Wednesday, 30 April 2025
Politics

มิ.ย.นี้ ศาลปกครองสูงสุด นัดอ่านคำพิพากษา ซึ่งอาจจะกระทบต่อการเดินหน้า จัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล 

เดือนมิถุนายนนี้ อย่ากะพริบตากับการกลับมาของสถานีข่าวไอทีวี ศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาที่เป็นข้อพิพาทระหว่างสำนักงานปลัดประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.)กับบริษัทไอทีวี ซึ่งศาลปกครองกลางพิพากษาให้บริษัทไอทีวี ชนะคดี

ถ้าศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ไอทีวีอาจจะกลับมาเป็นสถานีโทรทัศน์ใหม่ก็เป็นได้ ซึ่งปัจจุบันไอทีวียังคงสถานะความเป็นบริษัทผลิตสื่ออยู่ ตามวัตถุประสงค์เพื่อสู้คดีกับ สปน. ส่วนจะผลิตสื่ออย่างอื่นด้วยหรือไม่ เช่นสื่อออนไลน์ เป็นต้น

ไม่ใช่แค่ไอทีวีอาจจะกลับมา แต่เป็นเครื่องยืนยันว่า ไอทีวียังเป็นสื่ออยู่หรือไม่ด้วย และอาจจะกระทบต่อการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ที่จะดัน “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่พิธาติดปัญหาถือหุ้นไอทีวีอยู่ในนามชื่อของตัวเอง แม้จะอ้างว่าเป็นมรดกก็ตาม แต่โดยหลักแล้ว หุ้นมรดกปกติจะต้องมีวงเล็บต่อท้ายชื่อผู้ถือหุ้นว่า “มรดก”

ถ้าพิธาถูกตัดสินโดยศาลรัฐธรรมนูญว่า มีความผิดฐานถือหุ้นสื่อ ก็จะมีปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป แต่ยังมีปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย เพราะพิธาถือหุ้นนี้มาตั้งแต่ปี 2549 หลังจากพ่อเขาเสีย จะมีผลในทางลบต่อการลงสมัครรับเลือกตั้งปี 2562 ด้วยหรือไม่

และมีผลต่อการรับรองผู้สมัครทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อด้วยหรือไม่ แปลความได้ว่า การรับรองผู้สมัครไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยหรือไม่ ที่สำคัญคือระเบียบพรรคก้าวไกลก็ลอกมาจากรัฐธรรมนูญ ห้ามสมาชิกพรรคเป็นเจ้าของสื่อ หรือถือหุ้นสื่อด้วย พิธาก็ไม่มีสิทธิ์เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลตั้งแต่ต้นใช่หรือไม่

แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาพรรคก้าวไกล มี ส.ส.ทั้งระบบเขต และบัญชีรายชื่อรวมกัน 151 ที่นั่ง 151 ที่นั่งนี้จะโมฆะหรือเปล่า อันจะนำไปสู่การทำให้การเลือกตั้งทั้งหมดเป็นโมฆะไปด้วย ต้องจัดเลือกตั้งใหม่หรือเปล่า

ถ้าพิจารณาตามข้อมูลที่รับรู้รับทราบกันก่อนหน้าบวกกับประเด็นใหม่ไอทีวี จึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แม้จะมีคะแนนมหาชนจำนวนมาก แต่กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย…จริงไหมครับ

ลีน่า จัง’ ชี้ งาน Pride ปีนี้ กลายเป็นเวทีของนักการเมือง ทั้งเพื่อไทย และก้าวไกล หาใช่การแสดงออกเพื่อ LGBT อย่างแท้จริง

ลีน่า จังจรรจา โพสต์คลิปสั้นลงใน TikTok แสดงความผิดหวังกับงาน Pride ของปีนี้
โดยได้แสดงความคิดเห็นลงไปในคลิปว่า การจัดงาน Pride ของปีที่แล้วนั้นเป็นการจัดเดินขบวนเพื่อแสดงออกของกลุ่ม LGBTQ+ อย่างแท้จริง

แต่ในปีนี้นั้นกลับกลายเป็นเวทีที่นักการเมืองนำมาใช้ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย นำมาใช้แสดงเจตนารมณ์เรื่องที่มีคนถูกยิงตาย หน้าวัดปทุมมีการวางดอกไม้ไว้อาลัยมันก็เลยกลายเป็นการเมืองไป กลายเป็นเวทีของนักการเมืองที่มายึดพื้นที่ไป ก็เลยกลายเป็นว่า งาน Pride เป็นงานของพรรคการเมือง พรรคก้าวไกลและติ่งส้ม

ประเด็นปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาลเวลานี้

1.การเลือกตั้งยังไม่แล้วเสร็จ ยังมีขั้นตอนทางกฎหมายบางอย่างที่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่ใช่ลงคะแนน 14 พฤษภาคมแล้วจบ เสร็จกัน

2.หน่วยเลือกตั้ง 95,000 กว่าหน่วย จะต้องตรวจสอบว่า มีหน่วยไหนมีปัญหาจะต้องลงคะแนนใหม่ หรือมีปัญหาอื่นใดหรือไม่

3.มีข้อร้องเรียนทั้งหมด 280 เรื่อง บางเรื่องพิจารณาเสร็จแล้ว รอให้ 7 เสือลงมติ บางเรื่องยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวนเพื่อสรุปสำนวนจาก กกต. จังหวัด

4.สำนวนที่ถึงเมื่อ กกต. กลางแล้ว มีการเสนอใบแดง 20 กว่าใบ ยังเหลือสำนวนที่ยังไม่แล้วเสร็จอีกจำนวนหนึ่ง อาจจะเป็นใบแดง ใบส้ม ใบเหลือง หรือยกคำร้องก็เป็นไปได้หมด ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริงจากการสอบสวน

5.สรุปน่าจะมีใบแดง ใบส้ม ใบเหลือง 37 ใบ ใบแดงต้องให้ศาลตัดสิน ส่วนใบส้ม ใบเหลืองเป็นอำนาจของ กกต.

6.ใบแดง ต้องเปิดรับสมัครใหม่ ตัดสิทธิ์คนเดิมที่ได้ใบแดง

7.ใบส้ม ใช้ผู้สมัครชุดเดิม แต่ตัดสิทธิ์คนได้ใบส้ม

8.ใบเหลือง ใช้ผู้สมัครชุดเดิม ไม่ตัดสิทธิ์คนได้ใบเหลือง

9.กกต. น่าจะรับรอง ส.ส. ได้ 95% หรือมากกว่าในกรอบ 60 วัน

10.การให้ใบแดง เข้าใจว่า ไม่น่าจะทันในกรอบ 60 วัน เพราะต้องส่งให้ศาลตัดสิน กกต. จึงน่าจะรับรองไปก่อนแล้วสอยทีหลัง

กล่าวสำหรับนครศรีธรรมราช 10 เขตเลือกตั้ง มีเรื่องร้องเรียนไม่น้อย ทั้งจัดเลี้ยง ซื้อเสียง จับซื้อเสียงได้ สัญญาว่าจะให้ เป็นต้น เขตเลือกตั้งที่เข้าข่ายว่าอาจจะต้องจัดเลือกตั้งใหม่มี 2-3 เขต มีบางเขตทหารจับซื้อเสียงได้ บางเขตจัดเลี้ยง (มีหลักฐานเป็นคลิป-มีเสียงพูดชักชวน) ส่วนการจับซื้อเสียงเป็นการกระทำของผู้อื่นไม่ใช่ผู้สมัคร

นำเรียนย้ำอีกครั้งว่า ที่โทรเช็คโทรถามกันมากว่าเขตไหนโดน ยังไม่อาจจะเปิดเผยในทางสาธารณะได้ เพราะเป็นแค่คำบอกเล่า ไม่มีใครเห็นหลักฐาน และสำนวนการสอบสวนที่แท้จริง กกต.ยังมีเวลาตามกรอบของกฎหมาย

หาก กกต. จังหวัดยังไม่สามารถสรุปสำนวนการสอบสวนส่ง กกต. กลางวินิจฉัยได้ทัน หรือ กกต.ไม่สามารถวินิจฉัยได้ทันตามกรอบเวลา ก็สามารถที่จะรับรองไปก่อนได้ แล้วค่อยสอยทีหลัง

ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่เดือนกว่า กกต. จึงยังมีเวลา และเข้าใจว่า กกต.ก็รู้หน้าที่ รู้กระแสกดดันดี เพื่อเร่งรัดในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ต้องเข้าใจ กกต.ด้วยว่ามีกฎหมายที่ต้องปฏิบัติอยู่

นายหัวไทร

‘เพนกวิน’ โพสต์เดือด เคยมีผลงานทางวิชาการ ตีพิมพ์ พร้อมขอแสดงความไว้อาลัย ต่อผู้บริหาร ม.นเรศวร

นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักเคลื่อนไหวและนักกิจกรรมทางการเมือง ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีที่ถูกยกเลิกการเชิญไปเป็นองค์ปาฐกในงานประชุมวิชาการนักศึกษาระดับปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมีใจความว่า ...

เรียน สลิ่มทุกท่าน
เนื่องจากได้มีสลิ่มหลายท่านกังวลเรื่องว่าตัวผมได้รับเชิญไปเป็นองค์ปาฐกในงานประชุมวิชาการนักศึกษาระดับปริญญาตรีด้านประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จนเป็นเหตุให้สลิ่มเหล่านี้ต้องไปดีดดิ้นกดดันผู้จัดจนทางผู้จัดเขาต้องยกเลิกงาน ขอชี้แจงต่อไปนี้
ผมไม่เคยเรียกตัวเองต่อสาธารณะว่าเป็นนักวิชาการ ส่วนใครจะเรียกผมเป็นนักวิชาการเป็นความเชื่อถือของท่านผู้ให้เกียรติเรียกผมเช่นนั้น แต่ที่มีสลิ่มบางท่านโจมตีผมว่าไม่มีผลงานทางวิชาการนั้น เป็นข้อมูลเท็จ เนื่องจากผมได้เคยตีพิมพ์บทความทางวิชาการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ล้านนาไว้ในหนังสือ Undergrad Review หนึ่งชิ้นเมื่อสมัยผมอยู่มัธยมปลาย และขณะนี้ก็ได้รับการตอบรับตีพิมพ์บทความจากวารสารประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูลวารสารวิชาการ TCI มีกำหนดเผยแพร่เดือนกรกฎาคมนี้ 

นอกจากนี้ ผมมีคอลัมน์ “ของบ่เล่ารู้ลืม” ของเว็บ The101.world เป็นบทความค้นคว้าอิสระและข้อคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ล้านนา ทุกท่านสามารถเข้าไปอ่านผลงานได้ และผมทำรายการประวัติศาสตร์ราษฎรเป็นประจำทุกสุดสัปดาห์ ในส่วนนี้ หากจะถือเป็นการค้นคว้าวิชาการอิสระก็ได้ แต่ถ้าไม่นับก็ไม่เป็นไร

ดังนั้น หากสลิ่มจะโจมตีผมว่าไม่มีผลงาน กรุณาใช้ข้อมูลที่ถูกต้อง ยกเว้นว่าถนัดจะใช้ข่าวปลอมหลอกลวงกล่อมประสาทสลิ่มด้วยกันไปเรื่อย ๆ ก็สุดแท้แต่ อนึ่ง แม้ผมจะยังไม่ได้จบปริญญาโทปริญญาเอก แต่โปรดระลึกว่า บุคคลในดวงใจของพวกคุณที่ชื่นชมว่าเชี่ยวชาญศาสตร์สาขาสารพัดหนักหนานั้น ก็ไม่ได้จบแม้กระทั่งปริญญาตรีแต่อย่างใด
ส่วนผู้บริหารมหาวิทยาลัยนเรศวรที่มีปัญหากับการเชิญผมไปบรรยายแต่ไม่มีปัญหากับการเชิญทหารเข้าไปบรรยายนั้น ขอแสดงความไว้อาลัยไว้ล่วงหน้า พวกท่านเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ไปแล้ว หรือเรียกเป็นภาษาชาวบ้านว่าเป็นกะโหลกกะลานั่นเอง
ด้วยรักและเคารพยิ่ง
เพนกวิน
 

เปิดดีลลับ ‘ทักษิณ’ กลับบ้าน สถานการณ์เปลี่ยน โจทย์ประเทศเปลี่ยน..!!

ยืนยันผ่านรายการ “คุยแหลก  แดกดึก”  ของคุณเธอ..มดดำ    ว่ายังไงๆก็จะกลับประเทศไทยในเดือน ก.ค. คือเดือนหน้านี้...

และเมื่อ 4 มิ.ย.  คุณลูก..อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร   ชินวัตร  ก็ตอบคำถามนักข่าวกลางขบวนงานBangkok Pride  Parade ว่าคุณพ่อจะกลับมาแน่แต่ยังไม่กำหนดวันและรายละเอียดการเดินทาง..

ครับ เล็ก เลียบด่วน กำลังพูดถึงคุณทักษิณ ชินวัตร  นักโทษหนีคดีที่เดินทางออกจากประเทศไทยอ้างว่าไปดูกีฬาโอลิมปิก ปักกิ่งเกมส์ ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2551.. สิริรวม 15 ปีแล้ว..แต่ไม่ยอมกลับประเทศทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครห้าม.. ซึ่งก็เป็นที่รู้กันดีว่าถ้ากลับมาก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมคือติดคุก ซึ่งตอนนี้ทักษิณมีคดีถึงที่สุดแล้ว 3 คดี รวมโทษ 10 ปี  และยังมีคดีที่อยุ่ระหว่างการพิจารณาอีก 2-3 คดี..

แต่ก่อนการเลือกตั้ง 14 พ.ค.และหลังเลือกตั้ง  “ทักษิณ” ประกาศย้ำว่าจะขอกลับบ้านเพื่อเลี้ยงหลาน 7 คนโดยจะยอมรับโทษหรือติดคุก...คำประกาศนี้ทำเอาหลายคนช็อคซีนีมา  แต่หลายคนก็เฉยๆ บอกว่าต่อให้อมโบสถ์มาพูดก็ไม่เชื่อ เพราะทักษิณพูดว่าจะกลับบ้านมา 20 กว่าครั้งแล้ว...

สำหรับเล็ก  เลียบด่วน  แม้จะออกอาการไปทางไม่ค่อยเชื่อ  แต่เมื่อพิจารณาเหตุปัจจัยทางการเมิองรอบนี้แล้วก็ต้องบอกว่า  เงื่อนไขและสภาพการณ์ทางการเมืองมันเอื้ออำนวยอยู่ไม่น้อยที่จะทำให้คนแดนไกลได้ฉวยใช้โอกาสกลับบ้าน...

สถานการณ์วันนี้ผู้คนในสังคมพยายามก้าวข้ามหรือสลายสีเสื้อ  และกล่าวสำหรับฝ่ายอนุรักษ์นิยมเองก็ไม่ได้มองพรรคเพื่อไทยและทักษิณเป็นตัวอันตรายมากเท่ากับพรรคก้าวไกลที่กำลังคั่วเก้าอี้นายกฯ

ฝ่ายอนุรักษ์นิยมปักธงเชื่อว่าหากก้าวไกลขึ้นเป็นรัฐบาล พวกเขาจะเปิดประตูให้กับสหรัฐฯเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในทั้งด้วยตั้งใจและความหลงผิด อ่อนหัด และจากนั้นจะนำพาไปสู่การลดทอนทำลายสถาบันสำคัญของชาติ..

ดังนั้นกรณีทักษิณ ถ้าทุกอย่างเกิดขึ้น..แน่นอนที่สุดการกลับบ้านของทักษิณต้องผ่านข้อตกลงลับพิเศษ..ภายใต้การเคารพกระบวนการยุติธรรมคือมาติดคุกในเบื้องต้น แต่ผ่อนคลายเปิดช่องให้ทักษิณได้มีลมหายใจ เห็นแสงสว่างในเบื้องปลายของชีวิต..
“เล็ก  เลียบด่วน”  เคยเล่าให้ฟังแล้วถึงกฎกระทรวง 2 ฉบับเมื่อปี 2563 ที่อาศัยพ.ร.บ. ราชทัณฑ์ ปี 2560 ออกมาเพื่อเปิดทางให้มีสถานคุมขังพิเศษตามที่กำหนด บางคนถึงขั้นบอกว่าเป็นคุกแบบเซฟเฮ้าส์..ทักษิณกลับมาอาจได้ใช้บริการ

แต่ที่เหนือกว่านั้น..แหล่งข่าวฟันธงว่าถ้าถึงขั้นยอมติดคุก แสดงว่ามีข้อตกลง มีหลักประกันที่จะเปิดโอกาสให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่  และทักษิณก็จะใช้สิทธิในตัวออกไปเลี้ยงหลาน...หรือยิ่งกว่านั้นอาจจะขอแก้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญบางฉบับว่าด้วยวิธีพิจารณาคดี..เพื่อเปิดทางให้ทักษิณแคล้วคลาด...

ไว้โอกาสหน้า เล็ก เลียบด่วน ค่อยกล่าวถึงรายละเอียดและเทคนิคทางกฎหมายอีกครั้ง...เอาเป็นว่าวันนี้ดังที่กล่าวมาคือช่องทางของคนแดนไกล...แต่ดีลลับดีลพิเศษนี้จะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อการเมืองถึงทางตัน การจัดตั้งรัฐบาลก้าวไกลไปต่อไม่ได้ พรรคเพื่อไทยต้องยอมเจ็บปวดย้ายขั้วสลับข้างมาร่วมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม และยินยอมให้ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ ดังที่เล็ก เลียบด่วน ได้วิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้
สวัสดีครับ

‘ดร.เจษฎา’ เปรียบ ‘พิธา ก้าวไกล’ เหมือน ‘ประธานาธิบดียูเครน’ ที่ใช้ความสามารถแก้ไขปัญหาการเมือง จนครองใจ ปชช.ได้สำเร็จ

เมื่อไม่นานนี้ รศ.ดร. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ชื่อ ‘Jessada Denduangboripant’ โดยระบุว่า…

ถ้าบอกว่า ‘คุณพิธา ก้าวไกล’ เท่ากับ ‘ประธานาธิบดีเซเลน สกี ยูเครน’ … ผมถือว่าเป็นการยกย่องให้เกียรติและให้พรกับคุณพิธานะครับ

เพราะสำหรับผม เซเลน สกี เป็นผู้นำที่กล้าหาญ และประสบความสำเร็จในการป้องกันรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศยูเครน และน่าจะเป็นอีกหนึ่งตำนานผู้นำที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องต่อไป ในหน้าประวัติศาสตร์โลกสมัยใหม่ อีก 10-20 ปีข้างหน้า

เหล่าสลิ่มสยามมินสกี ชอบเอาเรื่องที่ ปธน. เซเลน สกี เคยเป็นนักแสดงมาก่อน เอามาล้อเลียนว่าเป็น ‘ตัวตลก ที่มาเป็นผู้นำทัพ’

ซึ่งนั่นก็คือ การหาเรื่องเหยียดหยาม ด้อยค่าคนอื่น โดยไม่ดูที่ข้อมูลประกอบว่าจริงๆ แล้ว อดีต ‘ตัวตลก’ คนนี้ มีพื้นฐานทางการศึกษาปริญญาตรีทางกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยเศรษฐกิจแห่งชาติ กรุงเคียฟ อันมีชื่อเสียง และด้วยความที่เค้ามีพรสวรรค์ในด้านงานแสดง จึงได้หันเห มาทำอาชีพด้านบันเทิงในบทบาทของ ‘ดาราตลก’ จนมีชื่อเสียงโด่งดัง

พร้อมไปกับการทำธุรกิจบริษัทโปรดักชัน ผู้ผลิตภาพยนตร์ การ์ตูน และรายการโทรทัศน์ จนประสบความสำเร็จอย่างมาก ทั้งด้านรายได้และได้รางวัลต่างๆ มากกว่า 30 รางวัล ทั้งจากในประเทศและจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ และเวทีสื่อต่างๆ

(เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับ คุณปัญญา นิรันดร์กุล ที่จบคณะสถาปัตยกรรม จุฬาฯ แต่ผันตัวมาโด่งดังจากการเป็นดารานักแสดงตลก แล้วทำธุรกิจด้านบันเทิง จนประสบความสำเร็จกับเวิร์กพอยท์ที่ยิ่งใหญ่จนถึงวันนี้)

และเมื่อประสบความสำเร็จทั้งด้านการแสดงและด้านธุรกิจแล้ว เซเลน สกี ก็ตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยใช้รูปแบบการออกทัวร์แสดงและใช้โซเชียลมีเดียเป็นหลัก เน้นการแก้ไขปัญหาทุจริต และยุติความขัดแย้งของกบฏในแคว้นทางตะวันออกของประเทศ จนติดอันดับต้น ๆ ของโพลเลือกตั้ง และสุดท้ายก็ชนะการเลือกตั้งไปอย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงถึง 73.2%!!

เมื่อเลือกตั้งเสร็จ มีอดีตผู้นำทางการเมืองของยูเครน ได้ปรามาสเซเลน สกีไว้ว่า เขาจะทำให้ยูเครนกลับไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสเซียอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขาไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง และเป็นคนที่พื้นเพเดิม เกิดมาพูดภาษารัสเซีย เติบโตในภาคตะวันออกของยูเครนที่นิยมรัสเซียด้วยซ้ำ

แต่กลายเป็นว่า เซเลน สกีได้สร้างรัฐบาลที่มีความเป็นเอกภาพ พยายามวางตัวอยู่ตรงกลางระหว่างเกมของมหาอำนาจ และไม่ยอมตามความต้องการเป๊ะๆ ของรัสเซียและสหรัฐอเมริกา 

โดยเขาพยายามที่จะอิงไปทางสหภาพยุโรป ด้วยการสนับสนุนให้ยูเครนเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) และ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือเนโต้ (NATO) และ ผ่านแนวทางการขอประชามติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวยูเครน ซึ่งจากโพล ประชาชนยูเครนกว่า 88% สนับสนุนการเข้าร่วมกับ EU และ 83% สนับสนุนการเข้าร่วม NATO (ซึ่งผลโพลนี้เริ่มพุ่งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 )

ต้องอย่าลืมว่า จริง ๆ แล้ว รัสเซียบุกเข้ามารุกรานประเทศยูเครน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 จนยึดคาบสมุทรไครเมียของยูเครนไปแล้ว นั่นคือ รัสเซียก่อสงครามมานานหลายปีแล้ว ก่อนที่เซเลน สกีจะขึ้นเป็นประธานาธิบดีในปี 2019 ไม่ใช่ว่าเซเลน สกี คือสาเหตุที่ยั่วยุให้รัสเซียเริ่มก่อสงคราม
การที่กองทัพรัสเซีย ภายใต้การนำของจอมเผด็จการปูติน ยกกำลังมากมายเข้ามาบุกประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 นั้น ก็เพียงเพราะปูตินต้องการจะยึดครองยูเครน ต้องการจะขยายอาณาจักรรัสเซียออกไปตามความฝันของตัวเอง ที่เหลือก็แค่เอาสารพัดเรื่องมาอ้างๆๆ ไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่ยอมรับว่ายูเครนเป็นประเทศที่มีเอกราช มีอธิปไตยเป็นของตนเอง แต่มองว่าเป็นอดีตอาณานิคมของจักรวรรดิรัสเซีย ที่ต้องไปยึดกลับมารวมกัน

การที่ปูตินเอาเรื่องที่ยูเครนอยากจะเข้าร่วมกับ EU และ NATO มาอ้างให้เป็นเหตุต้องบุกเข้าไปยึดประเทศอื่นนั้น ก็เป็นเรื่องตอแหลมากๆ เพราะใครๆ ก็รู้ว่ามันเป็นกระบวนการที่ปรกติต้องใช้เวลายาวนานหลายปี (อาจเป็นสิบปี) ถึงจะทำได้สำเร็จ หรือถ้าแค่ประเทศสมาชิกคัดค้านซักประเทศเดียว ยูเครนก็เข้าร่วมกับเนโต้ไม่ได้แล้ว… ไม่ใช่ว่าต้องรีบยกทัพไปรุกรานเขา

การรุกรานบูรณภาพของดินแดนยูเครน ของรัสเซียนั้น เป็นที่ชัดเจนว่า เป็นการละเมิดกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ จำนวนหลายฉบับ ไม่ว่าจะกฎบัตรสหประชาชาติ (UN) สัญญา Budapest Memorandum (ปี 1994 ที่ยูเครนยอมคืนระเบิดนิวเคลียร์ทั้งหมดให้รัสเซีย เพื่อแลกกับการไม่รุกราน), สัญญา Treaty of Friendship (ปี 1997), รวมไปถึงสัญญา Minsk II (ปี 2015) ที่มีข้อผูกมัดให้รัสเซียถอนทหารตัวเองออกจากยูเครน คืนการควบคุมชายแดนให้รัฐบาลในเคียฟ และให้ยูเครนจัดการเลือกตั้งทำประชาติในแคว้นดอนบาส // ในขณะที่ ยูเครนเองไม่เคยมีการทำสัญญาลงนามอะไร เรื่องที่ห้ามเข้าร่วม NATO เหมือนอย่างที่สลิ่มสยามมินสกีบางคน เอามาอ้างจากไหนก็ไม่รู้

และเมื่อกองทัพรัสเซียของปูติน เข้ารุกรานยูเครน พยายามบุกเข้ายึดกรุงเคียฟ ในปี 2022 ประธานาธิบดีเซเลน สกี ก็ได้กลายเป็นผู้นำที่ประชาชนชาวยูเครนศรัทธายิ่งขึ้นไปอีก จากการที่ไม่หลบหนีออกนอกประเทศ ตามที่ปูตินและแม้แต่ผู้นำชาติตะวันตกอื่นๆ คาดกัน (และจะทำให้รัสเซียยึดยูเครนได้ใน 3 วันตามที่ปูตินวางแผนไว้) แต่กลับไม่หนีไปไหน พร้อมทั้งปล่อยคลิปวิดีโอในคืนวันถัดมา กล่าวว่า

“อย่าเชื่อข่าวปลอม ผมยังอยู่ที่นี่ เราจะไม่วางอาวุธ เราจะปกป้องประเทศของเรา เพราะอาวุธของเราคือความจริง และที่นี่คือ ผืนแผ่นดินของเรา ประเทศของเรา ลูกหลานของเรา พวกเราจะปกป้องสิ่งเหล่านี้ และนี่คือสิ่งที่ผมอยากบอกพวกคุณ ยูเครนจงเจริญ​”

เซเลน สกี ได้สร้างขวัญและกำลังใจให้กับทหารและประชาชนชาวยูเครน ที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อเอกราช แม้ว่ากองกำลังรัสเซียจะกำลังรุกคืบหน้าเข้าสู่กรุงเคียฟ ทั้งเซเลน สกีและคนยูเครนเอง ไม่คิดที่จะยอมแพ้ ยอมเจรจาแลกดินแดนยูเครนให้กับความสงบจอมปลอม ที่ปูตินจะมอบให้ เพราะรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้รัสเซียเข้ามาปกครอง ก็จะถูกปล้นสะดม เข่นฆ่า สูญเสียอิสรภาพและประชาธิปไตยไปเหมือนกับในหลายๆ เมือง ตลอดเส้นทางที่กองทัพรัสเซียบุกยึดได้

แต่ในทางกลับกัน ปธน. เซเลน สกี ได้ใช้ความสามารถในการสื่อสารที่มักจะกระชับ ทรงพลัง และกินใจผู้ฟัง ให้เป็นอาวุธสำคัญที่พลิกเกม จากประเทศที่อ่อนด้อยทางการทหารให้สามารถยันกับประเทศมหาอำนาจทางการทหารอันดับ 2 ของโลก ได้เป็นเวลาแรมปี ด้วยการสื่อสารไปยังชาติอื่น ๆ ที่เป็นพันธมิตร โดยเฉพาะกับประเทศในยุโรป ดังตัวอย่างเช่น สุนทรพจน์ที่ว่า

“เรากำลังต่อสู้เพื่อเป็นสมาชิกที่เท่าเทียมของยุโรป จงพิสูจน์ว่าคุณอยู่กับเรา จงพิสูจน์ว่าคุณจะไม่ปล่อยเราไป จงพิสูจน์ว่าคุณเป็นคนยุโรป จริง ๆ แล้วชีวิตจะชนะความตาย และแสงสว่างจะชนะความมืด”

จนชาติพันธมิตรต่างๆ ทั้งในสหภาพยุโรปและในเนโต้ รับปากจะจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับยูเครน นานตราบเท่าที่ยูเครนต้องการใช้ เพื่อต่อสู้กับรัสเซีย

ดังนั้น แม้ว่าใครจะมองว่า ปธน. เซเลน สกี คือ อดีตดาราตลก เค้าก็เป็นอดีตดาราตลกที่พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า เป็นผู้นำอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถนำพาประเทศต่อสู้กับวิกฤติ จากเงื้อมมือของอริราชศัตรูที่เหนือกว่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจ เป็นกำลังใจสำคัญ ของชาวยูเครนในช่วงเวลาอันมืดมิด ให้พอเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์

ย้อนกลับมาเรื่องคุณพิธา ผมก็ไม่ได้เห็นว่าทางพรรคก้าวไกลเค้ามีนโยบายอะไรที่จะทำให้ไทยเราต้องโดน ‘ประเทศมหาอำนาจ’ เข้ามาบุกยึดครองแบบที่รัสเซียบุกยูเครน… ที่เห็นยกๆ กันมาด่า (เช่น เรื่องจะตั้งฐานทัพอเมริกาในไทย เรื่อง นาโต้ 2 เรื่องสงครามตัวแทน ฯลฯ) ก็มโน อุปาทาน ปั่นข่าวกันไปเองทั้งนั้น

ซ้ำร้าย การที่เราอิงแอบแต่จีน แบบที่รัฐบาลประยุทธ และ คสช. ทำมาในอดีต และจะทำต่อไปในอนาคต ต่างหาก ที่อาจจะทำให้เสียสมดุลย์อำนาจทางภูมิศาสตร์ในภูมิภาคนี้ จนเกิดปัญหาขึ้นตามมาได้

สรุปว่า ถ้ามีความพยายามจะผูกคุณพิธา เข้ากับ ปธน.เซเลน สกี โดยอ้างว่าจะเป็นการทำให้ไทยเราเกิดสงครามขึ้นในอนาคตเหมือนกับยูเครน ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องมั่วมาก (และดูน่ารังเกียจด้วยกับการเล่นอะไรแบบนี้)

ขณะที่จริงๆ แล้ว ถ้าคุณพิธา สามารถจะกลายเป็นผู้นำที่ครองใจและเป็นที่พึ่งของคนส่วนใหญ่ในประเทศ พร้อมทั้งมีความสามารถในการหาพันธมิตรมาช่วยเหลือได้ ในยามที่ประเทศเกิดวิกฤติขึ้น แบบที่เซเลน สกีทำ ก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากครับ

ปล.โพสต์นี้น่าจะเรียกทัวร์จากเหล่าสลิ่มสยามมินสกีได้เยอะเลยนะ แต่ผมไม่แคร์ ฮะๆ

‘พิธา’ กับวิกฤตหุ้นสื่อไอทีวีที่ต้องเผชิญ เมื่อสังคมต่างตั้งคำถาม แม้จะเจ้าตัวยืนยันว่า พร้อมชี้แจง กกต. และขอเดินหน้าจัดตั้ง รบ.ต่อ

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้ออกมายอมรับว่า มีการโอนหุ้นสื่อไอทีวีของตนเองแล้ว และมีความพร้อมที่จะชี้แจงต่อ กกต.

ประเด็นถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา คงต้องรอ กกต.ว่าจะวินิจฉัยออกมาอย่างไร จะยกคำร้อง หรือจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน

‘หุ้นไอทีวี’ เป็นประเด็นที่กระทบต่อการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล ยิ่งถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ไอทีวียังอยู่ และยังผลิตสื่ออยู่ จะยิ่งเป็นอุปสรรคต่อนายพิธาในการก้าวเดินต่อไป

จากประเด็นการถือหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธา ทำให้เกิดข้อสงสัยและเกิดการตั้งคำถามตามมาอีกหลายประเด็น เช่น

- ข้อต้องห้ามการลงสมัคร ส.ส.ห้ามเป็นเจ้าของ หรือถือหุ้นสื่อ
- ข้อบังคับพรรคก้าวไกล ห้ามสมาชิกพรรคเป็นเจ้าของสื่อ และถือหุ้นสื่อ
- นายพิธาถือหุ้นไอทีวีมาตั้งแต่ปี 2549 หลังพ่อเสีย ทำให้หุ้นก้อนนี้ตกทอดมาถึงทายาท
- ปี 2562 นายพิธาลงสมัคร ส.ส.มาแล้วครั้งหนึ่ง และได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ การถือหุ้นไอทีวีของนายพิธาจะกระทบถึงการเป็น ส.ส.ปี 2562 หรือไม่?
- นายพิธาไม่มีคุณสมบัติเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล จะเป็นหัวหน้าพรรคได้หรือ?
- นายพิธาเซ็นรับรองผู้สมัคร ส.ส.ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ จะถือเป็นโมฆะหรือไม่?
- ผู้สมัครก้าวไกลที่มีคะแนนนำ จะได้เป็น ส.ส.หรือไม่?
- คะแนนพรรคจะสามารถเอามาคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อก้าวไกลได้หรือไม่?

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นประเด็นคำถามทั้งสิ้น ยังไม่นับรวมเรื่องรัฐธรรมนูญอีกหลายมาตรา ตัวอย่างเช่น

1.) การเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 นั้น ดำเนินการก่อนปิดรับสมัคร ส.ส. ซึ่งนายพิธาถือหุ้นไอทีวีอยู่
2.) มาตรา 89 (2) ผู้ได้รับการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 160
3.) มาตรา 160 (6) ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98
4.) มาตรา 98 (3) ห้ามผู้สมัคร ส.ส.เป็นเจ้าของ หรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ

ดังนั้น ถ้าตีความตามนี้ก็น่าจะถือว่า นายพิธา ‘ขาดคุณสมบัติ’ ตั้งแต่วันปิดรับสมัครตามมาตรา 88 ในวันที่ 4-7 เมษายน 2566 แล้วครับ (ตามความเห็นของ สว.สมชาย แสวงการ)

แต่หนทางที่ถูกต้องชอบธรรมที่สุด คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหน้าที่สรุปข้อเท็จจริงส่งศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยให้เป็นที่ยุติครับ คำวินิจศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุด คำวิฉัยศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร

‘หุ้นไอทีวี’ วิบากกรรมของ ‘พิธา’ จากคดีบ่ายหน้าสู่ศาล รธน. เปิดไส้ใน ม.151 พ.ร.ป. เลือกตั้ง…ดับฝันแคนดิเดตนายกฯ?

แล้วในที่สุด นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้กำลังเผชิญหน้ากับปมคุณสมบัติ ‘ถือหุ้นสื่อ’ ซึ่งเป็นปมที่เดิมพันตำแหน่งว่าที่นายกรัฐมนตรีและอนาคตทางการเมือง… ก็เปิดไพ่ เปิดปากออกมาแล้ว ว่าในฐานะผู้จัดการมรดก ได้โอนหุ้นของไอทีวีให้กับทาทายาทเรียบร้อยแล้ว เมื่อปลายเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา… นายพิธาได้ตั้งประเด็นในการชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า…

“ผมพร้อมสู้กับความพยายามคืนชีพไอทีวี เพื่อสกัดกั้นพวกเรา”

ซึ่งสรุปความได้ว่า สถานีโทรทัศน์ไอทีวีที่ได้หมดสภาพความเป็นสื่อไปตั้งแต่ปี 2551 แล้วนั้น กำลังถูกปลุกให้คืนชีพเป็นสื่ออีกครั้งด้วยกลเกมบาง…

การตั้งประเด็นดังกล่าว ทำให้เกิดการตั้งคำถาม ตีความกันมันปากของด้อมส้มว่า “ใช่เครือข่ายของเจ้าสัวพลังงานใหญ่ ที่เป็นเจ้าของไอทีวีขณะนี้หรือไม่ที่วางเกม?” ขณะที่อีกฝ่ายก็มองว่า คุณพิธาน่าจะมโนเกินจริง เขาแค่ต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิ์ในใบอนุญาตประกอบธุรกิจสื่อแค่นั้นเอง ไม่ว่าจะอย่างไร… พลันที่ข่าวการชี้แจงของคุณพิธากระจายไปทำให้มือกฎหมายหลายคนบอกว่า โอกาสที่คุณพิธารอดมีสูงมาก… นายไพศาล พืชมงคล เจ้าสำนักกฎหมายธรรมนิติ อดีตกุนซือลุงป้อม ถึงขั้นชมเปาะว่ามือกฎหมายของคุณพิธาแน่มาก เพราะการโอนหุ้นสละหุ้นดังกล่าวเท่ากับว่า คุณพิธาไม่เคยถือหุ้นดังกล่าวมาแต่ต้น…

แต่อีกด้านหนึ่ง นักสังเกตการณ์ทางการเมืองหลายคนฟันธงว่า การโอนหุ้นดังกล่าว น่าจะเป็นการร้อนตัวของคุณพิธา และเท่ากับยอมรับว่าถือหุ้นสื่อมาแต่ต้น ความผิดสำเร็จแล้ว… คุณพิธารอดยาก

ความเชื่อของฝ่ายที่ว่า คุณพิธารอดยาก ดูจะมีน้ำหนักมากขึ้น เมื่อในวันเดียวกันมีรายงานข่าวจาก กกต.ระบุว่า คณะทำงานได้ส่งเรื่องการร้องเรียน กรณีคุณพิธามีความผิดตามมาตรา 151 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ.2561 หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า พ.ร.ป.เลือกตั้ง ถึงมือ กกต.ชุดใหญ่แล้ว

มาดู พ.ร.ป.เนื้อหาเลือกตั้ง 2561 กันแบบเต็มๆ…

วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้น มีกําหนดยี่สิบปี”

วรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้กระทําความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นผู้ซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ศาลมีคําสั่งให้ผู้นั้นคืนเงินประจําตําแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ได้รับมาเนื่องจากการดํารงตําแหน่ง ดังกล่าวให้แก่สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย”

ครับ… นั่นคือเนื้อหามาตรา 151 ที่น่าสะพรึงกลัวไม่น้อย ไม่เชื่อก็ลองไปถามอดีต ส.ส.สิระ เจนจาคะ ที่ได้สัมผัสรสชาติมาแล้ว

กรณีของคุณพิธา ตามรายงานข่าวระบุว่า ทาง กกต.ชุดใหญ่ได้ส่งเรื่องกลับให้ทำรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อพิจารณาต่อไปโดยไม่ชักช้า ซึ่งเอาเข้าจริงๆ อาจจะมีความผิดในมาตราอื่นๆ ด้วย

คำถามที่น่าสนใจมีอยู่ว่า เรื่องนี้ผ่านจากมือ กกต.แล้วจะไปสู่ศาลฎีกา หรือศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งแม้แต่ ดร.วิษณุ เครืองาม กูรูกฎหมายก็ไม่ยอมตอบคำถามนักข่าว…

สำหรับ เล็ก เลียบด่วน ตรวจสอบดูแล้วก็ขอฟันธงว่า ท้ายที่สุดเรื่องจะถูกส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเลยช่วงการเลือกตั้งมาแล้ว ประเด็นปัญหาเป็นกรณีคุณสมบัติการเข้าสู่ตำแหน่ง ไม่ใช่การทุจริตเลือกตั้งแบบใบเหลืองหรือใบส้ม… และภายใต้ความละเอียดรอบคอบ (ซะไม่มี) ของ 7 เสือ กกต.คุณพิธาก็น่าจะได้รับรองผลความเป็น ส.ส.ไปก่อน… จากนั้นเมื่อยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ศาลจะรับเรื่องหรือไม่ หรือรับแล้วจะสั่งให้คุณพิธายุติการปฏิบัติหน้าที่ในวันใด ช่วงใด โปรดติดตามกันต่อไป… เอวัง!!

เรื่อง : เล็ก เลียบด่วน

จตุพร’ มั่นใจ!! ‘พิธา’ อาจก้าวไม่ไกลถึง ‘นายกฯ’ ปมถือหุ้นสื่อ-ไม่สามารถรวมเสียงได้ถึง 376 เสียง

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 66 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน ‘หนีความจริงไม่พ้น….’

นายจตุพร กล่าวตอนหนึ่งว่า คุณสมบัติสมาชิกพรรคการเมือง ผู้สมัคร ส.ส. และแคนดิเดตนายกฯ นั้น ไม่ใช่เรื่องจะนำมาวัดค่าว่า เป็นคนดีหรือไม่ดี อีกทั้งไม่เกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบ แต่เป็นข้อกฎหมายห้ามไว้ให้กระทำได้หรือทำไม่ได้ ดังนั้น กฎหมายจึงเป็นหลักในการชี้ขาดคุณสมบัติทางการเมือง

กรณีการถือหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ล้วนเป็นต้นตอมาจากตัวเองฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมาย โดยตอนแรกอาจไม่คาดคิดจะเกิดปัญหาขึ้น ส่วนวันนี้จะยอมรับความจริงหรือไม่ก็ตาม ก็หนีไม่พ้น อย่างไรก็ตาม แม้เทขายหรือโอนหุ้นออกไปจากตัวเองแล้ว แต่ไม่มีผลอะไรที่จะหนีข้อห้ามตามกฎหมาย ซึ่งได้กระทำมาตั้งแต่ต้นแล้ว

“ปมการถือหุ้นของนายพิธา ขณะนี้ทุกฝ่ายล้วนเล่นเกมกันหลายฝ่าย เป็นเกมที่เริ่มตั้งแต่การออกกติกา แล้วช่วงแข่งขันเลือกตั้งก็ยังเล่นเกมลำหักลำโค่นชิงชัยชนะกันอยู่ อีกทั้งยังมีเกมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาผสมส่วนร่วมเล่นกรณีแจกใบเหลือง แดง ส้มกับว่าที่ ส.ส. ประมาณ 30 คนด้วย หากในจำนวนนี้มีบางส่วนหรือบางคนเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาถมทับหนักเข้าไปอีก โดยอาจถึงขั้นมีความผิดอาจลามไปถึงยุบพรรค ดังนั้น จึงควรจับตาในช่วง กกต.จะประกาศรับรอง ส.ส. ในเดือน มิ.ย. นี้จะได้ครบถ้วนจำนวน 95% ของจำนวน ส.ส. 500 คนหรือไม่ เพื่อนำไปสู่การเปิดประชุมสภาได้เลือกตำแหน่งประธานสภา” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพรกล่าวว่า นายพิธา ควรต้องทำใจเย็นเอาไว้ พร้อมทั้งต้องคิดถึงการแก้ปัญหาจะเป็นอย่างไร หากจะสู้ให้รอด จะเป็นได้จริงหรือไม่ หรือถ้ารอดโดยให้มีโทษจะลดน้อยไม่ก่อกระทบกับคนอื่นอย่างไร ดังนั้น หลักคิดจึงอยู่ที่ความรับผิดชอบ ไม่ใช่เรื่องดี-ชั่ว ถึงอย่างไร แม้ไม่มีคดีหุ้นเป็นอุปสรรคในชัยชนะแล้วก็ตาม แต่โอกาสได้เป็นนายกฯ ยังยากอยู่ดี เพราะไม่ได้เสียงครบ 376 เสียงจากทั้งหมด 750 เสียงของสองสภารวมกัน

“พวก คสช.คณะยึดอำนาจชุดนี้ เหมือนทำวิจัยในช่วง 90 ปีมาอย่างดี โดยพิจารณาข้อดี ข้อด้อยของแต่ละรัฐบาลที่ผ่านมา และยังศึกษาความบกพร่องและอารมณ์ของคนไทย ดังนั้น ถ้า 3 ป. เป็นคนหักไม่ยอมงอ ประเภทคำไหนคำนั้น พวกเขาคงไปจากอำนาจนานแล้ว แต่คนพวกนี้กลับมีทั้งเล่นบทอ่อนและแข็งยึดหยุ่นกันไป เมื่อเสนอเรื่องอะไรถ้าถูกค้านก็ถอย ดังนั้นพวกเขาปกครองด้วยการไม่ใช่วิถีคนจริง แต่เป็นการลู่แรงลมต้านในบางช่วงขณะให้เกิดบรรยากาศผ่อนคลาย แล้วคนไทยก็เบาใจมาตลอด 9 ปี” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลรอบนี้ มีปัจจัยภายนอกเป็นเงื่อนไขทับซ้อนมากมาย 
วันนี้คนคิดเป็นนายกฯ ยังเห็นหน้าลอยในมุมมืดเฝ้ารอคอยอยู่ ส่วนนายพิธา ตนมั่นใจว่า ไม่ได้เป็นนายกฯ 100% เพราะมีคุณสมบัติต้องห้ามและไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ถึง 376 เสียง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงทางกฎหมายและเกมกติกากำหนด โดยไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ตามที่อารมณ์ความรู้สึกต้องการ

เล็งชง ‘นิกม์’ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ มาเป็นพยานปากเอกคดีถือหุ้นสื่อไอทีวีของ ‘พิธา’

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรจะเชิญนายนิกม์ แสงศิรินาวิน ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย เขต 17 คลองสามวา กทม. มาเป็นพยานกรณีการถือหุ้นสื่อไอทีวีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคก้าวไกล

นายนิกม์เป็นผู้ให้สัมภาษณ์คนแรกเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา โดยนายนิกม์เคยเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 และได้ถือหุ้นไอทีวีเช่นเดียวกับนายพิธา ซึ่งตอนนั้นพรรคอนาคตใหม่มี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

แต่ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตัดสิทธิ์นายธนาธร นายนิกม์ก็ไม่ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.แต่นายพิธาได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. โดยที่ขณะนั้นนายพิธายังไม่ได้มีการขายหุ้น กกต.จึงควรเอานายนิกม์เข้ามาเป็นพยานบุคคล

ถ้า กกต.ไม่สามารถเชิญนายนิกม์มาให้ปากคำเป็นพยานได้ ก็ควรจะเชิญสื่อมวลชนที่สัมภาษณ์นายนิกม์เกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นพยาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top