Friday, 4 July 2025
Politics

‘บิ๊กป้อม’ ลั่นศึกภายในพรรคพลังประชารัฐเรียบร้อยดี ระบุ ‘นายกฯ’ บอกแล้วไม่ปรับครม.

วันที่ 7 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงสถานการณ์ภายในพรรคพปชร. ว่า ในพรรคเรียบร้อยดี ไม่มีอะไร ผู้สื่อข่าวถามกรณีของร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และฐานะเลขาธิการพรรค ที่เคลื่อนไหวก่อนหน้านั้น พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็เรียบร้อยดี 

เมื่อถามย้ำว่าอนาคตร.อ.ธรรมนัส ในรัฐบาลจะเป็นอย่างไร "เรียบร้อย ๆ" รองนายกฯ กล่าวว่า "นายกฯบอกแล้วไงไม่มีปรับคณะรัฐมนตรี"

'กรณ์' พรรคกล้า คว้า 'สมคิด จิรานันตรัตน์' ผู้ปั้นแอป 'เป๋าตัง' ร่วมงาน หลังแนวคิด 'เศรษฐกิจดิจิทัล' ลงตัว

น่าจับตามองอย่างมาก เมื่อพรรคกล้าได้มือดีอย่าง 'เชาว์-สมคิด จิรานันตรัตน์' เข้ามาร่วมทัพ โดย คุณกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ได้โพสต์ลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า... 

คนที่คิดจะแก้ปัญหา และพัฒนาบ้านเมือง 
ต้องมีครบทั้งความตั้งใจ ความรู้ และความกล้า

วันนี้อีกปัจจัยสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือความเข้าใจเรื่อง ‘เทคโนโลยี’ ทั้งในมุมลึกและกว้าง จนสามารถนำมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนา และแก้ปัญหาประเทศ และช่วยเหลือประชาชนได้จริง

พรรคกล้า - KLA Party เห็นว่ากุญแจสำคัญสู่การปลดล็อกปมปัญหาของประเทศคือ ‘เทคโนโลยี’ ไม่ว่าจะเป็น... 

1.) เทคโนโลยีที่จะมาสร้างระบบราชการให้ทุจริตยากขึ้น โปร่งใสตรวจสอบได้ 

2.) ทำให้เรามีระบบการเงินที่เข้าถึงได้ด้วยดอกเบี้ยที่เป็นธรรม

3.) เทคโนโลยีที่จะช่วยให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิต และขายตรงถึงผู้บริโภคได้

คีย์แมนสำคัญคนหนึ่งที่มาร่วมทีมกับเราในเรื่องนี้คือ ‘พี่เชาว์-สมคิด จิรานันตรัตน์’ Chao Jiranuntarat ผู้ก่อตั้ง settrade.com ทำระบบหลักทรัพย์ในโลกออนไลน์ ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาแพลตฟอร์ม Digital ต่าง ๆ ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นพร้อมเพย์สู่แอป “เป๋าตัง” และ K-Plus ผู้พลิกโฉมครั้งใหญ่ให้ธนาคารกสิกรไทย

‘พี่เชาว์' เข้าใจปัญหาและได้ทำจริงจนมั่นใจว่า "เทคโนโลยีจะเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาของประเทศไทยได้ ทั้งระบบเศรษฐกิจที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน และกับดักระบบราชการที่ตามโลกไม่ทัน" เจาะลึกลงไปก็จะพบความวิกฤตระบบการศึกษา ข้อบกพร่องระบบสาธารณสุข ปัญหาสังคม เศรษฐกิจปากท้อง และสิ่งแวดล้อมอีกมากมาย

ถ้าเรายังอยู่กันแบบเดิม การเมืองก็ ‘เล่น’ กันไปแบบเดิม ๆ คนไทยจะลำบาก ประเทศไทยจะไม่มีที่ยืน เราจะไม่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจของโลก คุณภาพชีวิตคนไทยจะมีแต่แย่ลง

ด้วยความมุ่งมั่นที่ผมตั้งใจสร้างพรรคการเมืองแห่งแพลตฟอร์ม นำ “เทคโนโลยี” เข้ามาแก้ไขปัญหาหลักของประชาชน ผมเชิญ “พี่เชาว์” เข้ามามีบทบาทสำคัญเป็น "ที่ปรึกษานโยบาย ด้านเทคโนโลยีเพื่อเศรษฐกิจดิจิทัล" ช่วยร่างนโยบายให้เป็นกระบวนการทำงานสำคัญที่ตอบโจทย์ประเทศไทย รัฐต้องบริหารราชการแผ่นดินด้วยสิ่งที่เรียกว่า #GovTech ให้ก้าวทันโลก ทันสมัย และที่สำคัญคือ ต้อง ‘ทำได้จริง’ ! 

ผมมั่นใจว่า ชุดนโยบายของ “พรรคกล้า” เป็นนโยบายที่แตกต่างจากทุกนโยบายของพรรคการเมืองที่เคยมีมาก่อน

ผมดีใจ และภูมิใจที่พรรคกล้ามาถึงวันที่เราได้รวบรวมคนเก่ง คนมีของ ที่มีความตั้งใจ ความรู้ และความกล้ามาช่วยกันสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศไทย เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย

ด้าน คุณสมคิด จิรานันตรัตน์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับการเข้าร่วมพรรคกล้าในครั้งนี้ด้วยว่า... 

ที่ผ่านมาผมไม่เคยคิดเล่นการเมือง เห็นว่าควรอยู่ห่างการมืองมากที่สุด แต่ปัจจุบันปัญหาบ้านเมืองมีมากเหลือเกิน และอนาคตที่จะเปลี่ยนไปในโลกใบที่ไม่เหมือนเดิม ทำให้ผมไม่ลังเลที่จะขอมีส่วนช่วยคิด ช่วยทำ ในหลาย ๆ เรื่องที่กำลังคิดและทำอยู่ 

เมื่อพรรคกล้าให้ความสำคัญกับเรื่องเทคโนโลยีมาก และคุณกรณ์ ก็มาชวนให้ผมออกความเห็นหลายครั้ง จนมีความคิดที่ตรงกันว่า เทคโนโลยีที่ออกแบบมาดี ใช้ให้เหมาะ มีโอกาสอย่างมากที่จะแก้ปัญหาใหญ่ ๆ ของประเทศไทยได้ เตรียมความพร้อมให้รุ่นลูกรุ่นหลาน สร้างโอกาสให้คนตัวเล็ก รวมถึง Startups และเกษตรกรด้วย 

แต่การจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จจะต้องเกิดความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงภาคประชาชนด้วย บางครั้งเรื่องที่จะทำได้ กลับทำไม่ได้ เสียโอกาสไปมากมาย เพราะเราขาดการทำความเข้าใจกัน 

แม้ประเทศไทยจะไม่ได้มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยี เมื่อเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศจีน หรือสิงคโปร์ แต่เรามีคนเก่ง ๆ มากพอ และผมได้เคยทำงานร่วมและสัมผัสคนเก่งเหล่านี้มาแล้วมากมาย โดยเฉพาะคนไทยเก่ง ๆ ที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ 

ผมจึงมีความเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนได้ หากเราร่วมมือกัน พร้อมใจกัน และวันนี้พรรคกล้าได้เสนอโอกาสให้ผมเสนอความคิดได้อย่างเต็มที่เพื่อให้นโยบายพรรคกล้าตอบโจทย์ของอนาคตประเทศได้ดีที่สุด และสามารถปฏิบัติได้ 

ซึ่งผมมีความเชื่อว่าสิ่งที่เสนอปฏิบัติได้จริง เพราะเชื่อในความสามารถของคนไทยที่ยังไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ และทุกเรื่องที่เสนอไม่ได้เป็นเรื่องเลื่อนลอย เพราะได้คิดเรื่องเหล่านี้มาเป็นปีแล้ว ได้เห็นภาพที่ปะติดปะต่อได้ชัดเจน ขาดแต่ความเชื่อร่วมกัน ความร่วมมือกันที่จะสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาเปลี่ยนประเทศ 

เรื่องนี้จะสำเร็จได้ ภาครัฐต้องมีวิสัยทัศน์ ทุ่มสุดตัว และไม่กลัวในการที่จะส่งเสริมและร่วมมือสนับสนุนเอกชน เราต้องพร้อมร่วมมือ ร่วมใจ และสร้างพลังใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้มีความสดใสและมีความหวังที่จะเชิดหน้า ชูตาในสังคมโลกอนาคตได้ครับ

#ประเทศไทยเปลี่ยนได้ด้วยเทคโนโลยี


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4765472956814121&id=100000543919894
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=394745362014031&id=100044357112719

ราเมศ เผย ที่ประชุมพรรค มีมติ เห็นชอบ วาระสาม ร่าง รธน. ลุยผลักดัน ร่างกฎหมายป้องกันการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงผลการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 ว่า

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.พรรค ได้ให้นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราช ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ที่เป็นผู้รับผิดชอบหลักได้รายงานความคืบหน้าเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่จะมีการพิจารณาวาระสามในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ และที่ประชุม ส.ส.ได้มีมติเห็นชอบในวาระที่สาม ที่ประชุมไม่ได้มีความกังวลใดๆ และเชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาจะให้ความเห็นชอบผ่านวาระสามไปได้อย่างแน่นอน พรรคผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ 
 
ในส่วนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ที่มีนายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นผู้เสนอ ไว้ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2563 ซึ่งเป็นร่างที่ได้บรรจุไว้ในระเบียบวาระการประชุมแล้ว ทางพรรคก็จะผลักดันให้มีการเลื่อนระเบียบวาระขึ้นมาพิจารณาก่อน เพื่อจะได้พิจารณาทันก่อนปิดสมัยประชุม เพราะเมื่อรับหลักการในวาระแรก ในวาระที่สองในชั้นกรรมาธิการก็สามารถพิจารณาในช่วงปิดสมัยประชุมได้ 

นายราเมศกล่าวต่อว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวทางพรรคได้ให้ความสำคัญ ที่ผ่านมาได้เชิญภาคประชาชนที่ร่วมผลักดันเรื่องนี้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในที่ประชุมพรรค เห็นตรงกันว่า ควรมีกฎหมายเพื่อป้องกันการกระทำหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมที่ป้องกันการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหายซึ่งกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นกฎหมายที่จะมุ่งคุ้มครองสิทธิมนุษยชนซึ่งสอดคล้องกับหลักเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และหากเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาในวาระที่สองพรรคก็จะได้เชิญภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งนายชินวรณ์ บุญยเกียรติ จะได้นำไปหารือกันในวิปรัฐบาลต่อไป

"ณัฐชา" ดักคอ อย่ายื้อเลือกตั้ง กทม.-พัทยา เบี่ยงกระแสหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้ ควรเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับให้เร็วที่สุดแก้ปัญหาโรคระบาด พร้อมปลดล็อกระเบียบข้อบังคับส่วนกลาง ให้เกียรติผู้แทนปชช.

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบเฉพาะการจัดเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในส่วนองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ขณะที่การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและนายกเทศมนตรีเมืองพัทยาที่ประชุมยังไม่พิจารณาโดยคาดว่าจะมีขึ้นในปีหน้า ว่า สถานการณ์ประเทศไทยในขณะนี้ควรมีการจัดการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นอย่างเร่งด่วน เพราะปัญหาการจัดการโรคระบาดหลายพื้นที่มีความจำเป็นต้องใช้อำนาจท้องถิ่นในการจัดการ หากรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาของประชาชนจริง เร่งจัดการเลือกตั้งอบต.ให้เร็วที่สุดเพราะมีความจำเป็นอย่างมาก และหากรัฐบาลต้องการแสดงความจริงใจไม่เบี่ยงประเด็นความบอบช้ำหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ต้องเดินหน้ากำหนดวันเลือกตั้งอย่างตรงไปตรงมาเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในขณะนี้ 

"โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ กทม. ที่อยู่ภายในการบริหารงานของผู้ว่าฯ และสมาชิกกรุงเทพฯ ที่แต่งตั้งมานานกว่า 7 ปี อยู่ในตำแหน่งโดยกินเงินเดือนที่มาจากภาษีประชาชน แต่ประชาชนแทบไม่รู้ว่าทำอะไรไปเพื่อประชาชนบ้าง ดังนั้นการเดินหน้าประกาศให้มีการเลือกตั้งให้เร็วที่สุดคือทางออกวิกฤตในขณะนี้" นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องตระหนักคือการมีตัวแทนประชาชนที่ไม่สะท้อนความต้องการของประชาชนเช่นนี้ ถือเป็นการซ้ำเติมปัญหา จึงควรเดินหน้าให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับ เพราะมีความใกล้ชิด รู้และเข้าใจปัญหาให้พื้นที่ตัวเองดี ระเบียบข้อบังคับหรืออะไรต่างๆ ที่ล็อกไว้จากส่วนกลางก็ต้องคลายล็อก เป็นการทำงานอย่างให้เกียรติและไว้ใจตัวแทนของประชาชน ไม่ใช่แค่หาประเด็นเบี่ยงกระแสหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สื่อมีเรื่องใหม่ไปตีข่าวแล้วก็ยื้อต่อไปในปีหน้า แต่ที่ต้องทำเช่นนี้คงเพราะรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายแม้จะรอดทั้งคณะ แต่เชื่อว่าในใจท่านรู้ดีว่ามือที่ยกให้นั่นไม่ใช่ความไว้ใจของประชาชนอย่างแน่นอน

‘ชาดา’ ซัดหนัก ‘บิ๊กตู่’ ไม่ออกไปเยี่ยมปชช. เพื่อรับรู้ปัญหาด้วยตาตัวเอง ขาดจิตวิทยามวลชน

นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุค ส่วนตัว Chada Thaised ระบุว่า

"การแก้ปัญหาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมอยากจะบอกพี่น้องประชาชนและใครก็ได้บอกท่านนายกฯ ด้วย โรคโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ทุกรัฐบาลในโลกไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่มีทฤษฎี ไม่มีสูตรในการแก้ปัญหา หมอที่อยู่ข้างกายนายกฯ ไม่ว่าหัวหงอกหัวดำก็ไม่เคยผ่านมาทั้งนั้น ระบบสาธารณสุขของไทยถูกออกแบบมา คนป่วย ไอซียู 1 คน 1 เตียง อยู่ได้ 5 วัน แต่ผู้ป่วยโควิดนั้นอยู่ 15 วันถึง 30 วัน ในบางรายก็มากกว่านั้น ทำให้เกิดปัญหาไม่มีเตียงรองรับ ก็มะงุมมะงาหรากันทุกรัฐบาลทั่วโลก มีสภาพคล้าย ๆ กัน

แต่สิ่งที่ท่านนายกฯ ประยุทธ์ ต้องรู้คือท่านขาดจิตวิทยามวลชน ท่านไม่ออกมาเยี่ยมพี่น้องประชาชนในกทม. ตามชุมชนต่าง ๆ และท่านก็ไม่เคยออกมารับรู้ปัญหาด้วยตาด้วยตัวของท่าน ท่าน work from home ผมจะบ้าตาย ทีมที่ปรึกษาคนในแนะนำให้ไปโดดน้ำ ผู้นำไม่ใช่อยู่กับบ้าน ไม่สมกับเป็นชายชาติทหาร ต้องออกดูปัญหาออกมารับรู้เพื่อเห็นสภาพความเป็นจริง นายกฯ ต้องรู้ว่าระบบราชการไร้ประสิทธิภาพในการแก้ไข้ปัญหาขนาดใหญ่ อุทกภัย วาตภัย และโรคระบาด

ผมขอยกตัวอย่างสมัยท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ น้ำท่วมใหญ่ปี 54 คุณสรยุทธเป็นพระเอก ประชาชนมาบริจาคเป็นร้อยล้าน แต่ไม่บริจาคให้รัฐบาล สมัยท่านนายกฯ ประยุทธ์ น้ำท่วมภาคอีสานเมื่อไม่นานมานี้ คุณบิณฑ์ เป็นพระเอก โรคระบาดครั้งนี้ มูลนิธิเส้นดายเป็นพระเอก ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกก็ว่าได้ที่ประชาชนออกมาช่วยประชาชน หน่วยงานของรัฐทุกระบบที่ไม่ใช่บุคลากรทางสาธารณสุข บางหน่วยบางคน ไม่ร่วมแรงร่วมใจ แต่ก็มีจำนวนมากที่เหน็ดเหนื่อย แต่ระดับอธิบดีแทบทุกหน่วยทำตัวเป็นปกติ นี่คือปัญหาของระบบราชการไทยที่ไม่รู้จักคำว่าลงแขกช่วยเหลือกัน รู้แต่ว่าหน้าที่กูหน้าที่มึง เหมือนกับร่างกายมนุษย์ที่ใช้งานแค่สองนิ้วสามนิ้ว เมื่อไม่ได้ช่วยกันทั้งหมด งานย่อมมีปัญหาแน่นอน

ในวัคซีนซิโนแวค มีประเทศจีนให้ความสำคัญกับเรา ช่วยเหลือเรา ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ประเทศตะวันตก ใครบ้างมาดูแลเราในสภาพตอนนั้น บางคนโจมตีรัฐบาลจีน แต่ตัวเองฉีดวัคซีนเข็มแรกของจีนก่อนใครใครทั้งหมด รอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็มีเยอะ ยังไปด่าเขา เนรคุณรึป่าว? และที่สำคัญในกรุงเทพมหานครไม่มีสาธารณสุขจังหวัด และไม่มีสาธารณสุขอำเภอ กทม.รับมือไม่ไหวหรอก มหาดไทยก็นิ่งเฉย ปล่อยกรุงเทพฯ เหมือนเมืองซอมบี้ ศักยภาพ กทม.เลยทำงานเหมือนคนโดดเดี่ยว

ผมเขียนมาวันนี้ไม่ได้คิดโจมตีใคร นายกฯ ต้องมองคนที่ให้คำแนะนำผิด ๆ บ้าง อย่างที่เช่นการรวบอำนาจตามกฎหมาย 30 กว่าฉบับมาไว้ที่ ศบค. แล้วก็กลายเป็นทำงานคนเดียว ชุดเดียว กลุ่มเดียว กระทรวง กรมต่าง ๆ นิ่งเฉย อยู่ดี ๆ ตัวใหญ่ขึ้น แต่คนช่วยทำงานไม่มีเลย เอาปลัดกระทรวงมานั่ง แต่ไม่ได้เอาหัวเอาหางมา มีกำลังพลมากมายในประเทศกลับไม่มีค่า ขาดความร่วมมือ ส่วนอื่น ๆ ก็ถือว่าไม่ใช่หน้าที่

บารมีท่านเป็นนายกฯ มา 7-8 ปี ไม่ต้องเอาอำนาจตามกฎหมายมาถือไว้ ไร้ประโยชน์ ในทางกลับกัน ถ้านายกฯ ไม่ไปดึงอำนาจมา แต่บริหารจัดให้กระทรวงนี้ไปรับผิดชอบเรื่องศูนย์พักคอย กระทรวงนี้ไปรับผิดชอบโรงพยาบาลสนาม อีกกระทรวงไปรับผิดชอบการขนส่งผู้ป่วย เป็นต้น นายกฯ ก็คงไม่ต้องโดนด่ามากมาย กระผมอาจจะคิดผิดก็ได้

แต่ท่านนายกฯ ครับ วันนี้อุทัยธานี เตียงสนาม ศูนย์พักคอย คนป่วยเริ่มน้อย กำลังจะปิดบางส่วน ถ้าท่านนายกฯ รู้ข้อมูลอาจจะให้อุทัยธานีช่วยเหลือคนป่วยจากที่อื่นอีกสัก 400-500 คน ที่อาการไม่หนัก นี่คือตัวอย่างครับท่าน ผมไม่ได้เก่งกาจ หรืออาจจะผิดก็ได้ แต่ผมคือคนที่อยู่ในระบบราชการมาพอสมควร จึงเขียนมาเป็นอีกหนึ่งความคิด

อย่าได้โกรธกันครับผม คนเราต้องทบทวนบ้างว่าอะไรมิตรแท้ ไม่ใช่ใครออกมาเสนอแนะอะไรก็โดนสวนกลับทั้งที่พูดด้วยความจริงใจ ที่ผมพูดมาก็ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าใครก็ตาม อย่าได้โกรธเกลียดกันเลยครับ (ถ้าเอ่ยถึงชื่อผู้ใด หรือตำแหน่งต่าง ๆ อาจจะไม่ถูกต้อง ก็ต้องกราบขอโทษด้วย พิมพ์เองครับ อาจจะผิดถูกบ้างไม่สละสลวย ก็ต้องขอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ)”


ที่มา : https://www.facebook.com/chadathaised

“บิ๊กตู่”ห่วงสุขภาพประชาชนรับมือกับโควิด -19 หน้าฝน แนะสำรองหน้ากากผ้า-หน้ากากอนามัย และติดตามพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงนี้เป็นฤดูฝนและมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน เนื่องจากฤดูฝนจะทำให้เกิดอุณหภูมิที่ลดลงอาจทำให้เชื้อโรคและเชื้อไวรัสอยู่ในสภาวะแวดล้อมได้นานขึ้นและอาจทำให้เกิดโรคที่มีอาการใกล้เคียงกับโควิด-19 เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดธรรมดา และไข้เลือดออก  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ฝากความห่วงใยถึงการปฎิบัติตนของประชาชนเพื่อป้องกันโควิด-19 ในช่วงหน้าฝนนี้ ให้ขอยึดหลักการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19  แบบครอบจักรวาล (Universal Prevention for COVID-19) อย่างเคร่งครัด ทั้งการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัย อยู่เสมอ ออกจากบ้านเมื่อจำเป็น เว้นระยะห่าง หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮลล์ หลีกเลี่ยงการนำมือมาจับหน้า ตา จมูกและปาก รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัดและไม่มีอากาศถ่ายเท  และในช่วงหน้าฝนนี้ ต้องทำความสะอาดหน้ากากผ้าทุกวันก่อนนำมาใช้  อย่าใช้หน้ากากผ้าและหน้ากากอนามัยที่เปียกและชื้น และควรมีหน้ากากสำรองไว้เพื่อเปลี่ยนอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

“นายกรัฐมนตรีอยากเห็นประชาชนรักษาสุขภาพที่ดี หมั่นสังเกตอาการตนเอง ทั้งโรคไวรัสโควิด-19 และกลุ่มเสี่ยงโรคทางเดินหายใจ รวมทั้งยังฝากความห่วงใยไปยังพื้นที่จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในขณะนี้  และขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงติดตามการพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิดด้วย หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้แจ้งเตือนอิทธิพลจากพายุโกนเซิน (COUSON (2113) จะทำให้ประเทศไทยมีปริมาณฝนมากขึ้นจนถึงสัปดาห์หน้าด้วย" นายธนกรฯ กล่าว

'ก้าวไกล' ยืนยันดันร่างพ.ร.บ.อุ้มหายฯ ให้ทันสมัยประชุมนี้ พร้อมร่วมรับข้อเสนอ เครือข่ายญาติผู้เสียหายจากการซ้อมทรมานและอุ้มหาย

เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ สัดส่วนกลุ่มชาติพันธุ์ พรรคก้าวไกล ร่วมรับหนังสือจากเครือข่ายญาติผู้เสียหายจากการซ้อมทรมานและอุ้มหาย ที่จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ เพื่อเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎร เร่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามบุคคลสูญหาย ที่รัฐสภา โดยมี นายธนัท ธนกิจอำนวย (ลูกนัท) พร้อมด้วย สิตานันท์ สัตยศักดิ์สิทธิ์ พี่สาว นายวันเฉลิม สัตยศักดิ์สิทธิ์ บุคคลที่ถูกทำให้สูญหาย ณ ประเทศกัมพูชา ร่วมเรียกร้องต่อประเด็นดังกล่าว

รังสิมันต์ โรม กล่าวว่า ตนเองก็มีกลุ่มเพื่อนที่ได้รับผลกระทบจากการถูกกระทำให้สูญหาย ซึ่งตนเคยรับประทานอาหารร่วมกับนายวันเฉลิม สัตยศักดิ์สิทธิ์ บุคคลที่ถูกทำให้สูญหาย ณ ประเทศกัมพูชาในสมัยที่ตนเคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตนรู้สึกสะเทือนใจทุกครั้ง ที่วันหนึ่งคนที่มีความตั้งใจอยากจะเปลี่ยนประเทศไทยให้เป็นสังคมที่ดีงาม ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ในประเทศนี้ได้ และสุดท้ายต้องถูกบังคับสูญหาย ถือเป็นความเจ็บปวดทุกครั้ง ที่เราไม่รู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ เขายังมีลมหายใจหรือเปล่า เราได้แต่รอ เราได้เเต่ฝัน เราได้แต่พยายามคิดในแง่บวกว่าเขาอาจจะอยู่ในที่ที่ดีกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ตนคิดว่ามันเป็นความเจ็บปวดเเละความทุกข์ทรมานของครอบครัว ของเพื่อนที่ต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นถึงความโหดร้ายเเละป่าเถื่อนของสังคมที่เรากำลังอยู่ ที่คนต้องการเห็นสังคมเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถมีชีวิตได้อย่างปกติ

“ผมคิดว่าสถานการณ์แบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นอีกต่อไป เเละการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะมีการเรียกร้องให้มีร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองต่อการอุ้มหายเเละซ้อมทรมาน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเเปลงให้สังคมนี้เป็นประชาธิปไตยขึ้น เพื่อไม่ให้ใครต้องหวาดกลัวอีกต่อไป ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ เเละเป็นสิ่งที่จะต้องทำ"

รังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ คือ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามบุคคลสูญหายและซ้อมทรมาน ถูกมองว่าไม่ใช่กฎหมายที่ทุกคนจะได้ใช้ประโยชน์ เป็นเรื่องไกลตัว แต่เราต้องไม่ลืมว่ากฎหมายนี้ เป็นการสร้างหลักประกันให้สังคมของเราไม่เป็นสังคมที่ป่าเถื่อนอีกต่อไป เพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่ในสังคมนี้ได้โดยปราศจากความหวาดกลัว หรือถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาได้รับผลกระทบ เราจะมั่นใจได้ว่า จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่พยายามหาความจริง เป็นเพื่อนที่เคียงข้างให้กับครอบครัวที่สูญเสีย ตนขอเเสดงความนับถือกับครอบครัวผู้สูญเสียที่พยายามไม่อยู่เฉย ตนยังจำได้ในวันแรก ๆ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ สังคมของเราหวาดกลัวขนาดไหน เราไม่มีทางรู้ว่าเราจะเป็นรายต่อไปเมื่อไหร่ ซึ่งตนคิดว่าการรวมกลุ่มเเละการไม่อยู่เฉย การพยายามพูดออกมา ไม่ใช่แค่การทำให้บุคคลที่ถูกอุ้มหายเเละซ้อมทรมานได้มีตัวตนเท่านั้น เเต่มันคือการประจานความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในประเทศของเรา เเต่การผลักดันที่เป็นรูปธรรมที่สุด คือ การให้มีร่างกฎหมายที่จะคุ้มครองเรื่องนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระยะยาวต่อไปในอนาคต

รังสิมันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอเเจ้งข่าวดีต่อครอบครัวผู้สูญหาย เเละผู้เรียกร้องต่อกรณีนี้ว่า เมื่อวาน ( 7 ก.ย. 64) ทางวิปฝ่ายค้านได้หารือว่าจะเลื่อนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา ต่อจากร่างพรบ.ปฏิรูปการศึกษา ซึ่งที่ประชุมฝ่ายค้านเห็นด้วย โดยในช่วงเช้าตนได้หารือกับทางวิปรัฐบาลให้เลื่อนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา โดยทางวิปรัฐบาลก็ได้ระบุว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งหมายความว่า โอกาสที่รัฐสภาจะได้พิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ ผ่านวาระที่ 1 ในสมัยประชุมนี้ ใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น 

ในปัจจุบันเรามีร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกัน 3-4 ฉบับ ของคณะรัฐมนตรี 1 ฉบับ ของสภาผู้เเทนราษฎร 3 ฉบับ ซึ่ง 1 ใน 3 ฉบับ คือ ฉบับที่คณะกรรมาธิการการฎหมาย การยุติธรรม เเละสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ร่วมพัฒนากับพี่น้องประชาชนยื่นเข้ามา ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนจากส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน เเละพรรคร่วมรัฐบาล ตนค่อนข้างมีความมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรที่ทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ตกไปได้

“สิ่งที่ครอบครัวผู้สูญหาย พยายามพูดมาโดยตลอด วันนี้ไม่ได้ทำให้บุคคลที่ถูกทำให้สูญหายเเละซ้อมทรมานได้มีตัวตนต่อในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่วันนี้กำลังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาว และมันกำลังเกิดขึ้น กงล้อของการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้กำลังเกิดขึ้น กำลังหมุนไปเเล้ว ทุกคนอย่าเพิ่งท้อถอย ในที่สุดเเล้วเราจะสามารถคืนความเป็นธรรมให้กับครอบครัวผู้สูญเสียทุกคนได้ ผมขอเป็นกำลังใจให้ครับ อย่าหยุดพูด การไม่หยุดตรงนี้ วันหนึ่งเราจะได้ความเป็นธรรมกลับคืนมา ยังอยากให้ทุกคนมีหวังต่อไปในการที่สังคมจะเปลี่ยนเเปลงไปในทางที่ดีขึ้น" รังสิมันต์ กล่าว

ขณะที่ มานพ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (7 ก.ย. 64 ) พรรคก้าวไกล ในที่ประชุมส.ส.ของพรรคได้มีการหารือถึงประเด็นดังกล่าว โดยพรรคก้าวไกลมีมติที่จะเสนอต่อรัฐสภาให้เลื่อนญัตติในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามบุคคลสูญหาย ฉบับที่ พ.ศ…. ขึ้นมาพิจารณาให้ทันในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ฝ่ายการเมือง เเละฝ่ายนิติบัญญัติควรให้ความสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน คือ การประชุมเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชน ณ นครเจนีวา สหพันธรัฐสวิส 

ดังนั้นร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าประเทศไทยทำตามข้อตกลงที่ลงนามกับนานาอารยประเทศหรือไม่ ส่วนในประเทศไทย ตนเห็นในหลายกรณี อย่างล่าสุด กรณี พ.ต.ท.ธิติสรรค์ อุทธนผล (ผู้กำกับโจ้) ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนถึงแก่ความตาย ซึ่งเกิดขึ้นจากฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำต่อประชาชน

นอกจากนี้ ตนในฐานะตัวแทนของกลุ่มชนชาติพันธุ์ ขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับชัยภูมิ ป่าแส ที่โดนเจ้าหน้าที่ทหารกระทำจนถึงแก่ชีวิต เเละพอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) ที่โดนกระทำจากเจ้าหน้าที่รัฐ โดยการตรวจสอบความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรมจะต้องเกิดขึ้น เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับการคุ้มครองอย่างยุติธรรมเเละเท่าเทียม

'ดร.สายันต์' โพสต์ข้อความเตือนสติ 'เยาวชน-คนรุ่นใหม่' อย่าถูกฝรั่งล้างสมอง จนมาด้อยค่าบ้านเกิด

ศาสตราจารย์ ดร.สายันต์ ไพรชาญจิตร์ อดีตคณบดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้โพสต์ชวนคิด การที่คนรุ่นใหม่ฝักใฝ่ในชาติล่าอาณานิคมยุคใหม่ จนลืมความเป็นไทยและด้อยค่าแผ่นดินเกิดในทุก ๆ เรื่อง ว่า... 

เขาพูดกันว่าการสอนประวัติศาสตร์ที่เน้น "Thai Centric" ทำให้คนไทยโง่ ไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักคนอื่น พูดยังกับว่าฝรั่งไม่เคยสอนเรื่อง... 

"Eurocentric" 
"Anthropocentric" 
และ "American Dream" 

ผมว่า "Thai Centric" เป็นกระบวนการปกป้องท้องถิ่น ป้องกันตัวเองจากการรุกรานของพวกกระหายทรัพยากร พวกล่าอาณานิคม 

ศาสดาตะวันออกสอนให้เรารู้จักโลกและจักรวาลที่เป็นจริงในระดับ "โลกุตระ" มากกว่า "โลกวัตถุ" และ "โลกียะ" ที่ส่งเสริมเพิ่มตัณหาให้คนหลงใหลแต่วัตถุ นิยมการบริโภคที่เกินพอดี นิยมการอยู่แบบทำลายธรรมชาติ 

สอนให้รู้จักแต่โลกที่เป็นคู่ตรงข้าม กระหายสงคราม 

สอนให้รู้จักแต่เทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสม ฝืนธรรมชาติ ทำลายล้างธรรมชาติและหมู่มนุษย์ด้วยกันเอง 

เพราะประวัติศาสตร์แบบ Thai Centric สอนให้เรารู้จักโลกของฝรั่งแบบนี้ยังไง เราจึงป้องกันตัวเองมาได้นานพอสมควร 

แต่เมื่อพวกนักเรียนไทยรับทุนไปเรียนเมืองฝรั่งกันมาก ๆ ก็ถูกล้างสมองไปหมด มองบ้านเกิดเมืองนอนไร้ค่า ไม่มีอะไรดี มองว่ามาตุภูมิปิตุภูมิด้อยค่าล้าหลัง กลับมาทำงานก็ทำให้ประเทศไทยเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและ วัฒนธรรมกันเสียเอง

จะโทษใครดีล่ะ...ใครเชื่อแบบนั้นก็ตามใจ...แต่ผมไม่เชื่อ


ที่มา : https://www.facebook.com/100001467066787/posts/4479400668785458/

'โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ' ออกชี้แจง ปม ‘ทอม เครือโสภณ’ กล่าวหา ‘ดอน’ ปฏิเสธรับบริจาควัคซีนเพื่อนบ้าน

จากกรณีที่ นายทอม เครือโสภณ ได้ออกคลิปกล่าวหาว่ากระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธความร่วมมือด้านวัคซีนโควิด-19 จากมิตรประเทศนั้น เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564

ล่าสุด นายธานี แสงรัตน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมาชี้แจงดังนี้

1.) ข้อกล่าวหานี้ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด !!! กระทรวงการต่างประเทศทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนไทยและคนต่างชาติที่อาศัยในไทย เข้าถึงวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยเร็วที่สุด ทั้งการอำนวยความสะดวกในการจัดซื้อ การแลกเปลี่ยนวัคซีน (vaccine swap) หรือรับมอบความช่วยเหลือจากมิตรประเทศ 

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังได้ติดตามพัฒนาการของวัคซีนโควิด-19 จากทั่วโลก เจรจากับรัฐบาลและหน่วยงานของต่างประเทศเพื่อผลักดันความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนากับประเทศที่มีศักยภาพ เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่จะให้ไทยเป็นฐานการผลิตวัคซีนและแหล่งกระจายวัคซีนในภูมิภาค 

โดยได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวร และสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลกดำเนินการในเชิงรุกผ่านช่องทางทางการทูตทุกระดับทุกช่องทาง

2.) ไทยไม่เคยปฏิเสธความร่วมมือด้านวัคซีนของมิตรประเทศ !!! กรณีความร่วมมือกับสิงคโปร์นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ แจ้งว่า สิงคโปร์รู้สึกขอบคุณไทยที่ได้บริจาคอุปกรณ์ตรวจเชื้อโควิด-19 แบบ RT-PCR ให้ในช่วงต้นของการระบาดรุนแรงในสิงคโปร์ 

ดังนั้น โดยที่สิงคโปร์มีวัคซีนมากพอสำหรับการใช้ในประเทศแล้ว จึงประสงค์จะส่งวัคซีนแอสตราเซเนกามาให้ประเทศไทยจำนวน 120,000 โดส ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้แสดงความขอบคุณและขอรับความช่วยเหลือนี้ในรูปแบบการยืม (swap) โดยจะส่งวัคซีนคืนให้สิงคโปร์เมื่อไทยมีวัคซีนเพียงพอต่อความต้องการในประเทศ

เช่นเดียวกับความตกลงที่ไทยได้ทำกับภูฏาน โดยเรามองว่า เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ได้คิดว่าใครจะเล็ก หรือใหญ่ หรือเป็นการเสียหน้าใครแต่อย่างใด

3.) กรณีที่มีการกล่าวอ้างว่าผู้แทนของบริษัท Moderna ไม่สามารถเข้าถึงตัวแทนทางการทูตของไทยได้นั้น ขอชี้แจงว่าทั้งกระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตไทยที่กรุงวอชิงตัน ได้รับไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์จากผู้แทนบริษัทจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์แห่งหนึ่งซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการในการจัดหาและกระจายวัคซีนโควิด-19 ของ Moderna ในประเทศไทย 

โดยมีข้อความแจ้งว่า โรงงานผู้ผลิตหลักของ Moderna ในสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งผลิตวัคซีนให้ประเทศนอกสหรัฐฯ ติดขัดบางประการ จึงทำให้เกิดความขาดแคลนและความล่าช้าในการส่งมอบวัคซีนให้แก่ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย 

จึงขอให้กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตฯ เจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เลื่อนการรับมอบวัคซีน Moderna 10 ล้านโดส ที่จะได้รับในไตรมาส 3 ของปีนี้ออกไปก่อน เพื่อให้ Moderna สามารถส่งมอบวัคซีนให้แก่ไทยได้ เนื่องจากสหรัฐฯ มีวัคซีนส่วนเกินจำนวนมาก 

ทั้งนี้ ผู้แทนบริษัทฯ ดังกล่าว ไม่ได้แสดงเอกสารใด ๆ แม้แต่สัญญาการสั่งซื้อวัคซีนของหน่วยราชการไทยที่อ้างถึง รวมถึงรายละเอียดความต้องการวัคซีน Moderna ของภาคเอกชนไทย จำนวนวัคซีน และกรอบเวลาการส่งมอบ ตลอดจนข้อมูลท่าทีและการดำเนินการของบริษัทฯ ในการผลักดันประเด็นที่ขอให้ไทยเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงช่องทางการติดต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ของบริษัทฯ รวมถึงไม่เคยมีหนังสือแจ้งความจำนงกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างเป็นทางการ 

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ได้หยิบยกกับผู้แทนระดับสูงของฝ่ายสหรัฐฯ เกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทยและความต้องการวัคซีนอย่างเร่งด่วน และมีหนังสือขอรับการสนับสนุนจากทางการสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องเพื่อขอเร่งการส่งมอบวัคซีนที่ไทยสั่งซื้อ 

ส่วนกรณีวัคซีนส่วนเกินของมลรัฐต่าง ๆ และสถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและได้รับแจ้งว่า ยังไม่มีมาตรการส่งวัคซีนส่วนเกินบริจาคหรือขายต่อให้ประเทศอื่น ๆ 

อย่างไรก็ตาม สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้ดำเนินการอย่างเต็มความสามารถในการประสานกับผู้แทนของฝ่ายสหรัฐฯ รวมถึงการพูดคุยกับสมาชิกวุฒิสภา Tammy Duckworth เพื่อขอรับการสนับสนุนการส่งมอบวัคซีนที่หน่วยราชการไทยได้สั่งซื้อโดยเร็ว และผลักดันการเข้าถึงวัคซีนที่สหรัฐฯ ไม่ได้ใช้ต่อไป

4.) ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเกี่ยวกับการแสวงหาความร่วมมือด้านวัคซีนป้องกันโควิด-19 และความร่วมมืออื่น ๆ แล้ว ดังนี

(4.1) จีน - รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือกับมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนในหลายโอกาส โดยไทยได้รับบริจาควัคซีน Sinovac จำนวน 1 ล้านโดส 

นอกจากนี้จีนยังอำนวยความสะดวกและติดตามการจัดหาวัคซีนของบริษัท Sinovac และบริษัท Sinopharm เพื่อประสานงานให้การจัดซื้อและส่งมอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

(4.2) สหรัฐฯ - กระทรวงการต่างประเทศผลักดันความร่วมมือเพื่อเข้าถึงวัคซีนของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนของสหรัฐฯ ได้แก่ Pfizer Moderna Johnson & Johnson และ Novavax อย่างต่อเนื่องในทุกระดับ ทั้งในรูปแบบของการจัดซื้อ การขอรับความช่วยเหลือ และการเจรจาข้อตกลงการแลกเปลี่ยนวัคซีนล่วงหน้า (vaccine swap) 

โดยไทยได้รับบริจาควัคซีน Pfizer จำนวนกว่า 1 ล้าน 5 แสนโดส เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 และฝ่ายสหรัฐฯ มีแผนที่จะมอบเพิ่มเติมอีก 1 ล้านโดส

(4.3) ญี่ปุ่น - กระทรวงการต่างประเทศทาบทามการแลกเปลี่ยนวัคซีน (vaccine swap) กับญี่ปุ่น และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ส่งมอบวัคซีน AstraZeneca จำนวนกว่า 1,050,000 โดสให้แก่ไทยแล้ว และบริจาคเพิ่มให้อีก 300,000 โดสโดยส่งมอบในวันที่ 8 กันยายน นี้ 

นอกจากนี้ ยังให้ความช่วยเหลือด้านการเฝ้าระวังตรวจหาเชื้อและส่งเสริมการวิจัยยารักษาโรค รวมถึงอุปกรณ์อีกกว่า 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีแผนส่งมอบเครื่องผลิตออกซิเจนให้ไทย 775 เครื่องมูลค่า 1.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกด้วย

(4.4) สหราชอาณาจักร - ไทยได้ขอรับการสนับสนุนวัคซีน AstraZeneca ซึ่งสหราชอาณาจักรได้ส่งมอบวัคซีนให้จำนวน 415,000 โดสให้แก่ไทยด้วยแล้ว

(4.5) ภูฏาน - รัฐบาลภูฏานกับรัฐบาลไทยได้เห็นชอบการแลกเปลี่ยนวัคซีนล่วงหน้า (vaccine swap) จำนวน 150,000 โดส บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์และความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ไทยและภูฏานมีร่วมกันอย่างใกล้ชิด

(4.6) เยอรมนี - กระทรวงการต่างประเทศกำลังประสานการรับมอบ Monoclonal antibody (Casirivimab/Imdevimab) ซึ่งเป็นยารักษาผู้ป่วยโควิด-19 อาการหนัก จากกระทรวงสาธารณสุขประเทศเยอรมนีของบริษัท Regeneron จำนวน 2,000 ยูนิตโดยเร็วที่สุด เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19

(4.7) สวิตเซอร์แลนด์ - กระทรวงการต่างประเทศได้รับมอบเครื่องช่วยหายใจ 102 เครื่อง และชุดตรวจ Rapid Antigen 1.1 ล้านชุดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564

นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังอยู่ระหว่างการเจรจาความร่วมมือเพื่อการสรรหาวัคซีนจากอินเดีย เกาหลีใต้และออสเตรเลียเพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขของไทยอย่างต่อเนื่อง

5.) หากกระทรวงการต่างประเทศ “กลัวเสียหน้า” ที่จะรับความช่วยเหลือจากมิตรประเทศต่าง ๆ ตามที่ได้แจกแจงข้างต้น ความร่วมมือกับมิตรประเทศต่าง ๆ ที่เทมาให้ไทย คงไม่สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ 

ตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่ทุกระดับของกระทรวงการต่างประเทศได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อพยายามทุกวิถีทางให้คนทุกกลุ่มในไทยเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับสถานการณ์การระบาดในประเทศมาอย่างต่อเนื่อง 

ซึ่งหากคิดด้วยเหตุผล ก็จะเข้าใจได้เองว่า หากประเทศไทยไม่อยู่ในสายตาของมิตรประเทศเหล่านี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ จะทุ่มเทให้ความช่วยเหลือเราอย่างทันควัน !!!!

นั่นก็เพราะการดำเนินการทางการทูตของไทยทำให้ไทยได้รับการยอมรับในเวทีระหว่างประเทศ ทำให้ต่างชาติเห็นว่าไทยเป็นมิตร จึงเป็นห่วงเป็นใยกันและประสงค์จะช่วยเหลือเราเพราะเราเองก็มีประโยชน์ต่อเขาเฉกเช่นเดียวกัน 

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศดำเนินนโยบายการต่างประเทศโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ ประชาชนชาวไทย และความโอบอ้อมเกื้อกูลต่อมิตรประเทศโดยสมดุลและมีประสิทธิภาพ 

จึงทำให้มิตรประเทศเล็งเห็นถึงความสำคัญของไทยในฐานะหุ้นส่วนที่มีศักยภาพและมีความห่วงใยต่อประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระทรวงการต่างประเทศประสบความสำเร็จในการแสวงหาความร่วมมือด้านวัคซีนกับประเทศต่าง ๆ ทำให้มีวัคซีนให้แก่ชาวไทยรวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทยเพิ่มขึ้นโดยรวมอย่างน้อยกว่าสามล้านโดสจากการดำเนินการดังกล่าว

6.) ขออย่าด้อยค่าการทำงานของคนบัวแก้วที่ทุ่มเททำงานตลอด 24 ชั่วโมงอยู่ทั่วโลกเพื่อช่วยเหลือคนไทยและช่วยประเทศเราแก้ปัญหาเร่งด่วนอันเป็นเป้าหมายสูงสุดในการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ !!!!

การกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์แล้ว ยังเป็นการให้ข้อมูลเท็จแก่ประชาชน และสร้างความเสียหายต่อทั้งข้าราชการและประชาชนให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดได้


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1483595168663922&id=100010403598013

“โฆษกรัฐบาล” ป้อง “นายกฯ” ซื่อสัตย์สุจริต ลั่น ไม่จำเป็นต้องแจกเงิน ส.ส.แลกโหวตไว้วางใจ จ่อให้ฝ่ายกฎหมาย เอาผิดคนพูดเท็จทำเสียหาย

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ระบุว่า 6 พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมรวมหลักฐานยื่นให้คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ดำเนินการกรณีมีคนจ่ายเงินให้ส.ส.ที่ชั้น 3 อาคารรัฐสภา เพื่อจูงใจให้ส.ส.ลงคะแนนก่อนลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยพบหลักฐานมีภาพจากกล้องวงจรปิด ภาพถ่าย และพยานบุคคลที่จะเอาผิดได้ แม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะไม่ได้จ่ายเอง แต่สามารถเชื่อมโยงไปถึงได้ เพราะมีบุคคลเป็นตัวกลางจ่ายแทน ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี และการลงมติเมื่อวันที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา พรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุดจนทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นและสมบูรณ์ ข้อมูลต่างๆทั้งจากการอภิปรายและการชี้แจงเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และรัฐบาลพร้อมที่จะนำข้อเสนอแนะไปปรับใช้ หลายเรื่องเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ขณะที่หลายเรื่องน่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานของรัฐบาลให้ดียิ่งขึ้นได้ เพราะรัฐบาลไม่ได้มองแค่ว่าต้องเป็นแนวความคิดของรัฐบาลเท่านั้น หากแนวคิดของฝ่ายค้านเกิดประโยชน์ต่อประชาชน รัฐบาลก็พร้อมพิจารณา
 
“ยืนยันว่านายกฯ ไม่ใช่คนแบบนั้น ขอย้ำว่านายกฯ มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ไม่ทำเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด และนายกฯได้ชี้แจงแล้วว่า มี ส.ส.มาเข้าพบเพื่อให้กำลังใจ ไม่ได้มีการแจกเงินทั้งสิ้น ในห้องของนายกฯ มีแต่กระเป๋าเอกสาร ซึ่งเปิดให้สื่อมวลชนดูแล้ว หากมีความพยายามทำเรื่องนี้ให้เป็นประเด็นการเมือง พูดเท็จจนทำให้นายกฯ เสียหาย นายกฯ ก็จำเป็นต้องมอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป"นายธนกร กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top