Thursday, 3 July 2025
Politics

'ราเมศ' ย้ำ 'เฉลิมชัย' สุจริตไม่คิดโกง พร้อมชี้แจงทุกประเด็น ในสภา

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมชี้แจงในสภาทุกประเด็น ไม่ได้มีความกังวลใด การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านในการตรวจสอบ ถ่วงดุลฝ่ายบริหาร เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็มีหน้าที่ชี้แจงและวันที่ 31 สิงหาคม 2564 เวลา 8.30 น. ที่อาคารรัฐสภา ชั้น 3 พรรคได้นัดประชุม ส.ส.ของพรรคเพื่อเตรียมความพร้อมในการประชุม การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ เชื่อว่าประชาชนจะติดตามการอภิปรายอย่างใกล้ชิด 

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นอกจากการชี้แจงในทุกประเด็นแล้ว จะได้ชี้ให้เห็นถึงผลงานจากการทำหน้าที่ มีความสำเร็จในการสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกรอย่างไรบ้าง เท่าที่ได้ร่วมเตรียมข้อมูลผลงานในช่วงที่นายเฉลิมชัย ทำหน้าที่รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถือว่ามีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่ของพี่น้องเกษตรกรดีขึ้น เรื่องน้ำ เรื่องการแก้ปัญหาภัยแล้ง เรื่องการประมง เรื่องยางพารา รวมถึงการมีแนวทางส่งเสริมพี่น้องเกษตรกรอย่างยั่งยืนในทุกๆด้าน การเยียวยาพี่น้องเกษตรกรอย่างเต็มที่ ประการสำคัญ นโยบายเกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด รายละเอียดจะได้ชี้ให้เห็นในสภาว่ามีการทำงานอย่างเป็นระบบ ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนให้มากที่สุด การทำงานที่ยึดความสุจริตไม่คิดโกง จึงมั่นใจว่าชี้แจงได้ในทุกประเด็น

บี้ทุกส่วนราชการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในราชการ

สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึงทุกส่วนราชการได้พิจารณานำมติของที่ประชุมครม. ครั้งล่าสุดเกี่ยวกับแนวทางการนำรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามาใช้ราชการ ไปปฏิบัติ เพื่อเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและการใช้พลังงานทดแทนของประเทศไทยเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล อีกทั้งยังช่วยในเรื่องการลดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่จำเป็นต้องให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันแก้ไข 

สำหรับแนวทางการดำเนินการนั้น ที่ผ่านมา ครม.ได้เห็นชอบในหลักการให้ทุกส่วนราชการพิจารณาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างรถยนต์ที่ขบเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า หรือรถยนต์อีวี มาใช้ในราชการแทนรถยนต์เดิมที่หมดอายุการใช้งานหรือจะต้องจัดซื้อจัดจ้างขึ้นใหม่ เพื่อรองรับภารกิจต่าง ๆ ของหน่วยงานนั้น หรือนำมาสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ โดยในระยะแรกให้เริ่มจากหน่วยงานสำคัญที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นก่อน โดยเฉพาะให้ส่วนราชการที่มีที่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ถือปฏิบัติตามแนวทางนี้อย่างเคร่งครัดก่อนหน่วยงานอื่น  

ขณะเดียวกันที่ประชุม ครม. ยังได้มีการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยให้กระทรวงพลังงาน ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และหน่วยงานอื่น ๆ ติดตามและประเมินผลการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของส่วนราชการต่าง ๆ เป็นระยะ อย่างต่อเนื่อง จากนั้นให้รายงานผลการประเมินมาให้กับที่ประชุมครม. รับทราบโดยเร็ว เพื่อจะพิจารณาขยายผลการดำเนินการตามความเหมาะสมไปยังหน่วยงานอื่น ๆ ต่อไป 

“แสนยากรณ์” ชี้ Covid Free Setting สถานประกอบการต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม เสี่ยงทำลูกจ้างไม่ได้กลับเข้าทำงาน เพราะรัฐฉีดวัคซีนล่าช้า แนะฉีดวัคซีนเชิงรุก รับมาตรการคลายล็อก ห่วงเงื่อนไขตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ ทำยาก ผู้ประกอบการแบกต้นทุนเพิ่ม 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงการกำหนดมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (Covid Free Setting) ที่ ศบค. ขอความร่วมมือสถานประกอบการที่มีความพร้อม นำร่องดำเนินการควบคู่กับการคลายล็อกที่จะเริ่มวันที่ 1 กันยายนนี้ว่า ร้านอาหารหลายร้านอยากให้คนเข้ามานั่งรับประทาน บริการลูกค้าอย่างปลอดภัย เตรียมทำตามมาตรการ Covid Free Setting ให้ผู้ประกอบการ ผู้ให้บริการ พนักงาน ต้องผ่านการฉีดวัคซีน 2 เข็ม แต่การฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มในไทย ทำได้เพียงร้อยละ 10.5 ของประชากรทั้งหมด หมายความว่า ลูกจ้างพนักงานจำนวนไม่น้อย ที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบ อาจไม่ได้กลับเข้าทำงาน ต้องเดือดร้อนเพราะการฉีดวัคซีนล่าช้าของรัฐบาล 

“รัฐบาลวางเป้าหมายอยากฟื้นฟูเศรษฐกิจ ให้คนอยู่กับโควิดให้ได้ เริ่มคลายล็อกสถานประกอบการ ลูกจ้างมีความหวังได้งานกลับมา แต่การนำร่องมาตรการให้พนักงานต้องผ่านการฉีดวัคซีน 2 เข็ม ถ้าจะใช้เงื่อนไขนี้จริง ปลอดภัยแน่นอน แต่ถ้ารัฐบาลยังฉีดวัคซีนล่าช้าแบบนี้ ไม่เกิน 2 เดือน ตกงานเพิ่มแน่นอน เกิดเป็นผลกระทบที่ลูกจ้างต้องรับ ทั้งที่เป็นความล่าช้าของรัฐบาล จึงอยากให้มีการฉีดวัคซีนเชิงรุกเพิ่มขึ้น เล็งพื้นที่สีแดงเข้ม ในกลุ่มอาชีพที่ต้องให้บริการโดยเฉพาะ รองรับมาตรการคลายล็อก จะได้ไม่ต้องกลับมาล็อกกันอีกรอบ” นายแสนยากรณ์ กล่าว 

ส่วนการนำร่องมาตรการให้สถานประกอบการตรวจ ATK ทุกสัปดาห์ นายแสนยากรณ์ กล่าวว่า ราคาชุดตรวจตามท้องตลาดยังอยู่ที่ 200 - 300 บาทต่อ 1 ชุด หากเทียบราคาขายในต่างประเทศเฉลี่ยชุดละไม่เกิน 100 บาทเท่านั้น ดังนั้นก่อนจะขอให้ผู้ประกอบการนำร่องตรวจพนักงานทุกสัปดาห์ ราคาชุดตรวจ ATK ต้องถูกกว่านี้ เพราะต้องเป็นภาระที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายทุกสัปดาห์ กระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงสาธารณสุขควรจะได้ข้อสรุปร่วมกันถึงราคาท้องตลาดที่เหมาะสม

“บิ๊กตู่” สั่งเตรียมมาตรการรับมือน้ำท่วม -ช่วยเหลือปชช.ให้เร็วที่สุด มอบทหาร-ตร.เข้าสนับสนุน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามแทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ถึงการรับมือสถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ในขณะนี้ว่า เรื่องสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในส่วนของ จ.ชลบุรี และสมุทรปราการ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมมาตรการรองรับไว้ และเร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนโดยเร็วที่สุด มีฝ่ายความมั่นคง ทั้งทหารและตำรวจ เข้าไปสนับสนุนด้วย

ครม. อนุมัติ งบฯกลาง 105.59 ล้านบาท ให้ กรมประชาฯ รณรงค์ เอาชนะโควิด-19 เร่งสร้างความรับรู้ ความเข้าใจ ด่วน ภายใน ธค.นี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 105.59  ล้านบาท ให้กรมประชาสัมพันธ์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการรณรงค์เอาชนะโควิดตามมาตรการเร่งด่วน (Thailand Prevention) สำหรับผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์เพื่อการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์อันมีผลกระทบอันเนื่องมาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) เฉพาะกิจกรรมที่มีความจำเป็นต้องดำเนินการในระยะเร่งด่วน หรือภายในเดือนธันวาคม2564  โดยคำนึงถึงความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ทั้งนี้ กรมประชาสัมพันธ์ระบุว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชน ในการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคโควิด-19 โดย เฉพาะสายพันธุ์เดลต้า ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งเกิดการเผยแพร่ข่าวปลอม การบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร(Fake News) เป็นจำนวนมาก ทำให้ประชาชนเกิดความสับสน เข้าใจผิด และอาจเกิดปัญหาความขัดแย้งบานปลายได้

ดังนั้นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รวดเร็ว รวมทั้งการสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ มาตรการแก้ไขปัญหา วิธีปฏิบัติตน และการรับการเยียวยาจากภาครัฐ จึงเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นเร่งด่วน  ที่กรมประชาสัมพันธ์ในฐานะหน่วยงานสื่อภาครัฐต้องเร่งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานสื่อทุกภาคส่วนของประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้การบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19  ในภาพรวมประสบความสำเร็จ สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อ สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน

'สิระ' ฉุนขาด หลัง 'ไฮโซลูกนัท' เอาเช็คเงินสด 10 ล้านมาวางเดิมพัน ลั่น ไม่ใช่เพื่อนเล่น!

จากกรณีวิวาทะระหว่าง นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กับ ไฮโซ ลูกนัท หรือ นายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย ซึ่งถูกลูกหลงในการชุมนุมได้รับบาดเจ็บ และออกมาเปิดเผยว่า ตนเองตาบอด

จากนั้น นายสิระ ได้ตั้งข้อสังสัยว่า ลูกนัทอาจจะตาบอดไม่จริง กระทั่งมีการนัดวางเงินเดิมพัน 1 ต่อ 10 ล้าน กับ “ไฮโซลูกนัท” ณ บ้านทรงไทย หลักสี่ ถนนแจ้งวัฒนะ วันนี้ (11.00 น.) โดยพบว่า นายสิระ ได้นำเงินสด 1 ล้าน มารอตั้งแต่ 11.00 น. และแถลงข่าว ด้านไฮโซลูกนัท ได้นำเช็คเงินสดสั่งจ่าย นายสิระ จำนวน 10 ล้านบาทมาเช่นกัน

ทั้งนี้ เมื่อนายธนัตถ์ เดินทางมาถึงพร้อมเช็ค 10 ล้านบาท นายสิระ เกิดอาการโมโหอย่างรุนแรงพร้อมกับระบุว่า เช็คใบละแค่ 10 บาท จะเอามาแลกกับเงินหนึ่งล้านได้อย่างไร มันใช่เหรอ ไม่ใช่เพื่อนเล่น และขอร้องเรื่องหมิ่นสถาบันฯ ตาอีกข้างหนึ่งให้เห็นว่าสถาบันฯ ทำคุณประโยชน์กับประเทศแค่ไหน ก่อนที่จะระบุว่า ผมไปแล้ว ผมไม่มีเวลาจะเล่นกับเด็กคนนี้

ด้านนายธนัตถ์ กล่าวว่า เช็คดังกล่าวออกมาจากธนาคารจริง ๆ สามารถเอาไปเบิกเงินสดได้จริง แต่ถ้าสิระ ไม่รับก็ไม่เป็นไร ส่วนจะยังให้พิสูจน์อยู่หรือไม่ ถ้าอยากให้พิสูจน์ก็พิสูจน์ได้ ขอโทษที่ทำให้ไม่พอใจ ไม่คิดว่าจะอารมณ์ฉุนเฉียวแบบนี้ เคยสัมภาษณ์ในรายการบางรายการ ว่าจะวางเป็นเช็คก็ไม่เห็นว่าอะไร การเบิกเงินสด 10 ล้านก็ไม่ใช่เรื่องจะทำได้เร็วภายในวันสองวัน และส่วนใหญ่จะถือเป็นคริปโตเคอร์เรนซี่มากกว่าเงินสดไม่ได้มีเยอะอะไร จะอยูในหน่วยลงทุนมากกว่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตอนท้ายในการแถลงข่าวนายธนัตถ์ ได้ฉีกเช็คเงินสดดังกล่าวทิ้ง เนื่องจากนายสิระ ไม่ยอมรับเช็คดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า เช็คดังกล่าวสามารถขึ้นเงินได้ทันที หากจะให้เซ็นให้ใหม่ยังไงก็ได้ เพราะเป็นแค่เอกสารเบิกเงินจากธนาคารเท่านั้น หากขึ้นเงินไม่ได้ เช็คเด้งก็กลายเป็นคดีความได้ด้วยเช่นกัน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก???? https://lin.ee/vfTXud9

ครม. เพิ่มวงเงินเยียวยา 4.4 หมื่นล.ให้แรงงานประกันสังคม พร้อมอนุมัติโครงการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์เพิ่มเติมกว่า 9 ล้านโดส!!

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. อนุมัติขยายกรอบวงเงินกรอบวงเงินในโครงการเยียวยาผู้ประกันตน มาตรา 39 และมาตรา 40 เพิ่มจำนวน 44,314 ล้านบาท เป็นจำนวน  77,785 ล้านบาท จากเดิม  33,471 ล้านบาท สำหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประกันตนมาตรา 39 และ มาตรา 40 ในพื้นที่ 29 จังหวัด รวม 9,385,930 คน ได้แก่ ผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 1,436,171 คน และผู้ประกันตน มาตรา 40 จำนวน 7,949,759 คน อัตราการให้ความช่วยเหลือ 5,000 บาท/คน 

ทั้งนี้ จากการขยายระยะเวลาให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 ในพื้นที่ 3 จังหวัด ให้สามารถขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนรายใหม่ได้ ตั้งแต่วันที่ 1- 24  สิงหาคม และ พื้นที่ 16 จังหวัด ให้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนรายใหม่ได้ ตั้งแต่วันที่ 4-24 สิงหาคม ที่ผ่านมา รวมทั้งขยายการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่ 13 จังหวัด เพิ่มเติม 1 เดือน 

ขณะเดียวกันที่ประชุมครม.ยังมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ไปพิจารณาความเหมาะสมในการจัดทำข้อเสนอโครงการเยียวยาผู้ขับขี่รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกิน 7 คน และรถจักรยานยนต์สาธารณสะที่ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 เพราะมีอายุเกิน เพื่อจะได้ช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมทุกกลุ่ม

นอกจากนี้นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. อนุมัติโครงการจัดหาวัคซีนไฟเซอร์ เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 9,998,820 โดส ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กรอบวงเงิน 4,744.9 ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ภายใต้แผนงานที่ 1 เกี่ยวข้องกับสาธารณสุข เพื่อเป็นการจัดซื้อจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด ตามนโยบายรัฐบาล ที่จะจัดหาวัคซีนให้ประชาชน 100 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 หลังจากรัฐบาลได้จัดหาวัคซีนป้องกันโควิดไปแล้ว 80 ล้านโดส วงเงิน 22,990 ล้านบาท

สำหรับกลุ่มเป้าหมายกำหนดไว้ 6 กลุ่ม คือ 1.เด็กอายุ 12-17 ปี 2.หญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป 3.บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า (ฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกัน 1 เข็ม) 4.ผู้สูงอายุและผู้อยู่ในกลุ่ม 7 โรคเสี่ยงที่มีสัญชาติไทย 5.ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย เน้นผู้สูงอายุและโรคเรื้อรัง  6.ผู้ที่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเพื่อเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา และนักการทูต โดยกลุ่มเป้าหมายสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคได้

“การจัดซื้อไฟเซอร์จำนวน 9.9 ล้านโดสนี้ ช่วยให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการจัดหาวัคซีนให้กับประชาชนจำนวนอย่างน้อย 100 ล้านโดส ภายในปี 2564 เพื่อช่วยประชาชนให้เข้าถึงวัคซีน โควิด-19 ตามนโยบายของรัฐสร้างภูมิคุ้มกันโรค ลดอัตราการป่วยและการเสียชีวิตรวมทั้งเป็นการลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็วด้วย“

‘เกศปรียา’ ชี้ ประเทศไทยเสียเวลา 7 ปีเพื่อพิสูจน์ว่าทหารเกษียณบริหารประเทศสู้ทักษิณไม่ได้เลย

เกศปรียา แก้วแสนเมือง รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ เผยว่า ตนไม่เคยลืมในวลี "อย่าคิดว่าทักษิณ จะเก่งอยู่คนเดียว ลองให้ทหารได้บริหารประเทศชาติดูบ้าง" เมื่อ 7 ปีที่แล้ว เพราะตนมองเหมือนคนรุ่นใหม่ทุกคนในเวลานั้นว่าม๊อบผู้สนับสนุนทหารเข้ามายึดอำนาจ และทหารแก่หรือทหารเกษียณเป็นผู้ที่วิสัยทัศน์ล้าหลังเกินจะมาบริหารประเทศในเวลาที่ไม่ใช่ยุคของคนวัยเบบี้บลูม ที่ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก มาบริหารประเทศแบบเชื่องช้าเอาประเทศเป็นที่ฝึกงานคนสูงอายุให้ลองผิดลองถูกบริหารแบบรัฐราชการ  7 ปี ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า รัฐบาลทหารเกษียณและผู้สนับสนุน คือผู้ขโมยอนาคตประเทศและจับประเทศเป็นตัวประกันจากความต้องการอยู่ในอำนาจของตนเอง

เกศปรียาเผยต่อว่า ตนเคยนำเสนอมาหลายปีที่แล้วก่อนการเลือกตั้งรัฐบาลจากรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจหลายครั้งว่ารัฐบาลทหารของคุณประยุทธ์ทำเศรษฐกิจฐานรากพัง เพิ่มปริมาณคนจนมากกว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งก่อนๆ ซึ่งผู้สนับสนุนรัฐบาลในเวลานั้นยังนิ่งเฉย แต่เมื่อมีวิกฤติโรคระบาดไวรัสโคโรน่า ทุกคนได้ประจักษ์ในความสามารถรัฐบาลประยุทธ์ว่าจริงอย่างที่คนรุ่นใหม่ปรามาสไว้ว่า ‘รัฐบาลเผด็จการทหารมาขโมยเวลาและอนาคตของประเทศไทยไป’

ความผิดพลาดจากการตัดสินใจแก้ปัญหาโดยมีพื้นฐานการตัดสินใจหลักยึดโยงกับการรักษาอำนาจตนเอง การตัดสินใจแบบนี้ในสถานการณ์ปกติคนที่ไม่ใช่กลุ่มได้รับผลกระทบอาจไม่รู้สึก แต่ในสถานการณ์วิกฤติที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายและชีวิต ทุกคนรับรู้ได้ว่าการตัดสินใจล็อคดาวน์ประเทศระยะยาวครั้งแรกเพื่อหนีม๊อบเยาวชน ทำคนฐานรากตายทั้งเป็นเพราะไร้อาชีพและรายได้ ทำลายอนาคตเยาวชนรุ่นนี้ที่พลาดโอกาสทางการศึกษาและอาชีพ คนจบการศึกษา 2 - 3 ปีที่ผ่านมาแทบไม่มีงานทำ

เกศปรียา แสดงความคิดเห็นต่อว่า การตัดสินใจบริหารจัดการวัคซีนผิดพลาดเพราะความด้อยวิสัยทัศน์และตัดสินใจบนผลประโยชน์แห่งอำนาจของรัฐบาล ทำให้ประชาชนไทยเสียชีวิตถึง 10,000 กว่าราย สถิติถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 จนมาถึงการตัดสินใจล็อคดาวน์รอบล่าสุดนี้ เป็นการตัดสินใจผิดพลาดอย่างมหันต์ ทั้งที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรออกมาเตือนให้คำแนะนำตั้งแต่ต้นปีแล้ว ว่าการล็อคดาวน์จะทำให้เศรษฐกิจพัง รวมทั้งไม่สามารถยุติการระบาดของไวรัสโคโรน่าได้ ต้องบริหารจัดการวัคซีนให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่อย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการเดินหน้าเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลนี้ไม่นำพา เพราะเวลานั้นม๊อบเยาวชนเริ่มออกมาเรียกหาวัคซีน การล็อคดาวน์รอบล่าสุดจึงเกิดขึ้นมาซ้ำเติมให้ประชาชนฐานราก ประชาชนระดับกลางล่างล้มระเนระนาด ประชาชนระดับกลางบนก็เริ่มเดือดร้อน ยอดผู้ติดเชื้อที่เข้าสู่ระบบสาธารณสุขพุ่งไปกว่าหนึ่งล้านราย ยอดผู้ติดเชื้อจริงที่ภาคีสาธารณสุขประเมินเกือบร้อยละ 50 ของประชากร ซึ่งสรุปได้ว่าการล็อคดาวน์ไม่เกิดประโยชน์กับการควบคุมโรคระบาด แต่เกิดผลร้ายต่อระบบเศรษฐกิจไทย 

แม้แต่ฝ่ายรัฐบาลเองช่วงนี้ก็รับรู้ถึงความผิดพลาดในการตัดสินใจล็อกดาวน์ ถึงได้ออกมาค่อยๆ ประกาศทยอยปลดล็อคแบบลักลั่น แต่ตนอยากถามแทนประชาชนว่า ความรับผิดชอบในการบริหารราชการผิดพลาดร้ายแรงสำหรับผู้ที่ชอบคุยโม้ว่าเป็นชายชาติทหารมีไหม การขอโทษประชาชนไทยที่ขโมยโอกาสไป 7 ปี เคยมีจิตสำนึกบ้างหรือเปล่า แล้วที่วลีที่ว่า “อย่าคิดว่าทักษิณ จะเก่งอยู่คนเดียว ลองให้ทหารได้บริหารประเทศชาติดูบ้าง" จำได้ไหม ขอโทษประชาชนและอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร หรือยัง 

เกศปรียา ชี้ต่อว่า รัฐบาลนี้ผิดพลาดบริหารประเทศจนประเทศไทยคือผู้ป่วยหนักในอาเซียน แค่การบริหารจัดการวัคซีนเรื่องเดียวก็แพ้ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างลาวและกัมพูชา ตัวอย่างที่สะท้อนใจคุณภาพชีวิตคนไทยที่รัฐบาลทหารบริหารจัดการผิดพลาดคือ นายจ้างจะพาแรงงานต่างด้าวชาวลาวและกัมพูชาไปฉีดวัคซีน พวกเค้าระบุเลยว่าต้องการฉีดเพียงวัคซีนอเมริกาเช่นเดียวกับในประเทศเค้าจัดหาให้ประชาชน เรียกว่า ความต้องการที่บริสุทธิ์ของเค้าตบหน้าทั้งนายจ้างไทยและรัฐบาลไทย ในขณะที่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณทุกประเทศในโลกยอมรับและรับทราบในความสามารถ แม้แต่จีนที่เป็นพี่เบิ้มแห่งเอเชียที่รัฐบาลนี้พยายามอ้างอิงยังชื่นชมและยอมรับความสามารถในการบริหารจัดการในสถานการณ์โรคระบาดอย่างไข้หวัดนกในเวลานั้นที่จบลงอย่างรวดเร็ว และแทบไม่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ 

ไม่ต้องไปเทียบระดับทฤษฎีใหม่อย่าง ‘เอเชียบอนด์’ ที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณนำเสนอเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาชนิดจีนปรบมือให้ และนำไปต่อยอดในเวลาต่อมา หรือการแก้ไขปัญหาเข้าถึงระบบสาธารณสุขพื้นฐานของประชาชนไทยให้มีความเท่าเทียมใน ‘โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค’ ที่เป็นต้นแบบลดความเหลื่อมล้ำทางสาธารณสุขชองทั่วโลก เมื่อหันมาเทียบกับภาวะระบบสาธารณสุขที่เข้าใกล้การล้มเหลวในการรับมือผู้ป่วยไม่ไหวในระหว่างเดือน กรกฎาคม - สิงหาคม 2564 ในยุคหัวหน้ารัฐบาลเป็นทหารเกษียณบริหาร ทำให้ประชาชนไทยป่วยตายคาบ้าน ตายตามท้องถนน เตียงในโรงพยาบาลขาดแคลนไม่เพียงพอที่จะรับประชาชนเข้าทำการรักษา  

ประเทศไทยเสียเวลา 7 ปีเพื่อพิสูจน์ว่า ‘ความสามารถในการบริหารบ้านเมืองของทหารเกษียณว่าสู้อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เลย’ เปรียบได้ว่าเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าและติดลบ ทำลายโอกาสและอนาคตของประชาชนและประเทศชาติพอหรือยังคะ ทหารแก่ทหารเกษียณและผู้สนับสนุนเบบี้บลูมทั้งหลาย พวกคุณเหลือเวลาไม่กี่ปีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปล่อยวางละกิเลสบ้าง อย่าเอาความเห็นแก่ตัว ยึดติดกับอำนาจมาขโมยเวลาและอนาคตของเยาวชนคนรุ่นใหม่และทำลายโอกาสประเทศไทยอีกต่อไปเลย เกศปรียา ทิ้งท้าย

“สงคราม” ชี้ฝ่ายใช้เวทีสภาเปิดแผลเน่าเฟะ”บิ๊กตู่” ไร้ความสามารถแก้ปัญหาโควิดทำประชาชนตายเกิน10,000 คน 

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีร่วมคณะ เป็นไปตามความต้องการของประชาชน เพราะรัฐบาลล้มเหลวในการบริหารราชการรวมทั้งสร้างความลำบากให้กับประชาชนทั้งแผ่นดิน 

การบริหารงานของพลเอกประยุทธ์ ขาดความรู้ ไร้ความสามารถ อย่างร้ายแรง ถือเป็นบุคคลไร้ภูมิปัญญา ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้คุณธรรม และไร้ความสามารถเป็นหัวหน้ารัฐบาล บริหารราชการแผ่นดิน ล้มเหลว ผิดพลาดบกพร่องเสียหายร้ายแรงทุกด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม 
 
นายสงคราม กล่าวด้วยว่า พลเอกประยุทธ์บ้ารวบอำนาจการแก้ปัญหาการระบาดไวรัสโควิดไว้แต่ผู้เดียว แต่ไม่มีความสามารถไม่ฟังใคร ปล่อย ปละละเลยมาตรการป้องกันควบคุมการระบาดของโรค กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว มีผู้ติดเชื้อเกือบ เกิน 1 ล้านคน และประชาชนเสียชีวิตมากกว่า 10,000 คนระบบสาธารณสุขไทยล้มเหลวเกินขีดความสามารถการบริการประชาชน ปล่อยให้ผู้ป่วยรักษาตัวที่บ้าน บางรายตายกลางถนน ตายในรถ ตายคาบ้าน ตายยกครอบครัว 

“หากปล่อยให้พลเอกประยุทธ์ บริหารประเทศต่อไป บ้านเมืองจะไร้ความสงบสุขร่มเย็น นำมาซึ่งความหายนะของประเทศ ตามที่กล่าวกันว่า “ผู้นำโง่ เราจะตายกันหมด” เพราะคนโง่คือภัยอันตรายร้ายแรง เมื่อได้กลายเป็นผู้มีอำนาจ” การทุจริตกระจายวัคซีนโดยเลือกปฏิบัติ พล.อ.ประยุทธ์มีลักษณไม่ต่างจากการ“ค้าความตาย” เห็นวัคซีนเป็นสินค้าสาธารณะ สร้างกำไรจากวัคซีน หวังการกอบโกยผลประโยชน์บนซากศพและคราบน้ำตาประชาชน ดังนั้นพรรคฝ่ายค้านจะใช้เวทีนี้ชำแหละความเน่าเฟะของพลเอกประยุทธ์ที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนดี” นายสงคราม กล่าว

"ราเมศ" ย้ำ "ทวี" บิดเบือนข้อมูล ความจริงจะตบหน้า ชี้หนังคนละม้วน

นายราเมศ รัตนะเชวงโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้กล่าวถึงกรณีการอภิปรายของนายทวี สอดส่อง ส.ส.พรรคประชาชาติในส่วนที่มีการอภิปรายนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า

เป็นการเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่บิดเบือนทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นข้อกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี กระบวนการระบายยางพาราครั้งที่ 3 ซึ่งยืนยันว่าเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายทั้งหมด ไม่มีการทุจริตเชิงนโยบายและรัฐไม่ได้เสียประโยชน์แต่ประการใด 

ที่สำคัญที่กล่าวหาว่ามีแผนประทุษกรรมนั้นก็ไม่เป็นความจริงเพราะไม่มีใครที่จะคิดแผนประทุษกรรมงบประมาณของแผ่นดินและยืนยันว่าไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับบุคคลใดๆทั้งสิ้น

ซึ่งนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะได้ชี้แจงในวาระที่มีการอภิปรายตนต่อไป และจะขอชี้แจงเมื่อได้มีการฟังสมาชิกที่จะอภิปรายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ครบทั้งหมดทีเดียว แล้วจะตอบชี้แจงในทุกประเด็น 

มั่นใจเมื่อประชาชนได้ฟังความจริงจะทราบทันทีว่าเป็นหนังคนละม้วนกับข้อมูลของนายทวี สอดส่อง

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่าผิดหวังกับการทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายทวีสอดส่อง ที่เป็นถึงอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่สิ่งที่ออกมาพูดไม่น่าเชื่อว่าจะมีการบิดเบือนข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง นายเฉลิมชัย ไม่มีความคิดที่จะเป็นอาชญากรเหมือนที่นายทวีกล่าวหา

แต่นายทวีอาจเคยเห็นนักการเมืองในรัฐบาลชุดที่ผ่านๆ มาที่นายทวีคุ้นเคย ที่มีการทุจริตจนจำฝังใจแล้วมาบิดเบือนข้อมูลโจมตีทำลายความน่าเชื่อถือของนายเฉลิมชัยจะชี้แจงความจริงในสภาต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top