Thursday, 12 June 2025
Politics

“บิ๊กป้อม” มึน แคนดิเดตผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช จ่อตบเท้าเข้าพบ โวยสื่อรู้ได้ไงทั้งที่ตนยังไม่เคยเจอเลย เผยเตรียมหารือเรื่องนี้กับกรรมการบริหารพรรค 4 ก.พ. นี้ ยัน ไม่แตกคอพรรคประชาธิปัตย์ หลัง ‘จุรินทร์” ออกมาระบุแกนนำรัฐบาลควรหลีกทาง

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีที่มีข่าวว่าในส.ส.นครศรีธรรมราช และส.ส.ภาคใต้ของพรรคบางส่วน จะพานายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช ไปเปิดตัวที่พรรคพลังประชารัฐ และจะนำเข้าพบ พล.อ.ประวิตร ว่า “สื่อรู้ได้อย่างไร ผมยังไม่เจอเขาเลย สื่อที่ไหนรายงาน และการจะพิจารณาว่าจะส่งผู้สมัครหรือไม่ จะต้องรอประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ในวันที่ 4 ก.พ.นี้

ส่วนกรณีที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า หากเป็นแกนนำรัฐบาลจะให้เจ้าของพื้นที่เดิมส่งผู้สมัคร โดยไม่ส่งผู้สมัครแข่ง รองนายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องของเขา จะไปรู้ด้วยได้อย่างไร สื่อถามอย่างนี้จะตอบอย่างไร เพราะไม่ได้ถามเรื่องของตน และเรื่องนี้เป็นเรื่องประชาธิปไตย ย้ำว่าที่ผ่านมาผู้สมัครของเราก็แพ้ไม่กี่พันคะแนน ทั้งนี้ ยืนยันว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาบานปลายกับพรรคประชาธิปัตย์ มีแต่พวกสื่อนี่แหละที่จะพูดและถามให้เป็นปัญหา เพราะเขาก็ระบุว่าใครจะลงสมัครก็ได้

เมื่อถามว่าต้องคุยกับนายจุรินทร์หรือไม่ เรื่องการส่งผู้สมัคร พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จะคุยอะไรก็พูดอยู่นี่ และคุยอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องตกลงอะไรกัน เมื่อถามย้ำว่าถ้าพรรคพปชร.หลีกทางไม่ส่งผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมส.ส.นครฯ แล้วพรรคประชาธิปัตย์จะหลีกทางไม่ส่งผู้สมัครสมัครผู้ว่าฯ กทม. หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ผมไม่คิดจะส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ดังนั้นจะมาส่งในนามพรรคได้อย่างไร

ส่วนกรณีที่มีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ร้องเรียนว่าถูกผู้บังคับบัญชาเรียกรับเงินโดยอ้างว่าเป็นเด็กเส้นของผู้ใหญ่ในรัฐบาล ว่า “เป็นเรื่องของเขา เขาทำด้วยตัวเขาเอง แล้วจะให้ผมทำอย่างไร เพราะที่ผ่านมากำชับตลอดเวลา ซึ่งแต่ละคนเขาก็คิดไม่เหมือนกัน”

ครม.ไฟเขียวแก้กฎกระทรวงให้ ใส่ชื่อตัวเอง บนแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ระบุให้ มีตัวอักษรผสมสระ และ วรรณยุกต์ ได้ เล็งเปิดประมูลเป็นการทั่วไป นำรายได้เข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน หลัง "ขนส่ง" ประกาศใช้

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบหลักการกำหนดแผ่นป้ายทะเบียนรูปแบบพิเศษ โดยกำหนดให้ผู้ที่อยากมีป้ายทะเบียนรถยนต์ที่มีชื่อของตัวเองสามารถมีได้

หลังจากครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดขนาด ลักษณะ และสีของแผ่นป้ายทะเบียนรถและการแสดงแผ่นป้ายทะเบียนรถและเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีประจำปี เป็นที่เรียบร้อย ขั้นตอนต่อไปก็จะต้องดำเนินการตามขั้นตอน ซึ่งทางกรมการขนส่งทางบกจะไปออกประกาศให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

สำหรับสาระสำคัญของกฎหมาย เป็นการกำหนดให้ลักษณะของแผ่นป้ายทะเบียนสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน มีตัวอักษรมากกว่า 2 ตัว หรือตัวอักษรผสมสระ หรือ วรรณยุกต์ หรือตัวเลขได้ เพื่อนำลักษณะแผ่นป้ายดังกล่าวและหมายเลขทะเบียนซึ่งเป็นที่นิยมหรือเป็นที่ต้องการของประชาชนออกเปิดประมูลเป็นการทั่วไป เพื่อนำรายได้เข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน

ทั้งนี้ในปัจจุบันได้มีการกำหนดลักษณะของแผ่นป้ายทะเบียนของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน และรถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล จะแบ่งออกเป็น 2 บรรทัด บรรทัดที่ 1 ประกอบด้วยตัวอักษรประจำหมวดตัวที่ 1 ตัวอักษรประจำหมวดตัวที่ 2 และหมายเลขทะเบียนไม่เกิน4หลัก บรรทัดที่ 2 เป็นตัวอักษรแสดงชื่อจังหวัด

"อย่างเช่นชื่อไตรศุลี ก็สามารถใส่เป็น ไตรศุลี 1 ศรีสะเกษ ได้" นางสาวไตรศุลี กล่าวยกตัวอย่าง

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ โต้ ‘ณฐพร โตประยุร’ เลอะเทอะ ไร้สาระ หลังยื่น กกต.ยุบพรรคก้าวไกล เหตุส.ส.ของพรรคใช้ตำแหน่งประกันตัวผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ชี้เป็นแค่คนในระบอบสืบทอดอำนาจ คสช. ที่ออกมาหาเรื่องเท่านั้น

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถึงกรณีที่นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นกกต.ยุบพรรคก้าวไกล ประกันตัวผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 โดยระบุว่า

เลอะเทอะ

ผมได้ติดตามข่าวและได้อ่านเอกสารคำร้องที่คุณณฐพร โตประยูร ที่ได้ส่งให้ กกต. แล้ว ผมไม่มีอะไรจะพูดอะไรมาก นอกจากคำว่า ‘เลอะเทอะ’ และ ‘ไร้สาระ’

คุณณฐพร โตประยูร ชื่อคุ้นๆ เพราะเป็นหนึ่งในผู้เกี่ยวของกับคดีฟอกเงินที่ดินคลองจั่นเกือบ 5 ร้อยล้านบาท เป็นผู้สนับสนุนระบอบสืบทอดอำนาจ คสช. และเขาก็ยังเป็นคนเดียวกับที่เคยยื่นให้ยุบพรรคอนาคตใหม่คดี ‘อิลูมินาติ’ ด้วย ซึ่งในคดีนั้นก็จบลงที่ศาลวินิจฉัยไม่ยุบพรรคอนาคตใหม่ เนื่องจากไม่ได้มีการล้มล้างการปกครองหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแต่อย่างใด

คำร้องยุบพรรคที่คุณณฐพรเขียนมาวันนี้ ข้อเท็จจริงที่กล่าวอ้างมาก็ไม่มีส่วนไหนเลยที่สนับสนุนสิ่งที่ตัวเองกล่าวหา ซึ่งอ่านทั้งหมดแล้วก็รู้สึกว่าไร้สาระยิ่งกว่าคดี ‘อิลูมินาติ’ เสียอีก ดังนั้น ทางผมและพรรคกำลังพิจารณาฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณณฐพร โตประยูร ในความผิดมาตรา 101 แห่ง พ.ร.บ.พรรคการเมือง พ.ศ.2560

ในข้อหาที่ว่า “ผู้ใดแจ้งหรือกล่าวหาพรรคการเมืองหรือบุคคลใดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ต่อคณะกรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยรู้อยู่ว่าเป็นความเท็จต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น...”

สุดท้ายนี้ เมื่อดูภาพรวมประกอบบริบทสถานการณ์แล้ว การยื่นคำร้องยุบพรรคก้าวไกลแบบนี้ คิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากความตั้งใจก่อกวนให้พวกเราเสียสมาธิในการทำงาน และเบี่ยงประเด็นกลบเกลื่อนความผิดพลาดในการบริหารงานของรัฐบาล ที่จะถูกแฉในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมีขึ้นใน 2 สัปดาห์ข้างหน้านี้

ขอเชิญชวนประชาชนทุกท่าน อย่าลืมติดตามการประชุมสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งจะเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป พรรคก้าวไกลพร้อมอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ พวกเรายืนยันจะทำเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ภาษีทุกบาททุกสตางค์ต้องถูกใช้อย่างคุ้มค่าและโปร่งใส

‘อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ’ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3 ประกาศพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ในนามพรรคพลังประชารัฐอีกรอบ หวังล้างตาสำเร็จ

ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 3 เดินทางมาเปิดตัวแสดงความพร้อม ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส. นครศรีธรรมราช ว่า วันนี้มาแสดงความจำนง เพื่อขอลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม แทนนายเทพไท เสนพงศ์ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง โดยเป็นการดำเนินการตามขั้นตอน ก่อนที่กรรมการบริหารพรรคจะประชุมเพื่อเลือกตามขั้นตอน โดยพร้อมแข่งขันไม่ว่าจะเป็นกับพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคการเมืองใดก็แล้วแต่ เพราะคือวิถีทางประชาธิปไตย ที่จะต้องมีการเลือกตั้ง และให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ

โดยไม่ได้คิดว่าจะได้รับเลือกหรือไม่ได้รับเลือก ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น และส่วนตัวก็รู้จักนายเทพไท และน้องชายของนายเป็นอย่างดี เพราะทำงานในพื้นที่ก็ได้เจอกัน ส่วนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ตนได้คะแนนห่างจากนายเทพไท ไม่มาก ในครั้งนี้จึงเชื่อมั่นว่าประชาชนจะไว้วางใจพรรคพลังประชารัฐ

ผู้สื่อข่าวถามว่าบรรยากาศการเลือกตั้งจะดุเดือดหรือไม่ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ประกาศจะรักษาแชมป์ไว้ให้ได้ นายอาญาสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ได้มองว่าเป็นการรักษาแชมป์ เพราะไม่ใช่นักมวย แต่มองว่าเป็นเรื่องของการทำงาน วัดกันที่ความดี ความสามารถ และประชาชนให้ความเชื่อถือ จึงขอเสนอตัวลงแข่งขันในครั้งนี้ และไม่กังวลว่าจะถูกกลั่นแกล้ง เพราะยึดหลักธรรมะ ปฏิบัติและพูดความจริง ไม่ไปกลั่นแกล้งใครและจะไม่ทำอะไรที่ขัดหลักประชาธิปไตย และขณะนี้ยังไม่ได้ไปแสดงตนที่จะลงสมัครกับพล.อ.ประวิตร เพียงแต่ทำตามขั้นตอนปฎิบัติเท่านั้น และไม่ทราบว่าพรรคจะเลือกใครลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ วันนี้เดินทางมาที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ ก็เพื่อพบปะกับ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรภาคใต้ ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ และยังไม่ได้พบกับพล.อ.ประวิตร

เมื่อกรณีค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง กลายเป็นปัญหาใกล้ตัวที่คนกรุงเตรียมต้องเจอ หลังสเกลราคาเต็ม Max ตลอดสาย จะอยู่ที่ 104 บาท เริ่ม 16 ก.พ.2564 ทาง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี จึงได้ออกมาเปิดแนวทางแนะวิธีช่วยลดค่าโดยสารให้ถูกลง

เมื่อกรณีค่าโดยสารรถไฟฟ้าแพง กลายเป็นปัญหาใกล้ตัวที่คนกรุงเตรียมต้องเจอ หลังสเกลราคาเต็ม Max ตลอดสาย จะอยู่ที่ 104 บาท เริ่ม 16 ก.พ.2564 ทาง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี จึงได้ออกมาเปิดแนวทางแนะวิธีช่วยลดค่าโดยสารให้ถูกลงได้อย่างน่าสนใจผ่านเฟซบุ๊ก ‘ชัชชาติ สิทธิพันธุ์’ ว่า...

เรื่องอัตราค่าโดยสารใหม่ของ BTS คงเป็นเรื่องกังวลใจของพวกเราหลาย ๆ คน เพราะจำนวนคนที่ใช้รถไฟฟ้า BTS ก่อนโควิด มีถึงเกือบ 700,000 คนเที่ยวต่อวัน

แล้วมีทางไหนไหม ที่จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลง?

วิธีหนึ่งที่หลาย ๆ ประเทศในโลกใช้กัน คือ เพิ่มรายได้ในส่วนของ Non-Fare

รายได้จากกิจการรถไฟฟ้าหรือ กิจการขนส่งทั่วๆ ไป เราอาจมีรายได้ในสองรูปแบบ คือ...

1.) Fare Revenue รายได้จากค่าตั๋วโดยสาร

2.) Non-Fare Revenue รายได้จากกิจกรรมอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าโฆษณา ค่าเช่าพื้นที่ ประโยชน์จากการเชื่อมต่อสถานี

จำนวนผู้โดยสารที่ผ่านระบบมากถึง 700,000 คน - เที่ยวต่อวัน ทำให้พื้นที่ในสถานีรถไฟฟ้า ในขบวนรถไฟฟ้า ราวจับ รวมถึงรอบตัวรถไฟฟ้า หรือแม้กระทั่งเสาโครงสร้างรถไฟฟ้า มีมูลค่าสำหรับการโฆษณาสูงมาก

เราคงจะไม่เห็นพื้นที่ไหนที่มีการโฆษณามากเท่ากับพื้นที่ในสถานีรถไฟฟ้าแล้ว

อย่างในกรณีของ MTR ของฮ่องกง ในปี 2017 มีรายได้จาก Fare Revenue 63% และ Non-Fare Revenue 37%

สำหรับในส่วนของกทม. ผมเชื่อว่าถ้าเราบริหารจัดการให้ดี ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนให้ดี เราสามารถนำรายได้ในส่วนของ Non - Fare มาช่วยเสริมรายได้จากค่าโดยสารอีกไม่น้อยกว่า 20%

จากข้อมูลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เราพอจะหารายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อเปรียบเทียบคร่าวๆ ได้ดังนี้

รายได้จากค่าโดยสารของรถไฟฟ้า BTS ในส่วนสายหลักระยะทาง 23.5 กิโลเมตร (สายสุขุมวิท จากสถานีหมอชิตถึงสถานีอ่อนนุชและสายสีลม จากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติถึงสถานีสะพานตากสิน) ในปี 2562 - 2563 เก็บค่าโดยสารได้รวม 6,814.24 ล้านบาท

ในขณะที่รายได้จากการโฆษณาและให้เช่าพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสถานีรถไฟฟ้า BTS ในปี 2562 - 2563 สูงถึง 2,183.89 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของรายได้จากค่าโดยสาร

ในอนาคต เมื่อสัมปทานปัจจุบันสิ้นสุดลง ถ้าเรามีการประมูลที่โปร่งใส ยุติธรรมกับทุกฝ่าย มีการนำรายได้อื่นๆ จากรถไฟฟ้ามาช่วยสนับสนุนค่าโดยสาร จะช่วยทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลงได้ครับ


ที่มา: https://www.facebook.com/532747176786139/posts/3864920170235473/

ครม.ปรับเกณฑ์ ‘เราชนะ’ อีกรอบ เปิดให้ร้านธงฟ้า - รถเร่ขายของ - สามล้อถีบ ร่วมโครงการได้ ลงทะเบียนถึง 12 ก.พ. แต่ห้ามใช้ซื้อทองคำ - อัญมณี

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.รับทราบมาตรการเยียวยาประชาชนในโครงการ "เราชนะ" ซึ่งทางสภาพัฒน์ฯได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเล็กน้อย โดยสาระสำคัญคือ เดิมผู้ประกอบการที่เป็นธงฟ้าอาจจะมีข้อที่ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่า ถ้าเป็นนิติบุคคลจะสามารถเข้าร่วมโครงการได้หรือไม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนถ้าเป็นธงฟ้าในรูปนิติบุคคล สามารถเข้าร่วมโครงการได้

นอกจากนี้ ร้านค้าในโครงการคนละครึ่งสามารถเข้าร่วมโครงการเราชนะได้ และผู้ประกอบการของกองทุนหมู่บ้าน กองทุนชุมชนเมือง หรือผู้ประกอบการของชุมชนก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้เช่นเดียวกัน รวมถึงผู้ประกอบการที่สามารถตรวจสอบหลักแหล่งได้แต่เป็นประเภทรถ เช่น สามล้อถีบก็สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งทั้งหมดสามารถไปลงทะเบียนร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์เราชนะตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม - 31 มีนาคม 2564 นี้

นายอนุชา กล่าวว่า "สำหรับกรณีที่จะใช้เงินในโครงการเราชนะไปซื้อสินค้า เช่น ทองคำ หรือร้านค้าที่ขายของประเภทของเก่าที่ขายพวกเพชร พลอย ทอง นาค เงิน หรืออัญมณี อันนี้ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการเราชนะได้ เนื่องจากดูแล้วไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพ"

สภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก ยันรัฐประหารในประเทศเมียนมา ไม่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การค้าชายแดนฝั่งไทย ย้ำผู้ประกอบการค้า การพาณิชย์ และการอุตสาหกรรมยังคงประกอบกิจการตามปกติ ไม่มีผลกระทบใด ๆ

นายชัยวัฒน์ วิทิตธรรมวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดตาก กล่าวถึงการรัฐประหารในประเทศเมียนมา ว่ายังไม่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การค้าชายแดนฝั่งไทย

ซึ่งในช่วงนี้ผลผลิต พืชไร่ ในเมียนมากำลังจะมีการนำเข้ามาฝั่งไทย และในส่วนของภาคอุตสาหกรรมนั้น ผู้ประกอบการค้า การพาณิชย์ และการอุตสาหกรรมยังคงประกอบกิจการตามปกติ ไม่มีผลกระทบใด ๆ

นายสุชาติ ตรีรัตน์รัตนา ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดตาก และผู้ประกอบการค้ารายใหญ่ในพื้นที่ชายแดนแม่สอด กล่าวว่า ระยะแรก ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ กับระบบเศรษฐกิจธุรกิจ ที่ชายแดน อ.แม่สอด จ.ตาก ส่วนระยะยาวคงต้องดูสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง

สำหรับสถานการณ์ในเมียนมา ล่าสุดเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ได้มีประชาชนได้มีการประท้วงกองทัพอย่างสงบ โดยแสดงออกถึงสัญญาลักษณ์การต่อต้านเท่านั้น

แม้จะพิสูจน์ผลงาน จนกลายเป็นไอดอลระดับโลก แต่สาว ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ ก็ยังไม่วายโดนกลุ่มแอนตี้ ออกมาเหยียดเรื่องเชื้อชาติไม่เลิก

เรื่องนี้ทำเอาชาวไทยและแฟนคลับของสาว ‘ลิซ่า’ ต้องออกมาช่วยกันปกป้องไอดอลสาวอย่างไว เพราะกลุ่มแฟนคลับต่างชาติบางส่วนทั้งใน จีน และ ตุรกี ที่อ้างว่าเป็นแฟนคลับของ BlackPink แต่รังเกียจ ‘ลิซ่า’ ได้ออกมาแสดงความเห็นดูถูกเธอเป็นจำนวนมาก เหตุเพราะเป็นคนไทย และมองประเทศไทยมีแต่เรื่องค้าผู้หญิง

งานนี้ชาว BLINK จึงพร้อมใจกันติดแฮชแท็ก #RespectLisa ขึ้นเทรนด์ไปทั่วโลก หลังจากที่ ลิซ่า ต้องตกเป็นเหยื่อของการถูกเหยียดเชื้อชาติจากแฟนคลับต่างชาติ

ปมเหตุของเรื่องนี้เกิดขึ้นในกลุ่มแฟนคลับต่างชาติ ที่ได้มีการพูดคุยถึงคอนเสิร์ต The Show ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยต่างวิพากษ์วิจารณ์คอนเสิร์ตออนไลน์ของสาวๆ BlackPink ก่อนที่บางส่วนจะมุ่งโจมตีไปที่ ลิซ่า โดยเฉพาะ

กลุ่มแฟนคลับจีนที่บอกว่าตนเองเป็น BLINK โดยดูได้จากทั้งจากรูปโปรไฟล์และชื่อแอคเคาท์ที่ใช้ แต่ได้แสดงความเห็นแย่ๆ เกี่ยวกับรูปลักษณ์ของ ลิซ่า โดยเปรียบเทียบเธอกับ เลดี้บอย, กะเทย หรือ ผู้หญิงข้ามเพศ

นอกจากข้อความจากแอนตี้แฟนฝั่งจีนแล้ว ทางแอนตี้แฟนฝั่งตุรกีก็วิจารณ์ว่าไม่ชอบความสามารถของ ลิซ่า ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อไปสู่การดูถูก ลิซ่า โดยใช้คนไทยบางส่วนมาเป็นข้ออ้าง ซึ่งนอกจากคำดูถูกแล้ว บางส่วนยังเหยียดความสามารถของ ลิซ่า ด้วยก่อนที่บทสนทนาจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ และลุกลามไปสู่การมโนใส่ร้าย

จากข้อความเหล่านี้ แฟนคลับที่รัก ลิซ่า จึงได้พร้อมใจกันปกป้องพากันติดแฮชแท็ก #RespectLisa จนขึ้นเทรนด์อันดับ 3 ไปทั่วโลก และขึ้นอันดับ 1 ในหลายๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย

อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ลิซ่า กลายเป็นเป้าโดนดูถูกเหยียดหยามจากแฟนคลับต่างชาติจากการที่บางคนไม่ชอบที่เธอเป็นคนไทย และมาโด่งดังในฐานะศิลปินวงเกาหลี แต่ถึงกระนั้น ก็มีแฟนๆ อีกไม่น้อยที่พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างและปกป้อง ลิซ่า เพื่อเป็นกำลังใจให้กับสาวไทยรายนี้ต่อไป


ที่มา: https://mgronline.com/entertainment/detail/9640000010672

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการกรมการจัดหางาน เข้มงวด ตรวจสอบ ผู้มีพฤติกรรมหลอกลวง โฆษณาการจัดหางาน ทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยฉวยโอกาสหลอกเหยื่อที่ตกงานช่วงโควิด อ้างรายได้ดี และเรียกเงินค่าจัดทำวีซ่า ค่าตั๋วเครื่องบิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากคนหางาน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ระลอกใหม่ ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ สถานประกอบการในประเทศจำนวนมากได้รับผลกระทบจนไม่สามารถจ้างงานได้เช่นเดิม ทำให้แรงงานไทยส่วนหนึ่ง มีความหวังจะไปทำงานต่างประเทศเพื่อหารายได้

ซึ่งล่าสุดได้สั่งการกรมการจัดหางาน ให้ติดตาม ตรวจสอบแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานต่างประเทศผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิอย่างเข้มงวด เพื่อระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์ลักลอบไปทำงานต่างประเทศอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ป้องกันการถูกหลอกลวงและตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน แนะนำ คนหางานที่ต้องการไปทำงานต่างประเทศ อย่าหลงเชื่อข้อความโฆษณาทาง ‘โซเชียลมีเดีย’ และขอให้ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งงาน ลักษณะงาน ตลอดจนประเทศที่จะไปจากเจ้าหน้าที่ของกรมการจัดหางาน ก่อนตัดสินใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศ

เพราะมีโอกาสถูกหลอกลวงให้สูญเงิน จนถึงเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลบริษัทจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางานได้ที่หน้าเว็บไซต์ของ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน www.doe.go.th/ipd ซึ่งขณะนี้มีบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตทั้งสิ้น 127 บริษัท

"การโฆษณาการจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน จะมีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 – 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"

"ทั้งนี้ เดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการระงับการเดินทางของผู้ที่มีพฤติการณ์จะลักลอบไปทำงานในต่างประเทศแล้ว จำนวน 49 คน และคนงานไทยไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศ จำนวน 1,965 คน" อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

สำหรับผู้สนใจจะไปทำงานในต่างประเทศ ควรศึกษาข้อมูลการเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top