Thursday, 26 June 2025
Politics

“บิ๊กเล็ก” แบะท่า “พปชร.” ประชุมใหญ่จ.ขอนแก่น ทำได้ กำชับ ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เตรียมจัดประชุมใหญ่พรรค ที่จังหวัดขอนแก่น ในวันที่ 20 มิ.ย.นี้ ว่าจะประชุมได้หรือไม่ ทางจังหวัดทราบดีอยู่แล้วถึงวิธีปฏิบัติ รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งจังหวัดขอนแก่น ไม่ได้เป็นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่สีแดง สามารถดำเนินการได้ ในทางความมั่นคงไม่ได้มีปัญหาอะไร ที่ผ่านมาเราจะห่วงเฉพาะในพื้นที่สีแดงหรือแดงเข้ม 

เมื่อถามว่าหากพรรคพปชร.ประชุม อาจจะทำให้เป็นตัวอย่างให้พรรคการเมืองอื่นๆ สามารถประชุมในจังหวัดต่างๆได้ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ทำได้ถ้าดำเนินการถูกต้องตามข้อจำกัดของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)

เมื่อถามว่าการที่พรรคการเมืองจะใช้สถานที่ต่างจังหวัดประชุมจะต้องมาขอที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ก่อนหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเขาทราบดีว่าหลักเกณฑ์ของศบค.อะไรที่ทำได้ อะไรที่ทำไม่ได้ อะไรที่เป็นข้อห้ามหรือข้อกำหนดที่ผ่อนคลายได้ ดังนั้นถ้าคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาแล้วเห็นว่าสามารถดำเนินการได้ก็อนุญาติได้เลย แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เขาไม่แน่ใจเขาก็จะหารือมาที่ศบค. 

“เลขาฯ สมช.” แจง ปลดล็อก “เอกชน-อปท.” จัดหาวัคซีน ต้องสั่งจากหน่วยงานรัฐ-สอดคล้องแนวทางกระจายวัคซีน เผย อยากให้อปท.จัดคนฉีดจากรัฐมากกว่า ห่วงใช้งบจัดซื้อย้ำ ต้องผ่านกก.โรคติดต่อจังหวัดพิจารณาด้วย

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศปก.ศบค.) ให้สัมภาษณ์ถึงประกาศศบค.เรื่องแนวทางบริหารจัดการวัคซีน ป้องกันโรคโควิด-19 ที่ปลดล็อกให้องค์กรเอกชนและท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีนได้ ว่าจากการที่ผู้ตรวจการแผ่นดินทำข้อเสนอแนะมาที่ศบค.อยากให้ศบค.กำหนดแนวปฏิบัติในการดำเนินการเกี่ยวกับวัคซีน จึงเรียนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รับทราบ และได้ออกเป็นประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ในทันที

ผู้สื่อข่าวถามว่าการสั่งซื้อจะต้องซื้อจากหน่วยงานรัฐที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ไม่สามารถซื้อโดยตรงกับบริษัทผู้ผลิตได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ในระยะนี้ขอให้เป็นแบบนี้ไปก่อน เนื่องจากวัคซีนมีปริมาณจำกัดซึ่งแต่ละประเทศผู้ผลิต กำหนดเงื่อนไขจำหน่ายให้คือ จำหน่ายให้หนึ่งประเทศหนึ่งสัญญา สมมุติว่าถ้าทั้งรัฐและเอกชนต้องการซื้อจะต้องแบ่งปริมาณกันก็จะมีข้อจำกัดมากขึ้น โดยเนื้อหาประกาศมีสามส่วนสำคัญ คือ

1.) กำหนดหน่วยงานที่สามารถนำเข้ามาในราชอาณาจักร ได้แก่ กรมควบคุมโรค สถาบันวัคซีนแห่งชาติ องค์การเภสัช องค์การเภสัชกรรม สภากาชาดไทยและราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่สามารถนำเข้ามาได้ รวมทั้งหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไป 

2.) ให้เอกชนและรพ.เอกชน สามารถสั่งซื้อจากหน่วยงานที่กล่าวข้างต้น ไม่สามารถซื้อโดยตรงจากบริษัทได้  

3.) องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ดูกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง แผนงานงบประมาณ แผนกระจายวัคซีนของ ศบค.เนื่องจากอปท.ต้องใช้เงินแผ่นดิน จึงใช้งบประมาณให้คุ้มค่ามากที่สุด และสอดคล้องกับแผนวัคซีนที่กำหนดแนวทางไว้และส่วนที่เพิ่มเติม คือ ทุกส่วนงานทั้งเอกชน และรพ.เอกชน หรือหน่วยงานใดก็ตาม ต้องประสานบูรณาการกับหมอพร้อม เนื่องจากแพลตฟอร์มหมอพร้อม จะเป็นแพลตฟอร์มสุดท้ายที่ควบคุมข้อมูลของประชาชนทั้งคนไทยและต่างชาติที่ฉีดวัคซีนให้เป็นระบบเดียวกัน 

เมื่อถามว่าในส่วนอปท.ต้องกำหนดวงเงินในการใช้จ่ายหรือไม่ เพราะอปท.แต่ละท้องที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐไม่เท่ากัน ถ้านำมาใช้กับวัคซีนทั้งหมดอาจไม่พอกับการบริหารงานด้านอื่น พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า นี่คือคำตอบ สิ่งที่ถามเป็นคำตอบในตัวอยู่แล้ว เพราะศบค.เป็นห่วงแบบนั้น เนื่องจากศักยภาพด้านงบประมาณของท้องถิ่นที่แตกต่างกันอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ หากเป็นไปได้อยากให้อปท. ทำหน้าที่แค่สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการจัดประชาชนเข้ามาฉีดวัคซีน ตามที่ศบค.หรือกระทรวงสาธารณสุขดำเนินการอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า อปท.ควรให้ศบค.พิจารณาว่าจะจัดซื้อได้จำนวนเท่าไหร่ โดยดูจากรายได้เงินอุดหนุนของรัฐด้วยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ย้ำว่าต้องดูกฎหมาย ดูแผนงานที่ศบค.แจกจ่ายให้ซึ่งเราพิจารณาอย่างเหมาะสมแล้ว โดยดูจากสัดส่วนของประชาชน จังหวัดใหญ่ประชากรมากก็ได้มาก พิจารณาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดจังหวัดใดที่มีการแพร่ระบาดสูงและรุนแรงจะได้รับสัดส่วนที่เติมเข้าไป และพิจารณากลุ่มจังหวัดเศรษฐกิจ ที่ต้องเตรียมความพร้อมด้านเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดก็จะได้รับเพิ่มเติมอีกส่วนแต่ไม่ได้หมายความว่าอปท.ทุกแห่งจะซื้อได้ ต้องดูหลักเกณฑ์แนวทางนี้ และการดำเนินการจะพิจารณามาตามลำดับ ตั้งแต่ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการ เป็นประธาน จากนั้นนำเข้าศบค.พิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ว่าประกาศออกไปแล้วอปท.สามารถซื้อได้เองทันที

เมื่อถามกรณีที่เอกชนหรือสถานพยาบาลเอกชน ที่จะซื้อวัคซีนจากหน่วยงานตามที่รัฐกำหนดจะต้องรายงานจำนวนที่จัดซื้อให้กับศบค. ด้วยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ต้อง เพราะหน่วยงานรัฐที่จะสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร ส่วนใหญ่จะหารือกับศบค.ว่าจะสั่งวัคซีนชนิดนี้ จำนวนเท่าไหร่ เพื่อแจกจ่ายให้ใครบ้าง 

เมื่อถามว่าจำนวนที่จะให้เอกชนหรือหน่วยงานซื้อได้ กำหนดช่วงเวลาของการจัดซื้อในช่วงเวลาใด พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ได้กำหนด เพราะยิ่งได้ฉีดมากขึ้นเร็วขึ้นยิ่งดี แต่เราจะดูปริมาณที่มา ขณะนี้รัฐบาลเตรียมวัคซีนให้ประชาชน 100 ล้านโดส สำหรับ 50 ล้านคน คนไทยมีประมาณ 67 ล้านคน ต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยประมาณ 2.6 ล้านคน รวมประมาณ 70 ล้านคน การที่เตรียมไว้สำหรับ 50 ล้านคน เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ แต่ถ้าสามารถฉีดให้ได้มากกว่านี้ก็ดี 

แต่ปัจจุบันยังไม่ทราบจำนวนทั้งหมดของคนไทยที่ต้องการฉีดวัคซีนว่ามีเท่าไหร่ ยังไม่สามารถประเมินได้ ดังนั้นถ้าสั่งวัคซีนเข้ามาในปริมาณที่มากเกินไปอาจเกิดปัญหาภายหลังไม่มีคนมาฉีดแล้ววัคซีนเหลือ ขอให้เห็นใจเวลานี้จะคิดเผื่อไปถึงอนาคตก็ลำบาก แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจจะถูกตำหนิว่าทำไมทำอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้คิดถึงปัจจุบันและอยากให้คิดว่าเมื่อเดือนกันยายน หรือตุลาคม สถานการณ์ดีขึ้นจะมีคนให้ฉีดอีกกี่คน สรุปคือเราต้องเตรียมไว้จำนวนหนึ่งที่คิดว่ามากพอและเป็นไปได้

เมื่อถามว่ามีรายงานหรือยังว่าวัคซีนที่จะเข้ามาจำหน่ายให้กับองค์กรหรือหน่วยงานต่างๆ จะมาประมาณเดือนใด พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า เบื้องต้นจะมาประมาณ 3-5 ล้านโดส ของโมเดอร์นา และชิโนฟาร์ม ที่ติดต่อเข้ามา แต่ยังไม่ทราบว่าจะมาในเดือนใด ต้องรอหลังจากประกาศนี้ไปแล้ว จะมีการติดต่อจริงจังอย่างไร

“ไทยไม่ทน” จี้ฝ่ายค้านลาออก หยุดเป็นเครื่องมือระบอบประยุทธ์ ด้าน “สุทิน” รับไปคุยพรรคร่วมฝ่ายค้าน หวั่นปิ้งปลาประชดแมวเข้าทางรัฐบาล

คณะไทยไม่ทนสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย นำโดย นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชนพฤษภา 35 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น และนางพะเยาว์ อัคฮาด ยื่นหนังสือต่อนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) เพื่อขอให้ฝ่ายค้านเสียสละลาออกจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) 

โดยนายวีระ กล่าวว่า ด้วยคณะไทยไม่ทนสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย เป็นกลุ่มประชาชนที่ไม่ต้องการให้ระบอบเผด็จการกบฏอยู่สืบทอดอำนาจอีกต่อไป ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม บริหารประเทศอย่างล้มเหลวทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม อีกทั้งยังมีพฤติกรรมอวดเก่ง ตระบัดสัตย์ จนพาประเทศไปสู่ความวิบัติล่มจม หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไปความพินาศจะทวียิ่งขึ้น จึงเรียกร้องต่อประธานวิปฝ่ายค้าน และพรรคร่วมฝ่ายค้าน 2 ข้อ คือ

1.) หากพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่สามารถถ่วงดุล หรือไม่สามารถตรวจสอบการบริหารงานของเผด็จการกบฏที่ทำงานไม่เป็น และไม่สามารถทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ควรรีบลาออกเพื่อมาอยู่กับฝ่ายประชาชน และ

2.) หากไม่สามารถหยุดพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เงินกู้ 5 แสนล้านบาท และหยุดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ในการแก้ปัญหาโควิด-19 ซึ่งมีความล้มเหลว อีกทั้งพรรคฝ่ายค้านยังถูกข่มขู่ว่าอาจจะมีการยุบสภาแสดงถึงการไม่ให้คุณค่าแก่พรรคฝ่ายค้าน จึงควรลาออกมาให้หมด

ขณะที่ นายจตุพร กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้พรรคฝ่ายค้านออกมาต่อสู้ร่วมกับประชาชน อย่าอยู่เป็นเครื่องมือให้ให้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เพราะวันนี้มีการข่มขู่ส.ส.ในหลายรูปแบบ ทั้งการขู่ยุบสภา ขู่ลาออก เพื่อเปิดทางให้ตัวเองได้กลับมาใหม่ และจะมีการซื้อขายนักการเมืองเปิดตลาดซื้องูเห่า เพื่ออ้างความชอบธรรมให้ตัวเองได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบ นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องไม่ปล่อยให้รัฐบาลเผด็จการได้ออกไปแบบดีๆ เพื่อที่จะกลับมาเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองอีกครั้ง และแม้ว่าการทำหน้าของประธานวิปฝ่ายค้าน จะทำหน้าที่ได้ดีแต่ก็ไม่สามารถยับยั้งรัฐบาลเผด็จการได้ เพราะมีพวกมากลากไปไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ดังนั้น หากพรรคร่วมฝ่ายค้านยังอยู่ต่อไปก็มีแต่จะสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลเผด็จการ

“ผมไม่เห็นประโยชน์ในการดำรงอยู่ของฝ่ายค้านยิ่งอยู่ประชาชนจะยิ่งเสื่อมศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย จึงอยากให้ฝ่ายค้านลาออกเพื่อร่วมต่อสู้กับประชาชนจะทรงคุณค่ากว่า และฝ่ายค้านจะได้กลับมาบริหารประเทศต่อไปในอนาคต แต่หากยังให้ระบอบประยุทธ์ดำรงอยู่ และมีอำนาจต่อไป ความเสื่อมจะยิ่งเกิด ระบอบประยุทธ์ไม่สามารถแก้ปัญหาของชาติได้ ซึ่งการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงทุกฝ่ายต้องเสียสละ” นายจตุพร กล่าว

ด้าน นายสุทิน กล่าวภายหลังรับหนังสือ ว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือกับฝ่ายค้านต่อไป แต่ส่วนตัวเข้าใจเจตนา และความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองของกลุ่มไทยไม่ทนฯ ซึ่งฝ่ายค้านมีจุดร่วมไม่ต่างกัน ที่อยากให้รัฐบาลบริหารบ้านเมืองคำนึงถึงความต้องการหรือความเดือดร้อนประชาชน ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องรักษาระบบรัฐสภาไว้ แต่ที่กลุ่มไทยไม่ทนฯ ดำเนินการ เพราะเห็นว่าระบบรัฐสภาที่มีฝ่ายค้านอยู่ด้วยกำลังจะเสื่อมไม่สามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ 

“ยอมรับว่าการทำงานของฝ่ายค้าน 2 ปีที่ผ่านมา ยังไม่สามารถหยุดยั้งความคิด วิถีทางที่รัฐบาลดำเนินมาที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ถ้ามองอีกนัยหนึ่งคือฝ่ายค้านยังไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลได้ ด้วยปัจจัยแรก คือ บางครั้งการตรวจสอบรัฐบาลไปจบที่กระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระ แต่หลายครั้งเราท้อแท้ อีกปัจจัยหนึ่งคือการใช้เสียงข้างมากไม่คำนึงถึงประชาชน หลายครั้งเราทำงานได้ดี แต่ไม่ได้จบบนหลักเหตุผล เจอเสียงข้างมากลากไป ดังนั้น มาตรการหนึ่งที่จะกดดันรัฐบาล คือการที่ให้ฝ่ายค้านลาออกจากระบบรัฐสภาก็เป็นวิธีที่มีเหตุผล ถ้าเราสามารถทำวิธีนี้แล้วรัฐบาลเปลี่ยนความคิด และหันมาคำนึงถึงประชาชนเรายินดีลงทุน ดังนั้น ส่วนตัวคิดว่าถ้าลาออกแล้วได้ผลเราก็พร้อม แต่ถ้าลาออกแล้วรัฐบาลไม่แยแส ไม่สนใจเหมือนในอดีตที่เคยเกิดขึ้น เราจะเสียโอกาสหรือไม่ เหมือนปิ้งปลาย่างให้แมวหรือไม่” นายสุทิน กล่าว

"แรมโบ้" ฟัดกลับ "คุณหญิงหน่อย" ไทยสร้างไทย “ชี้” ถ้าประธานพรรคฯ เล่นการเมืองด่าทอสาดสีใส่ร้ายคนอื่นรายวัน พรรคจะถอยหลังลงคลองน้ำเสีย เลือกตั้งอย่าหวังมีส.ส.เข้าสภา แยกตัวออกจากพรรคเพื่อไทยระวังถูกด่า "เนรคุณทักษิณ"

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ให้สัมภาษณ์พาดพิงและกล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอขา นายกรัฐมนตรี ว่า ประเด็นที่คุณหญิงกล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีเป็นเผด็จการภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย มาตามรัฐธรรมนูญซ่อนเงื่อน นั้นขอเตือนว่า คุณหญิงสุดารัตน์จะหาเสียงให้พรรคใหม่อย่างไทยสร้างไทยแล้วไปประดิษฐ์คำสวยหรูอะไรมาก็ไม่ว่าแต่อย่ามาเที่ยวประดิษฐ์สำนวนโวหารป้ายสีคนอื่น แทนที่คุณหญิงควรที่จะนึกถึงสมัยอยู่พรรคไทยรักไทยและเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ถูกประชาชนประนามว่าเป็นระบอบทักษิณ เป็นเผด็จการรัฐสภาเสียงข้างมากลากไป ออกกฎหมายผ่านสภาฯ หลายฉบับเพื่อเอื้อประโยชน์ของผู้นำบางคนในพรรคขณะนั้น ทำไมคุณหญิงจึงไม่ออกมาต่อว่าด่าทอโจมตีเหมือนเช่นทุกวันนี้บ้าง หรือมีอะไรปิดหูปิดตาปิดปากคุณหญิงไว้

“ขอให้คุณหญิงมีจิตใจเป็นธรรม เป็นกลางบ้าง อย่าคิดเพียงแค่ใครไม่ใช่พวกคุณหญิงก็จะใส่ความโจมตีให้แหลกคามือแบบไร้เหตุผลเพราะความอาฆาตแค้นส่วนตัวหรือเปล่า การจะเป็นนักการเมืองที่ดีต้องมีจุดยืน มีอุดมการณ์ที่มั่นคงมีเหตุผลเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ ไม่ใช่เอาแต่เรื่องเท็จมาบิดเบือนเพื่อให้เข้าใจผิดต่อนายกฯ และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจจากรัฐบาลในอดีตของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะรัฐบาลปล่อยปะละเลยให้มีการทุจริตมากมายหลายโครงการ มีการเตรียมอภิมหาโปรเจค เพื่อหาเงินทอนส่วนต่างใส่กระเป๋า มีการทุจริตเสียหายจากโครงการจำนำข้าว ทำชาติเสียหาย ชาวนาเดือดร้อน จนรัฐบาลปัจจุบันต้องมาแก้ปัญหาและใช้หนี้จนทุกวันนี้ ตลอดจนเกิดปัญหาความวุ่นวาย ในบ้านเมืองขัดแย้งกันอย่างรุนแรงนำไปสู่การทะเลาะถึงขั้นประกาศรบราฆ่าฟันกันบนท้องถนน อาจถึงขั้นแผ่นดินนองเลือด เป็นยุคที่เกิดการจลาจลวุ่นวายที่สุดในประเทศ 

นายเสกสกล กล่าวว่า เมื่อเรามีรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านการลงประชามติของประชาชน 16 ล้านเสียง พล.อ.ประยุทธ์ ก็เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ด้วยการไปอยู่ในบัญชีรายชื่อของผู้ถูกเสนอเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคการเมือง จากนั้นรัฐสภาก็เลือกเข้าเป็นนายกฯ ไม่มีอะไรที่เป็นเผด็จการ พล.อ.ประยุทธ์มาตามครรลองทั้งนั้น มีแต่พรรคเพื่อไทย ของคุณหญิงต่างหากที่กลับไปสนับสนุน นายธนาธร มาแข่งขันเป็นนายกฯ ทั้งที่คุณหญิงฯ เป็นผู้ถูกเสนอชื่อในนามพรรคเพื่อไทย ทำไมคุณหญิงฯ จึงไม่เสนอตัวเองให้สภาเลือกเป็นนายกฯ พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีเสียงมากกว่ากลับไปหนุนพรรคอนาคตใหม่ของนายธนาธร ที่มีเสียงน้อยกว่า อย่างนี้เขาเรียกว่าประชาธิปไตยแบบไหนกัน  คุณหญิงคิดได้อย่างไร ไม่ใช่เป็นเพราะพรรคเพื่อไทยของคุณหญิงขณะนั้นหรือไม่เห็นหัวประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ มีเสียงมากกว่ากลับไปสนับสนุนพรรคที่มีเสียงน้อยกว่ามาเป็นนายกฯ เป็นการทรยศเสียงประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทยหรือไม่ คิดแค่นี้ก็ไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวที่จะเอาชนะพล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ เพราะความอิจฉาริษยาอาฆาตโกรธแค้นส่วนตัว ตนสงสัยมาก ประชาชนภาคอีสานที่เลือกพรรคเพื่อไทยยังมีเสียงบ่นมาว่า เสียใจผิดหวังอุตส่าห์เลือกส.ส.พรรคเพื่อไทย แต่กลับไปเลือกธนาธร คนที่คิดก้าวล่วงจาบจ้วงสถาบันฯ จะมาเป็นนายกฯ เรื่องนี้คุณหญิงจะตอบคำถามอย่างไร

“ตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ บริหารมา 2 ปีเศษ ได้ให้ความเท่าเทียมและความเสมอภาคกับธุรกิจทุกขนาด ที่บอกว่าคนตัวเล็กเสียเปรียบและเสียโอกาสในการเจริญเติบโตทางธุรกิจนั้นไม่เป็นความจริง รัฐบาลให้การสนับสนุนและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาตลอด แต่คิดว่าประชาชนคงไม่โง่หลงเชื่อแค่คำพูดสวยหรูของคุณหญิงอย่างแน่นอน” นายเสกสกลกล่าว

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่คุณหญิงระบุว่าแยกทางจากนายทักษิณ เด็ดขาด ไม่มียุทธการแตกแบงค์พันนั้น ตนไม่เชื่อและประชาชนก็คงไม่เชื่อเช่นกันเพราะคนที่เติบโตได้ดิบได้ดีจากนายทักษิณ จะมาทิ้งกันแบบง่ายดายหรือ คุณหญิงอยู่มายาวนาน กับนายทักษิณตั้งแต่สมัยพรรคพลังธรรมปี 2538 จึงไม่เชื่อว่า คุณหญิงจะกล้าเนรคุณนายทักษิณคนที่ให้รางวัลคุณหญิงเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงฯ วันนี้คุณหญิงจะบอกชาวบ้านอย่างไร จึงจะเชื่อว่าคุณหญิงฯ ไม่เป็นคนเนรคุณต่อนายทักษิณ เหมือนกับที่ตนเคยโดนคนในพรรคเพื่อไทยกล่าวหามาแล้ว ไม่กลัวโดนต่อว่าเหมือนตนอย่างนั้นหรือ ทั้งที่มีจุดยืนไม่อยากเป็นสมุนโจร ไม่อยากเป็นเครื่องมือใครและไม่อยากให้ใครเหยียบหัวขึ้นไปเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและครอบครัว ไม่อยากอยู่กับคนที่มือไม่สะอาดจิตใจสกปรก คิดแต่มีอำนาจเพื่อธุรกิจครอบครัวเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม

“การที่คุณหญิงฯ ประกาศว่าพรรคไทยสร้างไทย เป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์และบอกว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับขั้วพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นเผด็จการเป็นคำพูดแผ่นเสียงตกร่อง ฟังจนนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคพวกคุณหญิงดาหน้าด่าทอว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเผด็จการ ถ้าเป็นจริงทำไมพรรคเพื่อไทยจึงส่งผู้สมัครลงสนามเลือกตั้งในปี 62 อย่าทำตัวเกลียดปลาไหลกินน้ำแกง ปากว่าตาขยิบ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ อย่าคิดว่าประชาชนโง่ ประชาชนรู้ดีว่าพรรคไทยสร้างไทยเป็นพรรคนอมินี หรือสาขาพรรคเพื่อไทยหย่อย และอยากให้ถึงวันเลือกตั้งเร็วๆ อยากเห็นพรรคไทยสร้างไทย ว่าจะได้ส.ส.กี่คนถ้าผู้ใหญ่ของพรรคฯ ยังเล่นการเมือง แบบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นเช่นนี้ สุดท้ายพรรคฯอาจจะไม่ได้ส.ส.เข้าสภาเลย แม้แต่คนเดียว ถ้าประธานพรรคยังใช้วิธีพ่นพิษน้ำลายใส่คนอื่นรายวัน 

"คุณหญิงอย่าได้ให้ลิ่วล้อออกมาตอบโต้คนอย่างแรมโบ้ เพราะที่ผ่านมานายกฯ ไม่เคยพูดใส่ร้ายใครก่อนและไม่คิดตอบโต้ใคร มีแต่คุณหญิงที่กัดนายกฯ ไม่เคยปล่อยเอง คุณหญิงเริ่มก่อนทุกครั้ง ทั้งที่นายกฯ ไม่เคยตำหนิหรือต่อว่าอะไรคุณหญิงเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่คุณหญิงและลิ่วล้อด่าว่านายกฯ ฝ่ายเดียว ตนยืนยันว่าถ้าคุณหญิงไม่ยอมโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่ยอมหยุดใส่ร้ายป้ายสีนายกฯ ตนก็จะไม่ยอมหยุดเช่นกัน ตนจะไม่ยอมให้คุณหญิงและลิ่วล้อหรือสมุนของคุณหญิงออกมาด่าทอใส่ร้ายป้ายสีนายกฯฝ่ายเดียว ตนคงยอมไม่ได้เด็ดขาด นายกฯ ไม่มีเวลามาเล่นการเมือง จะไม่เสียเวลามาทะเลาะกับใคร มีแต่เวลาทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนกับประชาชนเท่านั้น " นายเสกสกล กล่าว

"แสนยากรณ์" อภิปรายนอกสภาฯ เงินกู้ 5 แสนล้าน เทียบบทเรียนกู้ 1 ล้านล้านบาทปีที่แล้ว แผนงาน สธ. ป้องกันโควิด-19 วงเงิน 45,000 ล้านบาท เบิกจ่ายจริงแค่ 9,545 ล้านบาท ขอรัฐบาลวางแผนดีๆ กู้ครั้งใหม่ต้องใช้ให้ตรงจุด เหตุหนี้สาธารณะเฉียดทะลุเพดานแล้ว 

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า อภิปรายนอกสภาฯ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 เพิ่มเติม 500,000 ล้านบาท ว่าหากกู้เพิ่มอีก 500,000 ล้านบาท สำนักบริหารหนี้สาธารณะ ระบุว่า หนี้สาธารณะจะอยู่ที่ร้อยละ 58.56 ของ GDP หรือ 9.16 ล้านล้านบาท เหลือแค่ร้อยละ 1.44 ก็จะแตะเพดานหนี้สาธารณะที่ร้อยละ 60 ของ GDP แล้ว ดังนั้นการกู้เงินเพิ่มเติมรอบนี้ ต้องเบิกจ่ายให้รวดเร็วเป็นไปตามวัตถุประสงค์การใช้จ่ายให้มากที่สุด 

นายแสนยากรณ์ ยังอภิปรายเปรียบเทียบกับ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่สภาฯ เห็นชอบเมื่อกลางปีที่แล้วว่า เว็บไซต์ http://thaime.nesdc.go.th/ #Summary รายงานว่าแผนงานช่วยเหลือ เยียวยา ชดเชยให้กับภาคประชาชน เกษตรกร และผู้ประกอบการ วงเงิน 685,000 ล้านบาท ผลเบิกจ่าย 607,190.05 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 88.64 ของวงเงินแผนงาน แต่แผนงานเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 270,000 ล้านบาท ผลเบิกจ่าย 70,294.36 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26.03 ของวงเงินแผนงาน แล้วยิ่งแผนงานทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดโควิด-19 วงเงิน 45,000 ล้านบาท แต่ผลเบิกจ่ายเพียง 9,545.64 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.21 ของวงเงินแผนงานเท่านั้น 

นายแสนยากรณ์ อภิปรายต่อว่า ผ่านเวลาไป 1 ปีแล้ว แต่การเบิกจ่ายเงินกู้ด้านสาธารณสุขยังล่าช้า ไม่สมกับที่ต้องออกมาเป็นพระราชกำหนดเลย พร้อมข้อสังเกตว่าการเบิกจ่ายล่าช้า เกี่ยวข้องกับปัญหาจัดซื้อวัคซีน หรือปัญหาค้างจ่ายเบี้ยเสี่ยงภัยโควิด-19 ให้บุคลากรด้านสาธารณสุขด้วยหรือไม่ จึงฝากว่าการกู้ 500,000 ล้านบาทครั้งนี้ ต้องกำหนดแผนให้ชัดเจนว่าจะนำไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ลดขั้นตอนการเบิกจ่ายตามความจำเป็นเร่งด่วน อย่าติดกับดักระบบราชการหลัง หากเทียบเป็นกระสุนแล้ว ยิงต้องตรงเข้าเป้า เพราะครั้งนี้คือการกู้ไม้สุดท้ายแล้ว ถ้ายังยิงไม่ตรงเป้า แล้วต้องกู้เพิ่มอีก คงทะลุเพดานหนี้สาธารณะ เป็นหนี้ท่วมประเทศ 

‘ก้าวไกล’ ย้ำจุดยืนคว่ำร่างพ.ร.ก. 5 แสนล้าน ไม่ต่อลมหายใจประยุทธ์ ชี้ กู้ซ้ำซาก ใช้ไม่ตรงจุด ไม่ครอบคลุมงบสาธารณสุข และวัคซีนสำหรับประชาชน

เมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 9 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงจุดยืนของพรรคก้าวไกลในการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ว่าพรรคก้าวไกลเข้าใจถึงสถานการณ์ทางการเงินการคลังของประเทศที่มีช่องว่างให้รัฐบาลนี้ได้กู้เงินเพิ่มเติมได้อีก แต่พรรคก้าวไกลยังคงมีมติเดิมว่าไม่สามารถที่จะเห็นชอบอนุญาตให้รัฐบาลกู้เงินเพิ่มเติมอีก ด้วยเหตุผล 3 ประการ ได้แก่

1.) ล้มเหลว เราเห็นแล้วจากการกู้เงินผ่านพ.ร.ก. 1 ล้านล้านบาท ทั้งในส่วนงบสาธารณสุขที่เบิกจ่ายได้ล่าช้า งบส่วนการเยียวยาประชาชนที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรืองบฟื้นฟูประเทศ 4 แสนล้านบาทที่ไม่เกิดผล

นายพิจารณ์ กล่าวต่อว่า

2.) มักง่าย รัฐบาลต้องการให้สภาพิจารณาอนุญาตให้กู้เงิน 5 แสนล้าน แต่นำเอกสารมาเสนอแค่ 5 แผ่นกับโครงการและแผนงานคร่าวๆ เท่านั้นว่าจะใช้เงินอย่างไร หากรัฐบาลคิดว่าจะเป็นต้องใช้เงินเพื่อการเยียวยาประชาชนให้ถอนพ.ร.ก. ฉบับนี้ออกแล้วทำแผนงานที่ชัดเจนว่าจะใช้เงินอย่างไร ด้วยโครงการอะไร ผ่านหน่วยงานใด มีเป้าหมาย ตัวชี้วัด ผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังคืออะไร และทำเป็นพ.ร.บ.กลับสู่สภาด้วยการชี้แจงที่เหมาะสม

นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า

3.) ความเสียหาย การผ่านพ.ร.ก. ฉบับนี้เป็นการต่ออายุ ลมหายใจให้กับรัฐบาลและเป็นการต่อเวลาให้รัฐบาลสร้างความบอบซ้ำให้ประเทศมากขึ้นอีก เราเห็นแล้วผ่านแผนการคลังระยะปานกลางว่างบประมาณในปี 2566 มีแผนการวางไว้ว่าจะตั้งงบประมาณอยู่ที่ 3.2 ล้านล้านบาท คาดการณ์การจัดเก็บรายได้อยู่ที่ 2.46 ล้านล้านบาท ซึ่งต้องกู้เพิ่ม 7.4 แสนล้านบาท หากการบริหารจัดการ 5 แสนล้านล้มเหลวอีก โอกาสที่จะจัดเก็บรายได้ตามแผนที่วางเอาไว้ก็จะพลาดเป้าอีกและจะต้องกู้เพิ่มอีก รัฐบาลต้องไปแก้ตราสังข์ที่มัดตนเองไว้จากเพดานเงินกู้ที่ตั้งไว้ที่ 60% ของจีดีพี เพื่อให้สามารถกู้ได้เกินเพดาน มิหนำซ้ำหากการจัดหาวัคซีนที่จะเป็นโดสที่ 3 และ

4.) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดสายพันธุ์ใหม่ทำได้ล้มเหลว เราอาจมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่อีก รัฐบาลก็ต้องกลับมาขอกู้เงินอีกครั้ง ทางออกของประเทศไทยตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยุดการบริหารประเทศของพล.อ.ประยุทธ์


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“บิ๊กป้อม” สั่ง หน่วยมั่นคง ตอบโต้ Fake News ช่วงโควิด-19  ป้องกันปชช. สับสนตามนโยบายนายกฯ เอาผิดตามกม.ทันที ไม่ละเว้นพร้อมสนับสนุนภารกิจ ศบค.

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าวันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งไปยังฝ่ายความมั่นคง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบ ในการตอบโต้ข่าวปลอม หรือเฟคนิวส์ สืบเนื่องจากในสถานการณ์ โควิด-19 ของประเทศในปัจจุบัน ยังมีความวิกฤติ และประชาชนจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรการของศบค. โดยเคร่งครัด เพื่อให้การช่วยเหลือพี่น้องประชาชน มีความต่อเนื่อง ปลอดภัย และเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังมีข่าวปลอม (Fake News) ในโซเชียล และสื่อต่างๆ  ซึ่งทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ขาดความเชื่อมั่น และส่งผลกระทบต่อการดำเนินการแก้ไขปัญหาตามมาตรการ ของศบค. และเป็นอุปสรรคต่อแผนงานในอนาคต ของรัฐบาล ดังนั้นวันนี้ พล.อ.ประวิตร จึงได้ กำชับไปยังฝ่ายความมั่นคง, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, กระทรวงยุติธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้บูรณาการทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง โดยเฉพาะศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Fake News) จะต้องดำเนินคดีตามกม. อย่างเด็ดขาด รวดเร็ว และให้กรมประชาสัมพันธ์ เร่งสร้างความเข้าใจ ผ่านทุกช่องทางให้ประชาชนได้รับทราบข่าวสารที่ถูกต้อง อย่างรวดเร็วต่อไป

ผบ.ทร. เป็นประธาน เปิดกิจกรรม “รวมใจภักดิ์ อนุรักษ์พันธุ์ปลา รักษาป่าชายเลน”ในมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา”

พล.ร.อ.ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร) เป็นประธาน ในพิธีเปิดกิจกรรม “รวมใจภักดิ์ อนุรักษ์พันธุ์ปลา รักษาป่าชายเลน” ในมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ครั้งที่ 3/2564 ณ หมวดเรือที่ 3 กองเรือทุ่นระเบิด กองเรือยุทธการ ตำบลแหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ โดยมี พล.ร.อ.สุทธินันท์ สมานรักษ์ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และ พล.ร.ต.ธาดาวุธ ทัดพิทักษ์กุล ผู้บัญชาการกองเรือทุ่นระเบิด กองเรือยุทธการให้การต้อนรับ

ทั้งนี้นางจุฬารัตน์ ศรีวรขาน นายกสมาคมภริยาทหารเรือ นำคณะอุปนายก และผู้บริหารสมาคมภริยาทหารเรือ ร่วมในพิธีมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตนราชกัญญา จัดตั้งขึ้นเพื่อสนองพระดำริ ที่ทรงมีเจตนารมณ์ในการอนุรักษ์แนวปะการัง กัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย และเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการอนุรักษ์ แนวปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย

ในพระดำริให้แนวปะการังกัลปังหา และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย มีความอุดมสมบูรณ์อย่างยั่งยืน สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลได้อย่างมีความสมดุลและยั่งยืน กองทัพเรือในฐานะที่เป็นหน่วยงานสนองพระดำริ จึงได้จัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และพระประสงค์ของพระองค์ ที่ผ่านมา ชายฝั่งบริเวณพื้นที่ด้านทิศใต้ของหมวดเรือที่ 3 กองเรือทุ่นระเบิด ประสบปัญหาการกัดเซาะของแม่น้ำเจ้าพระยา และปัญหาน้ำท่วมสูงตามฤดูกาล ทำให้ชายฝั่งเกิดการพังทลายเป็นบริเวณกว้าง คิดเป็นพื้นที่ประมาณ 0.6 ไร่ หรือ 25 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่บริเวณนี้ทั้งหมด

ทั้งนี้ หากปล่อยให้เกิดการพังทลายต่อไป จะเกิดผลกระทบต่อพื้นที่ที่ตั้งหน่วยแห่งนี้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาดังกล่าว กองเรือยุทธการ จึงได้มอบหมายให้กองเรือทุ่นระเบิด จัดกิจกรรม “รวมใจภักดิ์ อนุรักษ์พันธุ์ปลา รักษาป่าชายเลน” ในมูลนิธิอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยฯ ครั้งที่ 3/2564 โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ

การรักษาระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย อนุรักษ์ป่าชายเลนให้มีความสมบูรณ์ พร้อมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และแหล่งศึกษาทางนิเวศวิทยา พัฒนาแนวชายฝั่ง และป้องกันการพังทลายของหน้าดินในพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งหน่วย โดยมีการดำเนินการ กิจกรรมย่อย 3 กิจกรรม ประกอบด้วย กิจกรรมปลูกต้นโกงกางจำนวน 350 ต้น กิจกรรมปล่อยพันธุ์ปูจำนวน 918 ตัว พันธุ์ปลา 9,918 ตัว และกิจกรรมเก็บขยะโดยรอบพื้นที่

สำหรับการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสนับสนุนการดำเนินโครงการตามพระดำริแล้วยังเป็นการพัฒนาแนวชายฝั่ง และป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งการป้องกันการกัดเซาะโดยการปลูกต้นโกงกาง นับได้ว่าเป็นวิธีการตามธรรมชาติและประหยัดงบประมาณ ซึ่งนอกจากจะสามารถป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งได้แล้ว ยังส่งผลประโยชน์ในการเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นที่หลบภัยและที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้กับระบบนิเวศและเป็นการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตใต้ทะเล อีกทั้งยังเป็นการสร้างจิตสำนึกที่ดี ให้กับข้าราชการและประชาชน ในการร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติสามารถเป็นต้นแบบให้กับหน่วยงานต่าง ๆ นำไปใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการป้องกันปัญหาการกัดเซาะและการพังทลายของหน้าดินได้

ศบค. เผย ตัวเลข ฉีดวัคซีนแล้ว 5.1 ล้านโดส ชี้ เมื่อฉีดวงกว้าง อาจพบอาการไม่พึงประสงค์ได้ ย้ำ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ลดการแพร่ระบาด

ที่ศบค. ทำเนียบรัฐบาล นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวสรุปภาพรวมเรื่องการฉีดวัคซีนว่า เรื่องวัคซีนเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเป็นอย่างมาก นับจากที่มีการฉีดวัคซีนในวงกว้าง จึงทำให้โอกาสที่จะเจออาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ปรากฏขึ้นหรืออาจจะมีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ ดังนั้นต่อจากนี้จะมีการรายงานภาพรวมสัปดาห์ละครั้ง 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า จากที่เราได้ฉีดวัคซีนกันไปตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ จำนวนวัคซีนที่จัดสรร ซิโนแวค 4,982,313 โดส อัตราเซเนก้า 1,774,180 โดส รวมทั้งสิ้นการจัดสรรวัคซีนสองชนิด 6,756,493 โดส ซึ่งถ้าแยกจำนวนการฉีดวัคซีนเพื่อแยกดูว่าในวงกว้างปูพรมในวันที่ 7-8 มิถุนายน ในส่วนของการฉีด วันนี้ที่เพิ่มขึ้นมา 472,128 โดส สะสมตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน เป็นจำนวน 888,975 โดส ดังนั้นจะเห็นว่าเราสามารถฉีดได้วันละเกินวันละ 400,000 โดส ทั้งนี้ยอดรวมของการฉีดมาตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์คือ 5,107,069 โดส 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า การที่นำตัวเลขนี้มาหยามเนื่องจากเป็นประเด็นที่สำคัญเนื่องจากการฉีดในจำนวนมากๆ นี้เราต้องติดตามในเรื่องของความปลอดภัยจึงได้มีระบบการรายงานอาการไม่พึงประสงค์หลังจากการฉีดวัคซีน ซึ่งคำพูดที่ประชาชนหรือสื่อมวลชนมักใช้กันและเข้าใจง่ายบางครั้งจะพูดถึงคำว่า แพ้วัคซีน ผลข้างเคียง ซึ่งคำเหล่านี้ในทางวิชาการจะมีการแจกแจงแยกความหมายที่ชัดเจนเพราะว่ามีความสำคัญต่อการดูแล ประชาชนหลังการฉีดวัคซีนที่แตกต่างกัน

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ระบบเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ เราทำให้มีความไวถึงแม้จะเป็นอาการเล็กๆ น้อยๆ ที่จะสามารถติดตาม รายงานมาได้ ก็จะรวบรวมไว้ แต่ถ้าอาการไม่รุนแรง สามารถหายได้เองก็ไม่จำเป็นจะต้องไปติดตามดูข้อมูลลึกๆ แต่ถ้าเข้าขายอาการที่รุนแรงหรือเสียชีวิต ก็จำเป็นที่จะต้องมาดูในรายละเอียดว่าสาเหตุการเสียชีวิต สาเหตุของอาการเหล่านั้นคืออะไร ในบางส่วนอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงอาจจะเป็นแค่ปฏิกิริยาของร่างกาย ซึ่งนั่นจะมีอีกคำหนึ่งที่ใช้กันคือผลข้างเคียง เป็นปฏิกิริยาของร่างกายเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย วัคซีนก็เป็นสิ่งแปลกปลอมหนึ่งที่เข้าไปในร่างกายเพื่อวัตถุประสงค์จะไปก่อประโยชน์ในการกระตุ้นให้ร่างกายรู้จักว่าเวลาที่มีสารกระตุ้นแบบนี้ เป็นสารที่เราจำลองมาจากตัวเชื้อ เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน เวลามีเชื้อโรคมาจริงๆ ภูมิคุ้มกันเหล่านี้จะเป็นเสมือนทหารคุ้มกัน ป้องกันที่จะไปต่อสู้เอาชนะ ทำให้ลดการเสียชีวิต ลดการป่วย ลดการติดเชื้อ ส่งผลไปถึงหยุดการแพร่กระจาย หรือลดการแพร่กระจาย ทำให้การแพร่ระบาดหยุดไปได้ 

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ในกรณีที่ปรากฏในสื่อที่เห็นชัด และผู้คนสนใจคือเรื่องของการเสียชีวิต ตามที่รายงานมาแล้วจำนวน 28 ราย ซึ่งต้องเรียนว่าไม่ใช่ว่าจะเป็นผลจากวัคซีน ตามหลักการของเราเมื่อมีเหตุรุนแรง จะต้องมีการหาสาเหตุให้ชัดเจน โดยระบบเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์ ในระดับพื้นที่จะมีการรวบรวมข้อมูล รายงานสถานการณ์ว่าเกิดเหตุอะไรบ้างในเบื้องต้นได้ในระดับจังหวัด โดยมีการจัดตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญในระดับเขต เพราะเมื่อมีการฉีดวัคซีนในวงกว้างมากๆ หากมีอาการที่เข้าข่ายผู้เชี่ยวชาญก็ต้องดูสาเหตุว่าเป็นอย่างไร ดูความเชื่อมโยงเกี่ยวข้อง กลับวัคซีนหรือไม่ เพราะบางกรณีอาจจะเกี่ยวข้อง แต่บางกรณี อาจจะไม่เกี่ยวข้องจึงต้องให้เวลาในการเก็บข้อมูล ดังนั้นการจะรู้สาเหตุที่แท้จริง ที่ชัดเจนขอเรียนว่า ต้องมีกระบวนการที่ดูในเรื่องการดูแลรักษา การส่งตรวจในโรงพยาบาล การผ่าชันสูตรหลังเสียชีวิต สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมาก ซึ่งนอกจากดูรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ต้องผ่าชิ้นเนื้อ ส่งตรวจเพื่ออธิบายสาเหตุนั้นก็มีความสำคัญเช่นกัน

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า ตัวอย่างกรณีของจังหวัดปทุมธานีจะเห็นว่ามีผู้เสียชีวิตหลังการฉีดวัคซีนแต่เมื่อมีการตรวจชนะสูตรแล้วพบว่ามีการอักเสบของเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุคนละเรื่องกับวัคซีน เพราะฉะนั้นกรณีเหล่านั้นเป็นการเสียชีวิต เป็นอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง แต่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้เป็นสาเหตุ ที่มาจากวัคซีน ดังนั้น 28 รายที่รายงานเข้ามา 12 รายมีการสรุป สาเหตุชัดเจนแล้วว่าทุกรายมีสาเหตุของการเสียชีวิตที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัคซีน ขอให้ประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของวัคซีน และจะติดตามเรื่องเหล่านี้มานำเสนอให้ทราบเป็นระยะ เพื่อให้เกิดความมั่นใจแล้วทุกคนได้ประโยชน์จากการฉีดวัคซีนในวงกว้าง เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ และทำให้หยุดการระบาดได้ในที่สุด

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า โดยทั่วไปโรคประจำตัว โดยรวมๆ แล้วฉีดได้เกือบทุกโรคหากในวันที่ฉีดมีสุขภาพแข็งแรงดีไม่ได้มีอาการอ่อนเพลียหรือไม่มีอาการกำเริบของโรค หลายคนอาจมีความกังวลใจแต่ถ้าได้ปรึกษากับแพทย์ประจำก็สามารถขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ ดังนั้นถ้าไม่ได้มีอาการกำเริบของโรค ควบคุมไม่ได้ ก็สามารถฉีดวัคซีนได้โดยที่ไม่ต้องเลื่อนวันนัด

นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า หลังฉีดวัคซีนแล้วหากมีอาการไมเกรน ปวดศีรษะก็ใช้การประเมินของตัวเองได้ ถ้าปวดเล็กน้อยอาจจะทานยาพาราเซตามอล แก้ปวดแล้วพักผ่อน ก็จะดีขึ้นแต่ถ้าดูไม่ดีขึ้น หรือปวดรุนแรงตั้งแต่ต้น หรือดูว่ามีความกังวลว่าอาจจะเป็นมาก ก็สามารถติดต่อแพทย์ได้โดยที่ไม่ควรจะรอ

รมว.ยุติธรรม เผย ปปส.ภาค 6 สนธิกำลังตำรวจลงพื้นที่กวาดล้างยาเสพติดหมู่บ้านชุมแสง ได้ผู้เสพ 6 ราย เตรียมขยายผลจับเอเย่นต์ ยันรัฐบาลให้ความสำคัญ วอนช่วยเป็นหูเป็นตา พบเบาะแสแจ้งสายด่วน 1386

จากกรณีมีประชาชนในพื้นที่อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เกรงกลัวจะได้รับความเดือดร้อน หลังมีการนัดหมายซื้อขายยาเสพติดในพื้นที่สวนยางของตัวเอง จึงเขียนป้ายประชดเกี่ยวกับการซื้อขายยาเสพติด เพราะเคยร้องเรียนผ่านหน่วยที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานแต่เรื่องยังเงียบนั้น 

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนได้รับรายงานกรณีดังกล่าวจากเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 6 (ปปส.ภาค 6) ซึ่งจากการตรวจสอบฐานข้อมูลร้องเรียนพบว่า วันที่ 29 มกราคม 2564 ประชาชนในพื้นที่หมู่ 9 บ้านชุมแสง ตำบลบ้านกลาง อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ร้องเรียนว่ามีการซื้อขายเสพยาเสพติดกันทั่วไป และยังสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ให้การสนับสนุนหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดยาเสพติด และมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีฐานะร่ำรวยขึ้นอย่างผิดปกติ รวมทั้งมีผู้เกี่ยวข้องเคยต้องโทษคดียาเสพติดและถูกจำคุก ปัจจุบันพ้นโทษออกมาแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 ตรวจสอบพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐตามผู้ร้องเรียนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่พบการกระทำผิดใดๆ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้รับทราบถึงปัญหา และกำลังดำเนินการแก้ไขให้มีความรวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน ซึ่งหลังเกิดเรื่องร้องเรียนเจ้าหน้าที่ ปปส.ภาค 6 พร้อมชุดสายตรวจ สภ.แก่งโสภาได้เข้าตรวจสอบในพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยนำตู้แดงไปติดที่บริเวณพื้นที่จุดเสี่ยงในหมู่บ้าน และเมื่อคืนวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้ดำเนินการกวาดล้างในพื้นที่ จนสามารถจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดได้ 6 ราย พร้อมเตรียมขยายผลไปยังเอเย่นต์ที่ค้ายาในพื้นที่ต่อไป 

“ผมยืนยันว่ารัฐบาลที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหายาเสพติดมาโดยตลอด เราทำงานเชิงรุกในด้านยาเสพติดทุกมิติ เช่น การตัดวงจรยึดทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด รวมถึงกวาดล้างสกัดกั้นยาเสพติดจากแนวชายแดนที่จะใช้ชายแดนไทยเป็นทางผ่านไปประเทศอื่นๆ เวลานี้ยาเสพติดมีต้นทุนต่ำการผลิตจึงมีจำนวนมากขึ้น ทำให้มีการลักลอบขนยาเสพติดเพิ่มไปด้วย ผมอยากให้ทุกฝ่ายช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่หากพบเจอผู้ค้ายาเสพติดหรือมีข้อมูลให้แจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน 1386 ตลอด 24 ชั่วโมง” นายสมศักดิ์ กล่าว 

นายสมศักดิ์ เปิดเผยอีกว่า สำหรับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน ในปีงบประมาณที่ผ่านมา สำนักงาน ปปส.ภาค 6 ร่วมกับศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจังหวัด ได้จัดทำโครงการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในหมู่บ้าน/ชุมชน เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการป้องกันและเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน นำร่องในพื้นที่ 6 จังหวัด (ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ) จำนวน 6,009 หมู่บ้าน/ชุมชน ผลจากการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด ได้จำนวน 8,465 คดี  ยึดทรัพย์สินผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 97 คดี มูลค่าทรัพย์สินที่ยึด/อายัด จำนวน 13,110,879 บาท และนำผู้เสพเข้าสู่การบำบัดรักษายาเสพติดได้จำนวน 6,851 ราย นอกจากนี้กรมการปกครอง ได้ดำเนินการสำรวจความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน ผลการสำรวจปรากฏข้อมูลว่าหมู่บ้าน/ชุมชน เป้าหมายของโครงการมีการเปลี่ยนแปลงสถานะจากมีปัญหายาเสพติดเป็นไม่มีปัญหายาเสพติด ร้อยละ 50.8 และภาคประชาชนพึงพอใจโครงการดังกล่าวร้อยละ 99


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top