Monday, 23 June 2025
Politics

พท.อัด “บิ๊กตู่” ได้ยินเสียง รมต.นินทาแต่ไม่ได้ยินเสียงเดือดร้อนของคนจน บี้ยุบสภาลาออก เลิกอยู่เป็นภาระประเทศ

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 นายวิสาร เตะชะธีราวัตน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ รวบอำนาจในการบริหารสถานการณ์โควิด-19 โดยอ้างว่าเพื่อการบริหารจัดการที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งๆที่ในความเป็นจริง พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจเต็มมานานแล้ว ตั้งแต่การจัดการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศบค.รวมทั้งมีการออกพ.ร.ก.บริหารสถานการณ์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ที่ผ่านมาล้มเหลวทั้งระบบ ไม่สามารถระงับยับยั้งการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะพล.อ.ประยุทธ์บริหารสถานการณ์ผิดพลาดมาโดยตลอด ไม่เคยรับฟังคำแนะนำจากทุกฝ่าย การระบาดของไวรัสที่ลุกลามไปทั่วประเทศ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ไม่ล็อกดาวน์พื้นที่เพื่อควบคุมการระบาดขณะที่ยังคุมได้ กลับปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายของประชาชนจนยากเกินการควบคุม

ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาขู่รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลว่าจะยึดโควต้าตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะได้ยินมาว่ารัฐมนตรีนินทาตัวเอง การกระทำดังกล่าวเป็นการขู่เพื่อปกป้องตัวเอง น่าประหลาดใจที่พล.อ.ประยุทธ์ได้ยินเสียงนินทา แต่ไม่ได้ยินเสียงประชาชนที่ส่งเสียงถึงรัฐบาลมานานแล้วว่าใช้ชีวิตลำบาก ไม่มีเงิน ไม่มีงาน เจ็บป่วยไม่มีเตียงรักษา หลายคนเสียชีวิตจากเข้าไม่ถึงการบริหารทางการแพทย์ ทั้งๆที่รัฐบาลที่ดีต้องพร้อมที่จะรับฟังเสียงประชาชน ต่างจากรัฐบาลนี้ที่ไม่เคยได้ยินเสียงความเดือดร้อนของประชาชน

“การออกมาขู่ของพล.อ.ประยุทธ์ชัดเจนว่าตัวตนที่แท้จริงของพล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน เพราะที่มาของพล.อ.ประยุทธ์มาจากการรัฐประหารและยึดอำนาจคนอื่นมา รวมทั้งเสียงของส.ว.ที่เป็นเหมือนนั่งร้านค้ำยันอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นจึงไม่จำต้องสนใจเสียงของประชาชน ตลอด 7 ปีที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ผิดพลาดมาโดยตลอด จากความล้มเหลวการแก้ปัญหาโควิด-19 และแก้เศรษฐกิจแบบตาบอดคลำช้าง หากพล.อ.ประยุทธ์รักประเทศจริงตามที่พูด ก็ควรลาออกหรือยุบสภา ขืนอยู่ต่อก็จะสร้างปัญหาให้ประเทศเพิ่มมากขึ้น ควรออกไปได้แล้วเพื่อให้คนที่เก่งกว่ามาทำหน้าที่ อย่าอยู่สร้างภาระให้ประชาชนต่อไปเลย” นายวิสาร กล่าว

"ณัฐชา" เตรียมร้อง "ศธ.-ปปช." สอบทุจริต "สื่อการสอน" สพฐ. คาด อดีตที่ปรึกษา "ณัฏฐพล" มีเอี่ยว

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตนได้รับหนังสือร้องเรียนจากประชาชน เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างการจัดทำสื่อวิดิทัศน์การสอนของสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจากหลักฐานตั้งที่ได้รับทำให้ตั้งข้อสังเกตได้ว่าอาจมีการทุจริต โดยในรายละเอียดระบุว่า มีการว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ให้ดำเนินการจัดทำสื่อการเรียนการสอนเป็นจำนวนเงินกว่า 500 ล้านบาท โดยใช้วิธี G TO G ( Goverment to Goverment ) แต่ไม่สามารถใช้งานได้จริง โดยมีข้อมูลว่าบริษัทที่รับช่วงการว่าจ้างต่อจากสถาบันเทคโนโลยีพระเจ้าเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง  คือ บริษัทที่มีภรรยาของอดีตที่ปรึกษารมว.ศึกษาธิการ เมื่อครั้งนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ดำรงตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ คือ นายวราวิช กำภู ณ อยุธยา เป็นเจ้าของเดิม 

นายณัฐชา กล่าวต่อว่า ตนจะนำข้อร้องเรียนเรียกร้องต่อไปยัง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ คนปัจจุบัน ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ สำหรับรายชื่อบริษัทและเอกสารหลักฐานต่างๆ หากน.ส.ตรีนุชต้องการ ตนยินดีจะนำไปมอบให้ และตนยังได้เตรียมนำเอกสารหลักฐานดังกล่าวไปยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เพื่อให้มีการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในอีกทางหนึ่งด้วย

“แรมโบ้” โว ปชช.ไว้ใจ ”บิ๊กตู่” บริหารประเทศ วอน ฝ่ายค้าน เอาใช้ความรู้สึกตัดสินฝ่ายเดียว

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลสำรวจสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เรื่อง "ผู้นำฝ่าโควิดของไทย" วันนี้ โดยเฉพาะประเด็นหากวันนี้เลือกได้ จะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี พบว่า ร้อยละ 42.6 บอกว่าเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ว่า เห็นด้วย และแสดงให้เห็นว่าประชาชนยังไว้ใจ อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ บริหารบ้านเมือง แก้ไขปัญหาโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ระบาดอยู่ในขณะนี้ ที่นายกฯ ไม่เคยย่อท้อ สามารถทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้ และในครั้งนี้ประชาชนยังมั่นใจว่านายกฯและรัฐบาลจะสามารถทำให้คลี่คลายลงได้เช่นกัน

นายเสกสกล กล่าวว่า มีแต่พรรคฝ่ายค้าน ที่มองไม่เห็นการทำงานของนายกฯและรัฐบาล ไม่รู้ว่าหูหนวก ตาบอดหรือไม่ ที่พรรคฝ่ายค้านเรียกร้องซ้ำๆให้นายกฯ ลาออกจากตำแหน่งในขณะที่บ้านเมืองเกิดปัญหาวิกฤตโควิด กล้าตบตาประชาชนเพื่อหวังผลทางการเมือง จ้องล้มรัฐบาลอยากกลับมามีอำนาจ แต่ขอให้รับฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ด้วยว่าต้องการเช่นเดียวกันกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ อย่าเอาเพียงความรู้สึกของพรรคฝ่ายค้านที่อยากให้นายกฯลาออกเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงประชาชนที่ขณะนี้ต้องการความช่วยเหลืออยู่ และควรมีจิตสำนึกฟังประชาชนว่าต้องการผู้นำคนไหน ดังนั้นอย่ามาเที่ยวไล่นายกฯให้ลาออก เมื่อผลสำรวจโพลออกมาเช่นนี้จึงเป็นสิ่งยืนยันชัดเจนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนต่อไป

ศรีสุวรรณ เผย กสทช. รับคำร้องเพื่อสอบจริยธรรมนักเล่าข่าวตาม กม.แล้ว

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงาน กสทช.เมื่อ 20 เม.ย.64 หลังพิธีกรนักเล่าข่าวชื่อดัง ได้หวนกลับคืนสู่หน้าจอโทรทัศน์อีกครั้ง ทั้งๆที่ยังไม่พ้นโทษเพียงแต่ถูกพักโทษให้ออกจากเรือนจำ แต่ยังติดกำไลอีเอ็มที่ข้อเท้าไปอีก 14 เดือนและต้องรายงานตัวต่อกรมคุมประพฤติไปจนกว่าจะพ้นโทษ ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจขัดต่อกฎหมายและหรือขัดต่อจริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์นั้น

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การร้องเรียนดังกล่าวสำนักงาน กสทช.ได้แจ้งมายังสมาคมฯว่า ข้อร้องเรียนเกี่ยวกับจริยธรรมสื่อมวลชนนั้น สำนักงาน กสทช.มีอำนาจดำเนินการตาม พรบ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2551 ม.40 ที่ระบุว่า ผู้ที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากรายการที่ออกอากาศเป็นเท็จหรือละเมิดสิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอาจร้องเรียนต่อคณะกรรมการฯ ให้คณะกรรมการส่งเรื่องพร้อมความเห็นของคณะกรรมการให้องค์กรควบคุมการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพตาม ม.39 เพื่อให้ดำเนินการเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายโดยเร็ว และให้คณะกรรมการติดตามผลการดำเนินการขององค์กรควบคุมการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพตาม ม.39 เมื่อองค์กรควบคุมการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพตาม ม.39  ได้แจ้งผลการดำเนินการให้คณะกรรมการทราบแล้ว ให้แจ้งผู้ร้องเรียนทราบผลการดำเนินการโดยเร็ว ในการนี้ สำนักงาน กสทช.ได้มีหนังสือแจ้งไปยังบริษัทต้นสังกัดของนักเล่าข่าวชื่อดังดังกล่าว และองค์กรวิชาชีพสื่อที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้พิจารณาและดำเนินการต่อข้อร้องเรียนของสมาคมฯต่อไป

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ตามข้อบังคับสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยว่าด้วย จริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ 2553 ประกอบธรรมนูญสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ 2563 ได้กำหนดความรับผิดทางจริยธรรมไว้ว่า เมื่อคณะกรรมการมีคำวินิจฉัยว่า ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนในสังกัดสมาชิกละเมิดหรือประพฤติผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพ ให้คณะกรรมการมีอำนาจแจ้งเป็นหนังสือให้ต้นสังกัดสมาชิกที่ถูกร้องเรียน ลงตีพิมพ์หรือประกาศเพื่อเผยแพร่คำวินิจฉัยหรือประกาศเพื่อเผยแพร่ข้อความคำขอโทษต่อผู้เสียหายตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ และให้ส่งคำวินิจฉัยไปยังต้นสังกัดของผู้นั้น เพื่อดำเนินการลงโทษ แล้วแจ้งผลให้สภาการสื่อมวลชนทราบโดยเร็ว

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ในกรณีที่เห็นสมควร สภาการสื่อมวลชนอาจตักเตือน เป็นลายลักษณ์อักษร หลังจากแจ้งผลการพิจารณาให้แก่ผู้ถูกร้องเรียนทราบแล้ว ให้สภาการสื่อมวลชนเผยแพร่คำวินิจฉัยต่อสาธารณะต่อไป ส่วนความรับผิดชอบที่นอกเหนือไปจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับนักเล่าข่าวชื่อดังและต้นสังกัดจะแสดงความสำนึกมากน้อยเพียงใด ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินในขั้นสุดท้ายเอง เพราะสำนึกแห่งจริยธรรมนั้นอยู่เหนือกฎหมาย ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกชั่วดีของแต่ละคน เพราะบางคนบางบริษัทอาจไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้หวังเพียงแค่ให้มีเรตติ้งเยอะๆ มีโฆษณาเข้ามาก ๆ เท่านั้น ไม่สนใจเรื่องจริยธรรมและศีลธรรมอันดีของสังคมเลยก็ได้ 

“บิ๊กตู่” เรียกทีมเศรษฐกิจหารือ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ระบาดโควิด 19 รอบที่ 3

ที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เรียกประชุมทีมเศรษฐกิจ  อาทิ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ  รมว.คลัง นายอนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายทศพร ศิริสัมพันธ์ ที่ปรึกษานายกฯ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารทหารไทย  นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาสกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เข้าร่วมหารือ 

โดยเป็นการหารือถึงแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจ การประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ และการพิจารณาช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการ ลูกจ้าง และประชาชนที่ได้รับกระทบจากการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 ของรัฐ เช่น จากคำสั่งปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะและสถานประกอบการอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบ

ขณะเดียวกันคาดว่าจะมีการหยิบยกประเด็นข้อเรียกร้อง ของสมาคมภัตตาคารไทย ที่ขอให้รัฐบาลทบทวนคำสั่งห้ามมีการให้บริการนั่งรับประทานอาหารในร้านเป็นเวลา 14 วัน ในร้าน พื้นที่ 6 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวดขึ้นมาหารือ ภายหลังจากสมาคมภัตตาคารไทยเสนอ 2 ข้อต่อพล.อ.ประยุทธ์ ได้แก่ 1.อนุญาตให้ร้านอาหารสามารถนั่งรับประทานในร้านได้ ไม่เกิน 21.00 น. และงดนั่งดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน โดยย้ำว่าภาคธุรกิจร้านอาหารยึดมาตรฐาน SHA ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านสาธารณสุข ที่อยู่ในระดับเป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมยึดมาตรการด้านสาธารณสุขตามที่ ศบค.กำหนด และ2.เรียกร้องให้มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่รอบแรกจนถึงปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้  น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้กำชับหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) เร่งประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการยกระดับมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ เพื่อกำหนดแนวทางการเยียวยาผู้ที่ได้รับกระทบ ทั้งผู้ประกอบการ ลูกจ้าง และประชาชน รวมถึงแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดระลอกใหม่ โดยให้เตรียมความพร้อมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของโรคโควิด-19 หรือ ศบศ.ซึ่งจะมีขึ้นในเร็วๆนี้

“บิ๊กบี้” สั่ง ตั้ง “ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด-19 ทบ.” สื่อกลางช่วยผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาของรัฐ

พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก และโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ในปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่นั้น มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และมีการแพร่กระจายของโรคไปยังหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตพื้นที่กรุงเทพ และปริมณฑล ทำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ป่วยที่มีผลตรวจเป็นบวกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อบางส่วนยังคงอยู่ระหว่างการรอเรียกเข้ารับการรักษาจากสถานพยาบาลซึ่งก่อให้เกิดความกังวลใจต่อตัวผู้ป่วยและญาติที่เกี่ยวข้อง

พล.อ. ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ทราบถึงปัญหาและมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ล่าสุดได้สั่งการให้จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด ทบ.” ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กองทัพบก ในการเป็นสื่อกลางรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านทางโทรศัพท์ เพื่อประสานไปยังศูนย์แรกรับและส่งต่อผู้ป่วยโควิด-19 ของรัฐบาล (อาคารนิมิบุตร) หรือสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าดำเนินการช่วยเหลือผู้ติดเชื้อที่ตกค้างหรืออยู่ระหว่างการรอเรียกจากสถานพยาบาลให้ได้เข้าสู่กระบวนรักษา รวมถึงการประสานศูนย์ควบคุมการเคลื่อนย้าย ศปม.ทบ. ในกรณีที่โรงพยาบาลต้องการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อที่มีอาการไม่รุนแรงไปยังโรงพยาบาลสนามที่จัดเตรียมไว้  ตลอดจนให้การสนับสนุนการเคลื่อนย้ายของประชาชนในทุกกรณีเมื่อได้รับการร้องขอ โดยเจ้าหน้าที่จะทำการบันทึกข้อมูลของผู้ติดเชื้อ พร้อมติดตามความคืบหน้าการดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนกว่าผู้ติดเชื้อจะได้รับการรักษาตามกระบวนการสาธารณสุข 

ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด ทบ. ดังกล่าว จะทำหน้าที่เป็นช่องทางหนึ่งในการสนับสนุนรัฐบาลสำหรับการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงเป็นการช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถเข้าถึงการดูแลรักษาจากแพทย์ได้อย่างทันท่วงที โดยสามารถประสานขอรับการช่วยเหลือได้ที่เบอร์ 02-2705685-9 ตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค. 64 เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะคลี่คลาย 

“การจัดตั้งศูนย์ประสานงานฯ ดังกล่าว เป็นการระดมศักยภาพของบุคลากร และยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่มาปรับใช้เพื่อควบคุมและป้องกันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ไม่ให้ขยายเป็นวงกว้างรวมถึงเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ติดเชื้อ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายและกลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด” พล.ท.สันติพงศ์ กล่าว   

รัฐบาลย้ำดูแลประชาชนทุกกลุ่มและกลุ่มเปราะบาง “ผู้พิการ”  ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือต่อเนื่อง 

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคโควิด 19 รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจพร้อมให้ความช่วยเหลือ ดูแล ผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม โดยทุกหน่วยงานทยอยออกมาตรการเพื่อดูแลประชาชนในส่วนการรับผิดชอบแล้ว และจะมีการออกมาตรการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม 

รองโฆษกฯ  ชี้แจงเพิ่มเติมในส่วนของมาตรการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ออกตรวจตราราคาสินค้าและบริการ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาเอาเปรียบผู้บริโภค กำชับให้มีการปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน และบางสินค้าหากจะมีการขึ้นราคา ต้องขออนุญาตที่กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่อนุญาตให้มีการปรับขึ้นราคาใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 นี้ กระทรวงพาณิชย์มีคำสั่งให้ควบคุมอัตราค่าบริการในส่วนของธุรกิจจัดส่งสินค้ามากเป็นพิเศษ เนื่องจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศใช้บริการสั่งสินค้า สั่งอาหารแบบส่งถึงบ้าน (Delivery) มากขึ้น จึงต้องกำกับดูแลอัตราค่าขนส่งเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับพี่น้องประชาชน เพื่อสนับสนุนให้พี่น้องประชาชนทำงานที่บ้าน WFH และอยู่กับบ้านเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นหลัก

ขณะเดียวกัน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ลงพื้นที่เร่งช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ คนไร้ที่พึ่ง คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  พร้อมตั้งคณะทำงานช่วยเหลือผู้พิการที่ติดเชื้อโควิด-19  เป็นการเฉพาะ ทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และต่างจังหวัดภายใต้ “ทีมเรามีเรา”  ซึ่งจะดำเนินการตั้งแต่ 1.มอนิเตอร์   ติดตามว่ามีคนพิการที่โพสต์/โทรขอความช่วยเหลือหรือไม่  คัดกรอง ประสานเครือข่ายเพื่อให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลทั้งโรงพยาบาลหรือ รพ.สนาม และ ประเมินและติดตามผลการช่วยเหลือ โดยผู้พิการสามารถโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือมายังสายด่วน 1300 ครอบคลุม 76 จังหวัดทั่วประเทศและสายด่วน 1479 ตั้งแต่ขณะนี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ รองโฆษกฯ รัชดาฯ ย้ำแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่พยายามดูแลผู้ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ส่วนมาตรการดูแลผู้ประกอบการร้านอาหาร และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะมีมาตรการให้การช่วยเหลือออกมาเร็วๆนี้ 

'ลุงป้อม' สั่ง 'รมว.เฮ้ง' ประสานช่วยหารถพยาบาล เตียง และ รพ.ประกันสังคมรองรับคลัสเตอร์ลูกจ้างบริษัทเหล็กติดโควิด 128 ราย เร่งด่วน 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เผย ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนและพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 และท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้ผมเร่งประสานให้การช่วยเหลือกรณีลูกจ้างบริษัทซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ติดเชื้อโควิด -19 จำนวน 128 คน ให้จัดหารถพยาบาลมารับ จัดหาเตียง และโรงพยาบาลรองรับ เบื้องต้นเมื่อวานนี้ (3 พ.ค.64) กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยาบาลจุฬารัตน์มารับแล้ว 23 คน และเมื่อเช้าวันนี้ (4 พ.ค.64) ได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยายาลจุฬารัตน์มารับอีก 27 คน ส่วนที่เหลือจะดำเนินการภายในบ่ายวันนี้ เพื่อนำพนักงานที่ติดเชื้อทั้งหมดเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม และ Hospitel ต่อไป 

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงการให้ความช่วยเหลือกรณีลูกจ้างของบริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ถนนสุขสวัสดิ์ ตำบลในคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ติดเชื้อโควิด -19 จำนวน 128 คน
ท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน จึงได้สั่งการให้กระทรวงแรงงานเร่งประสานให้การช่วยเหลือจัดหารถพยาบาลมารับ จัดหาเตียง และโรงพยาบาลรองรับ เบื้องต้นเมื่อวานนี้ (3 พ.ค.64) กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยายาลจุฬารัตน์มารับแล้ว 23 คน และเมื่อเช้าวันนี้ (4 พ.ค.64) ได้ดำเนินการประสานจัดหารถพยาบาลของโรงพยายาลจุฬารัตน์มารับอีก 27 คน ส่วนที่เหลือจะดำเนินการภายในบ่ายวันนี้ เพื่อนำพนักงานที่ติดเชื้อทั้งหมดเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม และ Hospitel ต่อไป 

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยผู้ประกันตนและพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 และท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ท่านกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้ผมดูแลพี่น้องแรงงานดุจคนในครอบครัว ให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกในการตรวจโควิด -19 เชิงรุก ตลอดจัดหาเตียงรองรับให้เพียงพอ กรณีที่ผู้ประกันตนหรือพี่น้องประชาชนรายใดต้องการขอความช่วยเหลือให้กระทรวงแรงงานจัดหาเตียง สถานที่ตรวจโควิด-19 หรือต้องการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมได้จัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เพื่อประสาน Hospitel ให้แก่ผู้ประกันตน โดยผู้ประกันตนสามารถโทรศัพท์ติดต่อได้ที่เบอร์ 1506 กด 6 เพื่อเป็นช่องทางติดต่อให้กับผู้ประกันตน ที่ไม่สามารถหาสถานที่ตรวจและสถานพยาบาลเข้ารับการรักษาในกรณีติดเชื้อได้ โดยให้บริการทุกวันจันทร์ – อาทิตย์ เวลา 08.00 – 17.00 น. มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการทั้งสิ้น 10 คู่สาย ช่วยเหลือผู้ประกันตนและประชาชนที่เดือดร้อนจากการตรวจโควิด-19 ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอีกทางหนึ่งด้วย

"นายกฯ" ชี้ แผนคุมระบาดคลองเตย  เร่งตรวจเชิงรุก-ฉีดวัคซีน 5 หมื่นคนใน 2 สัปดาห์-ช่วยเหลือปชช.ทั้งอาหารและยา บอก พร้อมปรับแผนหากมีความจำเป็น 

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แสงความคิดเห็นในเพจเฟซบุ๊ก ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha ข้อความระบุ ว่า กรณีการแพร่ระบาดของโควิดที่เขตคลองเตย ผมได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด โดยมีผู้ติดเชื้อไปแล้วเป็นจำนวนมาก หลายรายอยู่ในชุมชนแออัดที่แพร่ระบาดในครอบครัว และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เมื่อวานนี้ในช่วงบ่าย ผมจึงได้เรียกประชุมกับทีมแพทย์ที่ปรึกษา กรุงเทพมหานคร รวมทั้ง ศูนย์ปฏิบัติการ ศบค. อย่างเร่งด่วน เพื่อกำหนดมาตรการเพื่อควบคุมสถานการณ์ดังนี้ครับ 

1. ให้มีการตรวจเชิงรุกในชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างเร่งด่วน ทั้ง 39 ชุมชน เน้นไปที่ที่ 20 ชุมชนที่เกิดการระบาด โดยเร่งตรวจชุมชนที่มีการติดเชื้อ ให้ได้อย่างน้อย 1,000-1,500 คนต่อวัน โดยหน่วยเคลื่อนที่ และรถเก็บตัวอย่างชีวะนิรภัยพระราชทาน โดยจะตรวจเชิงรุกให้ได้อย่างน้อยทั้งหมด 20,000 คน ซึ่งได้ดำเนินการทันทีตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว

2. หากพบผู้ติดเชื้อ ให้มีการแยกผู้ป่วยออกจากชุมชนตามระดับอาการ เขียว เหลือง แดง เพื่อให้ศูนย์เอราวัณส่งตัวต่อเข้ารับการรักษา ณ สถานพยาบาลสำหรับกลุ่มนั้นๆ โดยเบื้องต้นจะถูกส่งตัวไปที่ศูนย์แรกรับ-ส่งต่อ ที่สนามกีฬานิมิบุตร หรือศูนย์พักคอยการส่งตัว ที่วัดสะพาน เขตพระโขนง หรือโรงพยาบาลสนาม ที่ จ.สมุทรสาคร

3. กลุ่มสีแดง หรือกลุ่มติดเชื้อและมีอาการหนัก จะถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลของ กทม. ทันที ซึ่งผมมีความเป็นห่วงผู้ป่วยในกลุ่มนี้มากที่สุด จึงได้เร่งรัดให้มีการเตรียมโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยหนักเพิ่มเติมให้เร็วที่สุด เมื่อวานนี้ ได้มีการเปิดโรงพยาบาลสนาม ICU ที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ เขตทุ่งครุ เพื่อเพิ่มจำนวนเตียงสำหรับผู้ป่วยอาการหนักเพิ่มขึ้นอีก 432 เตียง และเชื่อมั่นว่าจะช่วยให้ผู้ป่วยหนักได้รับการรักษาได้อย่างทันการณ์ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้

4. ส่วนกลุ่มผู้เสี่ยงสูงที่ยังไม่พบว่าติดเชื้อ จะต้องกักตัวในบ้านจนกว่าจะได้รับการแจ้งผล และให้ผู้นำชุมชนช่วยเป็นผู้ประสานงาน ส่งอาหารให้ผู้กักตัว 

5. วันนี้จะมีการระดมกำลัง 10-20 จุด เพื่อฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด วันละ 1,000-3,000 คน รวมให้ได้อย่างน้อย 50,000 คน ภายใน 2 สัปดาห์ และจะฉีดต่อไปให้ได้ถึง 60% ของประชาชนในชุมชนแออัดคลองเตย หรือประมาณ 80,000 คน 

6. นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่เพิ่มเติม โดยกรุงเทพมหานคร และกระทรวงกลาโหม ที่จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด

7. ให้มีการดูแลช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อย่างเร่งด่วนในการส่งอุปกรณ์ป้องกันโรค อาหาร ยา และสิ่งของจำเป็นอื่นๆให้หน่วยงานที่ต้องลงพื้นที่

8. ให้ทุกเขตใน กทม. เตรียมการเชิงรุก โดยใช้รูปแบบ Model คลองเตยนี้ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในอนาคต 

ทั้งหมดนี้ได้ทำไปแล้ว โดยผมได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อป้องกันการขยายวงของการแพร่ระบาด และให้รายงานความคืบหน้ากับผมโดยตรง ผมจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินความจำเป็นในการปรับแผนการควบคุมสถานการณ์หากมีความจำเป็น เป้าหมายคือการจำกัดวงการแพร่ระบาดให้เล็กที่สุดและควบคุมให้ได้เร็วที่สุด เจ้าหน้าที่ทุกคนกำลังเร่งทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนทุกคนครับ

นายกฯ จี้ รมต. ทุกกระทรวง เร่งรัด เบิกจ่ายงบฯ ให้เป็นไปตามเป้า ผลักดันเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจ

วันที่ 4 พ.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงบประมาณได้รายงานให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ทราบถึงความคืบหน้าการเบิกจ่ายงบประมาณ ณ ไตรมาส2 ปีงบประมาณ 2564(1ต.ค.2563-31มี.ค.2564) ว่าแม้จะอยู่ระหว่างเผชิญสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตั้งแต่เดือนธ.ค. 2563 เป็นต้นมาซึ่งส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งมิติพื้นที่และกลุ่มธุรกิจ การลงทุน และการดำเนินชีวิตของประชาชน แต่ปรากฎว่าผลการใช้จ่าย โดยเฉพาะการก่อหนี้ผูกพันของส่วนราชการและหน่วยรับงบประมาณต่างๆในภาพรวมถือว่าสูงกว่าเป้าหมายตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)และแผนการใช้จ่ายงบประมาณกำหนดแต่ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในบางประเด็นเพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปตามเป้าหมายและมีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณนี้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีข้อสั่งการให้ส่วนราชการ และหน่วยรับประมาณทุกหน่วยดำเนินการตามข้อเสนอของสำนักงบประมาณอย่างเคร่งครัด โดยให้เร่งดำเนินการก่อหนี้ผูกพันและเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะกรณีรายจ่ายลงทุนรายการปีเดียวและรายการผูกพันใหม่ให้แล้วเสร็จ เนื่องจากขณะนี้ได้เข้าสู่ไตรมาสที่3 ของปีงบประมาณแล้ว และให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีทีกำกับดูแลหรือควบคุมกิจการของหน่วยรับงบประมาณหรือรัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎกมายกำกับดูแล เร่งรัด ติดตามและประเมินการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายหรือแผนที่กำหนด โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและการกระตุ้นให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

 น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงมีต่อเนื่อง ให้ทุกหน่วยรับงบประมาณพิจารณาแนวทางการใช้จ่ายที่สอดคล้องกับปริบทใหม่ที่เปลี่ยนไป(new normal)เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เกิดประโยชน์กับประชาชน  ส่วนกรณีปัญหาที่หน่วยงานยังมีข้อติดขัดเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ให้กระทรวงการคลังเร่งสร้างการรับรู้และทำความเข้าใจแก่บุคลากรของหน่วยรับงบประมาณให้ต่อเนื่องและชัดเจน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า  สำหรับข้อมูลการเบิกจ่ายที่สำนักงบประมาณรายงานนั้น จากงบประมาณรายจ่ายรวม 3.28 ล้านล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่2  ส่วนราชการ ตลอดจนหน่วยรับงบประมาณต่างๆ ได้เบิกจ่ายแล้ว 1.55 ล้านล้านบาท มีการก่อหนี้ผูกพันแล้ว 1.78 ล้านล้านบาท คิดเป็น 47.21% และ 54.24% ตามลำดับ แต่หากพิจารณาเฉพาะงบประมาณรายจ่ายกรณีไม่รวมงบกลาง วงเงินงบประมาณรวมจะอยู่ที่ 2.67 ล้านล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว  1.30 ล้านล้านบาท คิดเป็น 48.96% ต่ำกว่าเป้าหมาย 5.04% ก่อหนี้ผูกพันแล้ว 1.53 ล้านล้านบาท คิดเป็น 57.59% สูงกว่าเป้าหมาย 3.59%

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กรณีไม่รวมงบกลางเฉพาะรายจ่ายประจำ จากวงเงินรวม 2.08 ล้านล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1.14 ล้านล้านบาท คิดเป็น 55.09% ต่ำกว่าเป้าหมาย 1.91% ก่อหนี้ผูกพันแล้ว 1.16 ล้านล้านบาท คิดเป็น 56.01% ต่ำกว่าเป้าหมาย 0.99%  ขณะที่รายจ่ายลงทุนจากวงเงินรวม 5.87 แสนล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1.59  แสนล้านบาท คิดเป็น 27.19% ต่ำกว่าเป้าหมาย 17.81% ก่อหนี้ผูกพันแล้ว 3.71 แสนล้านบาท คิดเป็น 63.22% สูงกว่าเป้าหมาย 18.22%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top