Saturday, 28 June 2025
Politics

เครือข่ายแรงงาน-สนท. บุกทำเนียบ วางโลงศพ ตู่-ป้อม-ป๊อก-หนู-เฮ้ง ประชดรัฐ จี้จ่ายเยียวยา 5 พันบาท นาน 3 เดือน

ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน นำโดย นางสาวสุธิลา ลืนคำ ผู้จัดการโครงการ สถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ได้กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ โดยนำโลงศพ ซึ่งมีการติดรูปภาพพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งติดภาพโลโก้พรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย ล้อมสายสิญจน์ วางดอกไม้จันทน์ และอาหารสุนัข จากนั้นได้มีการทำพิธีกรรมสวดมนต์ จุดธูปเทียน ก่อนที่จะเริ่มปราศรัยอย่างดุเดือด ชี้ให้เห็นถึงความเดือดร้อนของผู้ใช้แรงงาน และตัวแทนกลุ่มได้ประกาศข้อเรียกร้อง ดังนี้

1.) ขอให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาฉีดให้กับประชาชนทุกคนเพื่อป้องกันโควิด-19 ภายในเดือนตุลาคมนี้โดยให้รัฐบาล มอบหมายให้สำนักงานประกัน (สปส.) และบริษัทเอกชนสามารถสั่งซื้อวัคซีนได้โดยตรง

2.) กรณีที่พนักงานหยุดงานเพราะถูกกักตัวหรือเจ็บป่วยจากติดเชื้อโควิด-19 จึงต้องไปรักษาตัว ขอให้รัฐบาลจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวน และไม่ถือเป็นวันลาตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 

3.) ให้รัฐบาลจัดให้มีการตรวจคัดกรองเชิงรุกในสถานประกอบการให้กับลูกจ้างทุกคน

4.) ให้รัฐบาล เยียวยาประชาชนและแรงงานข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โควิด-19 เงินคนละ 5,000 บาทถ้วนหน้า เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน ตั้งแต่กรกฎาคมถึงกันยายน หรือจนกว่าประชาชนจะได้รับวัคซีนเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร

5.) ขอให้รัฐบาลจัดรัฐสวัสดิการเพื่อดูแลประชาชนอย่างมีคุณภาพ

6.) ขอให้นายกรัฐมนตรีลาออกเนื่องจากบริหารงานล้มเหลว

7.) พร้อมสนับสนุนกลุ่มราษฏรยืนยันไม่ลดเพดานขอเรียกร้อง 3 ข้อ

จากนั้นตัวแทนของกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ได้ประกาศที่จะนำโลงศพดังกล่าว ที่ผ่านการทำพิธีในวันนี้ไปทำกิจกรรมด้วยการเผาในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ บริเวณหน้ากระทรวงสาธารณสุข 

“ภูมิใจไทย” ยันพร้อมร่วมประชุม ตามคำสั่ง “ประธานสภา” ด้าน “ณัฏฐ์ชนน” เผยกลัวติดโควิด เพราะไทม์ไลน์จะสร้างปัญหาจังหวัด-บุคคลใกล้ชิด ย้ำต้องระวังตนเองให้มาก

ที่รัฐสภา นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า พรรคภูมิใจไทยยืดตามประกาศของสภาว่านายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งให้ประชุมหรือไม่หรือมีมาตรการอย่างอื่นอย่างใด ซึ่งถ้าในอนาคตมีการขออนุญาตงบเงินกู้หรือประกาศสงครามที่ให้อำนาจรัฐสภา หากทุกคนใช้สิทธิความเป็นส่วนตัวไม่มาประชุมก็ไม่ได้ ฉะนั้นอยากให้เพื่อนสมาชิกรัฐสภาทุกคนฟังการประกาศของนายชวนเป็นหลัก ซึ่งพรรคภูมิใจไทยทั้ง 61 คนพร้อมเข้าร่วมประชุมรัฐสภาตามที่นายชวนออกหนังสือเชิญ แต่ในกรณีกฎหมายแต่ละฉบับนั้น ในการแสดงตนก็มีเหตุผลของพรรคในเรื่องข้อกฎหมาย จึงอยากให้เข้าใจด้วยว่าเราไม่เจตนาจะให้สภาล่ม 

เมื่อถามว่าคิดว่าจะมีเหตุการณ์การประชุมสภาล่มอีกหรือไม่ หากนายชวนยังเดินหน้าประชุมต่อ นายณัฏฐ์ชนน กล่าวว่า ตนคิดว่าสมาชิกสภาผู้ทนราษฎรเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด ถามว่าพวกตนเป็นส.ส.กลัวหรือไม่ ต้องตอบว่ากลัว เพราะหากพวกตนติดโควิด-19 ไทม์ไลน์ต่าง ๆ จะสร้างปัญหาให้กับจังหวัดหรือบุคคลใกล้ชิด ฉะนั้นวันนี้พวกตนก็ต้องระวังตนเองให้มาก นอกจากนี้ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) หรืออนุกมธ.ฯ ต่าง ๆ ก็เป็นหน้าที่ของประธานรัฐสภาที่จะดูแลเรื่องนี้

เครือข่ายปชช.ปกป้องประเทศ ร้องผู้ตรวจฯ สอบรัฐบริหารวัคซีนโควิดไม่มีประสิทธิภาพ อัดจัดซื้อแต่ซิโนแวค คุณภาพต่ำราคาแพง เจตนาเลี้ยงไข้ จี้เร่งอนุญาตเอกชนนำเข้า ไฟเซอร์ - โมเดอร์น่า แบบไม่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม        

ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ นำโดย พญ.กมลพรรณ ชีวะพันธ์ศรี และนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ แกนนำกลุ่มไทยไม่ทน เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายวัทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจฯขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข ผอ.องค์การเภสัชกรรม ผอ.องค์การอาหารและยา คณะกรรมการบริหารวัคซีน รมว.มหาดไทย กรณีบริหารจัดการวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพ  

พญ.กมลพรรณ กล่าวว่า หลายหน่วยงานในต่างประเทศ รวมทั้งแพทย์ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ต่างก็ออกมาระบุว่า เป็นวัคซีนที่มีคุณภาพต่ำ ราคาแพง แต่รัฐบาลก็ยังกลับสั่งนำเข้ามาใช้กับประชาชนจำนวนมาก ขณะเดียวกันโรงพยาบาล เอกชนซึ่งต้องการนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ โมเดอร์น่า หน่วยงานของรัฐทั้งองค์การเภสัชกรรม องค์การอาหารและยา กลับดำเนินการอนุญาตล่าช้า ซ้ำยังเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งส่งผลเสียทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพล่าช้า และถูกโรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 47 กำหนดว่าบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมาตรา 55 ระบุว่ารัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง ดังนั้นรัฐควรจะสนับสนุนให้เอกชนนำเข้าวัคซีนโดยไม่จัดเก็บภาษี หรือนำเข้าเองมาฉีดให้กับประชาชน 

“วันนี้มีคนติดเชื้อวันละ 5,000 คน เสียชีวิตวันหลายสิบคน แต่กลับใช้เงินกู้ 2 ครั้งกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เยียวยาประชาชนคนละเล็กน้อยไม่พอใช้ โดยไม่คิดจะทุ่มงบประมาณไม่เกินแสนล้านจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาให้กับประชาชน วัคซีนไฟเซอร์ ราคา 300-500 บาท จำนวน 60 ล้านโดส 2 เข็มใช้เงินแค่หลักหมื่นล้านบาท ก็สามารถฉีดให้กับประชาชนได้ครอบคลุมทั้งประเทศ แต่รัฐบาลกลับไม่ดำเนินการเจตนาเหมือนต้องการเลี้ยงไข้และต้องการจัดหาวัคซีนเพียงซิโนแวคเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่สามารถบริหารจัดการให้สามารถป้องกันโรคได้ การกระทำของรัฐบาลและหน่วยงานทั้งหมด จึงเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้า ทำงานล่าเช้า และถ่วงเวลา” พญ.กมลพรรณ กล่าว 

รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับบทความ 'การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน' ของ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์

รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า...

บทความของ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ที่เขียนไว้สองปีแล้ว แต่ก็ดูน่าจะเป็นจริงขึ้นมาเรื่อย ๆ

การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน

30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

(1) ช่วงวันสองวันที่ผ่านมานี้...ใครก็ไม่รู้? ได้ไปเอาคำพูดของนักเขียน นักปรัชญาชาวอิตาลีรายหนึ่ง ชื่อว่า อุมแบร์โต เอโค (Umberto Eco) ที่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อซัก 3 ปีที่แล้ว มาเผยแพร่เอาไว้ในช่องทางการสื่อสารที่เรียก ๆ กันว่า ไลน์ อะไรประมาณนั้น และแม้ว่า อันตัวข้าพเจ้าเอง จะไม่รู้เรื่อง รู้ราว ไม่เคยได้สัมผัสกับช่องทางการสื่อสารประเภทนี้ แต่เมื่อน้อง ๆ เขางัดมาโชว์ให้เห็น ก็ต้องยอมรับว่า...ออกจะเป็นคำพูดที่น่าคิด สะกิดใจ มิใช่น้อย...

(2) คือว่ากันตามสำนวนภาษาปะกิต...ที่ว่าเอาไว้ว่า Social media gives legions of idiots the right to speak when they once only spoke at a bar after a glass of wine, without harming the community. Then they were quickly silenced, but now they have the same right to speak as a Nobel Prize winner. It’s the invasion of the idiots. ก็คงประมาณว่า...แต่ก่อนนั้นพวกคนประเภทปัญญาอ่อน ได้แต่พูดอะไรโง่ ๆ ในบาร์หลังจากที่เมาไวน์กันไปพอสมควร แล้วเป็นอันต้องหุบปาก โดยไม่ได้ก่อให้เกิดพิษภัยร้ายแรงอะไรมากมายต่อผู้คน แต่หลัง ๆ นี้...ก็ด้วยสิ่งที่เรียกว่า โซเชียลมีเดีย นั่นเอง ที่ทำให้บรรดาคนเหล่านี้มีสิทธิ์จะพูดอะไรต่อมิอะไรได้เท่ากับผู้ที่มีชื่อ มีเสียง ระดับนักคิด นักปราชญ์ ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ไพรซ์ เอาเลยก็ว่าได้ และนี่ก็คงแทบไม่ต่างไปจาก การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อนทั้งหลาย...

(3) โดยคำพูดที่ว่านี้...ถูก-ไม่ถูก เข้าท่า-ไม่เข้าท่า อันนั้นคงต้องไปพิจารณากันเอาเอง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ออกจะเป็นเรื่อง จริง ไม่ใช่อิงนิยายโดยเด็ดขาด สำหรับยุคนี้ สมัยนี้ เพราะอะไรที่มันเคยถูกพูด ๆ อยู่ในแวดวงผู้คนแค่ไม่กี่คน หรือในหมู่ผู้คนที่ระดับวาสนาใกล้เคียงกันและกัน ไม่ว่าจะเป็น มธุรสวาจา หรือ มทุเรศวาจา ประเภทขึ้นมึง-ขึ้นกู แจกกล้วย และแจกผลไม้รวม ทั้งหลาย ที่ถ้าหากฟังกันในหมู่เพื่อนฝูง หรือในหมู่คนปัญญาอ่อนด้วยกัน ก็ไม่ถึงกับเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่าชัง มากมาย ถ้าเข้าหูซ้ายแล้วไม่ทะลุออกไปทางหูขวา ก็แกะออกได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์...

(4) แต่ก็ด้วยสิ่งที่เรียกว่า โซเชียล มีเดีย นั่นเอง...ที่มันมีส่วนช่วยให้ กล้วย ธรรมดา ๆ กระจอก ๆ ของบรรดาพวกปัญญาอ่อนในแต่ละราย กลายสภาพเป็น อภิมหากล้วย ใหญ่โต มโหฬาร ขมึงทึง ยิ่งกว่าศิวลึงค์พระอิศวรเอาเลยก็ไม่แน่ คือสามารถด่าทอ กล่าวหา โจมตี ตอบโต้เล่นงานใครต่อใคร ในระดับไม่ใช่แค่คำพูดหลังบาร์ หลังแก้วเหล้า หลังจากไม่เหลือสติสัมปชัญญะอยู่ภายในสมอง ในร่างกาย แต่เพียงเท่านั้น แต่สามารถแพร่กระจายออกไปในวงกว้าง ระดับผู้คนนับเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ หรืออาจเป็นล้าน ๆ ต้องคอยแงะ คอยแกะ คอยเตรียมน้ำเอาไว้ล้างหู ชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร เอาเลยก็ว่าได้...

(5) การที่เทคโนโลยีอันสุดแสนจะก้าวหน้า ทันสมัย อย่าง โซเชียลมีเดีย มันได้เปิดพื้นที่ สร้างพื้นที่ ให้กับคนโง่ คนปัญญาอ่อน คนหยาบ ๆ คาย ๆ อย่างชนิดกว้างขวางใหญ่โตไม่น้อยไปกว่านักคิด นักปราชญ์ ผู้ที่มีสติปัญญา มีความสามารถระดับรางวัลโนเบล ไพรซ์ อย่างที่นาย อุมแบร์โต เอโค แกได้อุปมา-อุปมัยเอาไว้ทำนองนี้ มันก็เลยน่าจะส่งผลให้เกิดฉากสถานการณ์ในแบบที่แกเรียก ๆ เอาไว้ว่า การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน อุบัติขึ้นมาในสังคมต่าง ๆ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ และถือเป็นฉากสถานการณ์ที่ออกจะท้าทาย ต่อบรรดาผู้ที่คิดดี ใฝ่ดี หรือผู้ที่ต้องการให้สังคมเป็นไปในทางที่ดีทั้งหลาย ว่าจะหาทางรับมือกับ กองทัพคนปัญญาอ่อน เหล่านี้อย่างไรดี มันถึงจะเหมาะสม สอดคล้อง กับ ข้อเท็จจริงทางสังคม...

(6) คือจะไปปิดกั้น ปิดช่อง ปิดทาง ปิดประตู ปิดหน้าต่างในแต่ละบาน ๆ นั้น...คงแทบเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าในทาง เทคโนโลยี หรือแม้แต่ในทาง กฎหมาย ก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากปล่อยเลยตามเลย ปล่อยให้วันแมน-วันโหวต ถือว่าเสียงทุกเสียงย่อมต้องมีความเสมอภาค มีสิทธิ์แสดงออกอย่างเท่าเทียมกันทั้งสิ้น ไม่ว่าระหว่างเปล่งเสียงมันจะออกอาการอ้วกแตก เมาแล้ว เมาเล่า แทบไม่เหลือสติสัมปชัญญะ ไม่เหลือสาระประโยชน์ใด ๆ อยู่ในคำพูด ในเสียงแต่ละเสียงเอาเลยแม้แต่น้อย ตามหลักเสรีภาพหรือหลักประชาธิปไตยใด ๆ ก็แล้วแต่ อันนี้...มันก็ออกจะยุ่งฉิบหาย ยุ่งตายห่า อยู่พอสมควร เพราะการคุยกับคนบ้า การว่ากับคนเมานั้น ไม่เพียงแต่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์โพดผลใด ๆ เผลอ ๆ อาจก่อให้เกิดโทษหนักบ้าง เบาบ้าง ไปตามสภาพ...

(7) มันก็เลยดูเหมือนจะมีอยู่แค่วิธีเดียวเท่านั้น...อย่างที่บรรดาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ท่านเคยออกมาชี้แนะ ชี้นำเอาไว้ ว่าจะต้องหาทางทำให้ผู้คนในสังคม มีความเจริญทางสติปัญญา ทางศีลธรรม คุณธรรม ให้มาก ๆ เข้าไว้ อันอาจพอช่วยให้ เสรีภาพ ที่เปิดกว้างอย่างแทบปราศจากขอบเขต ถูกนำใช้ไปในทางที่เป็นประโยชน์กับสังคมนั้น ๆ ได้จริง ๆ และอาจจะด้วยเหตุนี้หรือไม่ อย่างไร คงต้องเก็บไปคิดกันเอาเองก็แล้วกัน ที่ทำให้สิ่งที่เรียก ๆ กันว่า ประชาธิปไตยนั้น ยังไง ๆ ...คงต้องหาทางทำให้มันมีความผนึกแนบแน่นไปกับศีลธรรม คุณธรรม ให้มาก ๆ เข้าไว้ แม้แต่จะต้อง ควบคุม หรือกำกับ ก็อาจถือเป็นความจำเป็นอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...

ทรรศนะ ชัชรินทร์-ไชยวัฒน์

การบุกรุกของกองทัพคนปัญญาอ่อน

 

 

ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=10218733401917425&id=1570777112

https://www.thaipost.net/main/detail/39767


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สมศักดิ์ รมว.ยุติธรรม เป็นประธานหารือ 6 ประเทศ ตัดเส้นทางสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์เข้าแหล่งผลิต 

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสภายใต้กรอบความร่วมมือในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อยกระดับการสกัดกั้นยาเสพติดภายใต้แผนปฏิบัติการร่วมสามเหลี่ยมทองคำ 1511 โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายธนวัชร นิติกาญจนา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คณะผู้บริหาร ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่อาวุโสจากหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดประเทศกัมพูชา จีน สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม และผู้แทนจากสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime : UNODC) เข้าร่วม วัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการป้องกันไม่ให้มีการนำสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์เข้าสู่พื้นที่ผลิตยาเสพติดสามเหลี่ยมทองคำและยกระดับการสกัดกั้นยาเสพติดไม่ให้ยาเสพติดถูกลักลอบลำเลียงออกสู่อนุภูมิภาคและภูมิภาคอื่น ๆ 

ณ สำนักงาน ป.ป.ส. (ดินแดง) นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า “การประชุมในครั้งนี้ เป็นไปตามข้อสั่งการของนายสมศักดิ์ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2564 ให้สำนักงาน ป.ป.ส. ประสานกับประเทศกลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศ คือ จีน เมียนมา สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม และสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ประชุมหารือถึงสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกัน เพราะถือว่าปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาร่วมกันของทุกประเทศที่จะต้องร่วมกันแก้ไข ซึ่งเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 2564 ตนได้หารือกับ นายเจรามี ดักลาส ผู้แทนประจำ UNODC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก และได้ประสานกับประเทศในกลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศ โดยจัดให้มีการประชุมร่วมกันในวันที่ 5 ก.ค. 2564 โดยระบบวิดีโอคอนเฟอเร็นซ์ 
จากสำนักงาน ป.ป.ส.ไปยังประเทศดังกล่าว” 

ปฏิบัติการร่วมสามเหลี่ยมทองคำ 1511 ได้ริเริ่มดำเนินการตั้งแต่ 2562 ภายใต้แผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัยเพื่อควบคุมยาเสพติด 6 ประเทศ ระยะ 4 ปี (พ.ศ. 2562 - 2565) และได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประเทศภาคีมาโดยตลอด มีผลการดำเนินการสามารถจับกุมคดียาเสพติดได้กว่า 13,476 คดี ผู้ต้องหา 16,348 คน ตรวจยึดยาเสพติดได้จำนวนมาก และสามารถยึดสารตั้งต้น หรือเคมีภัณฑ์อื่นๆ ก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิต ที่เป็นเป้าหมายสำคัญในการจัดตั้งปฏิบัติการ 1511 ได้กว่า 1,172,267 กิโลกรัม 

สำหรับการประชุมในวันนี้ ทั้ง 6 ประเทศได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเพื่อจัดการกับปัญหายาเสพติด ให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ทั้งการรับมือกับปัญหายาเสพติดในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเอง และปัญหาที่ส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่น ๆ นอกภูมิภาค โดยประเทศไทยได้เสนอแนวทางให้ทุกประเทศดำเนินการร่วมกัน ดังนี้ 

1.) สกัดกั้นสารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์มิให้รั่วไหลเข้าไปในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ 

2.) จัดให้มีปฏิบัติการที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และปฏิบัติการคู่ขนานระหว่างประเทศร่วมกัน

3.) เฝ้าระวังการลักลอบค้ายาเสพติดออนไลน์และการขนส่งยาเสพติดผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยเฉพาะพัสดุภัณฑ์ และการลักลอบลำเลียงยาเสพติดทางทะเลที่มีปริมาณและความถี่เพิ่มมากขึ้น 

4.) ขยายความร่วมมือในการสืบสวนปราบปรามเครือข่ายการค้ายาเสพติดรายสำคัญอย่างเต็มที่ ทั้งการทำลายวงจรและเครือข่ายการค้า การขยายผลยึดทรัพย์สิน และการติดตามผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับ ทั้งนี้ ประเทศไทยได้นำแนวคิด Ten X Rule มาบังคับใช้ ซึ่งไทยตั้งเป้าหมายที่จะยึดทรัพย์สินของนักค้ายาเสพติดให้ได้มากขึ้น 10 เท่า จากปีที่แล้วยึดได้ 600 ล้านบาท เป้าหมายในปีนี้จะต้องยึดให้ได้ 6,000 ล้านบาท ซึ่งในปัจจุบันสามารถอายัดทรัพย์สินของนักค้ายาเสพติดได้แล้วกว่า 5,658 ล้านบาท

5.) พัฒนากฎหมายในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้เป็นมาตรฐานสากล ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้ยกร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ขึ้น กำลังอยู่ในการพิจารณาของรัฐสภาวาระที่ 2 โดยรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งหมดมาเป็นกฎหมายฉบับเดียวเพื่อให้สะดวกต่อการบังคับใช้ มีการกำหนดให้นำมาตรการยึดทรัพย์สินตามมูลค่าที่นักค้ายาเสพติดได้ผลประโยชน์ หรือ Value-based Confiscation มาใช้ เพื่อที่จะลดทอนศักยภาพของกลุ่มนักค้ายาเสพติดให้ได้มากที่สุด การใช้มาตรการลดอันตราย หรือ Harm Reduction เพื่อป้องกันปัญหาด้านสุขภาพและสาธารณสุขของบุคคลและสังคม 

6.) เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคและนอกอนุภูมิภาคให้มีความใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น และจะนำมติที่ประชุมครั้งนี้เสนอให้รัฐมนตรีทั้ง 6 ประเทศ ในการประชุมพบปะกันเพื่อหารือความร่วมมือตามแผนปฏิบัติการร่วมสามเหลี่ยมทองคำ 1511 ซึ่งในปีหน้า ประเทศจีนเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม MoU

7.) นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ แถลงถึงผลการเข้าเยี่ยมคารวะผู้แทนจากประเทศนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อเมริกาและเกาหลีใต้ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านยาเสพติด ประจำสถานเอกอัครทูต ผลของการเข้าเยี่ยมคารวะครั้งนี้ ทางคณะผู้แทนได้กล่าวชื่นชมบทบาทนำของประเทศไทยในการผลักดันความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด ในภูมิภาคร่วมกับกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และประเทศนอกภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบ ทุกประเทศมีความยินดีที่จะผลักดันความร่วมมือในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ในระดับระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคต่อไป และสนับสนุนบทบาทของไทยที่มีจุดยืนที่ชัดเจนและสามารถเป็นผู้นำให้ประเทศอื่น ๆ ยกระดับการแก้ไขปัญหายาเสพติดมากขึ้น 

โดยเฉพาะการปฏิรูปกฎหมายยาเสพติด ซึ่งจะเอื้อให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดของประเทศไทยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การบังคับใช้มาตรการยึดทรัพย์ตัดวงจรเครือข่ายยาเสพติด เพื่อลดทอนศักยภาพของกลุ่มองค์กรอาชญากรรม การควบคุมเคมีภัณฑ์และสารตั้งต้น รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการปฏิบัติการร่วม ตลอดจนแสดงความพร้อมร่วมขับเคลื่อนปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ เช่น Task Force Storm โครงการความร่วมมือสกัดกั้นยาเสพติด ณ ท่าเรือ (SITF) และโครงการความร่วมมือสกัดกั้นยาเสพติด ณ ท่าอากาศยาน (AITF) เป็นต้น 

นายสมศักดิ์ ได้ทิ้งท้ายว่า โดยกล่าวขอบคุณที่ทุกประเทศให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และยินดีรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอของประเทศต่าง ๆ เพื่อรวบรวมเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหายาเสพติดในประเทศต่อไป

“บิ๊กป้อม” แสดงความเสียใจ สั่งระดมกำลังทุกหน่วย เร่งเข้าไปช่วยคลี่คลายเหตุโรงงานสารเคมีระเบิด

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต จากเหตุการไฟไหม้โรงงาน หมิงตี้ เคมีคอลจำกัด ซอยกิ่งแก้ว บางพลี สมุทรปราการ จนเกิดระเบิดเป็นวงกว้างและมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายราย

โดย พล.อ.ประวิตร’ ได้สั่งการให้ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และ กทม. รวมทั้งกรมควบคุมมลพิษและตำรวจ เร่งเข้าไปช่วยประเมินและคลี่คลายสถานการณ์ในพื้นที่ทันที โดยให้จัดการจราจรและกันประชาชนออกจากพื้นที่ในรัศมีที่ปลอดภัยสูงสุด และหากมีความจำเป็นให้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงไปยังพื้นที่ปลอดภัยทันที โดยขอให้ กทม.เตรียมพื้นที่ปลอดภัยเป็นที่พักชั่วคราวรองรับ 

พร้อมทั้ง ขอให้กองทัพ จัดกำลังพล ยานพาหน รวมทั้งยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นและเจ้าหน้าที่แพทย์สนาม เข้าไปดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บส่งเข้ารับการรักษา และสนับสนุนการเคลื่อนย้ายประชาชน โดยให้ทำงานร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและกรมควบคุมมลพิษอย่างใกล้ชิด ในการควบคุมเพลิง การควบคุมสารพิษที่รั่วไหลและประเมินสถานการณ์เป็นระยะ ๆ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

‘รมว.สุชาติ’ ห่วงใยเหตุเพลิงไหม้โรงงานโฟม ย่านบางพลี กำชับหน่วยงานในสังกัด เร่งดำเนินการช่วยเหลือ

รมว.แรงงาน ห่วงใยลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ บ.หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด โรงงานโฟม อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ กำชับเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด เร่งตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือ ด้านสิทธิประโยชน์ตามขั้นตอนอย่างเร่งด่วน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง กรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงาน บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ประกอบกิจการเกี่ยวกับเม็ดโฟมและพลาสติกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่ ซอยกิ่งแก้ว 21 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว จึงสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานในพื้นที่ที่รับผิดชอบเข้าไปดูแลและช่วยเหลือลูกจ้าง

จากการตรวจสอบของสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ พบว่า ขณะเกิดเหตุมีพนักงานกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ 9 คน และได้กลิ่นเหม็นและแสบจมูกจึงออกมานอกอาคาร จากนั้นได้ยินเสียงระเบิดขึ้นที่โกดังเก็บสารเคมีและเกิดเพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว แรงระเบิดทำให้พื้นที่โรงงานเสียหายทั้งหมด และขยายวงกว้างไปโรงงานใกล้เคียงและบ้านเรือนประชาชน มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วกว่า 20 คน พร้อมกันนี้ได้กำชับสำนักงานประกันสังคมเข้าไปตรวจสอบสถานะผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บให้ได้เข้ารับการรักษาพยาบาลตามสิทธิประโยชน์ในเรื่องของการรักษาพยาบาล และสิทธิอื่น ๆ ที่พึงได้ และให้กรมการจัดหางานเตรียมหาตำแหน่งงานรองรับกรณีนายจ้างไม่สามารถจ้างลูกจ้างทำงานต่อไปได้ 

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวว่า ในส่วนของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้มอบให้ศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 10 และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานงาน จ.สมุทรปราการ เข้าร่วมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ พบว่าปัจจุบันเจ้าหน้าที่ดับเพลิง สามารถควบคุมเพลิงสถานที่เกิดเหตุได้แล้ว แต่ยังอาจมีการปะทุขึ้นได้ ทั้งนี้ ทางจังหวัดได้สั่งการให้ปิดพื้นที่ไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในพื้นที่ และอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ระยะห่างมากกว่า 5 กิโลเมตร โดยจัดศูนย์อำนวยการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ อบต.บางพลีใหญ่ และโรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์ รวมทั้งจัดศูนย์อำนวยการทีมกู้ชีพและรถพยาบาลเตรียมความพร้อมรอให้ความช่วยเหลือที่วัดกิ่งแก้ว โดยจากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่ามีลูกจ้างในระบบ 46 คน บาดเจ็บ 10 คน เนื่องจากสภาพโรงงานเสียหายทั้งหมดไม่สามารถประกอบกิจการต่อไปได้ พนักงานตรวจแรงงานจะได้พูดคุยกับนายจ้างว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร โดยจะดูแลให้เกิดความเป็นธรรมหากมีการเลิกจ้างลูกจ้างด้วย

นายกฯ ห่วงเหตุไฟไหม้โรงงานผลิตโฟมย่านกิ่งแก้ว สั่งการรมว.เฮ้ง รุดเยี่ยมศูนย์อำนวยการฯ และให้กำลังใจผู้บาดเจ็บจากแรงระเบิดที่ รพ.บางพลี และ รพ.สมุทรปราการ 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ท่านนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ห่วงใยลูกจ้างและพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้รับบาดเจ็บกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงาน บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ประกอบกิจการเกี่ยวกับเม็ดโฟมและพลาสติกขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ที่ ซอยกิ่งแก้ว 21 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ จึงได้มอบหมายให้ผมลงพื้นที่ แทนท่าน มาเยี่ยมศูนย์อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเหตุเพลิงไหม้ รวมทั้งเยี่ยมให้กำลังใจคนงานและประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดทุกคน ที่โรงพยาบาลบางพลี และโรงพยาบาลสมุทรปราการ โดยมี นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน นายแพทย์พิเชษฐ พัวพันกิจเจริญ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางพลี นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย 

นายสุชาติ ยังกล่าวถึงการให้ความช่วยเหลือของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานว่า เบื้องต้นสำนักงานประกันสังคมจะได้ตรวจสอบสถานะความเป็นผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บให้ได้เข้ารับการรักษาพยาบาลตามสิทธิประโยชน์ในเรื่องของการรักษาพยาบาล และสิทธิอื่นๆ ที่พึงได้ และให้กรมการจัดหางานเตรียมหาตำแหน่งงานรองรับกรณีนายจ้างไม่สามารถจ้างลูกจ้างทำงานต่อไปได้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้มอบให้ศูนย์ความปลอดภัยในการทำงานเขต 10 และสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานงาน จ.สมุทรปราการ เข้าร่วมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสมุทรปราการ จะได้ประสานความช่วยเหลือเพื่อจ่ายสิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับบาดเจ็บทุกคนต่อไป

“วราวุธ” สั่ง กรมควบคุมมลพิษเร่งสำรวจคุณภาพอากาศ-สารปนเปื้อนในท่อระบายน้ำ ในรัศมี 3-5 กม.รอบจุดเกิดเหตุ ป้อง “บิ๊กตู่” ไม่ลงพื้นที่ หวั่นสร้างอุปสรรคการทำงานให้ จนท. วอน สังคมเห็นใจ ระบุ สั่งงานจากศูนย์บัญชาการมีประสิทธิภาพมากกว่า

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุไฟไหม้ บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 87 ซ.กิ่งแก้ว 21 หมู่ที่ 15 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จ.สมุทรปราการ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเม็ดโฟมพลาสติก ว่า ขณะนี้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำลังดำเนินการตรวจวัดคุณภาพอากาศในรัศมี 3-5 กิโลเมตร โดยได้มีการส่งรถโมบายเคลื่อนที่ลงไปตรวจวัด และยังมีการติดตั้งสถานีย่อยในรัศมีดังกล่าว เบื้องต้นพบว่าคุณภาพอากาศในรัศมี 1 กิโลเมตร เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ไม่ถึงชีวิต ขณะที่ในระยะ 5 กิโลเมตรถือว่ายังเป็นระยะที่ปลอดภัยอยู่ แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าปลอดภัยถึงขั้นให้ประชาชนเดินทางกลับที่พักอาศัย เพราะยังต้องตรวจสอบเรื่องสารเคมีตกค้าง และสารที่ไหลออกมาจากโรงงานซึ่งกับมาน้ำที่เราฉีดเลี้ยงไฟไม่ให้ปะทุที่อาจมีสารเคมีปนเปื้อนออกมาได้ โดยภายในวันนี้ ( 6 ก.ค.) น่าจะได้ข้อสรุป ขอประชาชนอย่าเพิ่งใจร้อน เจ้าหน้าที่กำลังเร่งทำงานทุกฝ่าย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ คพ.กำลังระดมเข้าไปตรวจวัดคุณภาพอากาศและน้ำที่อยู่ตามท่อระบายน้ำเพื่อให้ทราบว่ามีสารเคมีตกค้างมากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่หน่วยเคลื่อนที่เร็วปฏิบัติการโดยรอบที่เกิดเหตุ เมื่อข้อสรุปแล้ว จะได้เข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชน

 ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าโรงงานดังกล่าวได้ทำการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) หรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า โรงงานดังกล่าวตั้งมา 30 กว่าปีแล้ว ขณะนั้นยังไม่มีกฎหมายอีไอเอ แต่ไม่แน่ใจว่าหลังมีกฎหมายแล้วได้มีการทำอีไอเอเพิ่มเติมหรือไม่ จึงขอไปหาข้อมูล ประกอบกับไปดูกฎหมายผังเมือง โดยประสานกับกระทรวงมหาดไทยก่อน ซึ่งทราบมาว่าพื้นที่ที่ตั้งของโรงงานอยู่ในพื้นที่สีแดงที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อการพาณิชย์ หลายคนสงสัยว่าทำไมโรงงานไปตั้งในชุมชน จึงต้องมาตรวจสอบว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์หรือโซนที่อยู่อาศัย เพราะการที่มีโรงงานกับบ้านพักติดกันเป็นไปได้ใน 2 กรณี คือ โรงงานตั้งก่อนชุมชน หรือที่ชุมชนกระจายไปจนติดโรงงาน คงต้องดูผังเมือง   

เมื่อถามว่า โซเชียลมีเดียวิจารณ์อย่างมากว่านายกรัฐมนตรี รองนายกฯ และคนในรัฐบาล เหตุใดจึงไม่รุดลงพื้นที่ นายวราวุธ กล่าวว่า นายกฯและรองนายกฯให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่ต้องเรียนตรงๆว่า หากนายกฯ หรือรองนายกฯ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของทุกหน่วยงานลงไปในพื้นที่แล้ว โดยธรรมชาติคนไทยเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ต้องแห่มาต้อนรับ โดยนายกฯทราบดีว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้น ยิ่งจะทำให้วุ่นวายไปอีก จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงไม่ไป เพราะเราไม่รู้ว่าสถานการณ์ ณ ที่เกิดเหตุเป็นอย่างไร ตนเห็นว่าการที่นายกฯไม่ไปนั้นถูกต้องแล้ว เพราะการบัญชาการที่ศูนย์บัญชาการเพื่อทำหน้าที่สั่งการและประสานจะมีประสิทธิภาพมากกว่า และยังเป็นการเปิดพื้นที่ให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานเต็มที่ เหมือนเมื่อครั้งเหตุการณ์ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ที่นายกฯยังไม่ไปทันที เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายและสร้างอุปสรรคในการทำงานของเจ้าหน้าที่ จึงขอความเห็นใจจากสังคมด้วย

"คมนาคม" ยกระดับการขนส่งทางน้ำ พัฒนามิติการควบคุม กำกับ ดูแล ตามรูปแบบสากล

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ยกระดับการพัฒนามิติการควบคุม กำกับ ดูแล การขนส่งทางน้ำของกรมเจ้าท่าให้มีความเป็นสากล รอบคอบ และเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนามิติการควบคุม กำกับดูแล การขนส่งทางน้ำ ให้มีรูปแบบการดำเนินการที่เป็นสากล มีความรอบคอบ และการดำเนินการเป็นไปตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกับการควบคุมกำกับดูแลการขนส่งทางอากาศ กระทรวงคมนาคมได้มีคำสั่งที่ 301/2564 แต่งตั้งคณะกรรมการแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองและดำเนินการภารกิจตามกฎหมาย กฎ คำสั่ง หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไปฯ ของกรมเจ้าท่า ซึ่งจะมีบทบาทและหน้าที่ในการพิจารณาอนุญาต การต่ออายุและการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข ท้ายใบอนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเล และการพิจารณาอนุญาตให้ผู้ประกอบการขนส่งทางทะเลซึ่งถือกรรมสิทธิ์เรือไทยเช่าและใช้เรืออื่นที่มิใช่เรือไทย ในการขนส่งทางทะเล และการพิจารณาอนุญาตให้เรือของบุคคลผู้ไม่ต้องด้วยลักษณะที่จะถือกรรมสิทธิ์เรือไทยได้สามารถทำการค้าในน่านน้ำไทยได้ 

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองและดำเนินการภารกิจตามกฎหมาย กฎ คำสั่ง หรือบทบัญญัติอื่นที่ผลบังคับเป็นการทั่วไปฯ ของกรมเจ้าท่า ครั้งที่ 1/2564  และ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นรองประธานกรรมการ คณะกรรมการประกอบด้วย นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม อธิบดีกรมเจ้าท่า รองอธิบดีกรมเจ้าท่าด้านความปลอดภัย และผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดกรมเจ้าท่า ซึ่งการประชุมครั้งนี้ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 เป็นการประชุมผ่านระบบ Zoom Cloud Meeting

ที่ประชุมได้พิจารณากำหนดให้การประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน และมีมติเห็นชอบกรอบขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตตามระเบียบกระทรวงคมนาคมว่าด้วยการปฏิบัติราชการสำหรับการขออนุญาตประกอบกิจการท่าเรือเดินทะเล ซึ่งเป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน กรอบขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตตามระเบียบกระทรวงคมนาคมว่าด้วยการปฏิบัติราชการสำหรับ  การขออนุญาตเช่าหรือใช้เรืออื่นที่มิใช่เรือไทยในการขนส่งทางทะเล ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2532 และกรอบขั้นตอนและระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การอนุญาตให้เรือของบุคคลผู้ไม่ต้องด้วยลักษณะ ที่จะถือกรรมสิทธิ์เรือไทยทำการค้าในน่านน้ำไทยตามมาตรา 47 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช 2481 และมอบหมายกรมเจ้าท่าทำการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้ผู้รับบริการและประชาชนที่เกี่ยวข้องรับทราบต่อไป

ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบอนุญาตให้เรือของบุคคลผู้ไม่ต้องด้วยลักษณะที่จะถือกรรมสิทธิ์เรือไทยทำการค้าในน่านน้ำไทย ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช 2481 จำนวน 4 ลำ เข้ามาประกอบกิจการเฉพาะเท่าที่มีเอกชนร้องขออนุญาต และเป็นการเฉพาะตราบเท่าที่ได้รับการยืนยันจากสมาคมเจ้าของเรือไทย ว่าไม่มีเรือไทย สนใจเข้ามาประกอบกิจการ และเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ประกาศ ตาม checklist ที่กฎหมายกำหนดทุกประการ ทั้งนี้ เพื่อให้ การดำเนินการในกิจการต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์แห่งสัญญาการว่าจ้างเรือของเอกชน เป็นไปเพื่อประโยชน์สมตามวัตถุประสงค์เท่าที่จำเป็น และคงรักษาประโยชน์ของธุรกิจประกอบกิจการเรือของไทย

นอกจากนั้น ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการท่าเรือซึ่งเป็นกิจการค้าขายอันเป็นสาธารณูปโภคอันกระทบกระเทือนถึงความปลอดภัยหรือผาสุกของประชาชน ตามข้อ 3 (9) แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 ลงวันที่ 26 มกราคม   พ.ศ. 2515 (ฉบับที่ 3) ซึ่งได้มีการกำหนดระยะเวลาการอนุญาตประกอบกิจการท่าเรือให้มีความชัดเจนและเพิ่มรายละเอียดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ประกอบกิจการท่าเรือซึ่งต้องมีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 

ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เน้นย้ำให้คณะกรรมการกลั่นกรองและดำเนินการภารกิจตามกฎหมาย กฎ คำสั่ง หรือบทบัญญัติอื่นที่ผลบังคับเป็นการทั่วไปฯ ของกรมเจ้าท่า ดำเนินการด้วยความ รอบคอบ โปร่งใส เป็นไปตามระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องและหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top