Thursday, 24 April 2025
Politics

ด้อมส้มยังส่ายหัว หลัง 'พรรคประชาชน' ตั้งแม่ทัพคุมพื้นที่ดีกรีน่าห่วง พบ!! อดีตคนขายเบียร์ไม่เสียภาษี คุมตะวันออก ส่วน 'โตโต้' คุม กทม.

กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมากเลยทีเดียว เมื่อเพจ ‘วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “ทุกคนคะ ผบ.โตโต้ อดีตหัวหน้าการ์ดวีโว่ ที่ทีมงานก่อม็อบป่วนเมือง บุกชิงตัวประกัน เผาทรัพย์สินราชการ จุดพลุรบกวนชาวบ้าน ได้รับความไว้วางใจจากพรรคส้ม ผงาดคุม กรุงเทพฯ และปริมณฑล”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา พรรคประชาชนจัดงานสัมมนาภายในระหว่างแกนนำพรรค สส. พนักงานพรรค และฝ่ายเครือข่าย เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการทำงานที่ผ่านมา ถอดบทเรียนจากเสียงสะท้อนของผู้สนับสนุนพรรค วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองปัจจุบัน และร่วมกันกำหนดทิศทางการเดินหน้าทำงานต่อไปของพรรค 

นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับทัพแกนนำบริหารพรรคชุดใหม่ จัดเต็มรองหัวหน้าพรรค 7 คน ซึ่งก็มีดาวเด่นตามที่คาดกันไว้ ทั้ง ‘ศิริกัญญา-โรม-วิโรจน์-ปกรณ์วุฒิ-วาโย’ นั่งรองหัวหน้าพรรค ขณะที่รองเลขาธิการพรรค มีการตั้ง ‘โตโต้ ปิยรัฐ’ คุมงานใน กทม.และปริมณฑล

ซึ่งประเด็นที่ทำให้คนวิจารณ์กันหนัก ก็เพราะว่าวันที่ 25-27 กันยายนนี้ศาลอาญา นัดสืบพยานคดี นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ สส.กทม.พรรคประชาชน ในฐานะอดีตแกนนำการ์ดวีโว่ กระทำความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฐานโพสต์ข้อความวิจารณ์ตำรวจ กรณีเข้าสลายกิจกรรมขายกุ้งที่สนามหลวง เมื่อ 31 ธันวาคม ปี 63 พาดพิงการใช้ภาษีของสถาบันพระมหากษัตริย์ แถมยังมีอีกหนึ่งคดี ที่จ่อคอหอยถูกศาลตัดสิน ในวันที่ 11 ตุลาคมนี้ด้วย

และไม่ใช่แค่การแต่งตั้งโตโต้เท่านั้น ที่ทำเอาตกใจกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะล่าสุด เพจวันนี้พรรคส้มโกหกอะไร เช็กลิสต์ข้อมูลแบบลงรายละเอียด ก็พบข้อมูลที่น่าตกใจ โดยทางเพจระบุว่า “ทุกคนคะ ภาคตะวันออก ก็ไม่รอดค่ะ พรรคส้มไม่มีใครดีกว่านี้แล้วหรือคะ โย พงศธร คือคนที่เคยมีข่าวโพสต์ขายเบียร์ คนที่ไม่เสียภาษี และคนที่เคยถูกแจ้งคดีความยักยอก ที่หนูเคยแฉไว้

เท่านั้นยังไม่พอ ทางเพจยังลงข้อมูลเพิ่มเติมอีกคนหนึ่งด้วยว่า “ทุกคนคะ เช็กคนไหน โดนคนนั้น อันนี้หนักสุด เป็น สส.สอบตก แต่เป็นแกนนำม็อบ เลยได้ดูแลภาคกลาง หรือว่า ป้าเจี๊ยบคอนถม สิ้นฤทธิ์แล้วคะ โดยบุคคลดังกล่าวคือ หนุ่ม เจษฎา เอี่ยมปุ่น อดีตผู้สมัคร สส.กาญจนบุรี เขต 3 พรรคก้าวไกล ซึ่งทางเพจยังได้นำภาพของนายเจษฎา ที่เคยเป็นแกนนำม็อบมาโพสต์ด้วย พร้อมแคปชันสั้น ๆ ว่า “สภาพตัวแทนภาคกลาง”

หลังโพสต์นี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์กันสนั่นโซเชียลเลยทีเดียว เช่น
-หมดตัวเล่นละ ติดคุก กับ โดนตัดสิทธิ์ เกือบหมด เหลือแต่ตัวแถม
-อันนี้จัดทัพบริหารพรรค หรือบริหารม็อบ
-สภาพ แต่ละคน
-ก็ดีแล้ว เอาคนพวกนี้มานำ ชาวบ้านจะได้เห็นอะไรชัดๆ
-คุมตัวเองให้ได้ก่อน ค่อยมาคุมคนอื่น
-เหมือนเอาคนไม่สำคัญที่พร้อมตัดทิ้ง ออกมาเป็นระเบิดพลีชีพ ต้องวางแผนทำไรไม่ดีอีกแน่ เพลียใจ
-ระบบอุปถัมภ์ไงครับ ต่างตอบแทน

ขอนแก่น - รับสมัคร 'นายกอบจ.ขอนแก่น' วันแรกคึกคัก 'แชมป์เก่า' ปะทะ 'อดีต สส.พปชร.' 

เปิดรับสมัครชิงเก้าอี้นายก อบจ.ขอนแก่น วันแรก พงษ์ศักดิ์ 'แชมป์เก่าหลายสมัย' จับได้หมายเลข 2 ขณะที่ ประธานสโมสรขอนแก่น ยูไนเต็ด เดินทางมาสมัคร จับได้หมายเลข 1 

เมื่อวานนี้ เวลา 08.30 น. (23 ก.ย.67) ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดขอนแก่นได้รายงาน วันแรกของการเปิดรับสมัคร ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.ขอนแก่น ที่ หอประชุม องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ว่าที่ร้อยเอก พงเจตน์ พรกุณา ปลัด อบจ.ขอนแก่น ในฐานะ ผอ.กกต. อบจ.ขอนแก่น เป็นประธานในการรับสมัคร โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ตลอดจนกองเชียร์ของทั้งสองฝ่าย ร่วมมาให้กำลังใจว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ทั้งสองคน กันอย่างคับคั่ง

ผู้สื่อข่าวรายงาน ด้วยว่า 'ดร.พงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์' อดีตแชมป์เก่า ลงรักษาเก้าอี้ ขณะที่ 'นายวัฒนา ช่างเหลา' อดีต สส.ขอนแก่นลงชิงเก้าอี้ ซึ่งการเปิดรับสมัครชิงเก้าอี้นายก อบจ.ขอนแก่น วันแรกคึกคัก ดร.พงษ์ศักดิ์ แชมป์เก่า นายกอบจ.ขอนแก่น หลายสมัย  จับได้หมายเลข2 ขณะที่ นายวัฒนา ช่างเหลา ประธานสโมสรขอนแก่น ยูไนเต็ด เดินทางมาสมัคร จับได้หมายเลข 1 

สำหรับการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.ขอนแก่น ในครั้งนี้ เกิดขึ้นภายบหลังการตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น (อบจ.ขอนแก่น) ของ 'ดร.พงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์' นายก อบจ.ขอนแก่น เมื่อวันศุกร์ที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ตำแหน่งนายก อบจ.ขอนแก่น เป็นอันว่างลง และ รองนายก อบจ.ขอนแก่น ต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย

การเปิดรับสมัครเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น กรณีแทนตำแหน่งที่ว่าง ระหว่างวันที่ 23 – 27 ก.ย.2567 เริ่มตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. และจะทำการเลือกตั้งนายกฯ อบจ.ขอนแก่น ในวันที่ 3 พ.ย. 2567 ที่จะถึงนี้

ต่อจากนั้นในเวลา 10.00 น.ที่ ห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น นายพันธ์เทพ เสาโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วย นายวัชระ สีสาง ผู้อำนวยการคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดขอนแก่น และว่าที่ร้อยเอก พงเจตน์ พรกุณา ปลัด อบจ.ขอนแก่น ในฐานะ ผอ.กกต. อบจ.ขอนแก่น ดำเนินการประชุมเตรียมการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น แทนตำแหน่งที่ว่างลง หลังจากที่ นายพงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ ลาออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระ 3 เดือน โดยเป็นการประชุมลับห้ามสื่อมวลชนและบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องร่วมรับฟัง

ซึ่งแหล่งข่าว เปิดเผยว่าในปี 2563 ได้มีการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น เนื่องจากครบวาระ ซึ่งมีผู้สมัครจำนวน 10 คน ในครั้งนั้น ดร.พงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ อดีตนายก อบจ.ขอนแก่น  สามารถชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น สมัยที่ 6 โดยได้คะแนนถึง 376,460 คะแนน ทิ้งห่างคู่แข่ง กว่าแสนคะแนน ซึ่งในครั้งนั้น สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(ส. อบจ.) ทั้ง 42 เขต เป็นคนของบ้านใหญ่ และเป็นคนหน้าใหม่เข้ามายึดครอง

ตัวชี้วัด ในการที่จะเป็นผู้ชนะนั่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น นั่นคือ จำนวนเสียงสนับสนุนของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น และมีข้อสงสัย ต่อกรณีที่ นายวัฒนา ช่างเหลา เลขานุการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายทรงศักดิ์ ทองศรี พรรคภูมิใจไทย 

ซึ่งมีบิดาคือ นายเอกราช ช่างเหลา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดขอนแก่น เขต 4 พรรคภูมิใจไทย ซึ่งจะต้องขึ้นฟังคำพิพากษาของศาล ตามรายงานกระบวนพิจารณา ศาลจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่26 มีนาคม 2567 กำหนดให้จำเลยคือนายเอกราช ช่างเหลา นำหลักทรัพย์มูลค่า130 ล้านบาท มาวางประกันหรือนำเงินจำนวน 100 ล้านบาท ชำระค่าเสียหายให้กับสหกรณ์ฯ 

ภายในสิ้นเดือนกรกฎาคม 2567 ปรากฏว่าบุคคลลลดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการ ศาลจังหวัดขอนแก่น นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 7 ตุลาคม เวลา 14.39 น. ที่ได้มาเปลี่ยนสวมเสื้อพรรคเพื่อไทย ในการประกาศตัวครั้งล่าสุด ซึ่งก็สร้างความงุนงง เพราะในเขตที่ 4 จังหวัดขอนแก่น เป็นพื้นที่ของนางมุกดา พงษ์พงศ์สมบัติ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย 

ซึ่งพ่ายแพ้ให้กับนายเอกราช ช่างเหลา ซึ่งสวมเสื้อพรรคภูมิใจไทย เมื่อครั้งเลือกตั้งที่ผ่านมา

‘อัครเดช’ ย้ำ!! ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ไม่แก้ รธน. ปมมาตรฐานจริยธรรม ชี้!! นักการเมือง ควร ‘ซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส ไร้ประวัติด่างพร้อย’

(24 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้เปิดเผยภายหลังการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า…

การประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติในครั้งนี้นำโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยมีรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรคร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง 

สำหรับประเด็นสำคัญที่มีการหารือในการประชุมพรรครวมไทยสร้างชาติในวันนี้ที่สำคัญคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 

ในที่ประชุมได้มีการหารือในประเด็นนี้อย่างกว้างขวาง จนสามารถสรุปเป็นมติของพรรครวมไทยสร้างชาติได้ว่า ‘มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง’ ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญมีความเหมาะสมแล้ว เพื่อให้ได้นักการเมืองที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส ไร้ประวัติด่างพร้อย 

ดังนั้นพรรครวมไทยสร้างชาติจึงมีมติไม่เห็นด้วยกับการแก้ไข ‘มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง’ ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังได้แจ้งต่อที่ประชุมอีกว่าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในส่วนของ ‘มาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง’ นั้นไม่เคยมีการหยิบยกขึ้นมาหารือในระดับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลมาก่อนแต่อย่างใด

'วิปรัฐบาล' เตรียมคุยพรรคร่วมฯ จ่อถอนร่างแก้ รธน.รายมาตรา ยัน!! หากเพื่อนไม่เอาด้วย พร้อมถอย ตามวิถีประชาธิปไตย

(25 ก.ย. 67) นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ว่าวันนี้ (25 ก.ย.) จะหารือกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ต่อการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รายมาตรา ที่ขณะนี้พบว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่สนับสนุนการแก้ไขรายมาตราในประเด็นตัดส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานจริยธรรม 

ทั้งนี้ยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยได้ยื่นร่างแก้ไขดังกล่าวต่อรัฐสภาแล้ว แต่คงหมวดจริยธรรมไว้ ให้มีอยู่เหมือนเดิม ขณะที่ประเด็นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ยังคงมีเช่นเดิม แต่กำหนดกรอบปฏิบัติให้ชัดเจน ไม่ใช่แก้ไขเพื่อเป็นข้อหลีกเลี่ยง อย่างไรก็ดีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยยังอยู่ระหว่างตรวจสอบของรัฐสภา และยังไม่ถูกบรรจุวาระ

“หากเพื่อนไม่เอาด้วย เราต้องไปด้วยกัน ถอยได้ก็ถอย ไม่ใช่เรื่องลำบากใจอะไร เป็นวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตย เพราะพรรคเพื่อไทยแค่เสนอยังไม่บรรจุ จะถอนออกมาก็ได้ หรือบรรจุแล้วคาไว้ก็ได้ ทั้งนี้ผมยอมรับผิด เพราะเป็นความต้องการที่จะเสนอร่างรัฐธรรมนูญประกบกับฝ่ายค้านที่เตรียมเสนอเช่นกัน” นายวิสุทธิ์ กล่าว

เมื่อถามถึงข้อเสนอแก้จริยธรรมมีข้อเสนอจากหัวหน้าพรรคใหญ่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ข้อเท็จจริง พรรคประชาชนมาคุยกับตนก่อน ว่ามีแนวคิดแก้ประมวลจริยธรรมออกทั้งหมด ทำให้ตนไปปรึกษากับสส.ในพรรค ว่าเขาขอมาแบบนี้จะเอาด้วยหรือไม่ โดยสส.ในพรรคมองว่ากระแสสังคมอาจไม่ยอมรับหากตัดทั้งหมด เราจึงเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประกบ และกำหนดว่าไม่ได้ตัดประมวลจริยธรรม และก่อนเสนอได้ถามผู้ใหญ่ในพรรค ว่าทำได้หรือไม่ ซึ่งนายภูมิธรรมม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ฐานะผู้ใหญ่ในพรรค บอกว่ามีหลายพรรคบอกมาว่าควรแก้แบบนั้นแบบนี้ ซึ่งตนถือวิสาสะไปเอง โดยไม่ได้ฟังรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งตนอาจฟังแล้วแปลความหมายผิด ไม่ได้ถามว่าหัวหน้าพรรคคนไหนที่พูดในวันที่เข้าเฝ้าฯ เมื่อได้รับสัญญาณจึงรีบทำ 

นายวิสุทธิ์ กล่าวย้ำว่า ตามขั้นตอนของการเสนอร่างกฎหมาย หากฝ่ายค้านเสนอแล้ว แต่ไม่มีฉบับประกบ จะทำให้มีร่างกฎหมายเฉพาะฝ่ายค้าน บางเรื่องเขาทำมาเป็นเชิงบวกกับเขาจะมัดเราเต็มที่ ดังนั้นการยื่นจึงเป็นการเสนอร่างกฎหมายประกบ โดยยืนยันว่าไม่ตัดประมวลจริยธรรม

เมื่อถามว่าการถอยครั้งนี้ทางการเมืองเสียหายหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า “อย่าคิดว่าเสียหาย หากไม่ถูกต้อง ไม่ถูกใจ ไม่ถูกเวลา ถอยกันได้ ผมยอมรับผิดเพียงผู้เดียวว่าตัดสินใจไวไป ฟังผู้ใหญ่แต่ไม่ได้ฟังรายละเอียดข้อเท็จจริง ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ตัดหมวดจริยธรรมเลย หากจะด่ามาด่าที่ผม ผมรับได้”

'จิรายุ' แนะ!! ส่วนราชการ เร่งทำความเข้าใจกฎหมายสมรสเท่าเทียม เหตุเกี่ยวพัน 'แพ่ง-อาญา' มีผลต่อชีวิตคู่ทั้ง 'สินสมรส-บุตรบุญธรรม'

(25 ก.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ส่งผลให้ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 120 วัน ในวันที่ 22 มกราคม 2568 นั้น

นายจิรายุกล่าวว่า ตามกรอบกฎหมาย 120 วันที่จะบังคับใช้ในวันที่ 22 มกราคม 2568 โดยระหว่างนี้ ให้ส่วนราชการทำความเข้าใจ ประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะรายละเอียดกฎหมายที่ผูกพัน ทั้งอาญา และแพ่ง เพื่อให้ประชาชนจะได้เข้าใจถึงสิทธิ์ต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงสิทธิจัดการทรัพย์สินของคู่สมรส สิทธิรับบุตรบุญธรรม สิทธิการลงนามยินยอมให้รักษาพยาบาลอีกฝ่าย เป็นต้น

“พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมเป็นอีกก้าวของความสำเร็จของรัฐบาลไทย เป็นเครื่องตอกย้ำความพยายามของรัฐบาลที่ดำเนินการด้านความเสมอภาค และความเท่าเทียมกันตลอดมา และเชื่อว่ารัฐบาลจะผลักดันความเท่าเทียมอย่างต่อเนื่องเพื่อประชาชนไทย” นายจิรายุกล่าว

‘อดิศร’ แจงปม ‘เพื่อไทย’ ถอยแก้ไข รธน. ปมมาตรฐานจริยธรรม ชี้!! ต้องรับฟังทุกฝ่าย และประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่ที่ ‘ประชาชน’

(25 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราเกี่ยวข้องกับมาตรฐานจริยธรรมนักการเมือง ว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา ที่ประชุม สส.ของพรรคเพื่อไทยมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรม เพราะทำเพื่อพวกพ้องของตนเอง การแก้ไขจริยธรรมเป็นเรื่องที่เปราะบางอ่อนไหว ตนคิดว่าพรรคเพื่อไทยต้องรับฟังความเห็นของประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล จึงคิดว่าหลังจากนี้พรรคเพื่อไทยจะถอยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มองว่าไม่ได้เป็นมาตรการเร่งด่วน แต่การแก้ไขมรดกบาปจากการรัฐประหารจึงคิดว่าจะต้องแก้ไขทั้งฉบับโดยตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ขึ้นมายกร่างทั้งฉบับ ตอนนี้พรรคเพื่อไทยถอยก่อนเพื่อดำเนินการตามนโยบายเศรษฐกิจที่เร่งด่วน เช่น การแก้ไขเรื่องน้ำท่วม เรื่องปากท้อง และเรื่องยาเสพติดในชุมชน 

“อยากให้เข้าใจว่ารัฐบาลโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยฟังพรรคแกนนำ โดยเรื่องนี้ก็ริเริ่มโดยพรรคแกนนำเอง แต่เมื่อได้รับฟังความเห็นสาธารณะคิดว่าการแก้ไขเรื่องจริยธรรมเป็นเรื่องที่ผลประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่ที่ประชาชน พรรคเพื่อไทยจึงรับฟังความเห็นดังกล่าว” นายอดิศร กล่าว

เมื่อถามว่า เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับจริยธรรมจะถอยเลยหรือชะลอไว้ก่อน นายอดิศร กล่าวว่า "ตอนแรกเราคิดว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะคิดเหมือนกัน แต่เมื่อได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าจะจากพรรคภูมิใจไทยหรือพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็ต้องให้เกียรติกัน"

เมื่อถามว่า ไม่เสียหน้าใช่หรือไม่? นายอดิศร กล่าวว่า "เรื่องรัฐธรรมนูญไม่มีการเสียหน้า"

เมื่อถามว่า สรุปแล้วพรรคเพื่อไทยไม่ใช่เสนอเป็นพรรคแรกใช่หรือไม่? นายอดิศร กล่าวว่า "เราต้องฟังความคิดเห็นทุกพรรค ไม่อยากบอกว่าใครเป็นผู้ริเริ่มเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน มีบางคนบอกว่าเรื่องการตรวจสอบจะไปกลัวทำไม ซึ่งตนเห็นด้วยในส่วนที่หากจะเข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ต้องมีการตรวจสอบ เพราะการเมืองต้องการคนที่ไม่มีภาระ และสิ่งที่ขัดต่อคุณสมบัติ ฉะนั้น จึงควรชะลอเรื่องนี้ไว้ก่อนและรอแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะหลังจากนี้จะต้องมีการทำประชามติ หากแก้ไขเป็นบางมาตราจะเสียเงินงบประมาณมากขึ้นโดยที่ไม่จำเป็น"

เมื่อถามย้ำว่า การแก้ไขรายมาตราเราจะไม่ทำแล้ว รอทำทั้งฉบับเลยใช่หรือไม นายอดิศร กล่าวว่า "ต้องฟังเสียงประชาชน เพราะเรื่องจริยธรรมต้องมีความเห็น 2 ฝ่าย อีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นการลงมติเพียงเสียงข้างมาก 1 คนก็ทำให้เปลี่ยนแปลงได้ แต่จะมีการเปลี่ยนเป็น 2 ใน 3 แต่ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจไปขัดกับความรู้สึกของคนบางกลุ่ม ก็ต้องรับฟัง แม้จะไม่แก้เรื่องจริยธรรมก็สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้" 

เมื่อถามว่า เรื่องจริยธรรมที่บอกว่ามีพรรคร่วมรัฐบาลอื่นเป็นคนริเริ่ม พอจะเปิดเผยได้หรือไม่? นายอดิศร กล่าวว่า "ต้องไปถามนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ก็ไม่เป็นอะไรเรื่องรัฐธรรมนูญก็รอไว้ก่อน ส่วนเรื่องน้ำท่วม ปากท้องประชาชนน่าจะสำคัญกว่า"

'สส.พรรคส้ม' โวย!! ถูกถอนร่างกฎหมายห้ามผู้ปกครองลงโทษบุตร อ้าง!! แปลว่าเห็นคุณค่าลูกหลานมีค่าน้อยกว่า 'วัว-ควาย' หรืออย่างไร?

(25 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานการประชุม มีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. ... ซึ่งมีนายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ในวาระสอง

สำหรับสาระสำคัญของการแก้ไข คือ ยกเลิก (2) ของมาตรา 1567 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน 'ทำโทษบุตรเพื่อสั่งสอนหรือปรับพฤติกรรมโดยต้องไม่กระทำด้วยความรุนแรงต่อร่างกาย จิตใจ ไม่เป็นการเฆี่ยนตี หรือการกระทำโดยมิชอบ อันเป็นการลดทอนคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุตร'

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกร่วมกันอภิปรายในการแก้ไขกฎหมายไม่ตีเด็ก มีความคิดเห็นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย โดยพรรคประชาชนเห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว ส่วนฝ่ายรัฐบาลไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะสส.พรรคเพื่อไทย และสส.ภูมิใจไทย เห็นว่าการบัญญัติโดยใช้ถ้อยคำกำกวมจะยากต่อการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ แต่ที่สำคัญเห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองครูอาจารย์รักลูกและลูกศิษย์ของตนเอง ไม่มีใครต้องการทำโทษรุนแรง การห้ามไม่ให้ตีเด็กถือเป็นการลิดรอนสิทธิ์ในการดูแลบุตรหลาน

นายนิพนธ์ คนขยัน สส.บึงกาฬ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า การทำโทษลูกตนเชื่อมั่นว่าพ่อแม่ทุกคนรักลูก แต่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่มีการตีลูกเลย ถ้าลูกดื้อหรือเกเรก็ตีไม่ได้เลยอย่างนี้ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร และคนต่างจังหวัดที่ต้องมาทำงานในกรุงเทพฯ ลูกอยู่กับปู่ย่าตายาย ไม่มีเงินที่จะเลี้ยงลูกแบบถูกสุขลักษณะ ถ้าพ.ร.บ.ฉบับนี้ออกไปใครจะกล้าตีลูก แม้แต่ครูก็ไม่กล้าตี เก็บไม้เรียวไปได้เลย ซึ่งตนก็เห็นใจแต่ทุกคนเกิดมาไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงอยากให้กรรมาธิการฯ นำกลับไปทบทวนใหม่ แล้วเสนอมาใหม่เพื่อให้พ่อแม่มีทางออก และต้องการให้แยกให้ออกระหว่างการตีด้วยความรักกับการทารุณกรรม

น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า เหตุใดต้องเขียนกฎหมายให้คลุมเครือ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติหาบรรทัดฐาน ใช้ดุลยพินิจเอาเอง อีกทั้งเรามีพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กอยู่แล้ว จึงอยากให้ คณะกมธ.ถอนร่าง แล้วนำกลับไปทำให้ชัดเจนขึ้น

ขณะที่น.ส.พิมพ์กาญจน์ กีรติวิราปกรณ์ สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า การมีหลักประกันจากกฎหมายนี้จะทำให้เด็กเติบโตได้อย่างอุ่นใจ ความรุนแรงมีความหมายในตัว และการส่งต่อความรุนแรงในรูปแบบความรักไม่เป็นประโยชน์ต่อใคร อย่างไรก็ตาม สำนวนที่ว่ารักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี นั่นแปลว่าเราเห็นลูกหลานแย่หรือมีค่าน้อยกว่าวัวกว่าควายหรือไม่ ในเมื่อวัวควายท่านบอกให้ผูก แต่ลูกหลานถึงขั้นตี เหตุใดไม่ปรับพฤติกรรมโดยการพูดคุยอย่างอ่อนโยน ให้เหตุผล ในเมื่อเชื่อว่าผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะ เหตุใดไม่เรียนรู้ที่จะส่งต่อวิธีที่ถูกต้อง หรือวิธีที่ทำให้ลูกหลานรับรู้ว่าเป็นวิธีที่ผู้ใหญ่ห่วงใย

นางศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน กล่าวว่า สภาฯ เคยผ่านกฎหมายป้องกันทารุณกรรมสัตว์แล้ว ทำไมเราถึงตั้งคำถามกับการคุ้มครองมนุษย์ด้วยกัน โดยเฉพาะเด็กที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ฝ่ายที่คัดค้านแล้วบอกว่าใช้คำคลุมเครือนั้น ในฐานะที่ตนเป็นทนายความอยากบอกว่าทำให้กฎหมายชัดเจนละเอียดเท่าใด ไม่เปิดให้ใช้ดุลยพินิจ อันตรายมากกว่า

“สมาชิกหลายคนบอกว่าการตีทำให้พวกท่านได้ดี ทำให้ได้เข้ามายืนในสภา ดิฉันก็อยากยืนยันว่าการที่ทุกคนได้เป็นสส. เป็นผู้เป็นคนได้ เพราะมาจากความรู้ความสามาร อดทน ตั้งใจ ไม่ได้มาจากไม้เรียว ถ้าจะดูถูกตัวเองว่าไม้เรียวทำให้ได้ดี ท่านกำลังดูถูกความรู้ความสามารถความตั้งใจของตัวเองหรือเปล่า” นางศศินันท์ กล่าว

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทางกมธ.แก้ไขข้อความที่สภาฯ รับหลักการมา โดยตัดคำว่าทารุณกรรมออกไป เหลือเพียงคำว่า ไม่เป็นการเฆี่ยนตี สภาฯ แห่งนี้จึงยอมไม่ได้ เพราะต้องการปกป้องสิทธิผู้ปกครอง แนวโน้มร่างกฎหมายฉบับนี้จึงจะถูกคว่ำ จึงอยากให้หาวิธีการดู สำหรับตนขอเสนอให้กมธ.ถอนแล้วไปปรับปรุงตัวบทใหม่ เพื่อความสมดุลระหว่างสิทธิเด็กและสิทธิผู้ปกครอง คำกำกวมอย่างคำว่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สมาชิกหลายคนถามว่าเอาอะไรมาวัด และสิ่งนี้จะทำให้ลงโทษผู้ปกครองได้ ฉะนั้นขอให้ไปปรับมาใหม่

ด้านนายสรรพสิทธิ์ ชี้แจงว่า จากที่ฟังการอภิปรายสรุปได้ว่าสมาชิกอยากได้ไม้เรียวกลับมาให้ครู อีกทั้งต้องการให้พ่อแม่เฆี่ยนตีลูกได้เพื่อว่ากล่าวสั่งสอน หากต้องการให้ทางคณะกมธ.ถอน ตนก็ยังไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร กฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่ห้ามพ่อแม่เฆี่ยนตีลูก เพราะมีกฎหมายอื่นที่ห้ามอยู่แล้ว

ภายหลังพักการประชุม ประธานกมธ.วิสามัญฯ แจ้งว่าทางคณะกมธ.ขอถอนร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวออก ซึ่งที่ประชุมไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น จึงถือว่าอนุญาตให้ถอนร่างกฎหมายได้

‘LINE TODAY’ เปิดโผนักการเมืองยอดนิยมเดือน ก.ย. 67 ‘นายกฯ อิ๊ง’ ผงาดที่ 1 ฟาก ‘รมว.พีระพันธุ์’ ติดโผด้วย

(26 ก.ย. 67) การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองของนักการเมืองประจำเดือนกันยายน ของ Line Today พบว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก้าวกระโดดขึ้นมาครอง อันดับ 1 หลังจากที่ในเดือนสิงหาคมติดอยู่ที่อันดับ 11 คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นมากถึง 4.5 พันคะแนน

ขณะที่ อันดับ 2 ตกลงมาจากอันดับ 1 ได้แก่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งหลังจากถูกยุบพรรค พบว่าคะแนนลดลงมากถึง 16,803 คะแนน หลังจากที่ในเดือนสิงหาคมได้รับคะแนนโหวตสูงถึง 19,794 คะแนน

ส่วนในอันดับที่ 3 คือ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่คะแนนนิยมพุ่งขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสัญญาณบวกหลังได้นั่งเก้าอี้ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจเป็นนิมิตหมายที่ดีของ ‘ประชาธิปัตย์’ ที่จะมีโอกาสกลับมาทวงบัลลังก์ทางการเมือง

สำหรับผลโหวตสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองของนักการเมืองในปัจจุบัน ประจำเดือนกันยายน ซึ่งเปิดโหวตตั้งแต่วันที่ 1-20 กันยายน ที่ผ่านมา โดยผลปรากฏว่า 10 อันดับแรกมีดังนี้…

อันดับ 1 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 4,764 คะแนน คิดเป็น 37.59%
อันดับ 2 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ 2,991 คะแนน คิดเป็น 23.6%

อันดับ 3 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน 1,355 คะแนน คิดเป็น 10.69%
อันดับ 4 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค 681 คะแนน คิดเป็น 5.37%

อันดับ 5 นายชวน หลีกภัย 585 คะแนน คิดเป็น 4.62%
อันดับ 6 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ 428 คะแนน คิดเป็น 3.38%

อันดับ 7 นายทักษิณ ชินวัตร 336 คะแนน คิดเป็น 2.65%
อันดับ 8 น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล 313 คะแนน คิดเป็น 2.47%

อันดับ 9 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร 181 คะแนน คิดเป็น 1.43%
อันดับ 10 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส 131 คะแนน คิดเป็น 1.03%

‘เจือ ราชสีห์’ เผย!! ความคืบหน้ากฎหมายนิรโทษกรรม เสียงคณะกรรมาธิการฯ เกินครึ่ง ไม่นิรโทษพวกล้มเจ้า

(26 ก.ย. 67) จากส่วนหนึ่งของรายการ ‘ตรงปก ตรงประเด็น กับ...สำราญ รอดเพชร’ เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 67 ซึ่งได้มีการพูดคุยกับ ‘นายเจือ ราชสีห์’ หนึ่งในคณะกรรมวิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ในสัดส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ และที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน / อดีต สส.สงขลาหลายสมัย ในประเด็น ‘ต้องไม่นิรโทษกรรม ม.112’ ได้สร้างความกระจ่างชัดเบื้องต้นในห้วงเวลานี้ว่า ความผิดใดที่เข้าเงื่อนไขนิรโทษกรรมและความผิดใดไม่ควรนิรโทษกรรม โดยมีเนื้อหา ดังนี้...

เจือ กล่าวว่า หากสรุปสาระสำคัญของผลการศึกษาอันจะนำไปสู่การออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่ใช้เวลากันอย่างเข้มข้นในช่วงประมาณ 3 เดือนกว่า ๆ โดยมีเอกสารมากถึง 299 หน้า แล้วมีผนวกอีกสองเล่มใหญ่ พอจะผลสรุปว่าแบบไหนถึงเข้าข่ายการนิรโทษ และแบบไหนไม่เข้าข่ายการนิรโทษ...

โดย เจือ เล่าย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมไทยเกิดความแตกแยกทางความคิดทางการเมืองเยอะมาก จนนำไปสู่เหตุปะทะที่มีความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคม และก็มีหลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งเหตุการณ์ช่วงพันธมิตรก็ดี เหตุการณ์ นปช.ก็ดี เหตุการณ์นักศึกษาออกมาเรียกร้องชุมนุมก็ดี รวมถึงกลุ่มเยาวชนสามนิ้วนั้น ก็นำมาสู่แนวคิดที่จะหาทางพาสังคมไทยไปสู่ความปรองดองร่วมกันแบบยั่งยืน

ดังนั้นแนวคิดในเรื่องของ ‘กฎหมายนิรโทษกรรม’ จึงถูกผุดขึ้นภายหลังช่วงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และเรื่องนี้กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องก็ได้มีการยื่นหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกับแนวคิดนี้มาที่ ‘พรรครวมสร้างชาติ’ ซึ่ง สส.ของพรรครวมทั้งชาติต่างก็ได้รับฟังและมองว่า เราคงต้องหันหน้ามาพูดคุยกันในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยทางรวมไทยสร้างชาติได้เสนอเรื่องนี้เป็นกฎหมาย ที่เรียกว่า ‘พรบ.สันติสุข’ ขึ้นมาในนามของพรรคเข้าไปด้วย

“ย้อนไปเมื่อต้นปี (2567) เริ่มมีการพูดคุยกันว่า เราจะเริ่มต้นยังไงดี? เราจะเอาเหตุการณ์ไหนบ้าง? กี่เหตุการณ์? ความผิดไหนเราจะนิรโทษ? หรือความผิดไหนเราไม่นิรโทษ? มาพูดคุยกันในวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแน่นอนว่าคำถามเหล่านี้แม้จะค่อนข้างตรงประเด็นชัดเจน แต่เวลาตอบเราจะตอบให้มันละเอียดขนาดนั้นทันทีคงไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องร่วม 20 ปี ซึ่งมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นเยอะมาก”

นายเจือ ได้เผยต่ออีกด้วยว่า “ก่อนหน้าที่จะมีญัตติให้ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริง ทางพรรครวมไทยสร้างชาติได้ยื่นรายละเอียดเป็นร่างกฎหมายเข้าสภาฯ ไปแล้ว (พรบ.สันติสุข) พร้อมด้วยร่างของพรรคครูไทยเพื่อประชาชน และของพรรคประชาชน ซึ่งเท่ากับมีอยู่ 3 ร่างคาสภาอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้นทางรัฐบาล จึงมีความประสงค์ให้ตั้งกรรมาธิการขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็เลยมีคณะกรรมการศึกษาขึ้นมาคณะหนึ่ง เรียกว่า ‘คณะกรรมการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พรบ.นิรโทษกรรม’ ซึ่งมีผมร่วมอยู่ด้วย”

เจือ เล่าต่อว่า คณะฯ ดังกล่าว ได้เริ่มต้นให้มีการกำหนดขอบเขตเรื่องที่จะพิจารณา ไว้ดังนี้…

1. กำหนดกรอบเวลา ว่าจะกำหนดเหตุการณ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2548 มาถึงปัจจุบัน
2. กำหนดกรอบการนิรโทษกรรม ว่าจะให้มีอะไรบ้าง

จากนั้นกำหนดกรอบ ก็เริ่มมีการไล่ลำดับเหตุการณ์ โดยมีการเชิญกลุ่มต่าง ๆ (พันธมิตร / นปช. / กปปส. / นักศึกษา / เยาวชนสามนิ้วที่เคลื่อนไหวในห้วงเวลานั้น) มาให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการดังกล่าว 

เมื่อได้ข้อมูลแล้ว ก็มาลงลึกไปอีกว่า ถ้าจะนิรโทษ จะนิรโทษความผิดอะไร โดยยึดโยงเหตุการณ์ที่อิงข้อมูลหลักฐานจากหน่วยงาน 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ตำรวจ, อัยการ และ ศาล ถึงจะมาสรุปเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรมว่าควรคลุมในฐานความผิดอะไรบ้าง

“อันที่จริงแล้ว ผมอยากเรียนกับทุกท่านแบบนี้ว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมา ผู้กระทำความผิดหลายส่วน ต่างก็โดนบทลงโทษกันไปเกือบหมดแล้ว ประเมินก็เรียกว่าลงโทษกันไปเกินครึ่งแล้ว ทั้งพันธมิตร, นปช. และ กปปส. เพียงแต่ยังเหลือกรณีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะได้อานิสงส์ผลพวงจากกฎหมายนิรโทษฉบับนี้” เจือ เสริมและกล่าวต่อว่า...

“ทีนี้ ถ้าจะมามองกันในแง่ของฐานความผิด จะครอบคลุมอย่างไร และเราจะหาผู้กระทำความผิดได้ด้วยเงื่อนไขไหน ซึ่งตรงนี้เราได้ข้อมูลมาเยอะมาก โดยมีทั้งฐานความผิดหลัก, ฐานความผิดรอง หรือคดีที่มีความอ่อนไหว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมาแยกให้ออก ว่าแบบใดถึงจะเข้าข่ายกฎหมายนิรโทษกรรมได้ ซึ่งเบื้องต้นต้องเป็นผู้ที่กระทำความผิดที่เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง ถ้าเกิดจากการกระทำโดยความแค้นส่วนตัว ก็ไม่เกี่ยว คิดจะโกงบ้านกินเมืองไม่เกี่ยว หรือก่อกบฏ ประทุษร้ายต่อประเทศ ก็ไม่เกี่ยว เป็นต้น…

“พูดง่าย ๆ ก็คือ กฎหมายนิรโทษกรรมจะครอบคลุมและเกี่ยวเนื่องต่อแรงจูงใจทางการเมืองเป็นหลัก ต้องเป็นการกระทำที่มีพื้นฐานมาจากความคิดที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง หรือต้องการบรรลุเป้าหมายทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้ง หรือเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง นิยามหลักอยู่ตรงนี้”

>> กรอบเวลา และ กรอบการนิรโทษ
เจือ เผยว่า ในส่วนของเรื่องห้วงเวลา ช่วงเวลานิรโทษจะครอบคลุมตั้งแต่ 1 ม.ค. 2548 ต่อทั้ง คดีหลัก คดีรอง และ คดีอ่อนไหว โดย ‘คดีหลัก’ จะหมายถึง ความผิดฐานก่อกบฏ ก่อการร้าย ต่อมา ‘คดีรอง’ เช่น การปะทะกับเจ้าหน้าที่ การทำผิดกฎหมายจราจร เป็นต้น ซึ่ง คดีหลัก-คดีรอง ฟันธงให้ นิรโทษกรรม ได้

แต่ที่สำคัญ คือ ‘คดีอ่อนไหว’ ซึ่งเป็นคดีที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง อันเกี่ยวเนื่องกับมาตรา 110 (ประทุษร้ายพระราชินี, รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) กับ มาตรา 112 (หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ พระราชินีฯ) ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งช่วงระยะหลังคนไทยจะคุ้นเคยดีกับ มาตรา 112 

>> ‘คดีอ่อนไหว-หมิ่นเจ้าฯ’ ไม่เข้าข่ายนิรโทษกรรม 
ทั้งนี้ในส่วนของ ‘คดีอ่อนไหว’ เจือ เผยว่า มีการพูดคุยกันอยู่ 3 แนวทาง ได้แก่…

1.ไม่นิรโทษกรรมให้เลย 
2. นิรโทษทั้งหมด
3. นิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไข

“ในวงคณะกรรมาธิการที่มีการพูดคุยในเรื่องของคดีอ่อนไหว จะพบว่า ทางคนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ 3 คน ซึ่งรวมผมด้วย และมติโดยรวมเกิน 55-60% เห็นว่า ‘ไม่ควรนิรโทษกรรม’ ให้ ส่วน 30% ก็คือต้องการนิรโทษ และเสียงที่เหลืออยากให้นิรโทษแบบมีเงื่อนไข แต่อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาที่มีอยู่ในมือตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถฟันธงได้ทันที ว่าจะให้นิรโทษกรรมหรือไม่? อย่างไร? ซึ่งแม้เสียงในวงประชุมจะมีมากกว่า 55% ที่เห็นว่าไม่ควรนิรโทษกรรมกับคดีอ่อนไหวนี้ แต่ก็ยังไม่นับเป็นเอกฉันท์ ฉะนั้นจึงต้องมีการไปให้ความเห็นจากแต่ละคนในเชิงของรายงานต่อที่ประชุมสภาต่อไป ในวันที่ 3 ตุลาคม ต่อไป”

>> ‘รวมไทยสร้างชาติ’ จุดยืนชัดเจน!!
แน่นอนว่า ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ มีความชัดเจนอย่างมาก ที่ไม่เห็นด้วยในการนิรโทษกรรมประเด็นอ่อนไหวทางการเมือง เพราะอะไร? โดย เจือ ย้ำหนักแน่นว่า “ก็เพราะเราได้มีการนิยามคำว่าการนิรโทษกรรมไว้ชัดเจนแล้ว คือ ต้องเป็นคดีที่มีแรงจูงใจทางการเมือง แต่ในส่วนของการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขการนิรโทษกรรม หากแต่ผู้ที่ต้องการรับพระราชอภัยโทษ ต้องไปรับโทษเสียก่อนเท่านั้น นี่คือหลักของกฎหมาย ไม่ใช่เราไม่เห็นด้วยอย่างไม่มีเหตุผล กรอบนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง นี่คือความชัดเจน”

เจือ ทิ้งท้ายอีกด้วยว่า ผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการฯ ที่มีการทำงานร่วมกันนั้น ก็ยังมีบางเรื่องที่ไม่ได้ถูกนำมาเสนอไว้ในสาธารณะ นั่นก็คือเรื่องของ ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ และ ‘กฎหมายอาญาร้ายแรง-ฆ่าคนตาย’ ซึ่งทางพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีการระบุแนบเสริมไว้ โดยมองว่าพฤติกรรมนี้ไม่ควรได้รับการนิรโทษกรรม ซึ่งกระแสเสียงในวงประชุมของคณะกรรมาธิการฯ ก็เป็นไปในทางเห็นด้วยค่อนข้างมากเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ประเด็นเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมนี้ ก็ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องมีการพูดคุยกันอย่างรอบคอบก่อนออกมาเป็นกฎหมายเพื่อบังคับใช้ต่อไป ซึ่งความคืบหน้าในการกำหนดกรอบการนิรโทษหรือไม่นิรโทษยังไงนั้น คงทำได้แค่รอดูผลจากการประชุมสภาวันที่ 3 ตุลาคมที่จะถึงนี้อีกรอบ...

'มท.4' ชี้!! รัฐเร่งช่วย 'ชาวแม่สาย' พร้อมเยียวยาเงินน้ำท่วมพรุ่งนี้ เหน็บ!! 'ปชน.' เอาแต่แซะคนทำงาน-ไล่สอยกระแสโซเชียล

(26 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่ 1 เป็นประธานการประชุม นายฐากูร ยะแสง สส.เชียงราย พรรคประชาชน (ปชน.) ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจา ถามนายกรัฐมนตรี เรื่องมาตรการเยียวยาและความช่วยเหลือจากรัฐบาล อันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยและดินโคลนถล่มภาคเหนือ

นายฐากูร กล่าวว่า อยากทราบว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือประชาชนภาคเหนือที่ประสบอุทกภัยอย่างไร จะช่วยเหลือผู้ประสบภัยร้ายสุดท้ายเสร็จสิ้นเมื่อใด และเห็นว่ารัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนในมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ รวมถึงมาตรการฟื้นฟูการท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง จึงของฝากเป็นการบ้านให้รัฐบาลดูแลด้วย

น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย (มท.4) ชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรี ว่า ขณะนี้รัฐบาลมีงบประมาณ 3 ก้อนใหญ่ ๆ ในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย ประกอบด้วย

1.งบประมาณ 3,045 ล้านบาท ครอบคลุม 57 จังหวัดพื้นที่ประสบภัย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง เบื้องต้นจะได้ที่ประมาณ 5,000-9,000 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งทางรัฐบาลทราบดีว่าไม่เพียงพอ แต่เราจำเป็นต้องดูแลทุกคนอย่างทั่วถึง ฉะนั้นเบื้องต้นจะได้แบบปูพรม 5,000 บาทในสัปดาห์นี้ 

หลังจากนั้นมีแนวโน้มเราจะสามารถของดเว้นให้เป็นอัตรา 9,000 บาทในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้า สำหรับขั้นตอนการรับเงินจะเริ่มจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประจำจังหวัดประเมินแล้วส่งมายังส่วนกลาง จากนั้นจะอนุมัติเงินจากกรมบัญชีกลางไปยังธนาคารออมสิน ขอให้ลืมกรอบการเยียวยาตามระเบียบราชการกำหนดว่าจะได้รับภายใน 90 วันไป เพราะในวันพรุ่งนี้ (27 ก.ย.) ประชาชนจะได้รับเงินเยียวยากลุ่มแรกคือ อ.แม่สาย จ.เชียงราย

2.กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย หากบ้านเสียหายทั้งหลังช่วยเหลือ 230,000 บาทต่อหลัง กรณีเสียชีวิต 50,000 บาท

3.เงินทดรองราชการที่ทุกจังหวัดมีอยู่ 20 ล้านบาท สามารถใช้จ่ายได้ทันที ทั้งนี้ รัฐบาลยังได้อนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมแก่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย อีกจังหวัดละ 100 ล้านบาท เพื่อเบิกจ่ายนำไปใช้ซ่อมแซมบ้านเรือนและเหตุฉุกเฉิน และมีแนวโน้มจะเพิ่มเติมให้ที่จังหวัดพะเยา จังหวัดลำปาง จังหวัดสุโขทัยที่มีความเสี่ยงเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้มอบเงินให้แก่กลุ่มเปราะบางด้วย

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวต่อว่าสำหรับการช่วยเหลือเกษตรกร เยียวยาข้าวไร่ละ 1,340 บาทนั้นเป็นเกณฑ์ปัจจุบัน แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการระหว่างกรมบัญชีกลางกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปรับเป็นไร่ละ 2,200 บาท เป็นต้น จึงอยากฝากไปยังเกษตรกรช่วยปรับปรุงบัญชีการประกอบการด้วย เพื่อความรวดเร็วในการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป

“เรามีมาตรการที่ครบและรอบด้านทั้งเรื่องฟื้นฟูสถานที่พื้นเศรษฐกิจ กระตุ้นหมุนเวียนเศรษฐกิจ เช่น การปล่อยเงินดิจิทัลวอลเล็ต และการจ่ายเงินของเราเป็นการจ่ายเงินแบบทั่วประเทศ เราเองไม่สามารถทำงานแบบพูด พูด พูด แต่ไม่ได้ทำ เราลงมือทำในพื้นที่จริง ๆ ถ้าพูดอย่างเดียวแล้วไม่ทำสถานการณ์คงไม่กลับมาได้โดยเร็ว ดิฉันอยากเห็นประชาชนมีกำลังใจที่ดี อยากเห็นข้าราชการทำงานโดยไม่มีแรงกดดันจากโซเชียล ทำงานหนักมากแต่โซเชียลไม่ได้เอาไปออกให้คนอื่นเห็นเลย แต่ขณะที่บางคนไม่ได้ทำอะไรเยอะ แต่โซเชียลเยอะทั่วประเทศไปหมด อันนี้เป็นการบั่นทอนจิตใจของผู้ทำงานหน้างานจริง ๆ จึงอยากให้ท่านปรับแนวความคิดเสียใหม่ ว่าขณะนี้ทุก ๆ หน่วยงานลงไปในพื้นที่จริง ๆ” รมช.มหาดไทย กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top