Tuesday, 24 June 2025
Politics

"นายกฯ" สั่งกอ.รมน.แจงข่าว​ Fake News​ ในโซเซียล หวั่น ปชช. สับสน​ ย้ำ กอ.รมน.ทั่วประเทศสอดส่องเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)  พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกอ.รมน. กล่าวว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้ประชุมหน่วยขึ้นตรง กอ.รมน. ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (VTC) โดยมี พล.อ. วรเกียรติ  รัตนานนท์ เลขาธิการ กอ.รมน. เป็นประธานการประชุม

พล.ต.ธนาธิป กล่าวว่า​ การประชุมในวันนี้ มีวาระการประชุมในเรื่องที่กอ.รมน.ร่วมประชาสัมพันธ์ชี้แจงข้อกฎหมายและผลกระทบที่มีการส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จ เพื่อให้ประชาชนใช้สื่อโซเชียลอย่างรู้เท่าทัน​ ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะ ผอ.รมน. มอบหมายให้กอ.รมน.ภาค และ กอ.รมน.จังหวัด มวลชนของ กอ.รมน. ร่วมประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องกับประชาชน​ กรณีสื่อโซเชียลเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เกิดความสับสนในลักษณะข่าวปลอม (fake news) ไม่มีที่มาที่ไป หากเผยแพร่ส่งต่อข้อมูลอันเป็นเท็จอาจจะสร้างความแตกแยกความเข้าใจผิดต่อสังคม ตลอดจนทำลายภาพลักษณ์ต่อประเทศ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 

“กอ.รมน. จึงขอความร่วมมือประชาชนรับข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการหรือรัฐบาลเป็นหลัก และขอให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนแชร์หรือส่งต่อให้ผู้อื่น จึงอยากเตือนผู้ที่มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอย่าได้ทำการเผยแพร่โดยเด็ดขาด และหากพี่น้องประชาชนพบเห็นการกระทำอันผิดกฎหมายพรบ.คอมพิวเตอร์ฯ สามารถแจ้งมาได้ที่สายด่วนความมั่นคง กอ.รมน. 1374 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการตรวจสอบ หากพบว่ามีความผิดจริงจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” โฆษกกอ.รมน. กล่าว 

พล.ต.ธนาธิป กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประ​ชุมกอ.รมน. ใช้กลไก กอ.รมน.ภาค และกอ.รมน.จังหวัด ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐเฝ้าระวังติดตามการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย​ โดยเฉพาะการนำแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โดยให้สนับสนุนการปฏิบัติกองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก ป้องกันการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองตามแนวชายแดนโดยเน้นย้ำให้มีการดำเนินการอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกระบวนการนำพา​จึงขอความร่วมมือประชาชน เป็นหูเป็นตา​ หากพบเห็นขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการโดยทันที

อย่างไรก็ตาม​ กอ.รมน.ได้นำข้อมูลอ้างอิงจาก ศบค. และ สธ. มาให้เจ้าหน้าที่ call center ใช้ในการให้บริการข้อมูลการสอบถามขั้นตอนการลงทะเบียนฉีดวัคซีนบน App หมอพร้อม คู่มือวัคซีนสู้โควิดฉบับประชาชน รวมถึงการรับแจ้งเหตุ​ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังไม่เข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาลโดยมีประชาชนโทรมาสอบถามข้อมูลข้อมูลดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงแรงงาน กำชับนายนายจ้าง/สถานประกอบการ ดูแลคนต่างด้าวตามมาตรการป้องกันโควิด-19

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ห่วงกังวลการแพร่เชื้อในสถานประกอบการ กำชับนายจ้างดูแลสถานที่ทำงาน และแรงงานต่างด้าวปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน  ห่วงใยสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 จากกรณีที่พบการติดเชื้อในแคมป์คนงานก่อสร้างช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องนี้ กระทรวงแรงงานได้มอบหมายกรมการจัดหางานเร่งประชาสัมพันธ์วิธีการป้องกัน และปฏิบัติตัว ในสถานที่ทำงานตามมาตรการของ ศบค. แก่นายจ้าง/สถานประกอบการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เป็นภาษาประจำชาติ (ภาษากัมพูชา ลาวและเมียนมา) ของแรงงานต่างด้าว เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง อย่างไรก็ดีขอให้นายจ้างกำชับให้แรงงานต่างด้าว ที่อยู่ในความรับผิดชอบการจ้างงานของตน ปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด

ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ที่ผ่านมาสำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 มีการประสานนายจ้าง/สถานประกอบการในพื้นที่ของตนเอง ให้ทราบมาตรการป้องกันและควบคุมโรค รวมทั้งการอยู่ร่วมกันในสถานประกอบการ

โดยกำชับนายจ้างให้ดูแลสถานประกอบการให้มีความสะอาดปลอดภัย ถูกสุขลักษณะตามมาตรการป้องกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ทำความสะอาด เช็ดถูพื้นผิววัสดุอุปกรณ์ ที่มีการใช้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งต้องควบคุมให้แรงงานต่างด้าวในความดูแลเข้าใจและปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อตัวแรงงานต่างด้าวเอง เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ทำงาน หรือทำกิจกรรมอื่นๆ หมั่นล้างมือ หรือทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ ทานอาหารในจานตนเอง งดเว้นการรวมกลุ่มกัน เน้นทานอาหารปรุงสุก เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อ งดการรวมกลุ่มสังสรรค์หลังเลิกงาน อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันทีที่ถึงที่พัก เพื่อป้องกันเชื้อที่ติดตามร่างกาย แพร่สู่ครอบครัว และหากมีอาการผิดปกติ อย่านิ่งนอนใจ ควรแจ้งหัวหน้างาน หรือนายจ้างทันที

'กรณ์' ติงกู้เพิ่ม 7 แสนล้านต้องใช้ให้คุ้ม! พุ่งเป้าผู้ประกอบการรายเล็ก แทนหว่านแจก

กรณ์ สะท้อนเสียงลมหายใจเฮือกสุดท้ายผู้ประกอบการ กรอบเงินกู้ชนเพดาน เงินกู้ 7 แสนล้าน สำคัญอยู่ที่ว่า 'ใช้ถูกทางหรือไม่' ต้องพุ่งเป้าผู้ประกอบการรายเล็ก SMEs ร้านอาหาร และภาคบริการ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีรัฐบาลมีมติออกเงินกู้อีก 700,000 ล้านว่า นับเป็นรัฐบาลที่ออก พรก. กู้เงินฉุกเฉินนอกระบบงบประมาณ ถึงสองครั้งเป็นรัฐบาลแรกในประวัติศาสตร์ โดยครั้งแรกสมัย รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ตนเป็น รมว.คลัง เพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจโลก Hamburger สำเร็จด้วย พรก.ไทยเข้มแข็ง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นไวเป็นอันดับ 2 ของโลก และอีกครั้งในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยอ้างเหตุงเหตุแก้ปัญหาน้ำท่วม แต่สุดท้ายไม่ได้ใช้เพราะโครงการไม่พร้อม 

นายกรณ์ กล่าวว่า มาถึงรัฐบาลนี้ออก พรก.พิเศษกู้เงินแก้วิกฤตโควิดสองรอบ (1ล้านล้าน+7แสนล้าน) รวม 1.7 ล้านล้านบาท เท่ากับ 10% ของ GDP รอบล่าสุดนี้ ก้อนแรก 7 แสนล้านคือการกู้เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณปี 2565 ก้อนสองอีก 7 แสนล้านโดยออกเป็นพรก.พิเศษ รวม 1.4 ล้านล้าน รวมสองปี การกู้ทั้งหมดของ ‘64 และ ‘65 รวมเกือบ 3 ล้านล้านบาท หรือเกือบ 20% ของ GDP สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่ยังตกต่ำ และฟื้นช้าเพราะวัคซีนยังไม่เรียบร้อยดี คนไทยยังกลับไปทำมาหากินยังไม่ได้ รัฐบาลจึงต้องกู้ และกู้โดยไม่มีทางเลือกอื่น

อย่างไรก็ตามหากถามว่า การกู้ครั้งใหม่นี้มีผลต่อเสถียรภาพทางการคลังหรือไม่ คำตอบคือในสภาพเศรษฐกิจอย่างนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงิน คำตอบคือ ไม่กู้ไม่ได้อยู่ดี โดยที่ ‘ภาระต่องบประมาณ’ ยังรับได้อยู่ (สัดส่วนงบดอกเบี้ยและงบคืนเงินต้น เทียบกับงบรายจ่ายโดยรวมของรัฐบาล) แต่นั่นเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยช่วงนี้ต่ำมาก และเริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้นว่าดอกเบี้ยนโยบายประเทศอื่นจะปรับขึ้น เพราะสัญญาณเงินเฟ้อเริ่มกลับมาจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ๆเช่น สหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป ทั้งหมดจะไม่เป็นปัญหาหากเศรษฐกิจเราฟื้นอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้า GDP เราโตได้เฉลี่ยเพียงปีละ 2-3% ไปอีก 4-5 ปี เราอาจจะเริ่มมีปัญหา ดังนั้นการใช้เงินจึงต้องเข้าเป้า และนี่คือ โจทย์ที่สำคัญที่สุด ต้องกู้แต่ต้องใช้เงินกู้ให้คุ้มที่สุด

“รอบแรก 1 ล้านล้านบาทผมให้แค่ 6/10 คะแนน จากส่วน 'เยียวยา' ผมถือว่ารัฐบาลทำได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ‘เราไม่ทิ้งกัน’ หรือ ‘คนละครึ่ง’ ฯลฯ แต่ที่หัก 4 คะแนน ผมว่าผิดเป้า เพราะเอาไป ‘ฟื้นฟู’ ในเรื่องไม่เป็นเรื่องเสียเยอะ และเบิกจ่ายช้ามาก ไม่สมกับเป็น ‘งบฉุกเฉิน’ ตามนิยามของ ‘พรก.’ รอบใหม่นี้ไม่ควรแจกแนวเดิม และไม่ควรมีเรื่องฟื้นฟูไม่เป็นเรื่องอีกเลย แต่ต้องยิงให้เข้าเป้า นั่นคือเป้าหมายหล่อเลี้ยงผู้ประกอบการขนาดเล็ก SMEs ร้านอาหาร ธุรกิจภาคบริการทั้งระบบให้อยู่รอดจนถึงการฉีดวัคซีนครบตามเป้า” อดีต รมว.คลัง กล่าว

นายกรณ์ กล่าวาว่า พรรคกล้า เราเสนอทางออกไปหลายครั้งเพื่อแก้ปัญหา อย่างล่าสุดเราเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อช่วยทุกคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหาร แต่ก็ถูกกระทรวงการคลังปฏิเสธ ส่วนในเงินกู้ 7 แสนล้านใหม่ มีส่วนที่กันไว้เพื่อการฟื้นฟูสูงถึง 270,000 ล้าน ตรงนี้ก็จะนำไปสู่ความผิดพลาดซํ้ากับปีที่ผ่านมา ตรงนี้ต้องปรับ และสำคัญที่สุดที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลต้องเร่งทำคือ 'ยุทธศาสตร์การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ' มิเช่นนั้นเงินกู้ทั้งหมดนี้ก็จะถูกละลายหายไปโดยที่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ทำให้คนไทยรู้สึกมีความหวังมากขึ้น ทั้งหมดนี้คือ เสียงสะท้อนจากเฮือกสุดท้ายของผู้ประกอบการ รวมไปถึงกรอบเงินกู้ที่ล้นชนเพดานแล้ว

“รมว.ดีอีเอส” เผย ประสาน ตร.เอาผิด “สมศักดิ์ เจียม” ผิดพ.ร.บ.คอมพ์ฯ-ม.112 ชี้ ลากตัวมาดำเนินคดีได้ ไม่ว่าในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน หรือช่องทางอื่นที่มี 

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ให้สัมภาษณ์ถึงมาตรการป้องกันเฟกนิวส์ว่า ได้ให้มีการศึกษาเกี่ยวการปรับแก้กฎหมาย หรืออาจจะออกกฎกระทรวงหรือออกประกาศ ออกระเบียบในส่วนของการกระทำผิดเกี่ยวกับการนำข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมาเวลาขอแพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้ปิดกั้นหรือดำเนินคดีค่อนข้างจะช้า ก่อนหน้านี้มีการขอไปยังเฟซบุ๊กให้ปิด 12,259 ยูอาร์แอล แต่ปิดให้แค่ 5,740 ยูอาร์แอล หรือไม่ถึงครึ่ง 

โดยอ้างว่าไม่เข้าเกณฑ์และไม่ผิดกฎหมายของประเทศเขา จึงมีแนวคิดที่จะปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การทำงานเข้มข้นขึ้น เพราะเราต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องเฟคนิวส์ หรือการโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียที่เข้าข่ายผิดกฎหมายให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น 

“ขณะนี้มีเฟกนิวส์ต่าง ๆ ออกมามาก โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จึงอยากเตือนคนที่กำลังตั้งใจจะทำร้ายบ้านเมืองด้วยการปล่อยเฟกนิวส์เพื่อปั่นป่วนกันเองขอให้หยุด เพราะที่ผ่านมาเรามีคณะติดตามเรื่องนี้คอยรวบรวบพยานหลักฐานไว้หมด หากพบว่ากระทำผิดจะดำเนินการปิดกั้นและดำเนินคดีตามกฎหมาย จึงขอให้เคารพกฎหมายด้วย” นายชัยวุฒิ กล่าว 

เมื่อถามถึงกรณีมีข่าวว่าจะประสานกับตำรวจให้ล่าตัวนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผู้ต้องหาประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ออกมาโพสต์ข่าวลือเกี่ยวกับสถาบันก่อนหน้านี้ นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ที่ผ่านมาดีอีเอสได้มีการแจ้งไปยังเจ้าของแฟลตฟอร์ม ขอให้ปิดกั้นข้อมูลที่สร้างความตื่นตระหนกและไม่เป็นความจริงมาตลอด ไม่ใช่เฉพาะเพจของนายสมศักดิ์ หรือเพจของนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์เท่านั้น ซึ่งกรณีของนายสมศักดิ์นั้น ดีอีเอสได้ประสานไปยังตำรวจให้ดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้ว และตนเชื่อมั่นว่าในที่สุดจะดำเนินคดีเอาตัวคนผิดมาลงโทษในเมืองไทย โดยใช้กลไกส่งตัวผู้ร้ายข้ามและช่องทางอื่นที่มีตามกฎหมายระหว่างประเทศ

พิมรี่พาย แจง แค่ โทนี่ พูดถึง 5 วินาทีต้องเจออะไรบ้าง บริจาคของหน่วยงานโดนตีกลับ ไม่รับของ-กลัวมีปัญหา ขอตั้งโรงพยาบาลสนามที่คลองเตยก็ไม่ได้

กรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมเสวนาใน Clubhouse โดยตอนหนึ่ง นายทักษิณ ได้พูดในประเด็นว่าภายในเรือนจำเขามีสนามฟุตบอล มีโรงอาหาร เราสามารถเปลี่ยนมาเป็นโรงพยาบาลสนามชั่วคราวได้หรือไม่ หรือถ้าตั้งมันแพง ก็ไปขอ “พิมรี่พาย” ตั้งให้ ทำให้ พิมรี่พาย ต้องออกมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวระหว่างไลฟ์สดขายของ ว่าขออย่าลากพิมรี่พายไปเกี่ยวข้อง

ล่าสุด ในช่วงเย็นวันเดียวกัน (19 พ.ค. 64) พิมรี่พาย แม่ค้าออนไลน์ชื่อดัง ก็ได้ออกมาไลฟ์ชี้แจงถึงกรณีนี้อีกครั้งว่า ไม่เคยคิดจะพูดเรื่องนี้แต่ต้องพูดให้เข้าใจ พิมรู้ดีว่าพิมไม่ได้เป็นคนที่พิเศษหรือวิเศษไปกว่าใคร รู้ดีว่าตัวเองแตะต้องได้ เพราะเป็นแค่แม่ค้าธรรมดา เป็นคนธรรมดา ทุกคนวิจารณ์ได้ แต่ยอมรับตามตรง แค่ 5 วินาทีที่คุณทักษิณพูดถึง แค่ 5 วินาทีนี้ไม่มีใครรู้ว่าเราต้องเจออะไรบ้าง

เมื่อเช้าพิมซื้อของบริจาคอุปกรณ์การแพทย์ โดยไม่ได้ทำเป็นคอนเทนต์ แค่ต้องการช่วยหลังบ้าน ซื้อของไป 2 แสนกว่า แต่แค่คุณทักษิณพูดถึง 5 วินาทีเมื่อคืน ของบริจาคถูกส่งไปตอนเช้า 9 โมง โดยไม่ประสงค์ออกนาม หน่วยงานนั้นให้เอาของกลับ ไม่รับของจากฉัน กลัวมีปัญหา นี่แค่ชม 5 วินาทีเอง”

“ฉันโดนอำนาจมืดข่มขู่จะตรวจสอบกี่ครั้งรู้หรือไม่ ฉันโดนแอคหลุมมาด่าทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร ผลกระทบจากการที่คุณทักษิณพูดถึงฉัน เพียงต้องการแซะรัฐบาลและขบขัน แต่ผลกระทบที่ตามมาฉันโดนอะไรบ้าง ฉันอยู่ในสังคมนี้ฉันรู้ต้องทำอย่างไร”

“ทำไมถึงไม่อยากให้โยงการเมือง เพราะฉันขยับตัวไม่ได้เลย ถ้าขยับจะถูกมองทำในเจตนาไม่ได้ ธุรกิจพิมทำอย่างสุจริตและเสียภาษี ระวังตัวที่สุด รู้มั้ยฉันให้คนไปขอตั้งโรงพยาบาลที่คลองเตย รออยู่ 2 อาทิตย์ เขาไล่ฉันกลับมา แถมยังต้องแบกรับภาระลูกน้องอีกหลายชีวิต แต่พอถูกโยงว่ามีปัญหา ความจริงโดนโยงมาหลายครั้ง แต่พูดไม่ได้”

“ความจริงพิมเพิ่งมารวยแค่ 2 ปีนี้เอง โดยจนมาก่อน เป็นแม่ค้าตลาดนัด เรียนก็ไม่จบ ทำให้เข้าใจคนจนดี จึงช่วยเพราะเข้าใจหัวอกคนจน เข้าใจความลำบากและความทุกข์ ทำให้คิดตอบแทนคืนให้สังคมบ้าง ยิ่งคุณทักษิณพูดถึง 5 วินาที มีเอฟเฟคมากมาย ท่านพูดขบขำกดดันรัฐบาล แต่ทำให้เราซวย ซึ่งเดือดร้อนจากคำพูดของท่านจริงๆ รอบนี้พูดถึงพิมแล้วฉันจะอยู่อย่างไร”

 

ที่มา : https://www.komchadluek.net/news/hotclip/467364


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

เกษตรกร เฮ! จุรินทร์ ชง ครม.อนุมัติ ! จ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนาแล้ว 

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา เพื่อช่วยเกษตรกรชาวนานั้น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย โดยมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมแก้ไขนำเรื่อง ขออนุมัติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอังคาร 18 พ.ค. 2564 ที่ผ่านมา 

" ล่าสุด ครม.อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนกรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ จำนวน 82 แปลง เนื้อที่ 422 กว่าไร่ ในอัตราไร่ละ 125,000 บาท เป็นเงิน 52,785,937 บาท และที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิจำนวน 22 แปลง เนื้อที่ 206-2-02 ไร่ ในอัตราไร่ละ 45,000 บาทเป็นเงิน 9,292,725 บาท ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ " นางมัลลิกา กล่าว 

นางมัลลิกา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นโครงการที่ผ่านการตรวจสอบและเห็นชอบโดยคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ และคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาจังหวัดศรีสะเกษ เฉพาะกลุ่มโนนสัง กลุ่มราษีไศล และกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้านรวมทั้งสิ้น 104 แปลง เนื้อที่ 628 กว่าไร่ เป็นเงิน 62,078,662 บาท 

"เป็นเรื่องที่พิจารณากันมายาวนานจนสำเร็จในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีมอบรองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์เป็นผู้รับผิดชอบ และล่าสุดเกษตรกรชาวนาดีใจมากเพราะรัฐบาลนี้จริงใจใส่ใจแก้ไขปัญหาแม้จะเป็นเรื่องยืดเยื้อมาหลายยุค แล้วเมื่อวาน นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ แจ้งว่าเกษตรกรติดป้ายขอบคุณนายกฯ รองนายกฯ จุรินทร์ และรัฐมนตรีเฉลิมชัย กันว่อนเลยที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งก็ดีใจกับเกษตรกรด้วยเพราะเขาก็สู้อดทนกันมานาน " นางมัลลิกา กล่าว

เปลี่ยนแล้ว! ไม่เรียก "วอร์คอิน" ให้เรียก "ออน ไซด์" แทน ย้ำ! 3 ช่องทาง ลงทะเบียนฉีดวัคซีน

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องการเน้นย้ำให้ประชาชนเข้าใจเรื่องการฉีดวัคซีนที่รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลมีแผนการกระจายวัคซีน 3 ช่องทาง คือ

1.) ระบบหมอพร้อม ซึ่งที่ผ่านมาเปิดให้ผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคลงทะเบียน ขณะนี้มียอดลงทะเบียนแล้ว 7.4 ล้านคน โดยเป็นการลงทะเบียนในกรุงเทพมหานครแล้วกว่า 8 แสนคน และจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปอายุต่ำกว่า 60 ปี ลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 31 พ.ค.นี้ ซึ่งข้อดีคือประชาชนสามารถเลือกวันเวลาและสถานที่ได้เอง

2.) การลงทะเบียน ณ จุดบริการ หรือ On-site Registration ช่องทางนี้ปรับจากการเรียกว่า วอร์คอิน (Walk in) เนื่องจากหากใช้คำว่าวอร์คอินแล้ว อาจเกิดความเข้าใจผิดว่าทุกคนที่เดินทางไปจะได้ฉีดในวันนั้น จนอาจเกิดปัญหาตามมาได้ แต่การลงทะเบียน ณ จุดบริการ จะมีระบบรองรับและแจ้งประชาชนเมื่อเดินทางไปลงทะเบียนว่า มีวัคซีนสนับสนุนเพียงพอ ณ จุดบริการในวันนั้นหรือไม่ หากพร้อมฉีดแต่วัคซีนไม่พอในวันนั้นก็สามารถทำการลงทะเบียนเพื่อนัดฉีดในวันอื่นได้ โดยไม่ต้องเสียเวลามารอฉีดอีกในวันต่อไปแต่สามารถมาฉีดได้เลยตามที่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว และขอย้ำว่าช่องทางนี้เป็นการบริการเสริม และสำหรับในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทางกทม.ได้จัดให้มีการกระจายจุดบริการวัคซีนทั่วพื้นที่ในโรงพยาบาล สถานพยาบาล และหน่วยงาน จำนวน 231 แห่ง 

นอกจากนี้ยังได้เตรียมสถานที่ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาลอีก 25 แห่ง โดยเตรียมความพร้อมจัดเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่จะเดินทางมาสถานที่ฉีดวัคซีนนอกโรงพยาบาล ซึ่งขณะนี้ได้เปิดทดลองระบบแล้ว 4 แห่ง ได้แก่

(1.) เซ็นทรัล ลาดพร้าว

(2.) สามย่านมิตรทาวน์

(3.) เดอะมอลล์ บางกะปิ และ

(4.) บิ๊กซี บางบอน 

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ถ้าหากในแต่ละจุดที่บริการ มีวัคซีนเพียงพอในแต่ละวัน และมีวัคซีนสำรองเนื่องจากมีคนที่นัดแล้วแต่ไม่ได้มาฉีดตามนัดอยู่บ้าง รัฐบาลก็มีแผนในการเปิดการฉีดวัคซีนแบบวอร์คอินได้ แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดและความรุนแรงนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งมีการระบาดในหลายคลัสเตอร์ในหลายพื้นที่ และเป็นสาเหตุให้นายกรัฐมนตรีมีความจำเป็นต้องตัดสินใจปรับแผนเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยส่วนบริการหลักยังเป็นการลงทะเบียนผ่านระบบหมอพร้อม และการวอร์คอินจะเป็นการบริการเสริมในช่วงนี้

3.) การจัดสรรฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเฉพาะ หรือการกระจายวัคซีนเชิงยุทธศาสตร์ เน้นจัดสรรวัคซีนไปยังประชาชนกลุ่มเสี่ยง หรือกลุ่มที่มีความจำเป็นพิเศษ หรือมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิต เช่น บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า อสม. ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พนักงานด้านการบิน ครู อาจารย์ ผู้ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์สาธารณะ พนักงานรถไฟและรถไฟฟ้า พนักงานในโรงแรม คณะผู้แทนการทูตและองค์กรระหว่างประเทศ นักธุรกิจและนักเรียน นักศึกษาที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ บุคลากรในโรงงาน คนพิการ พนักงานภาคบริการอาหารและยา และกลุ่มอื่น ๆ เพื่อให้การใช้ชีวิตและเศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด

โดยประชาชนกลุ่มนี้สามารถติดต่อนัดหมายผ่านสถานพยาบาล หรือ อสม. ได้โดยตรง หรือหากเป็นกลุ่มบุคคลหรือสมาคมที่มีเหตุผลความจำเป็นเร่งด่วน ก็สามารถยื่นเรื่องต่อกระทรวงสาธารณสุขเพื่อพิจารณาจัดสรรวัคซีนและจัดเตรียมสถานที่ฉีดต่อไป

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังมีนโยบายให้เตรียมการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย.นี้ โดยกระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง และภาคเอกชนจะร่วมมือกัน สนับสนุนให้บุคลากรกลุ่มนี้ฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรม การผลิต และภาคบริการ ฟื้นตัวได้โดยเร็ว นอกจากนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายระดมฉีดวัคซีนแบบปูพรมในกทม. ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ ให้ได้อย่างน้อย 5 ล้านคน หรือ 70% ของประชากร เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ได้ภายใน 2 เดือนนี้ (มิ.ย.-ก.ค.64) และฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั้งประเทศให้ครบ 50 ล้านคนภายในปี 2564

ปริญญ์ สานต่อ นโยบายจุรินทร์ เดินหน้า “แจกข้าวกล่อง 40,000 กล่อง-อาสา ปชป.ช่วยหมอพร้อม-ขยายผลช่วยหางาน” เร่งบรรเทาปัญหาปากท้องชาวบ้าน

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกับนายปพนชัย สุวรรณทศ และทีมงานปชป. บึงกุ่ม ลงพื้นที่ชุมชนสุวรรณประสิทธิ์ 2-3 เขตบึงกุ่ม เดินหน้าโครงการ ”ข้าวกล่องเดลิเวอรี่ 40,000 กล่อง ส่งตรงถึงบ้าน” และ “อาสา ปชป. ช่วยหมอพร้อม” พร้อมแนะนำการสร้างงาน สร้างอาชีพในโลกยุคใหม่ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยพิบัติด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ตามเจตนารมณ์ของท่านจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานมูลนิธิเสนีย์ ปราโมช

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กล่าวว่า วิกฤติโควิด-19 ทำให้ประชาชนจำนวนมากจำเป็นต้องกักตัวอยู่บ้าน ขาดรายได้ และไม่สามารถออกมาจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้ออาหารได้ด้วยตนเอง เป็นปัญหาปากท้องครั้งสำคัญที่ต้องเร่งให้การช่วยเหลือ ทีมปชป.จึงอาสาลงพื้นที่กทม.เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเดินหน้าแจกข้าวกล่องถึงบ้านประชาชน ช่วยเหลือผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรค ในการลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด พร้อมทั้งรณรงค์ให้พี่น้องชาวกรุงเทพมหานครฉีดวัคซีน สานต่อโครงการข้าวกล่องเดลิเวอรี่ 40,000 กล่องและโครงการอาสา ปชป. ช่วยหมอพร้อม ทั้งนี้ยังมีผู้สูงอายุและกลุ่มโรคเสี่ยงหลายคนที่ยังเข้าไม่ถึงการลงทะเบียน “หมอพร้อม” ทางพรรคประชาธิปัตย์จึงทํางานเชิงรุก นําทีมอาสาสมัคร ลงพื้นที่ช่วยเหลือ เพราะการได้ฉีดวัคซีนจะช่วยบรรเทาอาการป่วยถ้าติดเชื้อโควิด-19 

“การนําข้าวกล่องและถุงยังชีพมาแจกเป็นการช่วยเหลือที่ทำในระยะสั้น แต่การสร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ประชาชนยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้ในระยะยาว ครั้งนี้เราจึงไม่ได้มาเพื่อแจกอาหารเพียงอย่างเดียว แต่มาแจกงาน ช่วยคนตกงาน แนะนำการเข้าถึงงานในโลกยุคใหม่ด้วย เพื่อให้ทุกคนยืนด้วยลำแข้งของตนเองได้ ผ่านโครงการ “เรียนจบ พบงาน” ที่จะช่วยยกระดับแรงงานฝีมือให้กับคนในชุมชนและช่วยฝึกผู้ประกอบการยุคใหม่ให้พร้อมสู้กับยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นโครงการที่ทีมเศรษฐกิจทันสมัยปชป. ได้ดำเนินการมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว สามารถช่วยคนให้มีงานทำได้มากมาย ประชาชนที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถติดต่อได้ทางเฟซบุ๊กเพจ เรียนจบพบงาน หรือแอดไลน์ไอดี prinnpa

‘ประวิตร’ เร่ง ช่วยแรงงานกระทบโควิด-19 เผย เตรียม 45 จุด 45 จุดฉีดวัคซีนผู้ประกันตนในกทม.-9จ.ปริมณฑล ให้ผู้ประกันตน ม.33 แนะ แรงงาน ชะลอไปทำงานพื้นที่เสี่ยง รอสถานการณ์ปลอดภัยก่อน

วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายต่อแรงงานจังหวัดและสำนักงานในแรงงานต่างประเทศ ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มีนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน เข้าร่วม

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า นโยบาย เพื่อขับเคลื่อนมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในส่วนของแรงงานให้เน้นย้ำในเรื่องการบริหารวัคซีน ร่วมกับคณะกรรมการกระจายวัคซีน สำหรับผู้ประกันตนอย่างทั่วถึง และตรวจคัดกรองเชิงรุกให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงสูงมากที่สุด ส่วนการช่วยเหลือเยียวยายังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ ม.33 เรารักกัน รวมถึงลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตน และให้การกำกับดูแลการทำงานของแรงงานต่างด้าวให้ยึดถือตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด และเยียวยาผู้ที่ว่างงาน ส่วนที่ระบุว่าแรงงานว่างงานเป็นล้านคนนั้นไม่จริงเพราะมีคนที่กลับเข้ามาทำงานเยอะแยะและที่ว่างงานเป็นส่วนน้อย

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า นอกจากนั้นให้ช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความรุนแรงในฉนวนกาซา ประเทศอิสราเอลอย่างเร่งด่วน โดยกระทรวงแรงงานจะดำเนินการประสานกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตกลับมาประเทศไทยให้เร็วที่สุดและจะช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างเต็มความสามารถnโดยมีระเบียบของการช่วยเหลืออยู่แล้ว ทั้งนี้แรงงานที่จะเดินทางไปต่างประเทศขอให้ชะลอก่อน และพื้นที่ใดเป็นพื้นที่เสี่ยงยังไม่ให้ไป หากไม่เสี่ยงสามารถไปได้ ส่วนคนไทยที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงขณะนี้ให้อพยพออกมาก่อนเมื่อปลอดภัยแล้วจะกลับไปอีกค่อยว่ากัน

นอกจากนั้นให้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายลักลอบเข้าประเทศตามแนวชายแดน โดยร่วมกับฝ่ายความมั่นคง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ต้องขอบคุณผู้บริหารและข้าราชการทุกระดับของกระทรวงแรงงาน ที่ได้ช่วยกันทำงานเพื่อช่วยเหลือแรงงานและประชาชนด้วยความทุ่มเท เสียสละ จนเกิดความคืบหน้าบรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐบาลด้วยดี และขอให้ทุกคนปลอดภัยจากโควิด-19 ทุกคน

ผู้สื่อข่าวถามถึงการฉีดวัคซีนให้ผู้ประกันตนมีอุปสรรคอะไรหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี เราเตรียมการไว้ทั้งหมดแล้ว โดยเตรียมจุดฉีดไว้ 45 จุดในกทม.และปริมณฑล 9 จังหวัด เมื่อถามถึงการส่วนการลงทะเบียนฉีดวัคซีนแบบวอล์คอิน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เป็นเรื่องของนายกฯ ตนไม่ตอบ 

เมื่อถามย้ำว่า ควรให้ลงทะเบียนหน้างาน แบบออนไซด์ สำหรับประชาชนทั่วไป ตามที่นายกฯ เปลี่ยน หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องของศบค.ว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้นจะพิจารณาให้เป็นแบบใด 

“ประยุทธ์” ร่วมกล่าวปาฐกถา Nikkei Forum ย้ำจุดยืนไทยภายหลังฟื้นฟูโควิด-19 พร้อมผลักดันความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่างเข้มแข็ง ครอบคลุม ยืดหยุ่น และยั่งยืน

วันที่ 20 พฤษภาคม 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาเนื่องในการประชุม International Conference on the Future of Asia (Nikkei Forum) ครั้งที่ 26 ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์นิคเค ในหัวข้อหลัก “การสร้างรูปแบบของอนาคตยุคหลังโควิด-19 : บทบาทของภูมิภาคเอเชียต่อการฟื้นตัวของโลก” (Shaping the Post-COVID era : Asia’s Role in the Global Recovery) ผ่านระบบการประชุมทางไกล

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอแบ่งปันมุมมองของไทยเพื่อความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย-ญี่ปุ่นให้แนบแน่นยิ่งขึ้น โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นสัญญาณเตือนให้ต้องเร่งปรับตัวและแก้ไขจุดอ่อน เพื่อกลับมาลุกขึ้นยืนและเข้มแข็งกว่าเดิมให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งต้องร่วมกันค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ความร่วมมือพหุภาคีจะเป็นกุญแจที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสและเสริมสร้างขีดความสามารถของภูมิภาคในการฟื้นฟูตัวเองให้กลับมาเข้มแข็งและดีกว่าเดิม และเชื่อมั่นว่า เอเชียจะสามารถมีบทบาทนำในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกให้มีการเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง ยืดหยุ่น และยั่งยืนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะนำไปสู่การฟื้นฟูแบบองค์รวมได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ญี่ปุ่นมีบทบาททางธุรกิจในไทยมายาวนาน ซึ่งไทยก็มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคและของโลก เป็นฐานการผลิตและศูนย์กลางกระจายสินค้าให้แก่ บริษัทญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในไทยกว่า 5,800 แห่ง และยังเป็นฐานสำหรับการขยายการลงทุนของญี่ปุ่นไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย ซึ่งการลงทุนสะสมของญี่ปุ่น (FDI) ในไทยจนถึงปี 2563 มีมูลค่าสูงกว่า 93,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขอยืนยันว่าไทยมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวกต่อการลงทุนจากทุกประเทศให้ดียิ่งขึ้นตามนโยบาย Thailand+1 ต่อไป โดยจะดำเนินการตามข้อเสนอแนะของบริษัทญี่ปุ่นในไทยให้ครอบคลุมประเด็น ดังนี้ คือ

1.) รักษาความต่อเนื่องของนโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึงโครงการใน EEC เพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนร่วมกัน

2.) พัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการระบบราง โครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และโครงการการพัฒนา smart city รอบสถานีกลางบางซื่อ เป็นต้น  

3.) พัฒนาแรงงานทักษะ โดยเฉพาะวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมสำคัญ ดังเช่นที่รัฐบาลญี่ปุ่นและไทยร่วมมือกันจัดตั้งสถาบันการเรียนการสอนแบบโคเซ็นในไทย มุ่งหวังให้เป็นศูนย์การอบรมทรัพยากรมนุษย์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงต่อไป

4.) ปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพิธีการศุลกากรและภาษีนิติบุคคล ซึ่งไทยมีแผนเพิ่มการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการต่างชาติ และ

5.) เสริมสร้างโอกาสการค้าที่เสรี เป็นธรรมและเปิดกว้าง รวมถึงการพิจารณาเรื่องการเข้าเป็นสมาชิกความตกลง CPTPP 

นายกรัฐมนตรี กล่าวเน้นย้ำว่า ความร่วมมือพหุภาคีมีความสำคัญในการผลักดันให้เกิดการฟื้นตัวอย่างรอบด้าน ผ่านกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลกอย่าง อาเซียน เอเปค RCEP และ CPTPP ล้วนเป็นกลไกสำคัญต่อกระบวนการฟื้นฟู โดยเมื่อปีที่แล้ว อาเซียนได้จัดตั้งกองทุนอาเซียนเพื่อรับมือกับโควิด-19 เพื่อจัดซื้อและกระจายเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ พัฒนาวัคซีนและยารักษา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประเทศอาเซียนบวกสาม และไทยพร้อมจะร่วมมือกับญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด ในการจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ เพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจากวิกฤตด้านสาธารณสุขที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตทั้งจากภายในและนอกภูมิภาคอาเซียน

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนให้เสรีและเปิดกว้าง ไทยจะเป็นเจ้าภาพกรอบความร่วมมือเอเปค ในปี ค.ศ.2022 จะริเริ่มการพูดคุยถึงเขตการค้าเสรีเอเชียแปซิฟิก หรือเอฟแทป ซึ่งหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนให้บรรลุเป้าหมายการเจริญเติบโตที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน และครอบคลุมในระยะยาว และเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับญี่ปุ่นมากขึ้นให้เพิ่มเติมจากความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ที่มีอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ไทยจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ e-commerce และการค้าดิจิทัล เช่น การสนับสนุนธุรกิจ start-ups ตอบสนองต่อยุคสมัยแบบ new normal เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ทุกคนมีความพร้อมและมีทักษะที่จำเป็นต่อการเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบดิจิทัล

ด้านการฟื้นฟูความเชื่อมโยงของโลก ได้แก่ การเข้าถึงวัคซีนอย่างเท่าเทียม การยอมรับเอกสารการฉีดวีคซีนระหว่างกัน การพัฒนาบัตรสุขภาพแบบดิจิทัลที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบของประเทศต่าง ๆ ได้ ตลอดจนการเปิดพรมแดนและอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการที่จำเป็น ซึ่งนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า ไทยให้ความสำคัญเร่งด่วนกับการฟื้นฟูความเชื่อมโยงในทุกมิติ โดยเฉพาะการเดินทางและท่องเที่ยว ทั้งนี้ไทยขอเรียกร้องให้วัคซีนโควิด-19 จัดเป็นสินค้าสาธารณะของโลกและผลักดันให้มีการฉีดวัคซีนอย่างครอบคลุม ซึ่งไทยมีข้อริเริ่มการกระตุ้นการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยอย่างปลอดภัย จึงหวังว่าจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นผ่านข้อริเริ่มนี้ และด้านความยั่งยืนเพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาภูมิภาคและโลกให้ดีขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไทยผลักดันวาระเรื่องการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม โดยส่งเสริมแนวปฏิบัติและการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ รวมทั้งเห็นชอบให้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระแห่งชาติเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูจากโควิด-19 ให้มีความเข้มแข็ง ยั่งยืน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเติบสีเขียวของญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยเร่งการบรรลุ SDGs ให้สำเร็จโดยเร็ว

ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความสำคัญของภูมิภาคเอเชียว่า สามารถสร้างโลกในยุคหลังโควิด-19 ที่เข้มแข็ง ครอบคลุม ยืดหยุ่น และยั่งยืนมากขึ้น ขอส่งกำลังใจให้ญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคและพาราลิมปิคในปีนี้ ซึ่งทัพนักกีฬาไทยพร้อมเข้าร่วม รวมทั้งขอส่งความปรารถนาดีและความนับถือไปยังนายกรัฐมนตรีซูกะ รัฐบาลญี่ปุ่น และประชาชนชาวญี่ปุ่นทุกคน ขอให้มั่นใจว่า ไทยสนับสนุนญี่ปุ่นเสมอในฐานะเพื่อนและเราจะชนะวิกฤตโรคระบาดนี้ พร้อมกับสร้างโลกที่ดีกว่าเดิมให้แก่ชนรุ่นหลังไปด้วยกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top