Thursday, 24 April 2025
Politics

‘ธนกร’ สะกิดรัฐสภา คิดถี่ถ้วนก่อน แก้ รธน. ด้าน ‘จริยธรรม’ ชี้!! ‘ปัญหาเศรษฐกิจ-ปากท้อง’ เร่งด่วน-ต้องรีบทำมากกว่า

(20 ก.ย. 67) ที่จังหวัดราชบุรี นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ในฐานะกรรมาธิการและที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ ได้เดินทางมาเป็นประธานเปิดการสัมมนาและปาฐกถาเรื่อง ‘บทบาทหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมาธิการ กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน’ โดยมีนางสาววริษฐา สงวนเสริมศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี และนส.กุลวลี นพอมรบดี สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติให้การต้อนรับ

นายธนกร กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนและตระหนักถึงปัญหาของประชาชนในพื้นที่ จึงได้มาเผยแพร่ความรู้ สร้างความเข้าใจในเรื่องบทบาทหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร บทบาทของคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งมีทั้งการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และการสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล รวมทั้งการเปิดเวทีอันเป็นช่องทางที่ประชาชนได้สะท้อนปัญหา เสนอข้อร้องเรียนต่าง ๆ ผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้แทนของประชาชนในพื้นที่ได้ 

ทั้งนี้ นายธนกร ยังกล่าวว่า กรณีที่พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนกำลังเตรียมเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เรื่องมาตรฐานจริยธรรมและความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ของสส. และรัฐมนตรี ซึ่งฝ่ายค้านโดยพรรคประชาชนก็เห็นพ้องด้วยนั้น ส่วนตัวมองว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงและผ่านการทำประชามติของประชาชน หากจะเป็นการแก้รายมาตรา ก็ควรแก้ในส่วนที่จำเป็นเร่งด่วน หรือแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชนก่อนจะดีกว่า โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 160(4) (5) มีเจตนารมณ์สำคัญในการป้องกันบุคคลที่ปราศจากคุณธรรม จริยธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต เข้ามามีอำนาจในการบริหารบ้านเมือง หากมีการแก้ไขตรงนี้หรือทำให้เบาลงอาจจะเป็นการเปิดช่องให้บุคคลที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตโดยแท้เข้ามามีอำนาจได้ 

“กรอบของคำว่าจริยธรรมในรัฐธรรมนูญ ถือเป็นด่านพิสูจน์เพื่อใช้กลั่นกรองบุคคลที่จะก้าวเข้าสู่อำนาจว่าเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมหรือไม่ เป็นการตรวจคัดกรองอย่างเข้มข้น เพราะหากแต่งตั้งให้คนที่มีความประพฤติผิดทางจริยธรรมเข้ามาบริหารบ้านเมือง อาจจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติและประชาชนได้ ตนจึงเห็นด้วยที่ควรยึดและยกมาตรฐานตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปราบโกงให้สูงเข้าไว้ก่อน ผมเชื่อว่า ท่านสส.ท่านรัฐมนตรีทุกคน ต่างก็หวังดีและตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองอยู่แล้ว ประชาชนต้องการ ผู้บริหารประเทศที่มีมาตรฐาน คุณธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต เข้ามาปกครองบ้านเมือง จึงขอฝากรัฐสภาให้มีการคิดทบทวนในประเด็นนี้ให้รอบคอบ เพราะถ้ารัฐสภา ทั้งสส.และสว.ร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องจริยธรรมดังกล่าว อาจถูกสังคมและประชาชนมองว่าเป็นการแก้เพื่อตัวเอง แก้เพื่อนักการเมืองเสียเอง และหากถูกยื่นร้องให้ตรวจสอบอาจส่อไปในทางที่ขัดต่อกฎหมายได้ จึงควรคิดพิจารณาให้รอบคอบ” นายธนกร ระบุ

'วิสุทธิ์' ลั่นรับไม่ได้ สุราก้าวหน้าฉบับ สส.เท่าพิภพ เสรีจัดถึงขั้นให้ต้มเหล้าดื่มเอง แจกจ่ายในหมู่บ้านได้

เมื่อวานนี้ (19 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีสรรพสามิต ที่เริ่มพิจารณาเมื่อวันที่ 18 ก.ย. และจะลงมติสัปดาห์หน้า แนวทางโหวตในสัปดาห์หน้าจะมีการคว่ำร่างหรือไม่ ว่า...

"ประเด็นที่เกิดขึ้น ตนต้องเรียนกับประชาชนว่า เรื่องสุราก้าวหน้า ภาษีสรรพสามิต ต้องอาศัยข้อเท็จจริง ซึ่งในการพิจารณามีอยู่ 3 ร่าง ได้แก่ร่างของพรรคเพื่อไทย, ร่างของพรรคประชาชน และร่างของพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เมื่อไปดูหลักการการเสนอร่างของพรรคประชาชนนั้นระบุว่าถ้าไม่ขาย ก็สามารถต้มดื่มกันเองได้ แจกจ่ายกันเองในหมู่บ้านทั่วไปได้ เราจึงมองว่าหลักการเช่นนี้จะทำให้เราลำบาก หากมีการเสนอเข้าไปแล้วจะขัดกับหลักการกับที่เราตั้งไว้ ซึ่งสุราทุกอย่างจะต้องมีการควบคุม อาจจะลดขนาดเงื่อนไขในการตั้ง เพื่อให้วิสาหกิจชุมชนขนาดเล็กสามารถสร้างได้ ตั้งได้ ผลิตได้ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในการควบคุมของกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเสรีเลย จึงมีปัญหาเกิดขึ้นเมื่อวาน"

นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า “ภายหลังได้มีการเจรจากับพรรคประชาชน ทางพรรคประชาชนมาขอว่า อยากให้ห้อยรวมร่างของเขาไปด้วย ฉะนั้น พวกเราจึงถอยกลับมาว่าเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่มาขอเพื่อไทย แล้วจะให้ผมบอกว่าได้หรือไม่ได้เลย แต่ในเมื่อหลักการของคุณขัดกับหลักการ ก็จะลำบากอยู่ ฉะนั้น เราต้องดูพรรคอื่นด้วยว่าคิดอย่างไรในเรื่องนี้”

นายวิสุทธิ์ กล่าวต่อว่า "นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร สส.กทม. พรรคประชาชน หากจะพูดอะไรควรพูดในสภา จะได้มีบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ฉะนั้น เรายืนยันในหลักการของเรา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการตรากฎหมาย ไม่ใช่ไปแก้หลักการที่ยังไม่เคยมี"

“คุณจะพูดในสภาฯ ได้หรือไม่ว่า คุณไม่ติดใจประเด็นอย่างนี้ เราก็จะมาพิจารณาว่าทำได้หรือไม่ แต่ทั้งหมดเราต้องปรึกษากับพรรคร่วมรัฐบาลก่อน” นายวิสุทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าจะถูกกล่าวหาว่าตั้งธงคว่ำร่างหรือไม่? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "เราไม่ได้คิดตั้งธงถ้าหากคุณเขียนหลักการว่าให้ขออนุญาตเฉพาะคนที่ทำเป็นร้านค้าหรือจำหน่าย แต่ประชาชนทั่วไปสามารถต้มเหล้ากินได้หมด อย่างนี้รับไม่ได้"

“ประชาชนเสี่ยงตายมากี่คน ใครรับผิดชอบได้บ้าง แล้วยังป่วยอีกหลายสิบคน ถ้าทำไปแล้วไม่มีใครควบคุม ใครอยากต้มก็ต้ม ใครอยากแจกก็แจก นี่มันไม่ใช่ประเทศไทยแล้ว คงเมากันทั้งประเทศ ที่เรารับไม่ได้คือประเด็นนี้ ไม่ใช่จะไปคว่ำร่างของก้าวไกล (ประชาชน) แต่เขาเอง ถึงแม้ไม่ได้นำร่างเข้ามาก็เป็นกรรมาธิการร่วมกันได้อยู่ ยังทำงานร่วมกันได้ จะไปออกข่าวว่าเราคว่ำอะไร ต้องดูข้อเท็จจริงก่อน” นายวิสุทธิ์ กล่าว

นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ต้องดูข้อเท็จจริง เพื่อไม่ให้เสียหายมาถึงพรรคเพื่อไทย ว่าพรรคเพื่อไทยไม่สนับสนุน แต่เราสนับสนุนให้รายย่อยมีโอกาส ลดเงื่อนไขลงมา แต่ไม่ใช่ว่าไม่ต้องขออนุญาตเลย ไม่ได้ขายต้มแจกได้หมด ไม่เช่นนั้น เมาทั้งตำบล ทั้งอำเภอ พร้อมย้ำว่าเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับองค์ประชุม

นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "ภายหลังจากการประชุม พวกเรามานั่งปรึกษาหารือคุยกัน ฝ่ายค้านรัฐบาลไม่ได้มีอะไร แค่ความแตกต่างทางความคิด เป็นความสวยงามของประชาธิปไตย เขามาปรึกษาว่าห้อยไปด้วยได้หรือไม่"

เมื่อซักเพิ่มว่าเบื้องต้นพรรคประชาชนยอมหรือไม่? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "ให้เขามาตอบวันพุธก็ยังมีเวลา ไม่ได้ไปคว่ำร่างใคร คนที่ติดตามเรื่องนี้ก็ขอให้เข้าใจถูกต้อง"

เมื่อถามว่านายเท่าพิภพ ใช้คำพูดว่าเราต่อเรือมาแล้ว เหมือนเป็นการปล้น? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า "กฎหมาย ไม่มีใครปล้นใคร ทุกพรรคหวังดีต่อพี่น้องประชาชน เราก็อยากให้ SMEs เกิดขึ้นในประเทศไทย หรือธุรกิจอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ได้ปล้นใคร ถ้าไปพูดแบบนั้นก็มีปัญหา”

เมื่อถามว่าจะทำให้วิปรัฐบาลและฝ่ายค้านคุยกันยากขึ้นหรือไม่? นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า “ไม่ยาก เจอที่ไหนก็คุยกันได้ รุ่นใหม่รุ่นเก่าก็ทำงานร่วมกันได้ ดูตามหลักการที่ถูกต้องการ และไม่ต้องไปโจมตีกัน การใช้วาทกรรมทางการเมืองจะทำให้งานไม่เดินหน้า ปล้นเปลิ้นอะไรไม่มี”

ขณะที่ นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สส.เลย พรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขาธิการวิปรัฐบาล กล่าวว่า ตนในฐานะผู้เสนอให้มีการลงมติแยกทีละฉบับ ซึ่งในหลักการร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 3 ร่างนั้น การผลักดันให้ประชาชนให้เข้าถึงและขอใบอนุญาตได้ ทั้ง 3 ร่างเห็นตรงกัน แต่ติดปัญหาเดียวคือพรรคประชาชนเขียนหลักการว่าผู้ที่ทำเพื่อการค้าเท่านั้นที่ต้องขออนุญาต ซึ่งเราก็ปรึกษาว่ามีทางไหนที่ทำให้สามารถนำเข้าไปพิจารณาพร้อมกันได้หรือไม่โดยที่ความขัดแย้งหลักการ กระบวนการไม่เป็นปัญหา ซึ่งปกติแล้วในหลักการไม่สามารถแก้ได้ จึงเป็นปัญหา โดยหลักของกฎหมายแล้วเมื่อเสนอมาแล้วไม่ควรแก้หลักการ จึงยังไม่มีข้อสรุปว่าเมื่อพิจารณารวมทั้ง 3 ร่างแล้วจะขัดกันหรือไม่

‘สุวัจน์’ เชื่อ!! เศรษฐกิจกระเตื้อง หลังรัฐบาลกระตุ้น อัดฉีดเม็ดเงินมหาศาล 3 ล้านล้าน ‘แจกเงินหมื่น-กองทุนวายุภักษ์-งบประมาณ 68’ เหมือนแม่น้ำ 3 สายทำให้เกิดการจ้างงาน

(21 ก.ย.67) ที่สำนักงานพรรคชาติพัฒนา อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคชาติพัฒนา และแกนนำของพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ว่าวันนี้รัฐบาลได้ดำเนินการหลายๆ อย่างที่กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้อาทิ กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบาง หรือกลุ่มคนพิการ 140,000 ล้าน หรือในส่วนที่เกี่ยวกับตลาดทุนในตลาดหลักทรัพย์กับการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 150,000 ล้าน จะทำให้เกิดความเคลื่อนไหวการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่มากขึ้นและทำให้มีเสถียรภาพมากขึ้น หรืองบประมาณปี 2568 ตอนนี้ผ่านรัฐสภาไปแล้ว 3 ล้านล้าน เหมือนกับแม่น้ำ 3 สาย ที่จะนำเม็ดเงินมหาศาลเข้าไปสู่พี่น้องประชาชนเข้าไปสู่การจ้างงาน เข้าไปสู่ภาคธุรกิจ ฉะนั้น 3 ส่วนนี้จะเป็นช่วงที่ทำให้เกิดการกระเตื้องขึ้นของภาวะเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 

นอกจากนี้ มีข่าวดีที่ทางธนาคารกลางสหรัฐ หรือ (เฟด) ประกาศลดดอกเบี้ย 0.5% ถือว่าเป็นข่าวใหญ่ทั่วโลกและเป็นสัญญาณบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ เพราะที่ผ่านมาหลังโควิดเกิดปัญหาหนี้สินกันเยอะและเกิดปัญหาเงินเฟ้อ ฉะนั้นเพื่อเป็นการควบคุมของโลกก็เลยขึ้นอัตราดอกเบี้ยมา 4 ปีไม่เคยลด ฉะนั้น การลดจะทำให้ต้นทุนทางการเงินของคนทำธุรกิจถูกลง และเป็นการกระตุ้นการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจของโลกให้กลับมาฟื้นตัว ให้กลับมาเข้มแข็ง ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี และเศรษฐกิจไทยก็ไปผูกกับเศรษฐกิจโลกจะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นตามไปด้วย

ฉะนั้น จากนี้ไปคงจะเห็นความเคลื่อนไหวของตลาดทุน ตลาดเงินต่างๆ การลงทุนต่างๆ ประเทศไทยก็จะได้อานิสงส์ และจะเป็นขวัญกำลังใจให้ผู้ประกอบการต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องการท่องเที่ยวจะดีขึ้น เพราะการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวได้ผลรวดเร็ว เพราะการท่องเที่ยวไปทุกหมู่บ้าน ไปทุกอาชีพ สร้างความเสมอภาคด้วยเรื่องอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะได้ผลที่เร็วมาก หรือการที่เร่งจะมีนโยบายไทยเที่ยวไทย ส่งเสริมให้คนไทยเที่ยวเมืองไทย เป็นการรักษาการไหลออกของเงินไปต่างประเทศ และแสดงออกถึงความรักชาติ ความชาตินิยม ไทยนิยม วันนี้ต้องเอาความไทยนิยม ชาตินิยม มาช่วยเศรษฐกิจของประเทศ

ส่วนเสียงสะท้านเกรงว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาลระยะยาวจะถังแตกหรือไม่นั้น นายสุวัจน์ กล่าวว่าเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น มีการลงทุนมากขึ้น มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น มีการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสม ขยายฐานภาษีต่าง ๆ ที่เหมาะสมมันก็จะเป็นรายได้ของประเทศ 

เราต้องพยายามที่จะคิดหานโยบายใหม่ ๆ สมมุติ นโยบายเร่งด่วนของประเทศ 10 เรื่อง มีอยู่ข้อหนึ่งที่ดีมากคือ นโยบายในการที่จะนำภาษีจากระบบธุรกิจที่อยู่นอกระบบภาษี คือ พวกที่อยู่ใต้ดินต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งส่วนนี้มีอีกมากมายที่เราไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ อันนี้จะเป็นรายได้ใหม่ให้กับประเทศ

ส่วนประเด็นทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี หรือบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น นายสุวัจน์ เชื่อว่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่แต่ละคนมีคงจะเป็นประโยชน์ในการนำเสนอในเชิงนโยบายต่าง ๆให้กับรัฐบาลให้กับนายกรัฐมนตรี

นายสุวัจน์ กล่าวว่าสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอีกเรื่อง คือ เรื่องน้ำท่วม เรื่องน้ำแล้ง อุทกภัย แผ่นดินถล่มและความถี่ของการเกิดก็บ่อยขึ้น พื้นที่หลากหลาย เช่น ที่ จ.ภูเก็ต , จ.เชียงราย, จ.หนองคาย สถานการณ์จากภาคใต้สู่ภาคเหนือไปสู่ภาคอีสาน ตนคิดว่าสัญญาณต่าง ๆ เหล่านี้มีความถี่มากขึ้น มีความเสียหายทั้งชีวิตผู้คน ทรัพย์สินและความเสียหายทางเศรษฐกิจนับหมื่นนับแสนล้าน 

ฉะนั้น ตนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรที่จะมีมาตรการหรือมีโครงการใหญ่ๆ เป็นแผนแม่บทในการวางโครงสร้างพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง อุทกภัยหรือวาตภัยต่าง ๆ ที่จะเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศและลดความสูญเสีย จุดแข็งของประเทศไทย คือ เกษตร และเกษตรต้องการน้ำ เกษตรต้องน้ำไม่ท่วมและน้ำไม่แล้ง ฉะนั้น ถ้ารัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องนี้และมีแผนแม่บทจัดทำเป็นวาระแห่งชาติ ในการป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง อุทกภัย วาตภัยต่าง ๆ ว่าจะบริหารจัดการน้ำอย่างไร จะมีการสร้างระบบระบายน้ำไปถึงมือเกษตรอย่างไร ระบบขนส่งน้ำหรือเขื่อน อ่างเก็บน้ำที่จะสามารถรับน้ำไว้ป้องกันปัญหาน้ำแล้ง หรือการระบายน้ำต่าง ๆ ไปตามแม่น้ำ ลำคลอง เขื่อนต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วม

เรื่องนี้ยังไม่ได้มีการทำอย่างจริงจัง ถ้ารัฐบาลได้หยิบยกเรื่องนี้มาทำมันจะเป็นการสร้างความยั่งยืนในการแก้ไขปัญหาและยั่งยืนในการพัฒนาประเทศ ตอนนี้เป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าพอเกิดขึ้นก็ไปช่วยกันแจกสิ่งของ ไปช่วยกันให้กำลังใจ แต่ถ้าจะถาวรตนคิดว่ารัฐบาลจะต้องทำเรื่องนี้

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคชาติพัฒนา พร้อมให้กำลังใจ นายกฯ แพทองธารฯ ในการบริหารประเทศให้สำเร็จ อย่างไร

นายสุวัจน์ กล่าวว่าตนให้กำลังใจท่านนายกรัฐมนตรี เพราะว่า

1.ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีสุภาพสตรี

2.ท่านอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ 

เราพูดกันมานานว่า อยากเห็นคนรุ่นใหม่เล่นการเมือง อยากเห็นนักการเมืองรุ่นใหม่ อยากเห็นผู้นำทางการเมืองรุ่นใหม่ ฉะนั้น ท่านนายกฯ แพทองธารฯ ถือว่าเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ไม่เคยอยู่ในวงการการเมืองมาก่อน และเข้าสู่การเมือง เป็นคนรุ่นใหม่มาจากภาคธุรกิจ อายุน้อยมากเพียง 38 ปี 

ฉะนั้น ตนถือว่าท่านนายกฯ แพทองธารฯ เป็นตัวแทน เป็นภาพลักษณ์ของนักการเมืองรุ่นใหม่ที่จะมาทำงานแก้ไขปัญหาให้กับประเทศ

อยากให้ท่านประสบความสำเร็จ เพราะถ้าท่านนายกฯ แพทองธารฯ ประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาหรือในการทำงานมันก็จะเป็นโอกาสที่เราจะได้เห็นภาพการเมืองใหม่ ๆ เห็นนักการเมืองรุ่นใหม่ เห็นคนใหม่ ๆ เข้าสู่ระบบการเมือง นี่คือ สิ่งที่จะเปลี่ยนฉากทัศน์ของการเมืองไทยว่าเราต้องการคนรุ่นใหม่ นักการเมืองเลือดใหม่

ฉะนั้น ตนก็เป็นกำลังใจให้ท่านนายกรัฐมนตรี อยากให้ท่านได้ทุ่มเทการทำงานและประสบความสำเร็จในการทำงานในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ 

แต่วันนี้ต้องยอมรับว่าถานการณ์ต่าง ๆ หนักหนาสาหัส โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจก็คงจะต้องมีความร่วมมือช่วยกันทำงานกันอย่างเต็มที่

และในการที่ท่านขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ก็มีการปรับโครงสร้างรัฐบาล มีการจัดทัพพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลใหม่นำไปสู่เสถียรภาพของการเมืองที่เพิ่มขึ้นจาก 310 เสียง เป็น 320 กว่าเสียง ฉะนั้น ด้วยหลักสนับสนุนของพรรคการเมืองรวมกันแล้วกว่า 10 พรรคกับเสียงของรัฐบาลที่มีมากขึ้นอย่างน้อยก็เป็นกำลังใจให้กับรัฐบาลได้ว่าเสถียรภาพในรัฐบาลไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วงเสียงในสภา ไม่ต้องห่วงองค์ประชุม ขอให้รัฐบาลมุ่งมั่นตั้งใจทำงานให้เต็มที่ โดยเฉพาะในนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อเป็นเรื่องที่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ ฉะนั้น ทั้ง 10 ข้อต้องผลักดันให้ได้โดยใช้เสถียรภาพทางการเมือง ตนว่าพี่น้องประชาชนก็จะพึงพอใจ

ตอบข้อถามถึงปัญหานักร้องต่าง ๆ จะทำให้รัฐบาลสั่นคลอนหรือไม่ 

นายสุวัจน์ กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นไปตามกติกา ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใช้กติกา เพียงแต่ว่ารัฐบาลจะต้องระมัดระวังให้มาก เหมือนกับมีคนตรวจสอบในเรื่องของการตรวจสอบที่มีมากขึ้น นักร้องก็เป็นหนึ่งในกระบวนการของการตรวจสอบ ฉะนั้น ในการทำทุกอย่างต้องมีความระมัดระวังกัน แต่ตนเชื่อว่าเรามีเสถียรภาพที่เข้มแข็ง มีนโยบายที่ดีที่เหมาะสม มีความร่วมมือกันเพื่อให้การปฏิบัตินำไปสู่ความสำเร็จในเป้าหมายร่วมกัน 

ส่วนรัฐบาลนี้ครบเทอมแน่นั้น นายสุวัจน์ฯกล่าวว่า รถออกจากบ้านไม่มีใครรู้หรอกจะมีอุบัติเหตุหรือเปล่า แต่ตามฟอร์มรถดี สภาพดี นายสุวัจน์ฯกล่าวทิ้งท้าย

‘โบว์ ณัฏฐา’ โพสต์เฟซเตือน ‘นักการเมือง’ อย่าเสียเวลาเล่น X ชี้!! ทำให้เสียสมาธิ กังวลยอดไลก์ สุดท้ายก็ย้อนมาทิ่มแทงตัวเอง

(21 ก.ย.67) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่า เคยบอกนักการเมืองหลายครั้ง อย่าไปใช้เวลาใน X มาก คนบ้ามันเยอะ ไม่จำเป็นไม่ต้องไปเล่น ถึงเวลาคุณจะเสียสมาธิ แล้วต้องไปนั่งขอโทษกับเรื่องที่ไม่ใช่ความผิดเพราะทนโดนถ่อยใส่ไม่ไหว แถมไม่กล้าพอจะยืนยันความคิดตัวเองเพราะกลัวเสียยอดไลก์จากฝูงซอมบี้ ถึงเวลาก็ต้องโพสต์ปั่น ๆ เรียกความนิยมแต่ทำลายวัฒนธรรมการสื่อสารซึ่งสุดท้ายก็ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเอง น่าจะได้บทเรียนกันหลายรายแล้วแต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน

‘ธนกร’ ลั่น!! ไม่รวม ‘ม.112’ ในร่างนิรโทษกรรม ย้ำ!! จะทำละเมิดสถาบันไม่ได้ ชี้!! เป็นความมั่นคงของประเทศ แต่หากสภาฯ พิจารณาขัด รธน. ก็ต้องมีผู้รับผิดชอบ

(22 ก.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร เตรียมเสนอรายงานต่อที่ประชุมสภาฯ ในวันที่ 26 ก.ย.นี้ ซึ่งให้สภาร่วมกันพิจารณาในความเห็นต่างเรื่องคดีมาตรา 112 จะรวมอยู่ในการนิรโทษกรรมหรือไม่ ซึ่งทราบว่าในคณะกมธ.เองไม่สามารถหาข้อสรุป จึงให้สมาชิก กมธ.แต่ละคน บันทึกความเห็นไว้ในรายงานแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1.ไม่รวม มาตรา112 เพราะไม่ใช่แรงจูงใจทางการเมือง 2.รวม อย่างมีเงื่อนไข และ3.รวมโดยไม่มีเงื่อนไข   โดยส่วนตัว ได้ยืนยันมาตลอด ว่าไม่เห็นด้วยและคัดค้านถึงที่สุด ไม่สมควรรวมคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้ได้รับการนิรโทษกรรม เพราะไม่ใช่แรงจูงใจทางการเมือง เพราะรัฐธรรมนูญระบุชัดเจน ในมาตรา 6 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐ เป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระนามพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ มิได้  และสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่เกี่ยวข้องการเมือง  หากจะนิรโทษกรรมให้ก็เสี่ยงที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ 

ทั้งนี้ จากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 ก็ชี้ชัดแล้วว่า มีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครอง ซึ่งเป็นการ รณรงค์หาเสียง รวมถึงการยื่นแก้ไขมาตรา 112  ซึ่งเมื่อมองเทียบเคียงกับ ผู้ที่กระทำความผิดตามมาตราดังกล่าว ยิ่งมีน้ำหนักรุนแรงกว่าพรรคก้าวไกลเสียด้วยซ้ำ  ดังนั้นในการประชุมสภาเรื่องนี้ ตนจะขอใช้เอกสิทธิ์สส. เลือกข้อ1. ไม่รวมมาตรา 112  ซึ่งเห็นด้วยที่จะมีการนิรโทษกรรมคดีการเมืองที่ไม่มีความรุนแรงหรือถึงแก่ชีวิต รวมทั้งไม่รวมคดีทุจริตคอรัปชั่นด้วย แต่ควรจะมีเงื่อนไขในการพิจารณาการนิรโทษกรรมอย่างละเอียดรอบคอบ  เชื่อว่าสภาเองก็ต้องมีการพิจารณาอย่างรัดกุม ไม่ทำให้เกิดการขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญเสียเอง

“ยกคดียุบพรรคก้าวไกลมาเทียบ ก็ทำให้เห็นได้ชัดเจน ว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยอย่างละเอียดว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง หากจะนิรโทษกรรมให้ผู้มีความผิดตามมาตรา 112 สภาต้องคิดให้ดีและรอบคอบ ส่วนตัวขอคัดค้านและไม่เห็นด้วยที่จะรวมมาตรานี้ให้ได้รับนิรโทษกรรม เพราะไม่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจทางการเมือง แต่หากที่ประชุมสภาในวันที่ 26ก.ย.มีการพิจารณาออกมาอย่างไร หากขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ควรจะต้องมีผู้รับผิดชอบ” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

'อ.อุ๋ย-ปชป.' เตือน!! นักการเมืองแก้ รธน. ปมจริยธรรม มีความผิดประมวลกฎหมายอาญา โทษจำคุกถึง 10 ปี

เมื่อวานนี้ (22 ก.ย. 67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญปมจริยธรรมนักการเมือง ว่า...

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 บัญญัติว่า ‘ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท’ ซึ่งมาตรา 4 แห่ง พรป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง พ.ศ. 2561 กำหนดให้ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ว่าจะเป็น สส. รัฐมนตรี หรือ สว. ถือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ โดยเฉพาะ สส. มีหน้าที่ในการเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย ใช้อำนาจนิติบัญญัติออกกฎหมายเพื่อบริหารและแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชน ตามที่กำหนดไว้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ดังนั้น การที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองบางส่วน มีดำริที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องจริยธรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดระดับมาตรฐานทางจริยธรรมลง ทำให้ตนเองและพวกพ้องถูกดำเนินคดีทางจริยธรรมได้ยากขึ้น จึงถือว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของตนในการแก้ไขกฎหมาย ทำการแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง เป็นการกระทำอันเป็นผลประโยชน์ขัดกัน (Conflict of Interest) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 ต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี และปรับสูงสุดถึงสองแสนบาท 

นอกจากนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องจริยธรรม เพื่อลดมาตรฐานจริยธรรมลง ยังส่งผลให้ประชาชนสูญเสียโอกาสที่จะได้มีนักการเมืองที่มีจริยธรรมมาเป็นตัวแทนของตน ทำให้ประชาชนเสียหาย จึงเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามมาตรา 157 อีกสถานหนึ่ง ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี หรือปรับสูงสุดถึงสองแสนบาท 

ยิ่งไปกว่านั้น ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ยังกำหนดให้สมาชิกต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสิ่งสูงสุด และห้ามกระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม การที่นักการเมืองจะทำการแก้ไขกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องจึงถือว่าละเมิดจริยธรรมข้อนี้เช่นกัน 

ผมจึงอยากเตือนนักการเมืองทั้งหลาย ว่าคิดให้ดีว่าประชาชนเลือกท่านมาทำอะไรกันแน่ ด้วยความปรารถนาดี  

'พรรคส้ม' ถาม "ควรส่งผู้สมัครชิงเก้าอี้นายกอบจ.หรือไม่?" เสียงแตก!! โอกาสชนะน้อยมาก VS ควรทำให้เต็มที่ดีที่สุด

(24 ก.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในโลกโซเชียลกำลังมีประเด็นร้อนแรง และเป็นที่จับตาของกลุ่มการเมืองท้องถิ่นหลายฝ่าย หลังในเพจเฟซบุ๊กของพรรคประชาชนสุโขทัย ได้มีการโพสต์ข้อความเชิญชวนชาวจังหวัดสุโขทัย ร่วมแสดงความคิดเห็น ว่าพรรคประชาชนควรส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย ในนามพรรคประชาชนหรือไม่ พร้อมเหตุผลประกอบ

ทำให้มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่ก็สนับสนุนให้พรรคประชาชนส่งตัวแทนลงสมัครชิงชัย โดยให้เหตุผลว่า ควรทำให้เต็มที่ดีที่สุด ชนะหรือไม่ไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่เริ่มก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ถ้าส่งลงเลือกแน่นอน แต่ถ้าไม่ส่งก็ไม่รู้จะเลือกใคร เบื่อการเมืองแบบเดิม และบ้างก็ว่าอยากให้ช่วยกันรณรงค์ให้คนที่ทำงานต่างจังหวัดกลับมาเลือกตั้ง คะแนนเสียงในกลุ่มวัยทำงานมีอยู่มาก

ขณะที่บางความเห็นบอกว่า ถ้าจะส่งลงสนามนี้ คิดว่าโอกาสชนะน้อยมาก ถ้าจะให้มีลุ้นก็ต้องจับมือกับกลุ่มการเมืองอีกฝ่าย และบางคนก็ว่าไม่น่าส่งลงแข่ง เพราะชุดที่ผ่านมาทำไว้ดีมาก ทั้งถนนลาดยาง ไฟฟ้า ตอนนี้สว่างทั่วทุกตำบล มีผลงานเป็นที่ประจักษ์

อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชนจังหวัดสุโขทัย ระบุว่า ได้เสนอต่อกรรมการบริหารพรรคประชาชนเป็นกรณีเร่งด่วน เพื่อให้พิจารณาส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ.สุโขทัย และยืนยันมีความพร้อมในทุกด้าน รวมทั้งได้ร่างนโยบาย 3 เสาหลัก ประกอบด้วย ด้านบริหารจัดการน้ำ น้ำสะอาด ภัยแล้ง น้ำท่วม, ด้านสวัสดิการ จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน และด้านเศรษฐกิจ เพื่อปากท้องประชาชน ซึ่งจะแก้ปัญหาให้ตรงกับความต้องการ และมีแกนนำอาสาสมัครที่ครอบคลุมทั้ง 9 อำเภอ เพื่อแนะนำนโยบายต่อประชาชน

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ก่อนหน้านี้ทางพรรคประชาชนจังหวัดสุโขทัย ยังได้มีประกาศเรื่องการแอบอ้างเป็นว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.สุโขทัย ในนามพรรคประชาชน จึงแจ้งเตือนอย่าได้หลงเชื่อ เพราะทางพรรคยังไม่ได้มีการประกาศรับรองแต่อย่างใด ทำให้เป็นที่จับตาและน่าสนใจว่า ในที่สุดแล้วใครจะเป็นตัวจริงที่จะลงชิงเก้าอี้นายก อบจ.สุโขทัย ในนามพรรคประชาชนครั้งนี้

เหลือเชื่อ!! 'คนไทย' ประสบอุทกภัย-ร่ำไห้บนความยากแค้น แต่ผู้แทนฯ ของกลุ่ม 14 ล้านคน ร้องตะโกนให้ช่วยดูแลคนพม่า

คนเราถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด ที่เหลือนอกจากจะไม่มีทางถูก ก็อาจจะยิ่งผิดลงลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต่างจากนักการเมืองบางพรรคที่เข้ามาเพื่ออหวัง 'ล้มล้างการปกครอง' และ 'ทำลายสถาบันเบื้องสูง' เป็นเป้าหลัก ก็ย่อมจะเดินหน้าทำทุกวิถีทางที่จะกัดเซาะ เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของสถาบัน ก็จะง่ายสำหรับประเทศฝั่งตะวันตกที่ตนเอง 'แอบสมคบคิด' เข้าแทรกแซง 

หลาย ๆ วิธีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะปลุกปั่นเด็กไร้สมอง ให้ออกหน้ากระทำผิดมาตรา 112 เพื่อตนเอง จนต้องติดคุกกันระนาว 

แผนล้มสถาบันแบบใด ถ้าไม่ได้ผล ก็จะสุมหัวกันหาวิธีอื่น โดยไม่สนว่าความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทยจะลำบากยากแค้นแค่ไหน ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจกำลังตกต่ำสุดขีด ก็ยังมีอุทกภัยทำให้ประชาชนคนไทยต้องไร้ที่อยู่อาศัยจำนวนมาก แต่คนพรรคนี้ก็ยังออกอาวุธ 'กระทบสถาบัน' อย่างไม่ลดละ พยายามด้อยค่าแม้แต่ 'ความเอื้ออาทร' ที่สถาบันและเหล่าทหารมีให้กับประชาชนคนไทย ไม่เคยมีความคิดที่สร้างสรรค์ที่หวังให้สังคมไทยดีขึ้นแม้แต่น้อย 

นอกจากยอมเป็น 'เด็กเช็ดรองเท้า' ให้กับตะวันตก ก็ยังแอบดีลกับคนพม่าที่มี 'หัวใจสามกีบ' ให้เดินเกมปลุกระดมช่วยเหลือความคิดเลว ๆ ของตนเอง เราจึงได้เห็นภาพแรงงานพม่าก่อม็อบ ชูป้ายที่มีข้อความว่าให้ 'ยกเลิก 112' ถือเป็นอีกหนึ่งการ 'สมคบคิด' ระหว่างแรงงานพม่าที่มาอาศัยแผ่นดินไทยทำมาหากิน กับพรรคการเมืองไทยที่สร้างแต่เรื่องน่ารังเกียจได้ไม่เว้นวัน 

ต่อให้ไม่มีอุทกภัย หรือเศรษฐกิจเลวร้ายเช่นขณะนี้ คนไทยจำนวนมากก็ยังไม่เข้าที่ ยังคงปากกัดตีนถีบ เป็นหนี้เป็นสิน ไร้งานทำ หน้าที่ของนักการเมืองไทยแม้แค่อยู่เฉย ๆ ไม่คิด ไม่ช่วยหาทางออกก็ดูแย่มากแล้ว แต่นี่กลับออกตัวพูดดัง ๆ ว่า 'ต้องช่วยคนพม่า' ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 

ตั้งแต่มีพรรคการเมืองพรรคนี้มากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ยังมองไม่เห็นแนวความคิดที่จะทำให้สังคมไทยดีขึ้นได้แบบยั่งยืนเลย นอกจากไร้ความสามารถ หัวจิตหัวใจยังไร้ความปรารถนาดีต่อเพื่อนคนไทยด้วยกัน 

เลว เนรคุณคนไทย สมองกลวงโบ๋ เบาปัญญา ไม่รู้จะใช้คำไหนเรียกแทนคนเหล่านี้ดี 

หรือคงต้องใช้ทั้งหมดรวมกัน 

'สว.พันธุ์ใหม่' ยัน!! ไม่ได้บูลลี่ 'สว.ขายหมู' นั่ง กมธ.พัฒนาการเมืองฯ แค่แนะ!! ควรได้คนตรงความรู้-ความสามารถ และควรไปอยู่ในกมธ.อื่น

(24 ก.ย.67) ที่รัฐสภา น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว.พันธุ์ใหม่ กล่าวถึงที่มีชื่ออยู่ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การศึกษา การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา ว่า ชื่ออยู่ในกมธ.นั้น มีผู้สมัคร 18 คนพอดีจึงไม่การโหวตออก แต่สำหรับกมธ.พัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา มีผู้สมัครเกินจึงมีการโหวตออก

เมื่อถามว่าในกมธ.การอุดมศึกษาฯ จะเสนอตัวเองเป็นประธานหรือไม่? น.ส.นันทนา กล่าวว่า "คงเสนอตามสิทธิ์ เพราะเราถือว่ามีความรู้ความสามารถตรง และมีประสบการณ์ตรงในเรื่องการศึกษา โดยส่วนตัวคิดว่าเรื่องการศึกษากำลังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ ถ้าไม่มีการปฏิรูปการศึกษาประเทศไทยจะไม่สามารถแข่งขันกับประชาคมโลกได้ ฉะนั้น เรื่องปฏิรูปการศึกษาจึงเป็นพันธกิจสำคัญที่คิดว่าจะผลักดันให้ได้ในช่วงดำรงตำแหน่ง"

เมื่อถามถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 23 ก.ย.67 น.ส.นันทนา มีการระบุว่า ได้คนขายหมูได้เป็น กมธ.พัฒนาการเมืองฯ คนมองว่าเป็นการบูลลี่และด้อยค่า? น.ส.นันทนา กล่าวว่า "เมื่อวานที่ให้สัมภาษณ์ไปจะอธิบายชัดเจนว่า กมธ.ต่าง ๆ ที่บรรจุอยู่ อย่างแรกควรจะเลือกสรรตามคุณลักษณะกลุ่มวิชาชีพที่แต่ละคนเข้ามา ซึ่งสว.แตกต่างจากฝั่งสส.เพราะมาจากกลุ่มอาชีพ 20 กลุ่ม ฉะนั้นควรพิจารณาตามกลุ่มอาชีพที่เข้ามา นอกจากนี้เมื่อวานมีการระบุว่ากลุ่มพัฒนาการเมือง คนที่ควรจะเข้ามาอยู่ในกมธ.ชุดนี้ ควรจะมีประสบการณ์ในเรื่องการทำงานด้านการเมือง สิทธิมนุษยชน และการสื่อสารทางการเมือง ซึ่งคนที่มีคุณลักษณะที่แตกต่างเราไม่ได้ด้อยค่า แต่เขาควรไปอยู่ในกมธ.อื่น ที่สอดคล้องกับวิชาชีพ จึงไม่อยากให้ตีความไปว่า การที่บอกว่าทำไมกมธ.พัฒนาการเมืองฯ ที่ตนมีประสบการณ์ถูกโดนโหวตออก แต่คนที่ไม่มีประสบการณ์ตรงคือเข้ามาสายอาชีพอื่น กลับได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เป็นการบูลลี่ ถ้าฟังทั้งหมดจะทราบว่าสิ่งที่อธิบายคือกมธ.ทุกคนควรจะได้รับการบรรจุเข้าไปในสายอาชีพที่ตัวเองเป็นสว.ในกลุ่มนั้น"

น.ส.นันทนา กล่าวย้ำว่า "ถ้าผิดฝาผิดตัวตั้งแต่ต้น โอกาสที่จะผลักดันวาระจนประสบความสำเร็จก็จะเป็นไปได้น้อยหรือแทบไม่มีเลย เราจึงเรียกร้องว่า การเอาสว. เข้ากมธ.แบบตรงคุณสมบัติจะเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด"

เมื่อถามว่าจำเป็นต้องขอโทษสังคมที่พูดแรงไปหรือไม่? น.ส.นันทนา กล่าวว่า "ถ้าฟังการสัมภาษณ์ทั้งหมดจะเข้าใจบริบท ตนยกตัวอย่างเพื่อที่จะบอกว่า การจัดสรรแบบนี้ไม่เป็นธรรม ตนไม่ได้มีเจตนาบูลลี่ รวมถึงด้อยค่าใด ๆ นี่คือตัวอย่างของบุคลากรที่เข้ามาไม่ตรงความรู้ความสามารถ"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ น.ส.นันทนา ให้สัมภาษณ์อยู่ ปรากฏว่า นางแดง กองมา สว.ที่ถูกพาดพิงว่าเป็นแม่ค้าขายหมู ที่ได้เป็นกรรมาธิการ เดินผ่านมาพอดี โดยเข้าไปลงชื่อเข้าประชุมหน้า กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ ซึ่งสื่อมวลชนได้เข้าไปทักทายและขอสัมภาษณ์ แต่นางแดงไม่ตอบกลับ ได้แต่ออกอาการยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนเข้าห้องประชุมไปทันที

'อนุทิน' ยัน!! จุดยืนพรรคไม่แก้ 'รธน.' ปมมาตรฐานจริยธรรม ลั่น!! ตรวจสอบไม่ได้ ก็ 'เล่นการเมือง-เป็นรัฐมนตรี' ไม่ได้

(24 ก.ย. 67) ที่ทำเนียบนายอนุทิน​ ชาญ​วี​รกูล​ รองนายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีท่าทีของพรรคภูมิใจไทยในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ​รายมาตรา​ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขมาตรฐานจริยธรรม​ หลังจากที่นายภราดร​ ​ปริศนา​นันทกุล​ รองสภาผู้แทนราษฎร​คนที่​ 2 ออกมาแถลงไม่เห็นด้วย ว่า​ คนการเมืองเป็นคนสาธารณะ​ ถ้าไม่อยากให้ตรวจสอบก็เล่นการเมืองไม่ได้ การเข้ามาการเมืองไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐมนตรี แค่เป็นที่ปรึกษา เป็นเลขานุการ หรือรับตำแหน่งใด ๆ ทางการเมือง กรรมการรัฐวิสาหกิจ ก็ต้องแจ้งทรัพย์สินแล้ว นั่นคือบทแรกของการตรวจสอบ

“ผมคิดว่าคนที่มาทำงานสาธารณรับใช้บ้านเมือง ใช้อำนาจรัฐในการบริหารราชการแผ่นดิน​ ก็ต้องรับการตรวจสอบ เป็นการเช็ก and Balance ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัวการตรวจสอบ นักร้องมีอยู่ทั่วไป เขาก็ร้องได้ ในสิ่งที่เราทำผิดถ้าเราไม่ได้ทำผิด พิสูจน์อย่างไรก็ไม่ผิด เขาก็มีความเสี่ยงที่จะถูกดำเนินคดี หรือถูกฟ้องร้อง ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเองมากกว่า”

ส่วนจะเป็นจุดยืนของพรรคหรือไม่นายอนุทินกล่าวว่า มันไม่ใช่จุดยืน แต่มันเป็นวิถีชีวิต​ (Day of Life)​ เช่น “ถ้าไม่อยากตรวจสอบก็ให้ทำธุรกิจอยู่ที่บ้าน เสียภาษีตามที่จะต้องเสีย ก็ไม่มีใครสามารถมาบอกให้แสดงทรัพย์​สินบริษัทได้ยกเว้นทำผิด”

ซึ่งนายภราดร ก็แถลงในนามพรรค ก็แถลงไปแล้วก่อนไปรับตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งก็เห็นแล้วว่า ยังไม่ได้ทันทำอะไรก็มีคนจ้องจะร้องแล้ว ผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่​ ถ้าผิดให้ไปดูโทษ​ เรื่องการตัดสิทธิ์​ ต้องมีคนไปยืนยันตรงนี้ก่อน

“ผมคิดว่ารัฐบาล ไม่รู้นะ​ ผมมั่นใจไปคุยกับนายกฯแพทองธาร​ ชินวัตร ท่านก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องเหล่านี้​ ท่านบอกว่าถ้าทำดีซะอย่างจะไปกลัวอะไร​ ทำในสิ่งที่ถูกต้องก็พร้อมที่จะถูกตรวจสอบ เช่นขณะนี้เข้ามาทำงานไม่ถึง 2 สัปดาห์ก็เห็นปัญหาต่างๆ เยอะแยะมากมาย มีเรื่องอะไรเยอะแยะที่รัฐบาลจะต้องทำ ที่ทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชน เพราะอะไรที่ทำแล้วเป็นการเอื้อตัวเอง เพื่อพวกพ้องมันผิดตั้งแต่ นับหนึ่งแล้ว”

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลในการหารือ ถึงแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วหรือไม่ กล่าวว่า​ ยังไม่ได้รับการนัดหมาย​ พร้อมยืนยันว่าการแถลงของนายภราดร ถือเป็นการแถลงของพรรค ก่อนจะย้อนถามสื่อมวลชนว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเบอร์ 1​ หรือไม่​ เรื่องเบอร์ 1 คือเรื่องเชียงราย เชียงใหม่ หนองคาย ลำปางและจังหวัดอื่น  ๆ ในพื้นที่ภาคเหนือที่ถูกน้ำท่วม ตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดมากกว่า

เมื่อถามต่อว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรมประชาชนมองว่าเป็นการเอื้อเพื่อนักการเมือง นายอนุทินกล่าวว่า อย่าให้ไปถึงจุดนั้นสิ การแก้ไขรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้อยู่แล้ว ทำเพื่อประเทศและประชาชน มันเขียนว่าอย่างชัดเจนอยู่แล้ว

ถามถึงจุดยืนในเรื่องของเรื่องการผลักดันพ.ร.บ.นิรโทษกรรม​ ในเรื่องมาตรา​ 112 นายอนุทิน กล่าว​ พูดมาตั้งนานแล้วไม่เห็นด้วย ไม่อยากพูดซ้ำๆ​


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top