Friday, 20 June 2025
Politics

สมาคมคลองไทยฯ บุกสภา พบ 'ครูมานิตย์' จี้!! ผลักดันโครงการ 'คลองไทย' เจ้าตัวลั่น!! ไม่ทิ้ง แต่ต้องรอจังหวะเหมาะสม เวลานี้ 'แลนด์บริดจ์' สำคัญ

เมื่อวานนี้ (3 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา สมาชิกสมาคมคลองไทยภาคประชาชน นำโดย น.ส.เสาวณี ทองทรัพย์ นายกสมาคม ดร.สุเมต สุวรรณพรหม กรรมการสมาคม และสมาชิกระดับนำอีกหลายคน เดินทางไปยังรัฐสภา เพื่อยื่นหนังสือถึง 'ครูมานิตย์ สังข์พุ่ม' สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการการคมนาคม เพื่อขอให้ดำเนินการสานต่อนำโครงการคลองไทยมาศึกษาในเชิงลึก เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน โดยครูมานิตย์ได้ลงมารับหนังสือในระหว่างการประชุมสภาพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐสภา ตามมาตรา 152 (ไม่มีการลงมติ)

ครูมานิตย์ กล่าวว่า "ยินดีรับหนังสือไว้พิจารณา และนำเสนอต่อไป แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าเวลานี้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี กำลังผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์ระนอง-ชุมพร อยู่ การที่ผมในฐานะ สส.พรรครัฐบาล ก็ต้องให้การสนับสนุนรัฐบาล แต่โครงการคลองไทย ก็ต้องรอจังหวะที่เหมาะสม แล้วผมจะช่วยผลักดันแน่นอน"

ทั้งนี้ ในสภาชุดที่ผ่านมาได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมาศึกษาแล้ว แต่ด้วยกลเกมทางการเมือง ทำให้รายงานผลการศึกษาตกไปอย่างน่าเสียดาย แต่สมาคมคลองไทยภาคประชาชนก็ไม่ลดละ ไม่ย่อท้อ ยังเดินหน้าผลักดันโครงการคลองไทยต่อไป ทั้งถวายกฎีา และส่งหนังสือถึงหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการล่ารายชื่อประชาชน เพื่อนำเสนอร่างพระราชบัญญัติบริหารกิจการคลองไทยเข้าสู่การพิจารณาของสภา

ขณะที่ สภาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เคยมีหนังสือตอบกลับมายังสมาคมคลองไทยภาคประชาชน ความตอนหนึ่งว่า...สภาพัฒน์ฯ เคยร่วมกับศูนย์บริการวิชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยศึกษาความเป็นไปได้ในการเชื่อมโยงเส้นทางขนส่งทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามันของไทยพบว่า การเชื่อมโยงการขนส่งสองฝั่งทะเล ต้องใช้งบประมาณในการลงทุนสูงมาก มีผลกระทบทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้การประเมินความเหมาะสมทางด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ ไม่คุ้มค่าการลงทุน ทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งจะได้รับผลกระทบ จนไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับคืนมาได้ไม่ว่าด้วยเทคโนโลยีใด ๆ ทั้งยังกระทบต่อความเป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงโยกย้ายถิ่นฐาน

ดังนั้น สภาพัฒน์ จึงเสนอให้รัฐบาลทบทวนและต่อยอดแผนปฏิบัติการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้อย่างยั่งยืน (SEC) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เป็นศูนย์กระจายสินค้าของภูมิภาค เป็นต้น

กมธ.อุตฯ ถกเครียด!! ปมลักลอบขนกากพิษร้ายแรงหมื่นตันกองมหาชัย  จี้!! ผู้ว่าฯ ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ เพราะเป็นสารพิษอันตรายก่อมะเร็ง

เมื่อวันที่ 3 มี.ค.67 ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า ทาง กมธ.ได้พิจารณาสอบข้อเท็จจริงกรณีมีการร้องเรียนว่า มีบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดตาก ได้ขายกากแร่สังกะสีและกากแร่แคดเมียมที่ฝังกลบในจังหวัดตาก ขายให้กับบริษัทหนึ่งตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง เนื่องจากกากแร่ดังกล่าวเป็นสารก่อมะเร็ง กมธ.จึงได้เชิญหลายหน่วยงานมาชี้แจง

นายอัครเดช กล่าวว่า ทางกมธ.ได้เชิญอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รองอธิบดีกรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ตัวแทนอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ตัวแทนอธิบดีกรมอนามัย และผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) มาให้ข้อมูลทราบว่า ทางอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครได้อายัดกากแร่ดังกล่าวไว้แล้วเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา กรมอนามัยให้ข้อมูลว่ากากแร่ปนเปื้อนแคดเมียมเป็นสารก่อมะเร็งในกรณีได้สัมผัส สูดดมหรือปนเปื้อนไหลไปยังแหล่งน้ำ ถ้าประชาชนดื่มกินจะเป็นอันตราย รวมถึงสัตว์น้ำในบริเวณดังกล่าวด้วย การลักลอบขนย้ายกากแร่มีพิษอันตรายร้ายแรงดังกล่าวมีการละเมิดกฎหมายหลายข้อ

นายอัครเดช กล่าวว่า ทางผู้บังคับการ ปทส.ให้ข้อมูล กมธ.ว่า ในจังหวัดตากยังพบการกระทำความผิดตามกฎหมายอยู่ โดยล่าสุดยังมีการใช้เครื่องจักรกลหนักเข้าไปทำงานบริเวณหลุมเก็บกากแร่อันตราย ขณะที่ทางตัวแทนผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครรายงานว่า จะกลับไปพิจารณาประกาศให้พื้นที่กองเก็บกากเเร่มีพิษอันตรายในจังหวัดสมุทรสาครเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติ เพราะมีข้อมูลถูกนำไปเก็บไว้ในโรงงานแห่งหนึ่งกว่า 10,000 ตัน ใส่ในถุงบิ๊กแบ็กกว่า 1 พันกว่าถุง เป็นการกองเก็บอย่างผิดกฎหมาย ผิดหลักเกณฑ์การจัดเก็บวัตถุอันตราย

ทั้งนี้ การเก็บสารอันตรายต้องเก็บในบ่อคอนกรีตปกคลุมด้วยผ้าใบอย่างดีและเทคอนกรีตหนา 50 ซม. และใน EIA ระบุชัดต้องไม่มีการขนย้ายจากบ่อ แต่ปรากฏว่ามีการขนย้ายออกมาที่จังหวัดสมุทรสาคร ถือเป็นการกระทำความผิดที่รุนแรงมาก จะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบด้านสุขภาพอนามัย เพราะเก็บใส่ถุงบิ๊กแบ็กในอาคารและนอกอาคารพันกว่าถุง ประเมินคร่าว ๆ เกือบหมื่นตัน

“ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบโรงงานที่เก็บกากแร่มีพิษอันตราย ได้ฟังประกาศจากทางจังหวัดสมุทรสาครที่จะประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ และต้องดำเนินคดีกับบริษัทต้นทางและบริษัทปลายทางด้วย รวมถึงต้องดูแลเยียวยาพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งในจังหวัดตาก และจังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วนก่อนที่จะสายเกินไป...

"อย่างไรก็ตาม เวลานี้ กมธ.ได้เจอนักลงทุนต่างประเทศทำผิดกฎหมายหลายราย ทั้งการสวมสิทธิ์ การประกอบธุรกิจที่ไม่ตรงกับที่ขออนุญาต การละเมิดกฎหมาย อย่างการขนย้ายกากแร่มีพิษอันตรายครั้งนี้ สืบแล้วบริษัทปลายทางเป็นบริษัทจากต่างประเทศรายหนึ่งที่มารับซื้อแล้วทำผิดกฎหมาย ถือว่าเสี่ยงต่อคนไทยที่จะได้รับผลกระทบ กมธ.จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกคำสั่งทางปกครองอย่างเร่งด่วน เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหานี้อย่างรอบคอบรัดกุม” นายอัครเดช กล่าว

‘ผู้ลี้ภัยในฟินแลนด์’ ขอบคุณ ‘ธนาธร’ ซื้อบ้านปรีดีในฝรั่งเศส เสนอใช้บ้านหลังนี้ ‘ช่วยเหลือดูแลผู้ลี้ภัย’ ก็น่าจะดี

(4 เม.ย. 67) นางจรรยา ยิ้มประเสริฐ ผู้ลี้ภัยอยู่ในประเทศฟินแลนด์ โพสต์เฟซบุ๊กสั้น ๆ ระบุว่า…

“ได้รับทราบจากพี่จรัลตั้งแต่พบกันเมื่อต้นปีว่า เอก ธนาธร ได้เจรจาซื้อบ้านที่ปรีดี พนมยงค์และครอบครัวได้พักอาศัยที่ฝรั่งเศส สำเร็จแล้ว - ขอบคุณเอก ธนาธร

“ดีใจที่ทราบว่าจะทำให้บ้านนี้เป็นมิวเซียมและที่ทำงานของสมาคมนักเรียนไทยในยุโรป

“เราเสนอพี่จรัลไปว่า ให้บ้านนี้ดูแลโดยผู้ลี้ภัยการเมืองที่ฝรั้งเศส เพื่อได้ช่วยเหลือดูแลผู้ลี้ภัยด้วยก็น่าจะดี”

‘จุรินทร์’ อัด!! ‘นายกฯ’ หลังเปรียบฝ่ายค้านเป็นแมลงหวี่ ซัด!! ทำตัวเป็นรัฐบาลเทวดา ไม่สนใจเสียงของประชาชน

(4 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ในวันแรก ว่า ตนว่าฝ่ายค้านทำหน้าที่ดีทุกพรรค ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคก้าวไกล และพรรคไทยสร้างไทย ตนถือว่าตั้งใจทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี 

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลายฝ่ายคาดหวังว่าพรรคประชาธิปัตย์จะอภิปรายเรื่องกระบวนการยุติธรรมและนักโทษเทวดามากกว่านี้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้จะมีการอภิปรายอีกวัน ต้องรอฟังว่าเป็นอย่างไร เมื่อถามว่า คิดว่าฟอร์มของพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างไร นายจุรินทร์ กล่าวว่า ทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ มี สส.ใหม่หลายคนที่อภิปราย ตนถือว่าทำหน้าที่ได้ดี

เมื่อถามถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปรียบฝ่ายค้านบางพรรคเป็นแมลงหวี่ บางวันเป็นฝ่ายค้าน บางวันขอร่วมรัฐบาล นายจุรินทร์ กล่าวว่า ความจริงเรื่องแมลงหวี่มันสะท้อนจิตใต้สำนึกรัฐบาลเทวดาเหมือนกันว่ารำคาญเสียงประชาชน คิดว่าถ้าตนเป็นนายกฯ จะไม่เทียบกับแมลงหวี่ มันไม่ได้บวก มันเข้าตัวรัฐบาล 

เมื่อถามย้ำว่า สิ่งที่นายกฯ พูดเข้าตัวเองใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ใช่ เพราะแปลว่ารำคาญเสียงสะท้อนและเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล อันนี้ประชาธิปไตยเทวดา ไม่ใช่ประชาธิปไตยตัวจริง 

เมื่อถามว่า นายเศรษฐายังเหน็บฝ่ายค้านว่าอย่าเป็นฝ่ายค้านที่ทำให้โลกงง หลังมีกระแสข่าวพรรคประชาธิปัตย์จะไปร่วมรัฐบาล นายจุรินทร์ กล่าวว่า เมื่อสักครู่มีคนให้สัมภาษณ์แล้วไม่ใช่หรือว่าเสียงพอแล้ว ก็จะเป็นรัฐบาลเท่านี้ จำคำพูดของตัวเองไว้ด้วย 

เมื่อถามอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เสียสมาธิกับกระแสข่าวร่วมรัฐบาลใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า สำหรับตนการทำหน้าที่ในสภามันเป็นคำตอบอยู่แล้ว 

ผู้สื่อข่าวถามว่า จุดยืนวันนี้หากมีการทาบทามพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลจะไม่ร่วมใช่หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า การทำหน้าที่ของตนเป็นคำตอบอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร นายกฯ ต้องจำคำพูดตัวเองไว้ด้วยในสิ่งที่พูดไป 

เมื่อถามว่า มองว่าเป็นการวางยาอะไรหรือไม่ ที่มีการปล่อยข่าวจะเข้าร่วมรัฐบาลก่อนการอภิปราย นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่ขอวิจารณ์ แต่สิ่งที่นายกฯ พูดมันเผยให้เห็นตัวไอ้โม่งว่ามันมาจากไหน อย่างไร

เมื่อถามว่า ทำไมถึงต้องย้ำให้นายกฯ จำคำพูดตัวเอง นายจุรินทร์ กล่าวว่า ก็ธรรมดา พูดอะไรไปก็ต้องจำ 

ต่อข้อถามว่า เพราะวันหนึ่งอาจจำเป็นต้องใช้เสียงของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่ขออธิบายต่อ ตนก็ทำหน้าที่ของตน มีหน้าที่อะไรก็ทำเต็มที่ ตนถือหลักอันนี้ 

'ชวน' สะบัดใบมีดโกน กรีด 'ทักษิณ' เลือดสาด ชี้!! หายป่วยเป็นเรื่องดี จะได้มารับกรรมที่ทำไม่ดีไว้

(4 เม.ย.67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2

โดย นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่า ต้องขอชี้แจงก่อนว่าที่ตนลุกขึ้นมาอภิปราย ไม่ใช่ว่าประสงค์จะพูดเพื่อให้เห็นใจ เพื่อที่เที่ยวหน้าจะได้เลือกพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้น แต่อยากให้ประชาชนติดตามรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมา ประชาชนเลือกอย่างไรมา เราก็จะได้ผู้แทนอย่างนั้น และจะมีรัฐบาลอย่างนั้น ถ้าเราเลือกคนซื้อเสียง เลือกคนโกงมา เราจะได้รัฐบาลโกง เพราะเสียงข้างมากมาจากสภาผู้แทนราษฎร

นายชวน อภิปรายถึงเรื่องราคายางพารา ว่า ตนโตมากับสวนยาง และรู้สึกดีใจที่เรายากลำบากมากับยางพารามาก เพราะราคาตกมาหลายปี ตนเป็นหนึ่งในคนที่ดิ้นรนในเรื่องนี้มากกว่าทุกคน เรียกร้องไปยังรัฐบาลทุกชุด เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาราคาปัญหายางฯ ตกต่ำ แต่ขณะนี้มีคนปลูกยางแล้ว 69 จังหวัด กว่า 1,700,000 ครัวเรือน เมื่อวันนี้ราคายางฯ ขึ้น ก็เป็นเรื่องน่าดีใจ ตนขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยสนับสนุน แต่ว่าราคายางฯที่ขึ้น มันอยู่ที่อุปสงค์อุปทาน หรืออยู่ที่การควบคุมโดยการตรวจจับยางฯ เถื่อน ถ้าเป็นจริงได้อย่างนี้ก็ดีมาก

"แต่ในโลกความเป็นจริงของยางพารา วันหนึ่งเมื่อการเปลี่ยนแปลงไป ผลผลิตยางอาจจะเพิ่มขึ้น และวันหน้าเมื่อยางราคาตก รัฐบาลก็จะโดนตำหนิอย่างหนักว่าหลอกชาวบ้านว่าปราบยางเถื่อนแล้วยังจะราคาขึ้นตลอดไป ตรงนี้คือสิ่งแรกที่อยากจะให้รัฐบาลทบทวนความเข้าใจโดยเฉพาะชาวสวนยางทั่วประเทศ" นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวต่อว่า ตนมีคำถามไปยังนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 1.ราคายางฯ จะดีอย่างนี้ตลอดไปใช่หรือไม่ โดยไม่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ อุปทานในอนาคต 2.โดยความเชื่อส่วนตัว เศรษฐศาสตร์เบื้องต้น คืออุปสงค์ อุปทาน ไม่ต้องสมมติว่าวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อมันเปลี่ยนแปลงด้วยผลผลิตและความต้องการที่ทำให้ยางราคาตกลงรัฐบาล รัฐบาลมีแนวทางป้องกันหรือไม่ ว่าราคายาง ต้องให้ราคาที่ชาวบ้านอยู่ได้ด้วยราคาไม่ต่ำกว่าเท่าไหร่ รัฐบาลที่แล้วมีประกันรายได้โดยกำหนดราคายางดิบกิโลกรัมละ 60 บาท หากต่ำกว่า 60 บาท จะมีการชดเชยใช้เงินเป็นหมื่น ๆ ล้าน ตนจึงฝากสองคำถามเพื่อทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นกับชาวสวนยางทั่วประเทศ

"เมื่อนายกรัฐมนตรีมีความเห็นต่างออกไปโดยเชื่อว่าการปราบยางเถื่อน นั้นคือเหตุผลที่ทำให้ยางราคาขึ้น ผมเชื่อว่าความเชื่อนั้นน่าจะไม่รอบคอบ น่าจะผิดพลาด เพราะจริง ๆ ถึงอย่างไรก็หนีความจริงในทางเศรษฐศาสตร์ไปไม่พ้นคืออุปสงค์อุปทาน" นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวต่อว่า ขณะที่การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตนถือเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ปัญหาภาคใต้ต้องเป็นปัญหาที่ห่วงใยชีวิตไม่ว่าจะทั้งชาวไทยพุทธ หรือมุสลิม เราอยากจะรู้ว่า เหตุเป็นอย่างไร หรือรุนแรงอย่างไร ต้องดูข่าวพระราชสำนัก เพราะเราเห็นผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นตัวแทนพระองค์ไปมอบสิ่งของ ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ในหลวงไม่ทรงทอดทิ้ง บรรดาพี่น้องประชาชนทั้งชาวพุทธ ชาวมุสลิม และข้าราชการทุกระดับที่ต้องเสี่ยงต่อชีวิตและต้องสูญเสียอยู่ตลอด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่จากเมื่อปี 2544 ที่รัฐบาลสมัยนั้นปกครองอยู่ มีนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาภาคใต้ด้วยวิธีการจัดการเพียง 12 เดือนก็หมด พูดง่ายๆ คือ ฆ่าทิ้งซะ ด้วยความเชื่อว่ามีหัวโจกไม่เกิน 17 - 18 คน แต่มาถึงปัจจุบันนี้ เหตุการณ์ไม่ได้จบ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องหยิบยกขึ้นมาว่า ถ้าชีวิตคนมีค่าต้องทบทวนโดยละเอียดว่าเราจะมีมาตรการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไรในพื้นที่ที่เป็นด้ามขวานของเรา

"หากไม่มีเหตุร้ายนั่นคือด้ามขวานทองของเรา แต่เพราะความไม่สงบจึงทำให้ที่นั่นมีข้อแม้ ชาวบ้านก็รายได้ตกต่ำกว่าที่อื่น แต่ถ้ารัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนว่าเราจะทำอะไรก็ตามในทางที่จะป้องกัน เชื่อว่าจะทำให้ปัญหาในภาคใต้ดีขึ้น" นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา มีการก่อเหตุในพื้นที่เกือบ 50 ครั้ง นายกฯ ให้สัมภาษณ์ในวันต่อมาว่า รับทราบ แต่เหตุการณ์ดีขึ้น และได้โทรศัพท์ไปหา นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จึงอยากถามนายกฯ ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายใน หรือเรื่องระหว่างประเทศ และขอถามว่านายกฯ มาเลเซีย แนะนำ หรือเสนออย่างไรบ้าง

นายชวน กล่าวถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ว่า ตนขอชื่นชมผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ท้วงติงนโยบายดังกล่าว เพราะผู้ว่าฯ ธปท.ไม่ใช่นักการเมือง จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องคะแนนเสียง แต่เป็นความคิดที่หวังดีกับประเทศชาติ

นายชวน กล่าวต่อว่า ส่วนนายกฯ เมื่อเป็นนายกฯ อย่าคิดว่าไปลงพื้นที่แล้วต้องถามว่า มี สส.เพื่อไทย อยู่หรือไม่ แต่เป็นหน้าที่นายกฯ ต้องไป อย่าทวงบุญคุณ เพราะคือหน้าที่ นายกฯ อยู่แล้ว ที่นายกฯ เคยบอกว่ามีผู้นำบางคนพูดว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยให้ความสำคัญกับภาคใต้ นายกฯ ไปเอามาจากไหน ตนไม่เคยพูด ตนพูดในวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ว่าภาคใต้ถูกเลือกปฏิบัติ คนที่เลือกปฏิบัติเขาไม่ได้ทำโดยแอบทำ แต่เขาพูดตรงไปตรงมาว่าเมื่อเราได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกเรา ก่อนจังหวัดอื่นไว้ทีหลัง ถ้านายกฯ ไม่รู้ว่าคนที่พูดคือใคร ตนจะบอกให้ว่าคนที่พูดคือ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และนายทักษิณ ไม่ได้แอบพูด แต่ประกาศตรง ๆ นี่คือการเลือกปฏิบัติ

ทำให้ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า ขอความกรุณาอย่าเอ่ยถึงคนนอกที่ไม่มีสิทธิ์ชี้แจง เพราะเรื่องนี้กระทบกับคนนอก ขอให้ระมัดระวัง ที่เอ่ยชื่อถึงอดีตนายกฯ ในทางเสียหาย ว่าพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการเลือกปฏิบัติ ซึ่งไม่เป็นความจริง ขอให้อภิปรายอยู่ในกรอบการพิจารณาของเรา โดย นายชวน จึงตอบกลับว่า "ไม่มีใครอยู่ในกรอบเท่าผม"

จากนั้น นายชวน จึงกล่าวต่อว่า ตนขอชี้แจงต่อนายกฯ ว่า นายกฯ เข้าใจผิด ตนไม่เคยพูดว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยให้ความสำคัญกับภาคใต้ แต่ตนพูดว่าภาคใต้ถูกเลือกปฏิบัติ และขอความเป็นธรรมให้กับภาคใต้ และขอให้ชดเชยให้ ตนไม่ใช่คนที่พูดพล่อย ๆ หรือบ้าน้ำลายรายวัน พูดอะไรต้องเป็นเรื่องจริง และรับผิดชอบ

นายชวน กล่าวด้วยว่า ส่วนนโยบายที่รัฐบาลประกาศไว้ว่า จะสร้างความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นที่ยอมรับกับนานาประเทศ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากกรณีนักโทษ การที่คนป่วยหายป่วย เป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าใครก็ตาม เขาจะได้มีชีวิต เป็นขวัญใจให้กับลูกหลานต่อไป จะได้มีโอกาสมาชื่นชมผลงาน และรับกรรมที่ทำไม่ดีเอาไว้ ขณะที่เรื่อง พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ปี 2560 ไม่ว่าจะออกในสมัยใด ตนไม่ตำหนิ แต่ปัญหามันมีเพียงว่าแต่ละข้อได้มีการปฏิบัติตามนั้นหรือไม่ นี่คือประเด็น และรัฐบาลซึ่งเป็นตัวหลักที่จะทำให้นิติธรรมเกิดขึ้น แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่ให้กฎเกณฑ์กติกาความถูกต้อง ความเสมอภาค ความชอบธรรม หรือการไม่เลือกปฏิบัติเกิดขึ้น

"คำถามคือ สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น รัฐบาลจะดำเนินการกับ สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ไม่เกี่ยวกับคนป่วย แต่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ แต่หากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ รัฐบาลที่เป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่รัฐ จะดำเนินการอย่างไร ผมคิดว่าเราจะให้ประชาธิปไตยไปได้ดี ไม่ว่าฝ่ายใด ต้องเคารพกฎหมายบ้านเมือง ถ้าเราเลือกปฏิบัติความสุขของประชาชนไม่เกิดขึ้น ที่ผมพูดเรื่องนี้ เพราะมีสิ่งที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนต้องยอมรับคือถ้าเราต้องการให้ประชาชนของเรามีความสุข เราต้องทำให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น ถ้าเราไม่รักษาความยุติธรรมความสุขของประชาชนไม่เกิดขึ้น คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวของในหลวงที่เคยรับสั่งไว้" นายชวน ระบุ

‘เอกนัฏ’ ติงฝ่ายค้านหยุดพาดพิงกระทบ ‘พล.อ.ประยุทธ์’ ชี้!! บุคคลภายนอกแจงไม่ได้ ยัน!! ไม่สมควรอย่างยิ่ง

(4 เม.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ลุกขึ้นทักท้วงการอภิปรายของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่อภิปรายถึงบุคคลภายนอกพาดพิงถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ถือว่าไม่เหมาะสม อีกทั้งมีการนำสไลด์มาฉาย ก็เป็นการพาดพิงไม่สมควรอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นบุคคลภายนอกไม่สามารถมาชี้แจงในสภาฯ ตามที่ถูกพาดพิงได้

ทั้งนี้ ขอให้อภิปรายในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลชุดนี้ ถ้าจะถามถึงนายกรัฐมนตรีปัจจุบันให้เข้าประเด็นไปเลย และถามนายเศรษฐา ทวีสิน อย่าพาดพิงบุคคลภายนอก แต่ถ้าพาดพิงถึงรัฐมนตรีท่านไหนไม่ว่า จะเป็น น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม หรือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เดี๋ยวท่านสามารถมาชี้แจงได้ ไม่เช่นนั้นไม่ยุติธรรม

ขณะที่ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้ประท้วงผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมให้วางตัวเป็นกลาง เพราะได้วินิจฉัยไปแล้วไม่ให้มีการพาดพิงถึงบุคคลภายนอกตามที่ นายเอกนัฏ ได้ทักท้วง แต่ประธานในที่ประชุม ยังปล่อยให้มีการอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลภายนอก ที่ไม่สามารถมาชี้แจงได้

อย่างไรก็ตาม การประท้วงดังกล่าว ทำให้ประธานในที่ประชุมได้กล่าวตักเตือนฝ่ายค้าน ไม่ให้อภิปรายถึงบุคคลภายนอกตามที่มีการท้วงติง

'อ.อุ๋ย-ปชป.' ยก รธน.มาตรา 211 ชี้!! คําวินิจฉัยศาล รธน.เด็ดขาด-ผูกพันรัฐสภา พรรคที่ล้มล้างการปกครองไม่มีสิทธิเข้าสภาประชุมใดๆ แม้แต่วินาทีเดียว

เมื่อไม่นานมานี้ นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงมุมมองทางกฎหมาย ว่า...

รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 211 ว่าคําวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเด็ดขาดและผูกพันรัฐสภาด้วย 

ดังนั้นไม่ต้องรอให้ยุบพรรคหรอก เพราะพรรคที่ล้มล้างการปกครองไม่มีสิทธิเดินเข้าสภาอันทรงเกียรติเพื่อประชุมใด ๆ ทั้งสิ้นแม้แต่วินาทีเดียว 

เพราะตามคําปรารภของข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 เขียนไว้ชัดเจนว่า สมาชิกรัฐสภาต้องปฏิบัติหน้าที่โดยยึดหลักการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และธํารงไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ดังนั้น หากท่านวันนอร์ ในฐานะประธานรัฐสภา ซึ่งต้องผูกพันตามคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังปล่อยให้ สส.จากพรรคที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่ากระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เข้าสภามาใช้อํานาจนิติบัญญัติต่อไป 

จะเท่ากับว่าท่านสนับสนุนให้กลุ่มคนที่กระทําการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เข้ามาใช้อํานาจนิติบัญญัตินะครับ และจะกลายเป็นว่า ประธานรัฐสภาเป็นผู้ทําผิดข้อบังคับเสียเอง ฝากไว้ให้คิด

'สมศักดิ์' งง!! 'ก้าวไกล' ยกโคแสนล้านมาแฉ ทั้งที่ตนยังไม่เคยทำโครงการวัวใดๆ มาก่อน

เมื่อวานนี้ (4 เม.ย.67) ที่รัฐสภา ในการอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยไม่มีการลงมติ ช่วงการอภิปรายของ นายคริษฐ์  ปานเนียม สส.ตาก พรรคก้าวไกล ได้ตั้งข้อสังเกตถึงนโยบายเกี่ยวกับการเลี้ยงโค ได้แก่ โคอีสานเขียว, โคเอื้ออาทรหรือโคล้านตัว, โคเนื้อล้านครอบครัว, การกู้ยืมกองทุนหมู่บ้านเพื่อเลี้ยงโค และโคบาลชายแดนใต้ผิดสเปกที่ส่อพิรุธหลายประการ จนปัจจุบันโคแสนล้านที่มีการให้สินเชื่อ 5,000 ล้านบาทผ่านกองทุนหมู่บ้าน ภายใต้การดำเนินการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้ทำโครงการในช่วง 3 รัฐบาลที่ผ่านมา  

โดยโครงการแสนล้านที่ปล่อยให้เกษตรกรมากู้ เงินกองทุนหมู่บ้านรายละ 50,000 บาท ซื้อวัวไปเลี้ยง ได้ลูกและนำลูกวัวไปขายและให้ผ่อนชำระ จึงมีข้อสงสัยว่าเหตุใดรัฐบาลไม่ให้ ธ.ก.ส. เป็นผู้ดำเนินการปล่อยกู้ ที่มีระบบการดำเนินการที่รัดกุมกว่าขณะที่กองทุนหมู่บ้านกว่า 23,000 กองทุน ที่ยังไม่สามารถส่งงบการเงินได้ หากเกิดปัญหาอีกจะกลายเป็นการทำลายกองทุนหมู่บ้านหรือไม่

นายคริษฐ์ กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันนโยบายดังกล่าวซ้ำเติมกับกลุ่มเกษตรกรที่ซื้อวัวนำเข้ามาขุน ในห้วงมีโรควัวระบาด ซึ่งปกติมีการนำเข้าปีละ 100,000 ตัวแต่กรมปศุสัตว์มีการประกาศปิดด่านห้ามนำเข้าวัว และไม่ได้มีหาวิธีการเยียวยาเกษตรกร อีกทั้งห้ามมีการขนย้ายวัว แต่กระทรวงมหาดไทยอนุญาตให้สนามวัวชน ซึ่งก็มีการเคลื่อนย้ายวัว แต่ห้ามเกษตรกรที่จะเคลื่อนย้ายวัวเพื่อจะขายนำเงินมาเลี้ยงชีพ พร้อมเปิดเผยข้อมูล ว่ามีกลุ่มบุคคลมาติดต่อเกษตรกรเพื่อขอซื้อแท็กติดหูวัวเพื่อสวมวัวเถื่อน ในราคา 2,500-5,000 บาท เนื่องจากวัวของเกษตรกรไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทำให้จำใจต้องขายแท็กและนำวัวไปเชือดที่โรงเถื่อน

นายคริษฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการโคบาลชายแดนใต้นั้น เป็นวัวเถื่อนที่มาจาก หจก. แห่งหนึ่งใน จ.นครสวรรค์ พบว่าวัวทุกตัวชื่อ บัวทอง อายุ 2 ปี เพศเมียหนัก 162-163 กก. ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าเป็นวัวเถื่อนที่ขนมาจาก จ.ตากไปยังจ.นครสวรรค์ แต่กลับการขนผ่านด่านตรวจได้ 5 ด่าน ซึ่งตลอดเส้นทางการดำเนินการสอบการทุจริต จากงบประมาณดำเนินโครงการ 1,500 ล้านบาท

“วัวที่ส่งถึงเกษตรกรไม่ตรงปก แล้วเอาเบอร์หูมาวนใหม่ทำแบบนี้วนไปโครงการนี้ 3 เฟส สิ่งที่เกษตรกรต้องการคือ มาตรการที่ดีและวัคซีนป้องกันโรค และการซื้อขายวัวตามกลไกตลาดอย่างตรงไปตรงมา และแก้ปัญหาให้มีการนำเข้าส่งออกได้อย่างถูกต้อง มีโรงเชือดที่มาตรฐาน มีกลไกรักษาระดับราคา ไม่ใช่การส่งเสริมโคเข้าระบบจนล้นตลาดทำให้ราคาตกต่ำเป็นวงจรอุบาทว์อย่างที่ผ่านมา และหากรัฐบาลไม่แก้ไขจะกลายเป็นคิดเก่าทำวนด้วยวิธีการเดิม ๆ วนด้วยนักการเมืองเดิม ๆ เพิ่มเติมคือการย้ายพรรคข้ามขั้วทิ้งปัญหาให้กับเกษตรกร" นายคริษฐ์ อภิปราย

จากนั้น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้ลุกขึ้นกล่าวชี้แจงโครงการโคแสนล้านว่า การอภิปรายของ นายคริษฐ์ ปานเนียม สส.ตาก พรรคก้าวไกล เป็นการโกหกพูดเท็จ เพราะตนยังไม่เคยทำโครงการวัวใด ๆ มาก่อน แต่เป็นคนคิดโครงการวัวตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ทำเลย ซึ่งโครงการโคแสนล้านเกิดจากตนไปตรวจกองทุนหมู่บ้าน แล้วเห็นพวกสมาชิกกองทุนฯ เดือดร้อน จึงอยากทำโครงการเพื่อช่วยเหลือสมาชิกฯ โครงการนี้เป็นแนวทางที่ ครม.ให้ดำเนินการ ได้อนุมัติในหลักการ แต่ก็ยังมีความกังวลเรื่องดอกเบี้ย ซึ่งตนก็ได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องโคบาลชายแดนใต้ เป็นเรื่องที่ทำกันในรัฐบาลที่แล้ว แต่โครงการโคแสนล้านนั้นแตกต่างออกไป ซึ่งที่ผ่านมาตนได้ทดลองกับเกษตรกรใน จ.สุโขทัย กว่า 300 ราย ซึ่งได้ผลที่ดีมาก ทำให้พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้น มีวัวเลี้ยงเพิ่มขึ้นอีกหลายตัว ตนจึงได้นำโครงการนี้เสนอต่อครม. ส่วนเรื่องตลาดรับซื้อ ตอนนี้เรามี รมว.ต่างประเทศ รมว.พาณิชย์ ที่คอยช่วยดูในเรื่องนี้อยู่ รวมถึงท่านนายกฯ ก็ได้ไปดูตลาดยังต่างประเทศ ทั้งที่ตะวันออกกลาง และจีนอีกด้วย

"ผมมั่นใจว่าวัวจะมีราคาดีขึ้นแน่นอน และมั่นใจว่าหาก กระทรวงเกษตรเอาจริงเอาจัง วัวเถื่อนหรือปัญหาต่าง ๆ จะคลี่คลาย รัฐบาลทำงานมาแค่ 6-7 เดือน มีปัญหาต่างๆ ที่หมักหมมมานานต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหา และเรากำลังพยายามทำอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วที่สุด" นายสมศักดิ์ กล่าว

ด้าน นายอนุชา นาคาศัย รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ตนได้ดำเนินการโครงการวัวกับ นายสมศักดิ์ มา 20 ปีแล้ว ยืนยันว่าท่านเป็นผู้คิดโครงการ แต่ยังไม่เคยได้ลงมือทำเลยสักโครงการเดียว และตอนที่ตนเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กำกับดูแลกองทุนหมู่บ้าน และได้ศึกษาโครงการวัวกับ นายสมศักดิ์ ที่ดำเนินการนำร่องที่ จ.สุโขทัย ยืนยันว่าเป็นโครงการที่ดีช่วยเหลือเกษตรกรได้จริง โครงการนี้เป็นหลักของ โคคณิตศาสตร์ คิดและทำเพื่อคนทั้งประเทศ ไม่ได้ทำหรือฟังเพียงแค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

‘พิธา’ เปิดใจเศร้า อภิปราย ม.152 อาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง

(5 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายปิดเป็นคนสุดท้าย ว่า ตนขอเริ่มต้นด้วยการพูดถึงความในใจเล็กน้อยว่า ตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา ตนไม่เคยเสียใจเลยที่ตนไม่ได้เป็นพวกที่ได้บริหาร ถึงแม้ตนจะชนะเลือกตั้ง สามารถรวบรวมเสียงได้ 312 เสียง ก็ไม่ได้น้อยไปกว่า 314 เสียงที่ท่านมี ไม่เคยเสียใจด้วยที่มาเป็นฝ่ายค้าน เพราะตนก็เชื่อว่าเป็นฝ่ายค้านนั้น มีความสำคัญต่อระบอบประชาธิปไตย การเป็นฝ่ายค้านก็สามารถทำงานให้กับพี่น้องประชาชนได้ สุขภาพของประชาธิปไตยไม่ได้วัดอยู่ที่รัฐบาลนั้น มีอำนาจเบ็ดเสร็จแค่ไหน แต่อยู่ที่ฝ่ายค้านแทน Active แค่ไหน

“ผมไม่เคยเสียใจด้วยว่าอธิปอภิปรายในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของผม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องความลับอะไร ทุกคนทราบดีอยู่ว่าชีวิตทางการเมืองของผมตอนนี้แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่ผมพร้อมที่จะเดินจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่ได้มีอะไรติดค้างใจต่อไป อย่างที่ได้เห็นเพื่อน สส. ข้าง ๆ ผม อยู่รอบตัวผม ก็รู้สึกเบาใจ ไม่ได้ค้างคาใจอีกต่อไป และผมก็มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคของผม การยุบพรรคไม่ได้ทำให้การเดินทางของประเทศไทยเปลี่ยนแปลง ยิ่งยุบ ยิ่งทำให้เราไปถึงเส้นชัยได้เร็วมากขึ้นด้วยซ้ำไป ถึงผมจะไม่เสียใจ แต่ผมเสียดาย จริง ๆ รับฟังการชี้แจงของคณะรัฐมนตรีเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา รู้สึกเสียดายโอกาสของประเทศไทย เสียดายเวลาที่ประเทศไทยต้องเสียไป เสียดายศรัทธาของพี่น้องประชาชน เสียดายคะแนนเสียงที่เคยให้ไป ตั้งแต่จำความได้ไม่เคยโหวตพรรคอื่นนอกจากพรรคของท่าน แต่มาถึงวันนี้ ความสะเปะสะปะ ความล่องลอย ผมฟังแล้วไม่รู้ว่าวาระของรัฐบาลชุดนี้คืออะไร ที่หาเสียงไว้ก็ไม่ได้ทำ…จนทำให้ผมรู้สึกว่ารัฐบาลชุดนี้ไร้วาระ ไร้วิสัยทัศน์ ไร้ผลงาน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา แบ่งการอภิปรายออกเป็น 3 ส่วน คือ สรุป สะสาง และเสนอแนะ ส่วนแรกเป็นการสรุป ตนกังวลว่าวิสัยทัศน์ 8 ฮับของรัฐบาล คือ ความมืด 8 ด้านของประชาชน Ignite Thailand จะเป็น Darkness Thailand

“มืดเรื่องปากท้อง มืดเรื่องส่วย มืดผูกขาด มืดกระตุ้นเศรษฐกิจ มืดแก้ไขรัฐธรรมนูญ มืดปฏิรูปของไทย มืดมนคุณภาพชีวิต มืดกระบวนการยุติธรรม ประชาชนคนไทยตอนนี้มืด 8 ด้าน ที่ทั้งล้มเหลว ล่าช้า และละเลย” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อว่า ตนรู้สึกว่าในสภามีการอภิปรายไปหมดแล้ว แต่มีอยู่อย่างเดียวที่ยังถกกันไม่ตกผลึก และยังไม่เห็นภาพชัดเจน คือ เครื่องมือในการปฏิรูปกองทัพ นายกรัฐมนตรีบอกว่าฝ่ายค้านงง ตนก็งงท่านเหมือนกัน ตอนก่อนเลือกตั้งท่านพูดอีกอย่าง ตอนหลังเลือกตั้งพูดอีกอย่าง

นายพิธา อ่านนโยบายปฏิรูปกองทัพของพรรคเพื่อไทย แล้วกล่าวว่าตอนดีเบต นายกรัฐมนตรีก็พูดคล้ายนโยบายพรรคก้าวไกล และมาบอกว่าตนพูดเรื่องเดิมบ้าง ไอโอบ้าง อาวุธบ้าง วิธีการในการที่จะปฏิรูปไม่ต้องเอาแบบก้าวร้าว ต้องใช้ความนุ่มนวล ที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงมา ตนว่าสุดยอดมาก น่าเสียดายที่ไม่ได้พูดแบบนี้ตอนก่อนเลือกตั้ง

“ผมก็เลยงงว่าไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า แต่ไม่เป็นไรถ้าท่านยังรู้สึกว่างง เช่น เรื่องไอโอ ก็เดี๋ยวจะพิสูจน์ในอีก 4 ปีข้างหน้า ว่าใครกันแน่ที่มอมเมาประชาชน หากท่านยังไม่รู้ ผมขอเสนอให้ไปอ่านรายงานของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยระดับโลก ที่ทำรายงานตั้งแต่ก่อนพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล โดยทหารไทย นอกจากนี้ ยังมีของสำนักข่าวรอยเตอร์ มหาวิทยาลัยโตรอนโต อยากให้ไปศึกษาเผื่อจะหาคำตอบได้ก่อนสิ้นปี ว่า ใครเป็นคนทำไอโอ มอมเมาประชาชน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีบอกว่างงเรื่องเกี่ยวกับอาวุธในจุดยืนของพรรคก้าวไกล มีการยกคำกล่าวจะเอาเรือประมงไปรบ ตนเดาเอาว่านายกรัฐมนตรีอาจหมายถึงตน เนื่องจากตนเคยพูดเรื่องแบบนี้ในรายการดีเบตของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา

“เรื่องแบบนี้มันพัฒนาไปเยอะ มีการใช้เรือประมงมาดัดแปลงเป็นอาวุธของกองทัพ...เทคนิคในการทำสงครามมันเปลี่ยนไปเยอะ มันมีประเทศบางประเทศเกิดขึ้นในทะเลจีนใต้ ที่มีเรือเป็น 20,000 ลำ ที่ใช้เรือประมงผสมกับเรือรบ ที่ไม่ได้ใช้อาวุธตามปกติ จะได้เข้าใจตรงกันและจะได้เลิกล้อผมสักที” นายพิธา กล่าว

นายพิธา ย้ำถึงเรื่องเรือฟริเกต ว่า อุตสาหกรรมป้องกันประเทศให้เกิดขึ้นได้ แบบไม่ได้เบียดเบียนภาษีของประชาชนมากเกินไป ทำให้เรื่องความมั่นคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจได้ด้วย ดังนั้นในเมื่อเข้าเงื่อนไขแบบนี้ตนก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร หวังว่านายกรัฐมนตรีจะหายงง

“ตอนที่มีเลือกตั้ง ไม่ได้เจอนายกฯ สักเท่าไหร่ในเวทีดีเบต เจอแต่หัวหน้าท่าน ทำให้ไม่มีโอกาสอธิบายเรื่องนี้” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวถึงเรื่องสะสาง ตนพอจะจับทางนายกรัฐมนตรีได้แล้ว โดยจับคำพูดได้คำหนึ่งว่าอยากจะเน้นเรื่องบวก ให้เป็นแสงสว่าง ไม่อยากเน้นเรื่องปัญหา แต่ในความเป็นจริงข้อเท็จจริง ไม่ได้มีแต่เรื่องบวก ประเทศมีทั้งจุดแข็ง จุดอ่อน เรื่องความท้าทาย รวมไปถึงโอกาส คนที่จะเป็นผู้นำได้ ถ้าโฟกัสแต่เรื่องบวกอย่างเดียว ก็จะเกาไม่ถูกที่คัน วินิจฉัยผิดตลอดเวลา เวลาที่นายกรัฐมนตรีเอาตัวเลขมาพูดในสภา จะเน้นเอาตัวเลขที่พวกเป็นผลดีกับรัฐบาล แต่ไม่มีบริบท ไม่ครบถ้วน เป็นเหรียญด้านเดียว

ช่วงนี้ นายพิธา ขอประท้วงประธานว่า ให้ตรวจสอบว่าสไลด์ของตนรั่วไหลหรือไม่ เพราะก่อนหน้าตนอภิปราย มีรัฐมนตรีลุกชี้แจงได้อย่างไร รู้ได้อย่างไรว่าตนจะอธิบายเรื่องนี้ ขนาด สส. ยังไม่เห็นรู้เลย

ก่อนจะไล่เรียงต่อว่า เรื่องภาคส่วนการผลิต นายกรัฐมนตรี ใช้คำว่า สึนามิเหตุการณ์ลงทุน ตนก็ดีใจว่าไม่ใช้คำว่าพายุหมุนทางเศรษฐกิจเหมือนในอดีตแล้ว แต่สึนามิมันทำลายล้างทุกอย่าง ตนกังวลว่าสึนามิของการลงทุนจะทำให้ไทยได้รับผลกระทบอย่างสูง โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนกับ BOI จะเห็นได้ว่ามาจากประเทศจีน รถ EV มากขึ้น แล้วรถสันดาปที่อยู่ในประเทศไทยจะจัดการอย่างไร นายกรัฐมนตรีได้คิดหรือยัง

ส่วนภาคส่วนการลงทุน นายกรัฐมนตรี บอกว่า โตขึ้น 2.5 เท่าในไตรมาสที่ 4 ก็เป็นเรื่องจริง และเป็นเรื่องดี แต่ประเด็นข้อเท็จจริงอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ประเทศไทยตอนนี้เป็นอันดับ 6 นำอยู่แค่กัมพูชา ลาว เมียนมา 2 ปีซ้อน อย่าเพิ่งดีใจ ทุกประเทศเพิ่มขึ้นหมด ส่วนการบริการ จะมีประโยชน์อะไรถ้าการท่องเที่ยวของประเทศไทยกลับมายิ่งใหญ่มโหฬร แต่โฟกัส 80% อยู่แค่ 5 จังหวัด เราไม่ได้สร้างสาธารณูปโภคที่ทำให้คนเขาอยากจะไปให้มากกว่าแค่ 5 จังหวัด ความเหลื่อมล้ำก็เพิ่มขึ้น

นายพิธา กล่าวอีกว่า ผมรู้สึกว่านายกรัฐมนตรีต้องการที่จะตอบโต้ แทนที่จะเป็นการตอบสนอง ซึ่งไม่ใช่การเป็นผู้นำที่ดี นอกจากนี้ ต้องเร่งสางปมตำรวจด้วย

“เบอร์หนึ่งกับเบอร์สองทะเลาะกัน ท่านเป็นผู้สั่งพักงานทั้งคู่ ท่านจะทำอย่างไร เพื่อให้ความเชื่อมั่นกลับมาเลยประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง”

โดยในช่วงท้าย นายพิธา ได้กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอแนะให้รัฐบาล 3 ข้อ คือ 

1. ถ้าท่านอยากจะกอบกู้ภาวการณ์ผู้นำของรัฐบาล ตนคืดว่าถึงเวลาที่ต้องปรับ ครม.ได้แล้ว เอาคนให้ตรงกับงาน ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสม เพราะทำงานมา 7 เดือน พอที่จะเห็นภาพ ว่าใครมีประสิทธิภาพ ใครรู้จริงในเรื่องที่ทำอยู่ 

2. ถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีจะมีโรดแมป ในสิ่งที่จะทำได้แล้ว 

3. การฟัง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของคนที่จะเป็นผู้นำในศตวรรษที่ 21 เพื่อที่จะตอบสนอง ไม่ใช่ฟังเพื่อที่จะตอบโต้ตลอดเวลา เพราะบางทีเสียงที่ท่านไม่อยากได้ยินที่สุดก็คือเสียงที่ประเสริฐที่สุด

จากนั้น เวลา 02.03 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้แทนรัฐบาล ได้กล่าวขอขอบคุณประธานและสมาชิกที่ได้ร่วมอภิปราย ตามมาตรา 152 ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญของการทำหน้าที่ สส.ตามรัฐธรรมนูญ และใช้กระบวนการรัฐสภาตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร สำหรับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ รัฐบาลขอรับไว้ด้วยความขอบคุณและจะได้นำข้อห่วงใยเหล่านั้นไปประกอบการพิจารณา ปรับปรุงการดำเนินงานของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้ประชาชนมีความสุข ลดความเหลื่อมล้ำ และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป

จากนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ได้กล่าวขอบคุณสมาชิกและวิปทั้ง 2 ฝ่าย และได้สรุปผลงานสมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สอง ระหว่างวันที่ 12 ธ.ค. 2566 - 9 เม.ย. 2567

จากนั้นได้อ่านพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุม และสั่งปิดการประชุมในเวลา 02.15 น. รวมเวลาอภิปรายทั้งสิ้น จำนวนกว่า 36 ชั่วโมง

‘รองอ๋อง-วิโรจน์’ ชี้อาจเป็นประชุมสภาครั้งสุดท้าย ลั่น!! ขอทำในสิ่งที่จะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง

จากกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่าตลอด 7 เดือนไม่เสียใจที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร แม้ชนะเลือกตั้งสามารถรวบรวมได้ 312 เสียง ไม่เคยเสียใจที่ต้องเป็นฝ่ายค้าน ทั้งไม่เสียใจที่การอภิปรายครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมือง ชีวิตทางการเมืองแขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่พร้อมจะจากไปอย่างผู้ชนะ ไม่มีอะไรติดค้างใจต่อไป และหากพรรคก้าวไกลจะถูกยุบก็ไม่เสียใจ เพราะอาจจะทำให้ถึงเส้นชัยเร็วขึ้นนั้น

ล่าสุด (5 เม.ย. 67) นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาฯ ได้โพสต์ภาพการอภิปรายของนายพิธา พร้อมเขียนข้อความภาษาอังกฤษผ่านแพลตฟอร์ม  X ระบุว่า “It might be the last day!! #ประชุมสภา”

ซึ่งแปลได้ว่า “อาจจะเป็นวันสุดท้าย”

ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้แชร์โพสต์ของนายปดิพัทธ์ พร้อมเขียนข้อความคล้ายคลึงกันว่า “ผมเองก็ใกล้แล้วเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจงมาร่วมกันทำในสิ่งที่เราจะไม่รู้สึกเสียใจ เมื่อนึกย้อนกลับไป กันเถอะครับ”

ทั้งนี้ทั้งนายพิธา หมออ๋อง และนายวิโรจน์ ร่วมอยู่ใน 44 ส.ส. ที่ลงชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาฯ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ว่ามีพฤติการณ์เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง จากนโยบายหาเสียงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top