงเชียร์จากน้อง ๆ ส.อบจ.สงขลา ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลารอบหน้า ที่กำลังจะมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 หลังจากนั้น ผมเองก็ได้รับโทรศัพท์และได้รับการติดต่อเพื่อขอเป็นรับแรงสนับสนุนจากน้อง ๆ ที่ยังดำรงตำแหน่ง ส.อบจ.สงขลา และที่จะเป็นผู้สมัคร ส.อบจ.สงขลา ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งสังกัดทีมรวมพลังร่วมสร้างสุขที่รวมตัวกันก่อนหน้านี้แล้ว

รวมถึงได้รับแรงสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งของผมและจากหลาย ๆ เขต ตลอดถึงญาติมิตร

พี่น้องเพื่อนฝูง เมื่อได้ทราบถึงกระแสข่าวต่างติดต่อเข้ามาเพื่อให้กำลังใจผม ประหนึ่งเสมือนผมได้ตอบตกลง

ที่จะเป็นผู้สมัครลงชิงตำแหน่ง นายก อบจ.สงขลา รอบหน้าจริงแล้ว การตอบคำถามถึงกระแสข่าวข้างต้น ผมจึงต้องระมัดระวังถึงความรู้สึกดี ๆ ที่ทุกคนมอบให้ เพราะพี่น้องประชาชนในจังหวัดสงขลาต่างทราบดีว่าสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันเป็นอย่างไร ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติ ประชาชนต่างคาดหวังที่จะมี ผู้นำท้องถิ่น สมาชิกรัฐสภาและรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์สุจริตมาบริหารพัฒนาแก้ปัญหา คิดและทำเพื่อประโยชน์ให้ประชาชน ไม่ผูกขาดการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองด้วยอิทธิพลหรือทุนสีเทา

ดังนั้น ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้า ประชาชนชาวสงขลาจึงต้องการที่จะเห็นการเมืองในรูปแบบที่ใสสะอาด ปราศจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และปราศจากการใช้อิทธิพลหรือทุนสีเทามาเอารัดเอาเปรียบผู้สมัครที่สุจริต ผมเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านการทุจริต และต่อต้านการเลือกตั้งที่มีการใช้อิทธิพลหรือทุนสีเทามาตลอด และเป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใด ในการตอบคำถามของผมจากกระแสข่าวข้างต้นไปบ้างแล้ว

บางคนมองว่า ทำไมผมไม่เสียสละมาเป็นผู้สมัครนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้า ผมจึงขอใช้พื้นที่ตรงนี้ ชี้แจงที่มา

ของการตัดสินใจเข้ามาลงสนามการเมืองดังนี้

1.ในปี 2538 ผมมีอายุ 48 ปี และรับราชการเป็นอัยการจังหวัดกระบี่กับอัยการจังหวัดสงขลาต่อเนื่องมาหลายปี และประกอบอาชีพทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์หลายโครงการ และยังมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพอัยการ เพราะอายุราชการที่เหลืออีก 12 ปี ผมย่อมสามารถไต่ต้าวเข้าสู้ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ แต่ด้วยในปี 2534 –2538 ประเทศไทยเกิดวิกฤติทางการเมืองหลายครั้ง สืบเนื่องจากปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน และการใช้อำนาจทางการเมืองโดยมิชอบ ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ได้ยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างพี่น้องประชาชน เพื่อต่อสู้กับวิกฤติเหล่านี้อย่างเหนื่อยยาก ผมเองซึ่งเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ปี 2511 จึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งอัยการจังหวัดสงขลา เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.หวังได้เข้าไปต่อสู้ในสภาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ การลาออกจากราชการของผมครั้งนั้น ผมยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมาในผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น แต่พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจเลือกผมเข้าไปทำหน้าที่ สส. และเลือกผมตลอดมา 7 สมัย โดยที่ผมไม่ต้องใช้อิทธิพลหรือใช้เงินซื้อเสียงเพื่อเอาเปรียบคู่ต่อสู้ทางการเมือง ผมเล่นการเมืองโดยวิถีสุจริตตลอดมาพี่น้องประชาชนในเขตเลือกตั้งย่อมทราบดี

2.ในระหว่างที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน ผมได้ทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมส่อทุจริต 5 คนทุกสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎรคืออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเหล่านี้
1.นายบรรหาร ศิลปะอาชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
2.นายสุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น
3.นายวัน มู หะหมัด นอร์ มะทา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
4.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
5.พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น
และผมเคยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ดำเนินการเลือกตั้งไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรม เพื่อเอื้อประโยชน์ในการจัดการเลือกตั้งให้พรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นข่าวที่ทุกท่านทราบดีอยู่แล้ว

3. ในระหว่างที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ผมได้ทำหน้าที่ฝ่ายบริหารพัฒนาแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ตามนโยบายรัฐบาลมีผลงานตามที่ปรากฏ ผมได้ทำการกำกับบริหารจัดการดำเนินการหน่วยงานภายใต้ภารกิจทั้งหมดด้วยความสุจริต โดยไม่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือถูกร้องเรียนถึงพฤติกรรมทุจริตแต่อย่างใด

4.ด้วยประวัติทางการเมืองโดยสังเขปของผมดังกล่าวมา ประกอบกับประชาชนชาวจังหวัดสงขลาและน้องๆ ส.อบจ.สงขลาจำนวนหนึ่ง อยากให้ นายก อบจ.จังหวัดสงขลาคนต่อไป มาจากผู้มีประวัติทางการเมืองสุจริต มีประวัติการทำงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชัน จึงเป็นที่มาของกระแสข่าวว่า ผมได้รับแรงหนุนให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ.ครั้งหน้า เพราะที่ผ่านมาประชาชนชาวสงขลาและ ส.อบจ.สงขลา ทุกคนทราบดีว่า นายก อบจ.สงขลา มีปัญหาถูกตรวจสอบเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันต่อเนื่องตลอดมา บางรายถึงขนาดขัดแย้งกันจนต้องมีการจ้างวานฆ่าฝ่ายผู้เห็นต่าง บางรายก็กำลังรับโทษอยู่ในเรือนจำจากกรณีทุจริตคอร์รัปชันบางรายก็กำลังต่อสู้คดีอยู่ในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

5.จากกระแสข่าวที่ผ่านมา ผมจึงขอขอบคุณทุกแรงเชียร์ขอบคุณทุกกำลังใจที่ประสงค์จะให้ผมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ.สงขลาในครั้งหน้า แต่ผมขอเรียนให้ทราบว่า ด้วยความตั้งใจในทางการเมืองของผมที่ต้องการเห็นการเมืองใสสะอาดปราศจากการทุจริตคอร์รัปชันนั้น หมายความรวมถึง การละเว้นการกระทำการที่อาจจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการด้วย ซึ่งทุกท่านทราบดีว่า ช่วงวิกฤติทางการเมืองในปี2556 – 2557 ผมกับมวลมหาประชาชนทั่วประเทศ ได้ออกมาร่วมชุมนุมต่อต้านการออกกฎหมายล้างผิดคนโกงหรือกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ออกมาต่อต้านรัฐบาลที่โกงชาติทำร้ายแผ่นดิน จนท้ายสุดผมต้องคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก 5 ปี และถูกขังไว้โดยหมายของศาลในระหว่างการขอปล่อยตัวชั่วคราว ทำให้ผมต้องพ้นจากคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พ้นจากสถานะความเป็น สส. และพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ต่อมา ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาลงโทษจำคุกผม 1 ปี และปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการยื่นฎีกาคำพิพากษาในศาลฎีกา

6.แม้ว่าผมจะมีคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สงขลา ตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 49 , มาตรา 50 และตาม พ.ร.บ.องค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มาตรา 35/1 ก็ตาม แต่ผมเห็นว่า หากผมเป็นผู้สมัคร นายก อบจ.สงขลา ที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนชาวสงขลาต่อไปแต่ถ้า ระหว่างการดำรงตำแหน่ง นายก อบจ.สงขลาหากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกในลักษณะเดียวกับศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ความเสียหายย่อมเกิดกับทางราชการเพราะต้องจัดการเลือกตั้ง นายก อบจ.สงขลาใหม่อีกครั้ง สิ้นเปลืองงบประมาณของ อบจ.สงขลา ประมาณ เจ็ดสิบกว่าล้านบาท และทำให้พี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อนออกมาใช้สิทธิกันใหม่ ประกอบกับทีมทนายความที่รับผิดชอบว่าความให้ผม มีความเห็นว่ามีแนวโน้มสูงที่ศาลฎีกาจะพิพากษาว่า ผมกระทำผิดและอาจจะถูกลงโทษตามที่อัยการฟ้องผมจึงตัดสินใจไม่สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาครับ

7.ดังนั้น การตัดสินใจของผมไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สงขลาครั้งหน้าตามที่มีกระแสข่าวจึงไม่ได้เกิดจากความไม่เสียสละ ไม่ได้เกิดจากความกลัวที่จะแพ้การเลือกตั้ง ไม่ได้เกิดจากความกลัวหรือสมยอมให้กับการทุจริตคอร์รัปชันหรือทุนสีเทา ที่พี่น้องประชาชนหวาดระแวง แต่ผมมองถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาผมปฏิบัติตนในแนวทางนี้มาโดยตลอด จะเห็นได้ว่าในการเลือกตั้งใหญ่ที่ผ่านมา ผมสังกัดพรรคไทยภักดี ผมสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้ แต่ผมมีหลักคิดเช่นเดียวกันว่าหากประชาชนให้ความไว้วางใจแล้ว ต่อมาผมต้องถูกคำพิพากษาให้จำคุก ผมก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งครั้งนั้น ผมจึงตัดสินใจลงสมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ เพราะหากพ้นจาก ตำแหน่งไปก็สามารถเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นแทน โดยไม่ต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณของทางราชการ

8.ในการเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลา ครั้งหน้า ผมหวังว่าประชาชนชาวจังหวัดสงขลาจะตื่นรู้ว่า ผู้สมัครรายใดตั้งใจจริงเพื่อพี่น้องประชาชนหรือ ผู้สมัครรายใดอาศัยอิทธิพลหรือทุนสีเทาในการเข้าสู่ตำแหน่ง สำหรับผมเองก็จะคอยให้กำลังใจและสนับสนุนผู้สมัครที่มีประวัติดี มีที่มาดี และมีความตั้งใจเข้ามาทำงานเพื่อรับใช้พี่น้องประชาชน และผมขอเสนอให้ผู้ที่กำลังจะสมัครนายก อบจ.สงขลาทุกคน ให้แข่งขันกันโดยสุจริตเที่ยงธรรมจัดทำนโยบายที่ดีมีประโยชน์มาเสนอให้ประชาชนได้รับทราบ และขอให้สู้กันในกติกาโดยชอบด้วยกฎหมายต่อไป

ผมขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนที่ให้การสนับสนุน

เบอร์ 2 'รองเอ็ด' บุกปลุก ตากต้องเปลี่ยน คนฟังปราศรัยแน่น ศึกเลือกตั้ง อบจ.ตาก

(14 ธ.ค. 67) แรงงงแซงโค้งสนามเลือกตั้งที่น่าจับตาวันนี้คือศึกการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก เป็นสนามที่บ้านใหญ่ปะทะผู้ท้าชิงที่วันนี้รวมตัวกันฝั่งฝ่ายค้านคือพลังประชารัฐและพรรคประชาชนผนึกกำลังสู้ บ้านใหญ่ฝั่งภูมิใจไทย ฝั่งผู้ท้าชิง ‘รองเอ็ด’ พตท. อนุรักษ์ จิรจิตร ผู้สมัครหมายเลข 2 ปักธงตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ ณ สนามกีฬาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ข้างสำนักงานเทศบาลนครแม่สอด เป็นเวทีที่ 64 และเป็นเวทีสุดท้าย ก่อนการเลือกตั้ง ในวันพรุ่งนี้ มีคนร่วมฟังปราศรัยเกือบ 2,000 คน  

‘รองเอ็ด’ ชูนโยบาย ตากต้องเปลี่ยน และบอกกับชาว อำเภอ แม่สอดแผ่นดินเกิด มารดาเป็นคนแม่สอด บิดาเป็นคนอำเภอเมืองตาก ช่วงเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีลงพื้นที่อำเภออุ้มผาง และอำเภอพบพระ เหมือนเรือนนอน กุมหัวใจคน 4 อำเภอไว้อย่างเหนียวแน่น และลงพื้นที่อย่างสมบุกสมบันจนคว้าใจพี่น้องชาติพันธุ์ 9 ชนเผ่า ทุกอำเภอด้วย ปฏิญญา ‘พลิกตากทั้งจังหวัด’

ไฮไลต์ก่อนปิดปราศรัยที่เป็นม็อตโต้สำคัญ คือ ‘เลิกทนอยู่แบบเดิม ตากต้องเปลี่ยน’ ถือเป็นจุดพีคสุดที่จะทำให้รองเอ็ดถือแต้มต่อในโค้งสุดท้าย และเป็นยุทธวิธีเดียว เพื่อปลุกกระแส...เดินฝ่า...ห่ากระสุน ในศึกเลือกตั้ง นายก อบจ.ตาก ครั้งนี้ ท่ามกลางเสียงสนับสนุน กึกก้อง เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์การเมืองท้องถิ่นหน้าใหม่ เพราะไม่เคยเห็นเลือกตั้งท้องถิ่นปราศรัยเยอะขนาดนี้ รวม64 เวที มีรายงานว่า คนที่มาฟังปราศรัย ที่ผ่านมาน่าจะอยู่ประมาณ 50000 คน

‘อนุทิน’ ไม่ใส่ใจคำพูด ‘ทักษิณ’ เผย!! มีอะไรก็หารือ กับนายกฯ

(14 ธ.ค. 67) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวผ่านรายการข่าวเที่ยง ทางไทยพีบีเอส ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในการสัมมนาพรรคเพื่อไทยความตอนหนึ่งตำหนิพรรคร่วมบางพรรค หนีประชุมพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศ ว่าไม่น่าจะหมายถึงตน หรือ พรรคภูมิใจไทย เนื่องจากในวันดังกล่าว ตนได้เข้าพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ และไม่ทราบว่ามีการเลื่อนการประชุมเป็นวันพุธที่ 11 ธันวาคม เนื่องจากปกติ การประชุมคณะรัฐมนตรี จะประชุมทุกวันอังคาร

โดยระหว่างพบแพทย์เพื่อทำการตรวจนั้น นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์เพื่อตามให้เข้าประชุม เนื่องจากมีการพิจารณากฎหมายสำคัญ ซึ่งหลักจากตรวจเสร็จ ก็รีบเข้าประชุม ครม.ทันที อีกทั้งรัฐมนตรีหลายคนของพรรคก็เข้าร่วมประชุมในวันนั้น เว้นแต่ผู้ที่ติดภารกิจราชการ จึงไม่อยากให้เชื่อมโยงมาถึงพรรคภูมิใจไทย

เมื่อถามว่า การที่นายทักษิณ พูดในลักษณะนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า พรรคภูมิใจไทย รับสัญญาณจากนายกรัฐมนตรี คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เพราะนางสาวแพทองธาร คือ หัวหน้ารัฐบาล

“ท่านทักษิณ พูดถึงพรรคที่ไม่เข้าร่วมประชุม ผมก็ไม่นำพาไปฟังอะไรมาก เพราะผมก็ไปร่วมประชุม” นายอนุทิน กล่าว

ส่วนจะต้องพูดคุยทำความเข้าใจกันหรือไม่นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ตนพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเป็นประจำอยู่แล้ว นายกฯ แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีอะไรก็ต้องหารือนายกฯ แพทองธารอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า จะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลหลังจากนี้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาต่อกันอยู่แล้ว และจากนี้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ซึ่งการร่วมรัฐบาลต้องทำงานร่วมกันเป็นไฟต์บังคับ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศ และประชาชน

‘พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์’ อดีตบิ๊กศรภ. โพสต์ข้อความเรื่อง ‘เกาะกูด’ ชี้!! เป็นของคนไทย ทักษิณต้องหาทางถอย ไม่ให้เสียหน้า ไม่ให้ฮุนเซนเสียใจ

(15 ธ.ค. 67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง ‘เกาะกูด สงครามที่ทักษิณ ไม่มีหนทางชนะได้’ ระบุว่า …

ประเด็นเรื่องเกาะกูดเป็นของไทยหรือไม่ นั้น ได้ข้อยุติจากคุณทักษิณเมื่อวานนั้น  ว่ารัฐบาลไทยก็เห็นด้วย ว่าเป็นของคนไทย แต่จะเห็นด้วยอย่างเดียวไม่พอ รัฐบาลไทย ยังต้องทำอีก 2 เรื่อง คือ

1.รัฐบาลไทยต้องไปพูดเรื่องอาณาเขตทางทะเลของเกาะกูด กับ กัมพูชาให้ชัดเจน ว่าของไทยอยู่ตรงไหน ของกัมพูชาอยู่ตรงไหนบ้าง

2.การพูดถึงเรื่องอาณาเขตทางทะเลให้เป็นผลสำเร็จ ทั้ง 2 ประเทศ ต้องใช้ กฎหมายฉบับเดียวกัน และต้องเป็นกฎหมายที่ถูกต้อง ทั้งประชาชน และสากลโลกยอมรับ อีกด้วย

ดังนั้นไม่ว่าฝั่งรัฐบาล จะออกมาพูดว่าเกาะกูดเป็นของไทย สักกี่ครั้ง ก็ยังไม่พอ ถ้าไม่พูดคุยด้วยกฎหมายอาณาเขตทางทะเลฉบับเดียวกันเสียก่อน

แต่ถ้าจะไปเจรจา ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมายที่แตกต่างกัน โดยทางไทยยึดตามสหประชาชาติ ส่วนกัมพูชา ใช้กฎหมายที่นึกคิดเอาเอง  ดังเช่นในปัจจุบันนี้แล้ว  เมื่อเริ่มการเจรจาขึ้น กัมพูชาก็จะเกิดสิทธิ์เพิ่มขึ้นมาเองทันที โดยกัมพูชาสามารถอ้างว่า ไทยยอมรับเขตแดนทางทะเลที่กัมพูชา กำหนดขึ้นมาเอง โดยที่รัฐบาลไทยไม่ทักท้วงอะไรเลย ซึ่งจะทำให้อาณาเขตทางทะเลที่นึกขึ้นมาเองของกัมพูชา เริ่มจะถูกต้อง ขึ้นมาทันที

เรื่องนี้ในที่สุด คุณทักษิณก็รู้ดี ว่าเป็นสงครามที่ไม่มีทางชนะ เพราะคนไทยไม่ยอม ‘ถอย’ แน่นอน ดังนั้นคุณทักษิณ จะต้องเป็นฝ่ายหาทาง ‘ถอย’ ในรูปแบบไหนเท่านั้น  เพื่อ (1) ไม่ให้ตัวเองเสียหน้าต่อคนไทย และ (2) ไม่ให้ฮุนเซนเสียใจด้วย  เรื่องหลังนี่สำคัญมาก ครับ

ศึกชิงอบจ. เดือด!! ทั่วประเทศ จับตา ‘นายใหญ่’ เดินหน้ารุกฆาต!! ฟื้นคืนพื้นที่อีสาน รักษาฐานที่มั่นภาคเหนือ ตีกิน กลาง ตะวันออก

(15 ธ.ค. 67) “ผมแพ้ผมก็ไม่เสียดาย  แต่ต้องมีการตายเกิดขึ้น  คนที่โกส่งก็ต้องตาย..”

บางถ้อยคำของเทปลับที่สะพัดจากสื่อโซเชี่ยลและสื่อหลัก  หลังการสังหารโหด ‘สจ.โต้ง’ นายชัยเมศร์  สิทธิสนิทพงศ์  ในบ้าน ‘โกทร’ สุนทร   วิลาวัลย์  นายกอบจ.ปราจันบุรี เมื่อ ค่ำวันที่ 11 ธ.ค. 2567

การตายของสจ.โต้งโยงใยให้มองเห็นได้ว่า เกมการเลือกตั้งนายกอบจ.ที่กำลังจะระเบิดศึกเดือดพลั่ก..และการเมืองใหญ่หรือการเมืองระดับชาติกำลังจะประดาบทำสงครามกันครั้งใหญ่..

กรณีปราจีนบุรี..แต่เดิมมีร่องรอยชัดเจนว่า  ‘สจ.จอย’ ณภาพัช  อัญชาสาณิชมน   รองประธานสภาอบจ.ปราจีนบุรี   ภรรยาสจ.โต้ง จะได้ลงสมัครนายกอบจ.หลังจากโกทรประกาศวางมือ...แม้กระทั่งทักษิณ  ชินวัตร   ก็เปิดปากยอมรับกับนักข่าวเมื่อ 13 ธ.ค.ว่าพรรคเพื่อไทยมีการติดต่อสจ.จอยจริง  แต่เมื่อเกิดเหตุอย่างนี้คงจะเปลี่ยนใจแล้ว..

มีการตั้งคำถามกึ่งเป็นคำตอบว่า...สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแผนเปลี่ยนใจให้สจ.จอยเปลี่ยนเสื้อจากภูมิใจไทยไปเป็นเพื่อไทย บวกกับบ้านเล็กบ้านน้อยที่กดดันไม่ให้ ‘โก’ หนุนคนของสจ.โต้งหรือไม่...จึงเกิดฉากสังหารเกิดขึ้น..!!??

เรื่องคดีปล่อยให้ตำรวจยุค..บิ๊กต่าย ผบ.ตร.,บิ๊กอ้อ ผช.ผบ.ตร.ที่กำลังขึ้นหม้อ  ชาวประชาให้ความเชื่อถือพิสูจน์ฝีมือกันต่อไป...แต่การล้างบางมาเฟียที่ประกาศโดย ‘นายกทับซ้อน’ นั้น  ต้องจับตาดูว่าเป็นแค่ราคาคุยหาเสียงล่วงหน้า  หรือว่าจะเกิดขึ้นจริงๆ..

กลับมาโฟกัสที่การเลือกตั้งนายกอบจ./ส.อบจ.กว่า 40 จังหวัดในวันที่ 1 ก.พ.2568  ที่มีแนวโน้มว่าจะดุเดือดเลือดพล่าน...เพราะจะเป็นการเลือกตั้งที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคมุ่งจะปักธงชัยชนะเพื่อรักษาคะแนนนิยม,รักษาบ้านใหญ่ เพื่อผลสุดท้ายนำไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งระดับชาติในครั้งหน้าซึ่ง โอกาสเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ปี2568-2570

ขีดเส้นใต้สิบเส้น...การที่ทักษิณพูดถึงกรณีปราจีนบุรี และการปรากฎการณ์กรณีอุดรธานี,อุบลราชธานี...บวกกับโปรแกรมที่”นายใหญ่”จะไปช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยและคนในร่มธงเพื่อไทยช่วงปลายปีนี้และต้นปีหน้า   ถูกออกแบบ-วางแผนไว้เป็นอย่างดี..

สอดประสานกับการเดินเกม..งานใต้ดินที่ ‘นายใหญ่’ ต้องใช้บริการจาก ‘ผู้กอง’ ผู้กว้างขวางที่เพิ่งเผด็จศึกแนวรบบ้านในป่ามาสดๆ ร้อนๆ..

อันที่จริงเกมของ ‘นายใหญ่’  ก็ไม่น่าจะอ่านยาก  1) ตรึงจังหวัดสำคัญ ฟื้นคืนพื้นที่อีสานฐานที่มั่นใหญ่ไห้ได้สส.เขตที่อีสานรอบหน้าอย่างน้อยสุด 100 เสียงขึ้นไป  2)ฟื้นภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ นายกอบจ.ก๊อง-พิชัย  เลิศพงศ์อดิศร  อาจจะไม่สวมเสื้อเพื่อไทยแต่ต้องรักษาแชมป์ไว้ให้ได้เพื่อเอาสส.เพื่อไทยสมัยหน้ากลับมาให้ได้จากที่เหลืออยู่ 2 คน ให้กลับมาเป็นอย่างน้อย 8 หรือยกจังหวัด10คน..

และ3) สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเคลียร์พื้นที่ภาคกลาง(รวมภาคตะวันออก)...ถึงนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ และเครือข่ายเดินเงียบ  โดยเฉพาะแนวรบด้านตะวันออก ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา,ชลบุรี,ระยอง,จันทบุรี และตราด..เรียบร้อยหมดแล้ว..เหลือแต่ปราจีนบุรีและนครนายก  ที่ปิดจ๊อบยังไม่จบ..โดยเฉพาะที่ปราจีนบุรี  ต้องรอดูเจ้าของพื้นที่สีน้ำเงินว่าจะออกอาวุธอย่างไร แบบไหน..คงไม่ปล่อยให้สูญเสียพื้นที่อาณาเขตทางการเมืองของตัวเองไปได้ง่ายๆ

รวมความแล้วเกมที่ดูเหมือนจะไม่ยากนักสำหรับคนระดับทักษิณ  แต่เมื่อส่องกล้องมองในรายละเอียด   เกมชิงนายกอบจ.40กว่าจังหวัดต้นปีหน้าก็ใช่ว่าจะเป็นรายการเคี้ยวหมู..อุปสรรคใหญ่ที่เป็นก้างขวางคออยู่ในขณะนี้ก็คือ...พรรคประชาชนที่ปักธงส่งผู้สมัครแบบหวังผลอย่างน้อย 12 จังหวัด, พรรคภูมิใจไทย ที่ ‘ครูใหญ่’เนวิน   ชิดชอบ  ยังกบไพ่เงียบ..เปิดออกมาเมื่อไหร่ไม่ใครต่อใครก็อาจเป็นลม..เหมือนตอนเลือกตั้งสว.สภาน้ำเงิน ก็ได้..

ยิ่งนาทีนี้ ‘นายใหญ่’ ออกตัวแรงในทุกๆ ด้านแม้กระทั้งกรณีกึ่งขับไล่ ด้อยค่าพรรคร่วม..ก็ใช่ว่าจะเป็นผลบวกในทุกๆเรื่องเสมอไป!!

‘ดุสิตโพล’ ชี้!! ผลงาน 3 เดือน รัฐบาลแพทองธาร ยังประเมินไม่ได้ เห็นผลชัดเจนสุด ‘แจกเงินหมื่น’ แนะ!! ควรเร่งแก้ปัญหาค่าครองชีพ

(15 ธ.ค. 67) ‘สวนดุสิตโพล’ สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง ‘3 เดือนรัฐบาลแพทองธาร’ กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,162 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 10-13 ธ.ค. 2567 พบว่า

กลุ่มตัวอย่างมองจุดแข็งของรัฐบาลแพทองธาร คือ การมีที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์ร้อยละ 49.38 ภาพรวมผลงาน 3 เดือนของรัฐบาลยังประเมินไม่ได้ ร้อยละ 39.85 ต่ำกว่าที่คาดหวัง ร้อยละ 28.14 และยังไม่เชื่อมั่นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ร้อยละ 54.99

โดยมองว่านโยบายที่เห็นผลชัดเจนที่สุดใน 3 เดือนที่ผ่านมา คือ การแจกเงิน 10,000 บาท ร้อยละ 71.44 เรื่องที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการแก้ไขโดยด่วนยังคงเป็นเรื่องการแก้ปัญหาค่าครองชีพ สร้างงาน เพิ่มรายได้ ร้อยละ 70.84

สุดท้ายสิ่งที่ประชาชนอยากฝากถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศ คือ เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ลดค่าครองชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง ร้อยละ 49.14

ตื่นธรรม ต้องตื่นที่ใจ มิใช่ตื่นเพราะลืมตา แต่ยังหลงวนในดงคนบาป ปั้นตัวให้ดูแตกต่างเพื่อต้มตุ๋นเงินทอง

เหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นชัดว่า 'คนไทยยุคใหม่' ขาดความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงอ่อนแอ เปราะบาง พร้อมจะโอนเอนเข้าหาการโน้มน้าวจาก 'ของปลอม' ที่คอยปักธงปล้นเงินในกระเป๋าไว้อย่างรัดกุม ด้วยเพราะรู้ใน 'จุดอ่อน' ของ 'คนหลับธรรม' จำนวนมากในสังคมไทย 

สังคมไทยยุคใหม่ เป็นสังคมแห่งการถือดีแต่ไม่มีดี อวดฉลาดแต่ก็โง่เขลาเบาปัญญา จึงพร้อมใจกันสาละวนอยู่กับการถูกหลอกลวงจากคนรูปลักษณ์ใหม่ ๆ ในวิธีการลวงล่อที่ไม่ต่างจากอดีต แต่ด้วยเพราะสังคมขาดความรู้ ขาดการลงลึกเพื่อจดจำประวัติศาสตร์ ขาดการติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างจริงจัง และไม่ชอบ 'อ่านหนังสือ' ซึ่งถือเป็นเรื่องพื้นฐานของคนในชาติที่เจริญแล้ว เมื่อชาติใดมีประชากรที่ฉลาด ชาตินั้นก็จะมีความเข้มแข็งตามมา โจรก็จะน้อยลงเป็นเงาตามตัว

แต่สังคมไทยให้ความสำคัญแต่กับเปลือกปลอม ข่าวซุบซิบเรื่องของชาวบ้าน สอดส่องแอบดูความร่ำรวยของผู้คน และการศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงหน้าตาของตัวเอง เป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยถึงน้อยมากที่จะให้เวลาหมดไปกับการ 'ศึกษาเรียนรู้' เพื่อที่จะไม่เป็นเหยื่อโจร ซึ่งแปลงโฉมมาต้มตุ๋นสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ไม่เว้นวัน ยุคนี้จึงมุ่งมาหากินกับกลุ่มคนที่ยัง 'หลับธรรม' เพราะเป็นผู้คนที่ 'หลอกง่าย' ด้วยไร้แสงสว่างทางใจแบบฝังลึก

มองมุมหนึ่งกลุ่มคนที่โอนเงินไปบริจาคให้กับ 'นักต้มตุ๋น' ไม่ว่าจะเคยเป็นมาในรูปแบบใด ก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่าน่าสงสาร เห็นใจ แต่ถ้ามองในมุมใหญ่ก็จะพบว่ายังคงเป็น 'คนกลุ่มเดิม' ที่ยังเดินหน้าให้โจรหลอกซ้ำหลอกซาก แค่โจรเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนวิธีมาดึงดูดเงินทองของเหยื่อที่ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง  

ตราบที่สังคมไทยยังคงหลับใหล ไม่ตื่นในรสพระธรรมคำสอนที่จริงแท้ของพระพุทธเจ้า ก็จะมองคนสะอาดเป็นคนที่สกปรก และมองคนที่ประสงค์ร้ายต่อสังคมเป็นคนที่ปรารถนาดีต่อผู้คน สมควรต้องยกย่อง สรรเสริญ และนำเงินทองไปประเคนร่วมบุญตามคำชวน โดยไม่คิดจะตั้งคำถาม หรือสงสัยเส้นสายการเดินทางของเงินอภิมหาบุญเหล่านั้นผ่านช่องทางใคร? ไปหยุดอยู่ที่ตรงไหน? และนำไปทำสิ่งใดเพื่อสังคมบ้าง? 

ที่สุดก็ไม่พ้นกลุ่มคนที่มีสติ ซึ่ง 'ตื่นธรรม' อยู่ก่อนแล้วโดยที่ไม่ต้องรอคนขึ้นมึง ขึ้นกู มาสั่งสอน ต่างลงแรงช่วยกัน “ยุติโจรในคราบนักบุญ” เสียทุกราย 

คนกลุ่มนี้นี่ต่างหาก สมควรเรียก 'คนตื่นธรรม' โดยแท้จริง

‘เปลว สีเงิน’ อ่านเกม ‘ทักษิณ’ ชี้ชัด อยากตะเพิด ‘พีระพันธุ์ – รทสชง’ พ้นรัฐบาล

(17 ธ.ค. 67) เปลว สีเงิน คอลัมนิสต์การเมืองชื่อดัง เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้เขียนบทความในคอลัมน์ ‘คนท้ายซอย’ ว่า "พีระพันธุ์-เพชรแท้"
เห็นถามเชิงเถียงกันขรมเมืองทั้งวัน ว่า.....

ตกลง "ทักษิณไล่ใคร?"

ไล่ "อนุทิน-ภูมิใจไทย" หรือไล่ "พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ" ให้พ้นจาก "พรรคร่วมรัฐบาล"?

หรือไล่มันทั้ง ๒ พรรคนั่นเลย?

ผมตอบแทนทักษิณให้ก็ได้ "อยากเฉดหัวให้มันออกไปทั้ง ๒ พรรค" นั่นแหละ

แต่ที่อยากมากกกกก ถึงขั้นไล่ได้ ไล่ให้ออกไปวันนี้-วันพรุ่งเลย คือ "พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ"!

เพราะอะไร?

๑.ไล่พรรครวมไทยสร้างชาติ ๓๕-๓๖ เสียงออกไป ก็ไม่มีปัญหา เพราะตอนนี้มี "พรรคธรรมนัส" ร่วม ๒๕ เสียงเสียบเสริมอยู่แล้ว

๒.ทุกคนรู้-โลกรู้ "รวมไทยสร้างชาติ" ชาติกำเนิดคือพรรคของอดีต "นายกฯ ประยุทธ์"

พีระพันธุ์จึงมีภาพเป็นคนของ "ลุงตู่" ซึ่งเป็น "หนามปักคาใจ" ให้ทักษิณคลั่งในยิ่งนัก

๓.ขณะเดียวกัน พีระพันธุ์เป็นคนที่ชาวประชารับรู้ว่า เป็นนักการเมือง "เพื่อชาติและประชาชน" ของแท้ ๑๐๐%

พีระพันธุ์จึงเป็น "หมาเฝ้าบ้าน" โดยจิตวิญญาณ ไม่ใช่ "หมาในคอก" โดยหิวอาหารเม็ด จากมือคนคด!

๔.ด้วยคุณสมบัติ ไม่สน "อาหารเม็ด" ทำให้พีระพันธุ์ดูเป็นคนหัวแข็ง ไม่ยอมลงให้กับใคร

ถ้าเรื่องนั้น ทำแล้ว "นักการเมืองได้-ประชาชนเสีย"!

ต่อให้เป็นนโยบายรัฐบาล.....

สั่งให้ตาย พีระพันธุ์ก็จะไม่ยอมไหลตามไปกับสิ่งไม่ถูกต้องนั้น

๕.พีระพันธุ์เป็นรัฐมนตรี "คุมพลังงาน" แล้วใครบ้างที่ไม่รู้ว่า พลังงาน "ขุมทรัพย์นับล้านล้าน" ของไทย ทุกวันนี้ อยู่ในกำมือใคร?

ชาวบ้านใช้ไฟแพงจากค่า ft ทุกวันนี้ ต้นเหตุมาจากไหน ทุกคนรู้ เว้นแต่รัฐบาลของคนมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เท่านั้น ที่ไม่รู้?

พีระพันธุ์เข้าไปแก้ในดงขวากหนาม เท่ากับ "ขวางทางโจร" ที่มันกำลังปล้นประชาชนจนรวยติดอันดับ "มหาเศรษฐีโลก"

ตัวเจ้าพ่อและร่างทรงเจ้าพ่อ จึงเพิ่มแรงอยากไล่ให้พีระพันธุ์ออกไปเร็วๆ เป็น ๒ เท่า

ยิ่งเขากำลังจะขุดพลังงานในอ่าวไทยใต้เกาะกูดไปรวยแบ่งกันกับเขมรอยู่ด้วย

พีระพันธุ์และอนุทิน ดันเป็น "ไอ้เข้" เข้าไปนอนขวางทางขุดเขาอีก จึงต้องส่งสัญญาณ "กูไม่พอใจพวกมึง" แล้วนะโว้ย

แต่จังหวะและบรรยากาศที่จะไล่ทั้ง ๒ พรรค มันยังไม่ให้ ถึงแม้ล้วงประเป๋ากางเกง มี "พรรคประชาชน" ให้กระเดาะเล่นในมือก็ตาม

ที่ทำได้ทันที โดยไม่กระทบเสียงรัฐบาล ก็คือไล่รวมไทยสร้างชาติออกไป จะ "รวยแบ่งกัน" ได้สบายกว่า มีพีระพันธุ์อยู่ให้กระดากปาก ตอนซ้วบบบบ!

แต่ก็นั่นแหละ.....

ในจุดเด่นของคุณพีระพันธุ์ก็มีจุดด้อยด้วยเหมือนกัน คือในความเก่งเฉพาะตัว ที่ไม่มีใครปฏิเสธ

แต่คุณพีระพันธุ์เป็นคนปากกับใจตรงกัน รู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น บางเรื่องจึงกลายเป็นว่า คุณพีระพันธุ์ไม่รู้จัก "ถนอมน้ำใจคน"

นั่นทำให้การบริหารคนในฐานะ "หัวหน้าพรรค" มีปัญหา การใช้มาตรฐานตัวเองเป็นมาตรฐานวัดทุกคนในพรรค ทำให้รวมใจคนในพรรคให้เป็นหนึ่งไม่ได้

ห่านดิน ยังกินหญ้า ห่านฟ้า ยังกินยุง ฉันใด ลูกน้องในพรรค ก็ฉันนั้น คนเป็นหัวหน้าก็ต้องบริหารอาหาร

คนน่ะ...จริงอยู่ เป็นคนเท่ากัน แต่มันไม่เท่ากันในความสามารถด้านหน้าที่การงาน

แต่ทุกคนสามารถใช้ศักยภาพที่มีแต่ละด้าน ช่วยให้พรรคเจริญเติบใหญ่ได้

มีเงินหมื่นล้าน ก็สร้าง "กระต๊อบ" หลังเดียวไม่ได้

ถ้าไม่มีคนไปตัดไม้ไผ่ ไม่มีคนขุดดิน ไม่มีคนตัดหวาย จักตอก ไม่มีคนมุงหลังคา

ฉะนั้น คนสำคัญกว่าเงิน แต่ต้องรู้จักใช้ทั้งเงิน-ทั้งคน              

ผู้บริหารที่ "รู้จักใช้คน" เขาจะไม่มองข้ามใครเลย ขณะเดียวกัน เขาจะมองเชิงวิจัยทะลุศักยภาพแต่ละคน

แล้วดึง "คุณภาพคน" ที่ต่างกันออกมาใช้ตามลักษณะงาน ตามจังหวะ-เวลา-สถานการณ์

"ชนะ" ที่เป็น "ชัยชนะ" แท้จริง มี ๒ อย่าง คือ

ชนะขั้นสามัญ ชนะใจคนอื่น

ชนะขั้นสูงสุด ชนะใจตัวเอง!

คุณพีระพันธุ์มีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ดึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ในบทบาท "ผู้นำพรรค" ให้ถึงพร้อมเท่านั้น

ถ้าเปิดใจให้กว้างต่อมิตรสหายในเส้นทาง ทั้งที่คิดเหมือนและคิดต่างให้มากกว่านี้

คำสบประมาทที่ว่า "รวมไทยสร้างชาติ" เจ๊งแล้ว นายทุนแยกพรรคไปแล้ว

เลือกตั้งครั้งหน้า....

"รวมไทยสร้างชาติ" ใต้การนำพีระพันธุ์ ไม่ใช่พรรคต่ำสิบ แต่จะเป็นพรรคต่ำห้า มันจะกลายเป็นฝ่าตีนตบหน้าคนสบประมาททันที!

พูดถึงนายทุนน่ะ ตะแคงกระบุงแล้วเอาเท้าโกยก็ถมถืด หาไม่ยากหรอก

ที่หายาก คือ "นักการเมือง" ที่บริสุทธิ์-จริงใจ ต่อชาติบ้านเมืองและประชาชนตะหาก

คุณพีระพันธุ์ คือ ๑ ในจำนวนที่หายากนั้น

แต่การดึงศักยภาพตัวเองออกมาแสดง "ภาวะผู้นำ" ที่ทั้งคนในพรรคและนอกพรรคยอมรับ

สู่ขั้นเปล่งประกายเข้าตาสังคมชาติ ว่า คนนี้ ฝากผี-ฝากไข้ ให้เป็น "ผู้นำประเทศ" ได้ ยังไม่สาดแสงทะลุตา

ทะลุวันไหน แค่ตะแคงกระบุงไว้หน้าพรรคเฉยๆ เงินอุดหนุนมาเต็ม บอกไม่เชื่อ!

เพราะเครดิตด้านคนทำงานเอางาน "เพื่อชาติบ้านเมือง" ไม่ใช่ "เอาเงินเข้ากระเป๋า" คุณพีระพันธุ์ทำให้เห็นมาแล้ว

จำตอม่อ "โฮปเวลล์"....

ที่ตำใจ ประจานไทย ว่าเป็นประเทศบริหารด้วยนักการเมือง "โกงชาติ-ผลาญเมือง" แต่ปี ๒๕๓๓ กันได้มั้ย?

ผ่านมากี่รัฐบาล ไม่มีรัฐบาลไหนสนใจแก้ปัญหา เพราะแดกเนื้อกันหมดแล้ว ทุกรัฐบาลจึงเมิน

เอกชนฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ยกเลิกสัญญาเขา คณะอนุญาโตตุลาการให้คมนาคมและการรถไฟฯ ชดใช้ค่าเสียหาย บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ร่วม ๓ หมื่นล้านบาท!

มาถึงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์....

จะว่าไปต้องให้เครดิตและชม "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคมตอนนั้น ไม่ยอม ฮึดสู้ จนชนะ เซฟค่าโง่ให้ประเทศร่วม ๓ หมื่นล้าน

มือกฎหมายที่พลิกจากแพ้ให้กลับมาชนะ ก็คือ "คุณพีระพันธุ์" ผู้นี้แหละ

อดีตท่านเป็นผู้พิพากษา เมื่อนายกฯ ประยุทธ์มอบให้เข้าไปดูเรื่องนี้ ท่านใช้เวลาร่วม ๓ ปี ขุดเอกสารต่างๆ มาดูตามแง่มุมกฎหมาย

ก็ไปสู้ในศาล....

ปรากฏว่า จากที่แพ้-จ่ายแน่ เพราะไม่มีรัฐบาลไหนสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ชาติ เมื่อรัฐบาลประยุทธ์ โดย "รมว.ศักดิ์สยาม" สู้

ปรากฏว่า ชนะ "พลิกล็อก-พลิกโลก"

"ศาลปกครองกลาง" มีคำพิพากษา เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ชดใช้ค่าโง่โฮปเวลล์ ๒.๔ หมื่นล้านบาท

พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด

ศาลเห็นว่า "บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด" ยื่นฟ้องคดีพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ "พ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด"!

เนี่ย....

ถ้าคุณพีระพันธุ์อยากได้ค่าโอเลี้ยงซักสี่ซ้าห้าพันล้าน แลกกับการไม่เป็นคานเข้าไปสอดหมูที่เขากำลังจะหามกัน

พูดได้คำเดียว "สบายมาก"!

เพราะเป็นคนไม่ชอบ "สบายมาก" นั่นแหละ จึงถูกเจ้าของคอกหมาไล่ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

คุยแล้วก็รากงอก ตั้งใจจะแตะนิดเดียว ดันเลี้ยวลงคู-ลงคลอง ที่ตั้งใจคุยเรื่อง "พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล" ก็เลยหมดเนื้อที่

เอาเป็นว่าเมื่อวาน (๑๖ ธ.ค.๖๗)" ศาลปกครองสูงสุด "มีคำสั่ง" ยกคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองของบิ๊กโจ๊ก

นั่นคือ "สิ้นสุดทางเลื่อนของ แมว ๙ ชีวิต" ลงแค่นี้

เป็นไปตามคำสั่ง ผบ.ตร. "พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์" และมติ "ก.พ.ค.ตร."

ที่ให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ "ออกจากราชการไว้ก่อน"!

กรณีถูกกล่าวหา "ทำผิดวินัยร้ายแรง" จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีมีพฤติการณ์...

เกี่ยวข้องเว็บพนันออนไลน์  BNKMASTER จนถูกดำเนินคดีอาญา

และถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐาน "สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"

และ "เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน"

ก็สู้ต่อไปนะ แพ้เป็นโจ๊ก ชนะเป็น "เทพโจ๊ก"!.

-เปลว สีเงิน

๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗

คนปลายซอย

‘เพื่อไทย’ ปัดตั้ง ‘พานทองแท้’ ปธ.ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ชี้! เป็นกระบวนการปั้นข่าวหวังทำลายความเชื่อมั่นรัฐบาล

รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันไม่แต่งตั้ง 'พานทองแท้ ชินวัตร' ลูกชายทักษิณ เป็นประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ตามที่ ‘ไพศาล พืชมงคล’ โพสต์เอาไว้ ระบุเจ้าตัวไม่ได้เข้ามาร่วมรับตำแหน่งใด ๆ โวยมีขบวนการปั้นข่าวเพื่อให้เกิดความสับสน

เมื่อวันที่ (17 ธ.ค. 67) จากกรณีที่นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์ข้อความว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ากลยุทธ์และแผนงานเศรษฐกิจแห่งชาติ โดยระบุว่า เพื่อกุมบังเหียนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงชัชวาลเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ ได้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี และอยู่ดีกินดีถ้วนหน้ากัน และเปรียบว่าขนาด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องสาวยังเป็นถึงนายกรัฐมนตรีได้ ทำไมพี่ชายถึงจะเป็นประธานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไม่ได้ ตามที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียนั้น

ล่าสุด น.ส.ชญาภา สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวในแพลตฟอร์ม X ว่า ไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง เพราะในการประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทยที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พรรคไม่มีมติแต่งตั้งใครหรือตำแหน่งใด ๆ เหล่านี้ ซึ่งข้อเท็จจริงนายพานทองแท้ ก็ไม่ได้เข้ามาร่วมรับตำแหน่งใด ๆ ทั้งในพรรคและในรัฐบาลเลย ช่วงนี้กระบวนการแบบนี้มีให้เห็นเยอะขึ้นเรื่อย ๆ การปั้นข่าวเพื่อให้เกิดความสับสน และพยายามทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาล โชคดีว่าประเทศไทยไม่ใช่เมืองหนาว เลยไม่เหมาะกับการปั้นน้ำเป็นตัว

สำหรับนายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค เกิดเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2522 เป็นลูกชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร กับคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เกิดที่เมืองฮันต์สวิลล์ ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา จบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เคยทำธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพ ชีแอทมู้ด และคาเฟ่ชื่อ Cafeinn ที่สยามสแควร์ ซอย 2 นำเข้าและจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ยี่ห้อ เวอร์ทู รวมทั้งสัมปทานพื้นที่โฆษณาอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดิน และทำธุรกิจสวนสนุก Amazing Fun Park บริเวณถนนรัชดาภิเษก ในนาม บริษัท ฮาวคัม เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด เมื่อปี 2548 กระทั่งปี 2552 นายพานทองแท้ ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี แต่ได้ปิดกิจการไปเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2567 และอาคารสถานีย่านถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้สี่แยกสุทธิสาร กำลังรีโนเวตเป็นที่ทำการแห่งใหม่ของพรรคเพื่อไทย

ปัจจุบัน นายพานทองแท้เป็นกรรมการบริษัทที่ยังดำเนินกิจการอยู่ 6 บริษัท ได้แก่ บริษัท ม็อกกิ้งเบิร์ด จำกัด ประกอบธุรกิจการจัดพิมพ์จำหน่ายหรือเผยแพร่งานอื่นๆ ผ่านทางออนไลน์, บริษัท วอยซ์ ครีเอชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมด้านความบันเทิง บริษัท เรนด์ เพลินจิต โฮเต็ล จำกัด ประกอบธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด, บริษัท เวิร์คส์ ครีเอทีฟ จำกัด ประกอบกิจกรรมการผลิตภาพยนตร์และวีดิทัศน์ธุรกิจ, บริษัท ไวฟ์ ดิจิตอล จำกัด ประกอบธุรกิจ กิจกรรมการจัดทำโปรแกรมเว็บเพจและเครือข่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ และบริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมการผลิตรายการโทรทัศน์

ส่วนบริษัทที่เสร็จการชำระบัญชี มี 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท นิวโอ๊ค จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมการถ่ายภาพ, บริษัท มาสเตอร์ โฟน จำกัด ประกอบธุรกิจร้านขายปลีกอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคม, บริษัท ฮาวคัม มีเดีย จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมของบริษัทโฆษณา, และบริษัท ฮาวคัม เอวี จำกัด ประกอบธุรกิจกิจกรรมด้านความบันเทิง และบริษัทที่มีสถานะเลิก ได้แก่ บริษัท โอคานิท จำกัด ประกอบธุรกิจการบริการด้านเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เป็นหลักในร้าน

อนึ่ง เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. นายพานทองแท้ นั่งรถไฟขบวนพิเศษรอยัลบอสซั่มที่ 913 เพื่อเดินทางร่วมกับ สส.พรรคเพื่อไทย ไปยังโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ พร้อมกับ น.ส.แพทองธาร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นน้องสาว ก่อนที่นายทักษิณจะร่วมขึ้นขบวนรถไฟที่สถานีบางบำหรุ เพราะอยู่ใกล้บ้านจันทร์ส่องหล้า จรัญสนิทวงศ์ 69

‘หลานม่า’ หนังไทยเรื่องแรกเข้ารอบออสการ์ 15 เรื่องสุดท้าย ได้ลุ้นสาขา ‘ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม’

(18 ธ.ค. 67) เพจเฟซบุ๊กของ GDH ได้โพสต์ข้อความว่า ‘หลานม่า’ ภาพยนตร์ไทยจาก GDH สร้างประวัติศาสตร์เป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ฝ่าด่านหนังต่างประเทศ จำนวน 85 เรื่อง ได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 15 เรื่องที่เข้ารอบรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 สาขา ภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม (ACADEMY AWARDS / BEST INTERNATIONAL FEATURE FILM SHORTLIST) ซึ่งจะมีการประกาศผลว่าภาพยนตร์ทั้ง 15 เรื่องนี้ เรื่องใดจะเข้ารอบเป็น 5 เรื่องสุดท้าย ในวันที่ 17 มกราคม 2568 ส่วนงานประกาศผลผู้ชนะเลิศ จะมีขึ้นในวันที่ 2 มีนาคม 2568

พร้อมทั้งได้ แสดงความยินดีกับ พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ ผู้กำกับ, เป็ด ทศพล ผู้เขียนบท, พี่เก้ง จิระ, พี่วัน วรรณฤดี โปรดิวเซอร์, ยายแต๋ว อุษา, บิวกิ้น, ดู๋ สัญญา, เจีย สฤญรัตน์, เผือก พงศธร, ตู ต้นตะวัน ทีมนักแสดงนำ รวมไปถึงทีมงานทุกฝ่ายที่ตั้งใจและทุ่มเทสร้างสรรค์ภาพยนตร์มาด้วยกัน และขอขอบคุณผู้ชมทุกท่านที่ให้การสนับสนุน ‘หลานม่า’ มาโดยตลอด

สุดท้ายแล้ว มาร่วมลุ้นผลไปพร้อมกันว่า ‘หลานม่า’ จะสร้างประวัติศาสตร์อีกหน้า ได้เข้ารอบเป็น 1 ใน 5 เรื่องสุดท้ายหรือไม่!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top