Thursday, 12 June 2025
Politics

ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยคดีฆ่า ‘พล.อ.ร่มเกล้า’ เหตุการณ์สลาย นปช. 10 เม.ย. 2553 ชี้พยานโจทก์พิรุธหลายประการ แถมฟ้องซ้อนคดีก่อการร้าย ‘ทนายวิญญัติ’ ถาม ‘ดีเอสไอ’ ถ้าพยานหลักฐานอ่อนอย่าทำลายอิสรภาพ

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ห้องพิจารณา 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีขว้างระเบิดสังหาร พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม กับพวก ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) วันที่ 10 เม.ย. 2553 หมายเลขดำ อ.857/2562 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 1

และนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุขเสก หรือเสก พลตื้อ, นางพรกมล บัวฉัตรขาว หรือนางกนกพร ศิริพรรณาภิรัตน์ อดีตผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์เอเชียอัพเดต และนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ แนวร่วม นปช. เป็นจำเลยที่ 1 - 3 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าและสนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นฯ กับ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ

โจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 15 พ.ย. 2552 - 20 พ.ค. 2553 กลุ่ม นปช. ได้ร่วมกันชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ลาออกจากตำแหน่ง จนวันที่ 7 เม.ย. 2553 นายอภิสิทธิ์ ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร และออกคำสั่งจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เพื่อปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ บริเวณ ถ.ราชดำเนินกลาง ตั้งแต่แยกคอกวัวมุ่งหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

กระทั่งวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยที่ 1 และ 3 กับพวกร่วมกันมีลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ 88 บ.67 หรือ M67 คนละ 3 ลูก ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนด้านการเงิน และจัดหาระเบิดให้ โดยพวกจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้อื่นด้วยการขว้างระเบิดสังหาร 2 ลูก ใส่เจ้าหน้าที่ทหารขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ถ.ดินสอ เป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รอ.(ขณะนั้น) กับนายทหารรวม 5 นายเสียชีวิต และมีนายทหารอีกหลายนายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

วันนี้ศาลเบิกตัวนายสุขเสกกับนายสุรชัย จำเลยที่ 1 และ 3 ซึ่งถูกคุมขังในคดีอื่นด้วยจากเรือนจำมาศาล ส่วนนางพรกมล จำเลยที่ 2 ที่ได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาล โดยมีทีมทนายความจำเลย กับนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช. เดินทางมาศาลร่วมฟังคำพิพากษาและให้กำลังใจด้วย ขณะที่ฝ่ายโจทก์ไม่มีผู้ใดเดินทางมาศาล

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรก ผู้เสียหายและผู้ตายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอาวุธชนิดใด แพทย์พยานโจทก์เบิกความเกี่ยวกับการชันสูตรบาดแผลที่มีเศษชิ้นส่วนโลหะ

ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าเป็นเศษชิ้นส่วนที่เกิดจากการแตกตัวของลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ 88 บ.67 หรือ M67 ตรงกับผลการตรวจพิสูจน์ชิ้นส่วนโลหะจากหลุมระเบิดในที่เกิดเหตุ ฟังได้ว่าผู้เสียหายและผู้ตายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากระเบิดขว้างชนิดดังกล่าว

ปัญหาวินิจฉัยประการต่อมา คนร้ายใช้สถานที่ใดเป็นที่ขว้างหรือโยนระเบิด จากคำเบิกความของพยานโจทก์ประกอบกับจุดที่เป็นหลุมระเบิดทั้งสองหลุม น่าเชื่อว่าจุดที่เหมาะสมที่สุดในการโยนระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ทหารคือบ้านเลขที่ 149 ไม่ใช่โรงเรียนสตรีวิทยา

ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน มีแสงไฟสลัว และมีความชุลมุนวุ่นวาย ทหารที่ยืนอยู่บนรถลำเลียงพลจึงอาจมองไม่เห็นหรือไม่ทันสังเกตคนร้ายที่เข้ามาในบ้านเลขที่ 149 จึงน่าเชื่อว่าคนร้ายใช้วิธีการโยนระเบิด M67 ออกมาจากบ้านเลขที่ 149 ถ.ดินสอ ตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา

ปัญหาวินิจฉัยจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นคนร้าย จำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนหรือไม่ คำเบิกความของพยานโจทก์มีข้อพิรุธอยู่หลายประการ พยานปากนายชุมพล เบิกความได้รับชักชวนจากอาสาทหารพรานค่ายปักธงชัยให้มาเป็นการ์ดของกลุ่ม นปช. และมีผู้แนะนำให้รู้จักกับจำเลยที่ 3

ซึ่งเป็นผู้ติดตาม พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง โดยจำเลยที่ 3 ตั้งฉายาให้พยานว่าหวังเฉา และตั้งฉายาให้พยานปากนายนิวัฒน์ว่าหม่าฮั่น แต่พยานทั้งสองไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยที่ 3 จึงผิดปกติวิสัยของผู้ติดตามหรือลูกน้องคนสนิทที่จะต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ของเจ้านายหรือผู้ที่ตนติดตามอยู่ ทั้งยังเบิกความไม่สนิทสนม ไม่เคยพูดคุยกัน ทั้งที่เป็นผู้ติดตามจำเลยที่ 3 เช่นเดียวกัน ประกอบพยานโจทก์ปากอื่นไม่รู้จักและไม่เคยเห็นบุคคลทั้งสอง

อีกทั้งพยานปากนายนิวัฒน์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 1 ถามค้าน พยานมาที่ชุมนุมทุกวัน แต่ไม่ทราบจุดประสงค์การชุมนุมของ นปช. ไม่รู้จักแกนนำ ไม่สนใจฟังปราศรัย ไม่น่าเชื่อว่าพยานจะเข้าร่วมการชุมนุมและเป็นการ์ด นปช. ดังที่เบิกความ

ทั้งเบิกความว่าชื่นชอบ พล.ต.ขัตติยะ แต่ไม่ทราบว่า พล.ต.ขัตติยะ เสียชีวิตเมื่อไหร่และที่ไหน แสดงให้เห็นว่าพยานโจทก์ปากนี้หาได้มีความสนใจหรือแรงจูงใจทางการเมือง จึงไม่น่าเชื่อว่าพยานโจทก์ปากนี้จะเป็นผู้ติดตามหรือลูกน้องคนสนิทของจำเลยที่ 3 ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยที่ 3 จะต้องพานายชุมพลและนายนิวัฒน์ไปยังบ้านเลขที่ 149 เพื่อขว้างระเบิด

ประกอบกับพยานได้ให้การต่อพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อ พ.ศ.2560 ภายหลังจากพยานเข้าโครงการคุ้มครองพยาน อันเป็นเวลาหลังเกิดเหตุถึง 7 ปี โดยไม่ปรากฏว่าก่อนหน้านี้พยานเคยให้ข้อเท็จจริงต่อเจ้าหน้าที่รัฐที่ใดว่าจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นคนร้ายโยนระเบิดแต่อย่างใด เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองให้การทั้งที่มิได้อยู่ในเหตุการณ์หรือรู้เห็น

เนื่องจากได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการเข้าอยู่ในโครงการคุ้มครองพยาน เช่นเดียวกับนายชยุตที่ถูกจับกุมดำเนินคดี ซึ่งเบิกความรับว่าได้รับผลประโยชน์ทางการเงินจากการที่พยานเข้าโครงการคุ้มครองพยาน จึงน่าเชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสามมิได้รู้เห็นเหตุการณ์ ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสามปากจึงไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมา จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และ 3 กระทำผิดตามฟ้อง กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานอื่นนอกเหนือจากนี้อีก

นอกจากนี้ ศาลได้พิจารณากรณีคำฟ้องต่อจำเลยในคดีนี้ เปรียบเทียบกับในคดี นปช. ที่ถูกฟ้องข้อหาก่อการร้าย ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง อยู่ระหว่างการอุทธรณ์ ซึ่งมีจำเลยเป็นบุคคลเดียวกัน มูลเหตุช่วงเวลาเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้อน พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 - 3

ภายหลังฟังคำพิพากษาแล้ว นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) ในฐานะทีมทนายความจำเลย ให้สัมภาษณ์ว่า ขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียชีวิตไม่ว่าจะเป็นครอบครัว พล.อ.ร่มเกล้า ครอบครัวทหาร และครอบครัวของประชาชนคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเมืองที่ไม่มีคุณธรรม การเมืองที่ไม่แยกแยะ สะท้อนมาถึงปัจจุบัน

ซึ่งตนก็แสดงความเสียใจในเรื่องนั้น แต่ในส่วนคดีที่ศาลยกฟ้องจำเลย 3 คน ซึ่งจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีข้อหาก่อการร้ายมาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว โดยศาลยกฟ้อง ขณะนี้อยู่ระหว่างสู้คดีอยู่ในศาลสูง ส่วนจำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นคนสนับสนุนที่ไม่ใช่การ์ด นปช.หรือลูกน้องเสธ.แดง

คดีนี้ศาลพิเคราะห์การเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า เกิดจากระเบิดชนิดใดและที่ใด ซึ่งมีพยานอ้างว่ามีการขว้างระเบิดนั้น ศาลรับฟังว่าเป็นการโยนระเบิดจากบ้านไม้ตรงข้ามโรงเรียนสตรีวิทยา แต่การโยนระเบิดนั้นไม่มีประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือน่ารับฟังได้ว่าเป็นจำเลยในคดีนี้ทั้งสองคน พยานที่โจทก์อ้างมีพิรุธหลายประการ

กับพิเคราะห์จำเลยที่ 1 และ 3 เป็นคนร้ายลูกน้องเสธ.แดง ได้รับงานจากเสธ.แดง หรือไปตอบโต้ทหารในวันที่ 10 เม.ย. 2553 จริงหรือไม่ จากพยานหลักฐานศาลเห็นว่าไม่มีใครยืนยันชัดเจนและรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองคนอยู่ในที่เกิดเหตุ

นายวิญญัติ กล่าวด้วยว่า ส่วนการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ศาลไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการเสียชีวิต เพราะมีการชันสูตรพลิกศพและรายงานการตรวจศพอย่างชัดเจน ในอดีตที่มีการโต้เถียงกันว่าเหตุเกิดจากระเบิดชนิด M79 หรือระเบิดยิงนั้นเป็นความเชื่อของทหารส่วนใหญ่ในพื้นที่ แต่ผลการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าเป็นระเบิดขว้างชนิด M67 และจากรายงานการตรวจศพ

รวมทั้งพยานบุคคลก็ปรากฏว่า ไม่มีประจักษ์พยานที่ยืนยันว่าคนร้ายคือจำเลยทั้งสองคน และคนร้ายที่แท้จริงคือใคร นอกจากนี้ เมื่อเกิดเหตุระเบิดนั้นมีชาย 4-5 อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปเก็บกระเดื่องระเบิดในที่เกิดเหตุ แล้วอันตรธานหายไปไหน ประเด็นสุดท้ายศาลมองว่าเป็นการฟ้องซ้อนกับ คดี อ.2542/2553 นปช.ก่อการร้ายเมื่อปี 2553

ผู้สื่อข่าวถามว่าจำเลยจะได้ปล่อยตัวจากเรือนจำหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า โดยปกติถ้าศาลไม่สั่งคุมขังระหว่างอุทธรณ์จะต้องปล่อย แต่จำเลยที่ 1 และ 3 ถูกดำเนินคดีอื่นอีก 2 คดี ที่ดีเอสไอนำพยานหลักฐานชุดเดียวกันมาฟ้องจำเลยอีก เราต้องสู้ต่อไป ดังนั้น จำเลยสองคนจึงยังไม่ถูกปล่อยตัววันนี้ แต่เราจะพยายามยื่นประกันเร็วๆ นี้

เมื่อถามถึงสำนวนคดีก่อการร้ายของดีเอสไอมีความผิดปกติหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า ขอไม่กล่าวถึงตรงนั้น เนื่องจากยังมีการสู้คดีกันต่อในศาลอุทธรณ์และฎีกา รอให้การพิจารณาคดีของศาลสุดทางก่อน สุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร อยู่ในบทบัญญัติเรื่องอายุความและการดำเนินคดีอยู่แล้ว

ในส่วนของจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นคนเสื้อแดงที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมนั้น ยังเหลืออีก 2 คดี ส่วนคดีชายชุดดำก็ยังเหลือคดีอื่นที่กำลังตามมา ไม่ทราบว่าทางการคิดอะไรไม่ออกก็เอาจำเลยชุดเดิมหรือไม่ จึงขอถามไปยังดีเอสไอให้ความเป็นธรรม

ถ้าพยานหลักฐานไหนอ่อนหรือไปไม่ถึง หรือไม่ควรเกิดขึ้น ก็อย่าไปทำลายครอบครัวและอิสรภาพของเขา ซึ่งผลของคดีนี้พวกเราไม่ได้ดีใจ เราเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่การทำหน้าที่ทนายความ เราต่อสู้มาตามกระบวนการยุติธรรม ก็หวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในประเทศไทยอีก

นายโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร ออกมาแซะ ‘บิ๊กตู่’ และ ‘ทหาร’ จากกรณีดราม่าเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

นายโอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร ออกมาแซะ ‘บิ๊กตู่’ และ ‘ทหาร’ จากกรณีดราม่าเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จากผู้สูงอายุที่ได้รับเงินซ้ำซ้อนกับเงินพิเศษต่างๆ ในทวิตเตอร์ ‘Oak Panthongtae’ ว่า

.

คุณลุง-คุณป้า คุณตา-คุณยาย

คนชราผู้มี “ความยากจน”

รับเงินเดือนละพัน ซ้ำซ้อนกันไม่ได้

.

แต่ลุงตู่..คนชราผู้มี “อำนาจรัฐ”

> อยู่บ้านพักนายก

ควบคู่บ้านพักทหารได้

> รับเงินเดือนกองทัพ ซ้อนกับ

คสช.เดือนละหลายแสนได้

.

อยากเป็นนายกของประชาชน

ควรทำประโยชน์ให้ประชาชน

“ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง”


ที่มา: https://twitter.com/oak_ptt/status/1356165746204659712?s=06

รู้จัก​ 'มิน อ่อง หล่าย'​ หัวหน้าคณะปฏิวัติเมียนมา​ ผู้เคยเป็นลูกบุญธรรม 'ป๋าเปรม'​ และยึดแนวทางคำสั่งสอนของป๋ามาโดยตลอด

ตอนนี้ก็เรียกได้เต็มปากว่า​ ขุมอำนาจทางการเมืองในเมียนมากลับเข้าอยู่อ้อมอกของของทหารอีกครั้ง หลังจากกองทัพได้เข้าควบคุมตัวนางอองซานซูจี และผู้นำระดับสูงของรัฐบาล เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา พร้อมทั้งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 1 ปี ก่อนจะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศหลังจากพ้นสภาวะฉุกเฉินในอีก 1 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม​ ต่อจากนี้​ 1​ ปี​ เมียนมาจะมีผู้กุมอำนาจเล็ดเสร็จที่สุดโดย พล.อ.อาวุโส 'มิน อ่อง หล่าย'​ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา 

พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย เป็นใคร? 

มีเกร็ดเรื่องราวที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในฐานะที่เป็นลูกบุญธรรมของ ‘ป๋าเปรม’ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ 

เขาเคยได้เข้าพบ ‘ป๋าเปรม’ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ในปี 2555 หลังจากที่ได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทสส.เมียนมา และเป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยี่ยมเยือนที่กองบัญชาการกองทัพไทย​ ซึ่งทั้งคู่ต่างพูดคุยถูกคอกันจึงทำให้ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ขอเป็น ‘บุตรบุญธรรม’ ตั้งแต่นั้นมา หลังจากนั้นทุกครั้งที่มาเยือนไทยก็จะเข้าพบ ‘ป๋าเปรม’ เสมอ

พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย นับถือ ‘ป๋าเปรม’ เป็นเสมือนบิดา ก็เพราะบิดาของ พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย อายุมากกว่า ‘ป๋าเปรม’ 1 ปี โดยบิดาของเขาได้เสียชีวิตไปเมื่อปี 2545

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 62 พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย และคณะนายทหารเมียนมา ในฐานะบุตรชายบุญธรรมของ 'ป๋าเปรม'​ ก็ได้เดินทางมาลงนามเพื่อแสดงความอาลัยต่อการจากไปของ 'ป๋าเปรม'​ ด้วย

ในครั้งนั้น พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวภายหลังลงนามไว้อาลัยถึงความรู้สึกหลังจากที่ทราบข่าวการสูญเสีย พล.อ.เปรม ว่าเหมือนตนสูญเสียบิดาไปท่านหนึ่งว่า... 

“พล.อ.เปรม เป็นบุคลากรที่สำคัญเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์มากมาย ทั้งการทหาร การเมือง และหลายๆ ด้านของประเทศไทย

ส่วนใหญ่ที่ผมได้พบกับท่านก็จะพูดคุยในเรื่องของประสบการณ์ดีๆ ของท่านให้ฟัง และจะมีคำแนะนำว่าสิ่งใดที่ดี ที่ควรทำซึ่งเมื่อเจอกันก็จะพูดในเรื่องนี้ทุกครั้ง” ผบ.ทสส.เมียนมากล่าว

พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย กล่าวอีกว่า ก่อนหน้าที่ตนจะเป็น ผบ.ทสส. ไม่เคยได้เข้าพบ พล.อ.เปรมเลย จนกระทั่งได้เป็น ผบ.ทสส.แล้วจึงได้เข้าพบ พล.อ.เปรม และได้นั่งเคียงข้างกัน ได้จับมือกัน ถ้ามีเรื่องอะไรที่สำคัญก็จะจับมือคุยกันเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นทุกครั้งที่ได้พูดคุยกัน​ ตนจึงเปรียบ พล.อ.เปรม เหมือนบิดา 

คำสั่งสอนต่างๆ ของ พล.อ.เปรมก็มีมากมาย ประกอบด้วย 2 ประเด็น คือ...

1.) ทางด้านการเมือง ก็จะพูดถึงประชาธิปไตย ก็จะต้องเป็นประชาธิปไตยของประเทศของตนเอง หรือประเทศใครประเทศคนนั้นให้เหมาะสมกับประเทศตนเอง

และประเด็นที่ 2.) ที่ พล.อ.เปรมพูดอยู่เสมอว่า เราเกิดในแผ่นดินนี้ เราต้องตอบแทนคุณแผ่นดิน ถ้าใครไม่ตอบแทนคุณแผ่นดิน คนนั้นถือว่าเป็นคนทรยศต่อประเทศชาติ 

ผบ.ทสส.เมียนมา​ กล่าวว่า อีกประเด็นหนึ่งที่ พล.อ.เปรมพูดถึงในฐานะที่ท่านเป็นประธานองคมนตรี และตามเสด็จในหลวงรัชกาลที่ ๙ มาโดยตลอด ซึ่ง พล.อ.เปรมมักพูดอยู่เสมอว่า การลดจำนวนคนยากคนจน​

โดยในขณะนั้นประเทศไทยมีคนจนประมาณ 10 ล้านคน แล้วท่านก็ได้ให้ข้อคิดกับประเทศเมียนมาในฐานะที่เราสองประเทศเป็นประเทศทางการเกษตร เราต้องพยายามลดคนยากจน​ โดยใช้การเกษตรดำเนินการ และท่านได้สอนการเป็นผู้นำว่าเราต้องเป็นตัวอย่างให้ชั้นผู้น้อยเราต้องมีความยุติธรรมกับชั้นผู้น้อยของเรา ซึ่งตนก็ปฏิบัติมาโดยตลอด และเมื่อได้คำสอนมาจาก พล.อ.เปรม ตนก็ได้เดินอย่างมั่นคง และเชื่อมั่นในสิ่งที่ท่านสั่งสอน

เขาทิ้งท้ายอีกว่า​ "คำที่ พล.อ.เปรมมักพูดอยู่เสมอ  คือ​ เมื่อทำอะไรให้ประเทศชาติ เราต้องมีน้ำใจ และมอบใจให้กับประเทศชาติ”



ที่มา: 
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=4033929856640056&id=100000692431266
 

เปิดเส้นทาง ‘สรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ นักการเมืองสายเลือดใหม่ ที่คนชลบุรี ภูมิใจนำเสนอ พร้อมภารกิจสำคัญ!! หัวโต๊ะประธาน กมธ. วัตถุอันตราย

ย้อนกลับไปช่วงก่อนหน้าเลือกตั้งปี 60 ความต้องการ ‘นักการเมือง’ เข้ามาในสภาฯ เพราะเชื่อว่ามีไฟและแรงตั้งใจในการทำงานการเมืองสร้างสรรค์กว่า ‘คนเก่าๆ’ การเมืองเก่าๆ

นั่นจึงทำให้ประชาชนในหลายเขตพื้นที่ ต่างเฝ้ารอ ‘เลือกกา’ คนรุ่นใหม่ ที่จะมาช่วยเหลือปัญหาพื้นที่ของตนแบบพลิกโฉม!!

วันนี้ The States Times จะพาไปพบกับหนึ่งในนักการเมืองเลือดใหม่ ‘สรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ ส.ส.ชลบุรี และ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ผู้ที่พิสูจน์ตนเองบนเส้นทางแห่งนี้ จนทำให้ผู้ใหญ่หลายคนยอมรับและกล้ามอบหมายหน้าที่สำคัญๆ ให้เพียบ!!

‘นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ ส.ส.ชลบุรี และ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เริ่มฉายแววความเก่งฉกาจ จากพลังและความคิดสร้างสรรค์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่นำเสนอนโยบายต่างๆ จนชื่อของ สรวุฒิ กลายเป็นแคนดิเดต ในการรับมอบภารกิจใหม่ๆ บ่อยขึ้น ล่าสุด ก็ถูกวางตัวเป็นมือกระบี่ในการดูแลภารกิจใหญ่ อย่าง ‘การควบคุมวัตถุอันตราย’ ซึ่งการพิจารณาวัตถุอันตรายมีความซับซ้อนทำให้มีความจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานของรัฐ หรือแม้แต่องค์กรเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความรู้ความสามารถในเชิงลึก เพื่อดำเนินการดังกล่าวกรณีจึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตราย โดยให้มีผู้เชี่ยวชาญดังกล่าวเพื่อให้การพิจารณาวัตถุอันตรายมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยเมื่อปลายเดือนมกราคม 64 ที่รัฐสภา ในที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่...) พ.ศ. ... นัดแรก มีการพิจารณาเลือกตำแหน่งต่างๆ ใน กมธ. และชื่อของ ‘นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์’ ส.ส.ชลบุรี และ รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้รับเลือกเป็นประธานกมธ. ด้านนี้

ภายหลังการเข้ารับบทบาทใหม่ สรวุฒิ เล่าว่า “ตอนนี้อยู่ในหลักการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพ.ร.บ.ฯ โดยจะกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายและกำหนดอำนาจของรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการได้มา รวมทั้งการขึ้นบัญชี ผู้เชี่ยวชาญองค์กร ผู้เชี่ยวชาญหน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อัตราค่าบัตรขึ้นบัญชีสูงสุดและค่าขึ้นบัญชีที่จะจัดเก็บกำหนดอัตราค่าใช้จ่ายสูงสุด ประเภทค่าใช้จ่ายที่จะจัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอและกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในกระบวนการพิจารณาวัตถุอันตรายรวมทั้งหลักเกณฑ์ในการรับเงินการจ่ายเงินและการเก็บรักษาเงินดังกล่าว ซึ่งเป็นภารกิจที่ท้าทายอย่างมาก”

ทั้งนี้หากมองพื้นเพเดิมของ สรวุฒิ เขาเป็นเด็กกรุงเทพฯ ครึ่งหนึ่ง ต่างจังหวัดครึ่งหนึ่ง เรียนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เด็ก โดยพกดีกรีด้านพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือเก่งด้านการเงินและการธนาคาร (ไฟแนนซ์) ติดตัวมา และมีสไตล์การทำงานแบบหัวคิดต่อยอด ทำให้เขาสามารถสานต่อธุรกิจต่างๆ ของครอบครัวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเกษตรกรรม ไร่อ้อย ไร่ยาง ไร่ปาล์ม กิจการตลาด หลังจากเคยได้เข้าร่วมรั้วองค์กรใหญ่อย่าง ‘ซีพี’ สังกัดสำนักบริหารกลางของเครือ ที่ดูแลเซเว่นอีเลฟเว่น การลงทุนในจีนในช่วงระยะหนึ่ง

ในระหว่างที่ดูแลธุรกิจหลากหลายอย่าง เขาก็ได้มีโอกาสคลุกคลีกับประชาชนที่อยู่ในห่วงโซ่นี้ไปในตัว จนหลายครั้งก็ช่วยเข้าไปแก้ปัญหาต่างๆ ของประชาชนได้ด้วย เรียกว่าเก่งทั้งการบริหารธุรกิจและแถมยังเข้าใจระบบนิเวศน์ของปัญหา ‘ประชาชน’ ไปได้พร้อมๆ กันเลยทีเดียว

ย่างก้าวบนเส้นทางการเมืองในวันนี้ของ ส.ส.ต้น สรวุฒิ จึงเรียกได้ว่าเป็นทั้งความภูมิใจของครอบครัว พรรคพลังประชารัฐที่กล้ามอบงานท้าทายๆ ให้ลอง โดยมีกองเชียร์ชาวชลฯ ที่พูดเป็นเสียงเดียวว่า ส.ส.คนนี้ เป็นความภูมิใจที่น่าจับตาจริงๆ...

แหล่งที่มา:

https://www.matichon.co.th/prachachuen/interview/news_1264827

https://www.naewna.com/politic/549136

 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลั่นจัดการม็อบประท้วงเมียนมาไม่ใส่แมส ฝ่าฝืนมาตรการควบคุมโควิด-19 ย้ำปัญหาบ้านโน้น อย่าเอามายุ่งบ้านนี้ ส่วนปมได้วัคซีนโควิดช้า เพราะไม่อยากให้คนไทยเป็นหนูทดลอง ต้องได้ของที่ผ่านมาตรฐานเท่านั้น

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์กรณี มีการรัฐประหารในประเทศเมียนมาร์ประเทศไทยต้องเฝ้าระวังตามแนวชายแดนหรือไม่ว่า ปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้สั่งการให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ ที่มีพื้นที่ติดชายแดนไทย และเมียนมาเฝ้าระวังเกี่ยวกับการลักลอบเข้ามาอย่างเต็มที่โดยจะให้ความร่วมมือกับฝ่ายความมั่นคง

เมื่อถามว่าปัจจุบันมีการชุมนุมหน้าสถานทูตเมียนมาร์ประจำประเทศไทยกังวลจะมีการแพร่ระบาดโรคโควิด -19 ได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมสถานการณ์อย่างเต็มที่เพราะความกังวลเกี่ยวกับแพร่ระบาดโควิด -19 มีทุกวัน จึงต้องดูถ้ามีการชุมนุมแล้วไม่ใส่หน้ากากอนามัยก็ต้องจัดการ ปัญหาบ้านโน้น จะมายุ่งอะไรกับบ้านนี้"

นอกจากนี้ นายอนุทิน ยังได้กล่าวถึงการจัดหาวัคซีนกำหนดการส่งมอบยังเป็นเช่นเดิมหรือไม่ ว่า "เราพยายามอย่างเต็มที่แต่คำว่าคงเดิมนั้นคือเดือนมิ.ย. จะพยายามอย่างเต็มที่ ให้ได้เร็วที่สุด ถ้ามาก่อนเดือนมิ.ย.คือความพยายาม อย่าเอาประเทศไทย ไปเทียบกับประเทศอื่น"

"คนที่ชอบพูดว่าประเทศอื่นได้รับแล้วต้องไปดูรายละเอียดของแต่ละประเทศ เพราะบางประเทศได้รับในฐานะที่ยอมให้ประชาชนของเขาได้รับการทดลองวิจัยวัคซีน ไม่ใช่เป็นผู้ซื้อ และเขามีผู้ป่วยเพียงพอในการทดลอง ซึ่งประเทศไทยมีผู้ป่วยไม่พอ และไม่เคยอยู่ในหัวของรมว.สาธารณสุขคนนี้ ที่จะเอาคนไทยมาเป็นผู้ที่จะถูกการทดลอง เราไม่ได้อยู่ในสภาพนั้น เพราะประเทศไทยควบคุมได้ ลองนึกสภาพดูว่าหากฉีดแล้วเหมือนในยุโรป และ สหรัฐอเมริกา ที่เมื่อฉีดแล้ว ปากเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรง ใครจะเป็นผู้อธิบาย เมื่อเรามีเวลาและโอกาสเลือกสิ่งที่ปลอดภัย ทำไมจะไม่ทำ"

ส่วนจังหวัดสมุทรสาครที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงอยู่นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า "เป็นเพราะการตรวจเชิงรุก คนป่วยก็แยกออกมารักษาและควบคุมอย่างดี ไม่ใช่กระจายไปทุกจังหวัด และดีที่สังคมช่วยกันดูแล พวกจัดปาร์ตี้ก็น้อยลง ใครที่ทำอยู่ก็ไม่มีใครออกมาสรรเสริญและตรงกันข้ามเป็นสิ่งที่ทำความเสื่อมเสียให้กับตัวเอง รัฐบาลก็พยายามผ่อนปรนมาตรการให้มากที่สุดที่จะทำได้"

ขณะที่การแพร่ระบาดจากเหตุโต๊ะแชร์ที่จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งถือว่าเป็นคลัสเตอร์ใหม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "อย่างที่บอกเวลาเหล้าเข้าปาก ก็เป็นเช่นนี้ บางจังหวัดไม่ได้ห้ามดื่มเหล้า แต่ต้องเว้นระยะห่าง บางคนบอกว่าถ้ากินเหล้าแล้วใครจะมีระยะห่างได้ ก็อย่ากิน ส่วนการดำเนินคดีผู้ปกปิดข้อมูลกับเจ้าหน้าที่สอบสวนโรคนั้นนายอนุทิน กล่าวว่า ก็ทราบว่ามีเจ้าหน้าที่กทม.ได้ไปแจ้งความไปแล้ว"

"ส่วนทางโรงแรมที่ถูกฟ้องก็ส่งข้อมูลยืนยันว่าไม่มีการเสิร์ฟแอลกอฮอล์ แต่มีการเสิร์ฟน้ำแอปเปิล น้ำส้มคั้น น้ำบ๊วย ทุกอย่างสั่งปิดก่อนเวลา 3 ทุ่ม ก็ต้องไปดูว่าผิดหรือไม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจ ถ้าเป็นตามนั้นก็ให้สังคม ประชาชนตัดสิน ถ้าจะปาร์ตี้จริง ๆ จะกินน้ำส้มคั้น น้ำแอปเปิล น้ำบ๊วย ก็กินกันไป อย่ากินเหล้าก็แล้วกัน" รองนายกฯ กล่าว

ส.ส.ก้าวไกล ‘เบญจา แสงจันทร์’ เผยไม่แปลกใจ พล.อ. ประยุทธ์เข้าข้างทหารเมียนมา เพราะมาจากการยึดอำนาจเหมือนกัน

เบญจา แสงจันทร์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ก่อนอื่น ขอแสดงออกเพื่อยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างประชาชน และนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยชาวเมียนมา ไม่มีเหตุผลใดมีความชอบธรรมเพียงพอในการใช้กำลังโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนตามครรลองประชาธิปไตย

โดยเบญจากล่าวเพิ่มเติมว่า “อย่างไรก็ตาม สำหรับรัฐบาลไทยนั้น การนิ่งเฉยต่อการรัฐประหารในเมียนมา และการใช้กำลังสลายการชุมนุมและจับกุมดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารหน้าสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาเมื่อวานนี้(1 กุมภาพันธ์ 2564) ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นเลือกปกป้องและยืนอยู่ข้างระบอบเผด็จการ และการรัฐประหารในเมียนมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะในปี 2557 พล.อ.ประยุทธ์ ก็เข้าสู่อำนาจโดยการใช้กำลังยึดอำนาจ ทำรัฐประหารในประเทศไทยเช่นกัน”

เบญจากล่าวเพิ่มเติมถึงความคืบหน้าเหตุการณ์การชุมนุมหน้าสถานเอกอัคราราชทูตเมื่อวานว่า ได้มีการนัดรวมตัวทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อต่อต้านการรัฐประหารเมื่อช่วงเย็นเวลา 15.00 น. ซึ่งมีผู้เข้าร่วมทั้งคนไทยและชาวเมียนมา โดยภาพรวมของการแสดงออกเป็นไปอย่างราบรื่น มีการปราศรัยถือป้ายผ้าสัญลักษณ์ของพรรค NLD พร้อมชู 3 นิ้วเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐประหาร

หลังจากนั้นช่วงเวลา 17.00 น. ตำรวจประกาศให้ยุติการชุมนุมและให้ตำรวจควบคุมฝูงชนเดินตั้งแถวขยับเข้าหาผู้ชุมนุม จากนั้นก็เดินหน้าสลายการชุมนุมทันที ทำให้เกิดความแตกตื่น ชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้น ก่อนที่ตำรวจจะใช้ความรุนแรงและท่าทีที่เกินกว่าเหตุในการเข้าควบคุมตัวผู้ชุมนุม 3 คน และถูกพาตัวไปที่ สน. ยานนาวา โดยมี เคท ครั้งพิบูลย์ อาจารย์คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ขึ้นรถตำรวจ ไปด้วย ผู้ชุมนุม 3 รายถูกนำตัวมาถึง สน. ยานนาวา เวลาประมาณ 18.00 น. และถูกนำตัวเข้าไปคุมขังทันที โดยไม่ให้พบทนาย

จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.00 น .มีผู้ถูกจับกุมมาเพิ่มอีก 1 รายถูกนำตัวมาที่ สน. ยานนาวา เพื่อเปรียบเทียบปรับข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.บ. จราจร จากการนำน้ำมาแจกในที่ชุมนุม บริเวณหน้าสถานทูตเมียนมา รวมมีผู้จับกุมจากการชุมนุมครั้งนี้ 4 คน

ตำรวจควบคุมตัวผู้ชุมนุมไว้เกือบ 4 ชั่วโมง ในขณะที่ทนายและญาติ ร้องขอสิทธิในการเข้าพบผู้ที่ถูกควบคุมตัวเป็นระยะ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่อนุญาต โดยเบี่ยงเบนว่าไม่ให้พบผู้ถูกจับกุมโดยอ้างว่าผู้ชุมนุมหน้า สน. อาจจะก่อความไม่สงบ และอาจจะขอนำผู้ถูกควบคุมตัวไปทำการสอบสวนที่ ตชด.ภาค1 จนกระทั่งเวลา 21.50 น. ผู้ถูกควบคุมตัวจึงได้พบทนาย และญาติ และเริ่มสอบคำให้การ เวลา 23.00 น.

จนกระทั่งทำบันทึกจับกุม และสอบคำให้การเสร็จเรียบร้อยเวลา 00.40 น. จึงใช้ตำแหน่ง ส.ส. และอาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ ยื่นประกัน แต่พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกัน

ผู้ชุมนุมถูกแจ้งข้อหา ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ควบคุมโรคฯ 1 ราย จะถูกนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขังที่ศาลแขวงพระนครใต้

อีก 2 ราย ถูกแจ้งข้อหามั่วสุมเกินกว่า 10 คน - ขัดขวางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ -ใช้กำลังทำร้ายเจ้าพนักงาน - ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะถูกนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขังที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ต่อไป

ทำให้ผู้ถูกจับกุมทั้ง 3 ราย ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ สน. ยานนาวา ตลอดคืน

โดยในวันนี้ มี ส.ส. จากพรรคก้าวไกลเดินทางไปที่ศาลแขวงพระนครใต้และศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อรอใช้ตำแหน่ง ส.ส. ขอประกันตัวผู้ถูกดำเนินคดี โปรดติดตามความคืบหน้าต่อไป เบญจากล่าวทิ้งท้าย

'บิ๊กตู่' โพสต์รัวๆ รับปากหาทางออก เรียกคืนเบี้ยผู้สูงอายุ ‘อ้อน’ ขอคุณตาคุณยายไม่ต้องห่วง ยันเข้าใจความรู้สึกดีไม่ได้ทำอะไรผิด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โพสต์ ข้อความบน Facebook ส่วนตัวถึงความคืบหน้า หลังเกิดปัญหาเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุถูกเรียกคืนว่า เรื่องเบี้ยผู้สูงอายุนั้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้แจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายให้ชัดเจนก่อน และให้ชะลอการเรียกคืนหรือฟ้องร้องเอาไว้ก่อนแล้ว ตอนนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบและแก้ไขความคลาดเคลื่อนของข้อมูลต่าง ๆ กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพัฒนาสังคมที่ดูแลเรื่องผู้สูงอายุ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นคนจ่ายเงิน และกรมบัญชีกลางที่ดูเรื่องการเบิกจ่ายให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทุกฝ่ายกำลังคุยกันว่าจะมีทางออกอย่างไร

“ขอให้คุณตาคุณยายไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมรับปากจะดูแลให้ ผมเข้าใจความรู้สึกของท่านดี ท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ทางเจ้าหน้าที่ก็ทำตามระเบียบ อย่างไรก็ดี ทางออกมีอยู่แล้วโดยไม่มีใครต้องเดือดร้อน รอสักหน่อยนะครับ และไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปหาเงินมาใช้คืนหลวงหรือจะต้องขึ้นศาล ผมจะจัดการให้ทุกอย่างเรียบร้อยครับ”

อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ‘ณฐพร โตประยูร’ ยื่น กกต. ยุบพรรคก้าวไกล ปมประกันตัวม็อบแก้ ม.112 ระบุเป็นพฤติกรรมปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ยันหลักฐานชัดเจนครบถ้วน

นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นคำร้องให้กกต. พิจารณาวินิจฉัยกรณีพรรคก้าวไกลมีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 จากกรณีการแสดงความเห็นทางการเมือง การเข้าร่วมกับผู้ชุมนุม และการประกันตัวผู้ต้องหาในคดีชุมนุมทางการเมือง ถือเป็นการกระทำการ หรือส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

รวมทั้งกรณีพรรคก้าวไกลยื่นร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ในฐานความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาททั้งหมด รวมถึงมาตรา 112, ร่างแก้ไข พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560, และร่างแก้ไข พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ตลอดจนการลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับไอลอว์ ซึ่งการกระทำของพรรคก้าวไกล ถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 45 และมาตรา 92 (2) (3) จึงขอให้ กกต.พิจารณาวินิจฉัย และเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค

นายณฐพร กล่าวว่า ที่มายื่นร้องเนื่องจากพรรคก้าวไกลมีการกระทำใน 2 ประเด็น ยุยงส่งเสริม สนับสนุนให้มีการชุมนุม ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง และมีการประกันตัวผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 มีการเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งการกระทำเหล่านี้ตนได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานมานาน และมีหลักฐานครบทั้งหมด จึงมายื่นให้ กกต.พิจารณา และศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้วินิจฉัยว่าหลักฐานดังกล่าวเป็นความผิดที่สามารถสั่งยุบพรรคได้หรือไม่

ยืนยันว่าการดำเนินการครั้งนี้เป็นการตรวจสอบการทำงานของพรรคการเมือง ในฐานะประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 51 กำหนด ส่วนที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลยืนยันว่าการประกันตัวผู้ต้องหาและการเสนอแก้ไขกฎหมายเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ตนขอถามกลับว่าหากตนไปหมิ่นประมาท แม่ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.พรรคก้าวไกลจะประกันตัวให้ตนหรือไม่ ส่วนการแก้ไขมาตรา 112 การเป็นนักการเมืองจะทำอะไรก็ต้องศึกษา ว่ามาตราดังกล่าวมีผลร้ายต่อประเทศและประชาชนอย่างไร และกฎหมายมาตรานี้ไม่ใช่เพิ่งมีแต่มีมานานแล้ว และทั่วโลกก็มีกฎหมายคุ้มครองประมุข เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอามาชุมนุมกัน ซึ่งการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ไม่ใช่เพียงเรื่องการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อขอแก้ไขกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมีการโยงใยไปถึงการล้มล้างระบอบการปกครองซึ่งเรามีหลักฐาน

“พฤติกรรมหลายๆอย่างที่ทำมา มันไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างเช่น หัวหน้าพรรคก้าวไกลยื่นประกันตัวนายอานนท์ นำภา ทนายความที่ละเมิดต่อมาตรา 6 ของกฎหมายอาญา ซึ่งการไปประกันตัวบุคคลพวกนี้ถือว่าละเมิดหรือไม่ แม้จะอ้างว่าศาลยังไม่ตัดสินแต่ความผิดซึ่งหน้ามันชัดเจนว่าทำผิด และยังมีการละเมิดสิทธิบุคคลอย่างกรณีสถาบันถูกละเมิดอย่างแรง กรณีการฉีกรูปพระบรมฉายาลักษณ์ อย่างไรก็ตามบอกได้เลยที่มายื่นวันนี้หลักฐานชัดเจน ไม่มีหลักฐานที่คลุมเครือ อันไหนที่ต้องตีความกันเราไม่ยื่น เอกสารหลักฐานต่างๆเราขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างเรื่องการโอนเงินก็มีหลักฐานว่าพวกที่ชุมนุมได้เงินจากใคร ใครโอนเงินให้ ใครจ่ายเงินให้ จ่ายเงินที่ไหน เรามีหลักฐานครบทุกอย่าง ทั้งนี้เราเชื่อว่าเราจะพิสูจน์ให้สังคมเห็นว่าที่เรายื่นไม่ได้กลั่นแกล้ง แต่มีหลักฐานเพียงพอ” นายณฐพร กล่าว

นายณฐพร ยังยืนยันว่า การยื่นยุบพรรคก้าวไกลในวันนี้ไม่ได้โกรธแค้นส่วนตัวกับใคร แต่ทำในฐานะประชาชนที่มีหน้าที่ ที่รวบรวมพยานหลักฐานมานาน ซึ่งก่อนหน้านี้ก่อนการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญตนก็ยื่นเสนอศาลรัฐธรรมนูญทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล เราเอากฎหมายเป็นหลัก บ้านเมืองมีกฎหมายถ้าเรายกการบังคับใช้กฎหมายให้คนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ก็จะทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่ครบถ้วน ทั้งนี้ยืนยันว่าไม่ได้ต้องจ้องยุบพรรค แต่มีกฎหมายชัดเจนว่าการทำหน้าที่ส.ส. ไม่ใช่จ้องล้มล้างสถาบันเพื่อจะเอาใจคนใดคนหนึ่ง

รมว.คมนาคม ระบุ จ่อชงแผนปฏิรูปเส้นทางรถเมล์ 162 เส้นทาง รองรับการขยายตัวของเมือง เชื่อมต่อระบบขนส่งอื่นในอนาคต คาดนำเข้าครม.พิจารณาพร้อมแผนฟื้นฟูขสมก

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 1/2564 วานนี้ (1 ก.พ. 2564) ว่า ที่ประชุม คจร.เห็นด้วยกับแผนปฏิรูปเส้นทางเดินรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 162 เส้นทาง แบ่งเป็น เส้นทางของ ขสมก. จำนวน 108 เส้นทาง และเส้นทางของเอกชน จำนวน 54 เส้นทาง เพื่อพัฒนาโครงข่ายเส้นทางรองรับการขยายตัวของเมือง และเชื่อมต่อกับระบบขนส่งอื่นตามความจำเป็นในอนาคต

อย่างไรก็ตามในส่วนกรณีที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีความเป็นห่วงผู้ที่มีรายได้น้อย และเคยเสียค่าโดยสารน้อยกว่า 30 บาท จะทำอย่างไรนั้นมองว่า เป็นประเด็นเดียวกับที่กระทรวงคมนาคมให้การดูแลอยู่แล้ว โดยเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง เป็นผู้พิจารณาค่าโดยสาร

โดยเบื้องต้นกำหนดไว้ คือ ตั๋วเที่ยวเดียว ราคา 15 บาท ซึ่งคิดราคาบนพื้นฐานอัตราค่าโดยสารรถประจำทางปรับอากาศตามระยะทางในปัจจุบัน (ประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2561) ราคาค่าโดยสารขั้นต่ำสุดสำหรับรถปรับอากาศ (ใหม่) คิดที่ ระยะทาง 0 - 4 กม. ราคา 15 บาท

"มติที่ประชุม คจร. ให้เพิ่มเติมข้อความเกี่ยวกับราคาค่าโดยสาร เป็นราคาค่าโดยสาร 30 บาท/วัน และให้คณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง เป็นผู้รับผิดชอบพิจารณากำหนดราคาค่าโดยสารให้เหมาะสมกับทุกกลุ่ม" นายศักดิ์สยาม กล่าว

รายงานข่าวข่าวแจ้งว่าสำหรับแผนปฏิรูปเส้นทางเดินรถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน 162 เส้นทาง นั้นกระทรวงคมนาคมจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาพร้อมแผนฟื้นฟู ขสมก.

‘บิ๊กตู่’ ย้ำรัฐบาลพร้อมดูแลผู้ได้รับผลกระทบโควิดทุกกกลุ่ม มอบหน่วยงานออกมาตรการเก็บตกเป็นระยะ พร้อมสั่งคืนเงินผู้ปกครอง ถ้าพบเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกินจริง ช่วงเรียนออนไลน์

‘บิ๊กตู่’ ย้ำรัฐบาลพร้อมดูแลผู้ได้รับผลกระทบโควิดทุกกกลุ่ม มอบหน่วยงานออกมาตรการเก็บตกเป็นระยะ พร้อมสั่งคืนเงินผู้ปกครอง ถ้าพบเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกินจริง ช่วงเรียนออนไลน์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า การหารือวันนี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการช่วยเหลือเยียวยา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 ทั้ง เรื่องวัคซีน การจัดสรรงบประมาณ และเรื่องแรงงาน รวมถึงการแก้ไขปัญหากฎหมาย ส่วนการช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ไปพิจารณาตรงนี้จะเห็นมาตรการต่างๆ ออกมา และไปเก็บตกในส่วนที่มีปัญหาอยู่ จึงจำเป็นต้องทยอยดำเนินการไปเป็นระยะ

ส่วนแนวทางในการช่วยเหลือผู้ปกครอง โดยเฉพาะปัญหาการเรียกเก็บค่าเทอม และค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปิดให้มีการเรียนออนไลน์แต่เก็บค่าเทอมและค่าใช้จ่ายเต็ม พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทางกระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) ได้มีการตรวจสอบโรงเรียนเอกชนดังกล่าวแล้ว หากพบว่ามีอะไรที่เกินความจําเป็นก็จะคืนเงินผู้ปกครองต่อไป โดยเฉพาะค่าจ่ายที่ไม่จำเป็นต้องเก็บในการเรียนออนไลน์ เช่นค่าอาหารและค่ารถ

ขณะที่มาตรการเยียวยาผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงบประมาณพิจารณาเรื่องนี้อยู่แล้ว

"จะเห็นได้ว่ามีมาตรการต่างๆทยอยออกมาเรื่อย ซึ่งเป็นการเก็บตกที่จะมีการออกมาตรการเรื่อย ๆ เป็นระยะ" นายกรัฐมนตรี กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top