Friday, 26 April 2024
NewsFeed

'Startup Connect' โครงการที่จะทำให้ ‘สตาร์ทอัพไทย’ สายลึกมีที่ยืน

'90% ของ Startup มักจะล้มเหลว'

คำกล่าวนี้คลาสสิคเสมอ สำหรับคนที่มีฝัน อยากสร้างธุรกิจที่เรียกว่า Startup แน่นอนว่าในโลกนี้มี Startup เกิดขึ้นมากมาย หลายรายสามารถกวาดเงินระดมทุนได้ในระดับหนึ่งเพื่อมาต่อยอดธุรกิจ แต่ก็มี Startup จำนวนมากที่ไปไม่รอดในระยะยาว ซึ่งมักจะมาจากปัจจัยที่หลากหลาย

ไม่ว่าจะเป็นโมเดลธุรกิจที่ตอบสนองต่อความต้องการของตลาด ความสามารถในการเลือกโมเดลธุรกิจที่มาตรงเวลา และการบริหารจัดการองค์กรที่มีสะดุดพลาด

แต่ทราบไหมว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มักจะทำให้ฝันสวยใสของ Startup หายไป คืออะไร?

'แหล่งเงินทุน' นั่นแหละ!!

ต้องยอมรับว่าธุรกิจ Startup ในปัจจุบัน โดยเฉพาะ Startup ที่พร้อมจะเข้ามาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมแห่งโลกใหม่ในยุค 4.0 จำเป็นต้องมีสายป่านในการนำไปในพัฒนาโมเดลธุรกิจ คอขวดของปัญหานี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลเชื่อว่าต้อง 'เชื่อม' ให้ผู้ประกอบการ Startup เดินหน้าได้สะดวก

ปัจจุบัน 'กระทรวงอุตสาหกรรม' เป็นหนึ่งในเจ้าภาพสำคัญที่เข้ามาช่วยทำให้ Startup เก่ง ๆ ได้เจอกับทุนเจ๋ง ๆ เพื่อช่วยเร่งระบบนิเวศน์ของ Startup ไทยให้เกิด 'นวัตกรรมรุ่นใหม่' ไอเดียใหม่ นวัตกรรมใหม่ ๆ

เพราะเชื่อว่าการส่งเสริมคนรุ่นใหม่ ที่มีไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ มาเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ สร้างธุรกิจ ออกมาสู่ประเทศมากที่สุด สามารถผลักดันให้เศรษฐกิจไทย มี 'อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ' หรือ 'GDP' เติบโตก้าวกระโดด

ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรม ก็ต้องการช่วยกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมที่หลากหลาย และหนึ่งในเป้าหมาย คือ นวัตกรรมแบบ 'Deep Technology' หรือนวัตกรรมเชิงลึก ที่สามารถยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้เดินหน้าไปสู่ยุค 4.0 ได้แบบเต็มขั้น

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2559 – 2563 รวมระยะเวลา 5 ปีนั้น ทางกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เร่งดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศน์ของ Startup อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

โดยไฮไลท์อยู่ที่การสร้าง 'กระบวนการบ่มเพาะและพัฒนาผู้ประกอบการ' (Incubation) ภายใต้ 'โครงการแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่' หรือ 'Angel Fund'

แต่ปีนี้ (ค.ศ.2020) เป็นอีกปีที่พิเศษอย่างมาก เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เพิ่มมิติของการพัฒนา Startup ให้ครอบคลุมยิ่งกว่าเก่า โดยนำร่องจัดทำ 'โครงการ Startup Connect' เพื่อต่อยอดผู้ประกอบการด้าน Deep Technology ที่อยู่ในระยะเติบโต ให้เชื่อมไปสู่แหล่งเงินทุนสนับสนุนจากนักลงทุน พร้อมทั้งใช้เครือข่ายของนักลงทุนในการขยายช่องทางการตลาดให้เพิ่มมากขึ้น

'Deep Tech (Deep Technology)' หรือ 'เทคโนโลยีขั้นสูง' คือ ผลลัพธ์ที่ได้จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร ลอกเลียนแบบได้ยาก และเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่มีสิทธิบัตรคุ้มครองเพราะผ่านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมอย่างยาวนาน

ตัวอย่าง Deep Tech ที่โด่งดังไปทั่วโลก คือ 'AlphaGo' ซึ่งเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เรียนรู้ด้วยการเก็บข้อมูลจากการเล่นเกมโกะ (กระดานหมากล้อม) กับมนุษย์แล้วประมวลผลข้อมูลจนเข้าใจกติกา และพัฒนาแนวการเล่นขึ้นเรื่อย ๆ จนเอาชนะแชมป์โกะระดับโลกได้สำเร็จ

ความซับซ้อนของ AlphaGo นี้เองที่เป็นจุดแข็งที่คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก ผลลัพธ์อันน่าทึ่งนี้เกิดขึ้นด้วยแรงกระตุ้นจากประเด็นใหญ่ระดับมหภาคที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก เช่น ปัญหาโลกร้อน การขาดแคลนพลังงาน และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เป็นต้น

แน่นอนว่า 'โครงการ Startup Connect' นี้สร้างแรงกระเพื่อมให้กับ Startup โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกว่า 'DeepTech' ได้ก้าวออกออกมาแสดงตัวกันมากขึ้น

โดยมีผู้ประกอบการมาสมัครตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2563 จำนวน 35 ทีม แต่โครงการจำเป็นต้องดำเนินการคัดกรองทีมที่น่าสนใจที่สุดมาเข้าร่วมการนำเสนอโมเดลธุรกิจต่อแหล่งทุน จำนวน 6 ทีม

กิจกรรมเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนและการตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ 'โครงการ Startup Connect' รอบนี้ เป็นโอกาสที่น่าสนใจที่เชื่อว่าจะไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่จะเกิดขึ้นอีกในครั้งต่อ ๆ ไป

นี่คืออีกที่ยืนใหม่ของ Startup ไทย โดยมีรัฐมาช่วย 'เข็น' มากกว่า 'ขัด'


Start Up ของจริง

ไม่ได้มีแต่ในซี่รี่ส์เกาหลี

>> รับชม Start Up Connect Live ถ่ายทอดสด Pitching เพื่อลงทุนจริง!!!

สดจาก ห้องประชุม ชั้น 22 เกษรทาวเวอร์

วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.00 น.

Facebook Live >> https://www.facebook.com/thestatestimes

Website >> https://thestatestimes.com

8 ไอเดียกระแทกใจ ที่ปล่อยออกมาเมื่อไร 'นักลงทุน' ก็ต้องมอง

ยอมรับว่าไอเดียดี ๆ แผนธุรกิจเจ๋ง ๆ คือ แต้มต่อของธุรกิจ Startup ในการจะเข้ามาขอทุนมาดำเนินธุรกิจต่อ แต่ก็ต้องยอมรับอีกว่า หาก Startup นั้น ๆ ขาดการนำเสนอที่ดี โอกาสหลุดลอยจากเป้าหมาย ก็มีสูงเช่นกัน

แล้วแบบไหน ถึงจะเรียกว่า 'นำเสนอได้ดี' ?

เวลาที่จะพูดถึงการนำเสนองานต่อนักลงทุน เหล่า Startup อาจจะคิดภาพการทำแผนธุรกิจที่มาพร้อมเอกสารหนา ๆ เข้าไปนำเสนอ หรือหนีบไลด์ที่สรุปเนื้อหาเข้าไปพูดคุยแบบแน่น ๆ

ถึงกระนั้นต่อให้ข้อมูลทุกอย่างพร้อม โซลูชั่น ผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะหรูหรา แต่ถ้าการนำเสนอและการเรียบเรียงลำดับมีความเข้าใจยาก ก็อาจทำให้นักลงทุนไม่เข้าใจในแผนธุรกิจและผลิตภัณฑ์ของคุณก็เป็นได้

ฉะนั้นเมื่อ Startup ได้รับโอกาสเข้าไปนำเสนอแผนธุรกิจ ควรเตรียมตัวสร้างเสน่ห์ให้มากพอที่จะยั่วยวนจนนักลงทุนอยากจ่ายและยกนิ้วว่าคุณคือ 'The Best' ให้ได้ก่อนแล้วทำอย่างไร?

.

ลองมาดู '8 ไอเดียพิชิตใจนักลงทุน' กันดู

1.) เริ่มเรื่องคุณต้องเล่าให้เห็นภาพปัญหาของตลาดที่พบเจอในปัจจุบัน จนทำให้ต้องมานำสู่การเสนอโซลูชั่นนี้ นี่แหละตัวเรียกแขกให้คนอยากมาลงทุนกับคุณได้ในระดับหนึ่ง เพราะสิ่งที่เรียกว่า 'ปัญหา' มักจะทำให้เกิดนวัตกรรมที่ตอบโจทย์พฤติกรรมใหม่ของคนยุคนี้ได้ดีมาก ยิ่งปัญหานั้นเป็นปัญหาใหญ่ วงกว้าง แล้วถูกจัดการแก้ปัญหาได้ด้วยธุรกิจของคุณ โอกาสก็เรียกว่าเกินครึ่งที่เงินทุนจะไหลมาเลยทีเดียว

.

2.) โอกาสและขนาดของตลาด กลุ่มที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของ Startup ของคุณมีอยู่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งตรงนี้ต้องวิเคราะห์ข้อมูลให้ดี โดยปกติทั่วไปแล้ว เรามักจะอ้างอิงตัวเลขกว้าง ๆ ไว้ก่อน แต่ในความเป็นจริง เราควรจะต้องวิเคราะห์ตัวเลขหรือที่มาที่ไปของข้อมูลที่นำเสนอให้ได้โดยละเอียด เช่น ขนาดของตลาดที่ธุรกิจคุณจะเข้าไปจับ อาจไม่ได้ใหญ่อย่างที่คิดแต่คุณก็ชัดเจนว่าไม่ได้คิดจะทำโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มตลาด Mass ทั้งหมด แต่เน้นการนำเสนอโซลูชั่นที่ตอบโจทย์เฉพาะกลุ่ม (Niche Market) และแก้ปัญหาให้พวกเขาได้จริง ๆ ตรงนี้ก็มีโอกาสแจ้งเกิดได้เช่นกัน

.

3.) เปิดอกพูดกันตรง ๆ บอกไปเลยว่าการมาขอระดมทุนครั้งนี้ ต้องการนำเงินทุนดังกล่าวไปใช้พัฒนาหรือขยับขยายส่วนใดบ้าง และแผนกลยุทธ์และการเติบโตที่มีความเป็นไปได้จะเป็นอย่างไร เช่น ในช่วง 2 - 3 ปีข้างหน้า แผนการครองตลาดหลักในไทย จะมีกลยุทธ์แบบไหน จะเข้าถึง หรือทำให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจได้อย่างไร แล้วแผนในการขยายไปต่างประเทศมีไว้รองรับหรือไม่ ตรงนี้จะเรียกว่าขายฝัน ก็ไม่ผิด แต่ต้องเป็นฝันที่แตะต้องได้พอสมควรอย่างเป็นขั้นเป็นตอนกันเลยแหละ

.

4.) การคิดค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร มีแผนการหารายได้อย่างไร บางธุรกิจอาจจะสร้างขึ้นมาด้วย 'ใจ' ล้วน ๆ ไอเดียดี คอนเซ็ปต์เริ่ด แต่ต้องยอมรับว่าอย่างหนึ่งว่า นักลงทุนไม่ใช่ 'เจ้าพ่อการกุศล' เขาหวังที่จะเห็นเม็ดเงิน 'อนาคต' เพื่อกลับมาเป็นกำไรที่งอกเงยจากการลงทุนของเขาเหมือนกัน ถ้าเราทำแล้วมีแผนที่จะต่อยอดรายได้ให้เห็น ถึงแม้ช่วงแรกจะฟรี เช่นเดียวกันกับที่ Facebook และ Google ที่กลายเป็นบริษัทโฆษณาระดับโลก โอกาสก็แค่เอื้อม

.

5.) วิเคราะห์ว่าปัจจุบันมีคู่แข่งรายใดอยู่บ้าง อะไรที่เป็นจุดเด่นของคุณและสามารถสร้างความแตกต่างและแข่งขันได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้าผู้เล่นรายใหญ่มีทุนที่หนากว่า ทำโซลูชั่นคล้าย ๆ กัน Startup จะสู้กับผู้เล่นรายใหญ่นี้ได้อย่างไรบ้าง

.

6.) ถ้าคุณดำเนินธุรกิจมาสักระยะแล้ว ควรต้องแสดงให้เห็นถึงการตอบรับของตลาด หรือที่วงการ Startup เรียกกันว่า Traction เช่น มีจำนวนผู้ใช้กี่ราย มีลูกค้าทั้งหมดกี่ราย ถ้าทำธุรกิจประเภท Business-to-Business (B2B) การได้ลูกค้าองค์กรชั้นนำมาเป็นตราประทับยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณมากขึ้น ข้อมูลส่วนนี้เป็นข้อมูลที่ใช้พิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้นตอบโจทย์ตลาดได้จริงหรือไม่

.

7.) ทีมงานมีใครบ้าง ซึ่งบางคนอาจคิดว่าไม่สำคัญ แต่ในมุมของนักลงทุนกลุ่ม Startup โดยเฉพาะช่วง Early Stage (ช่วงเริ่มต้นนั้น) เขาดูถึงความสัมพันธ์ของผู้ร่วมก่อตั้ง ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำอะไรมาก่อน ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าคุณกำลังเริ่มทำ Startup ที่ต้องการแก้ปัญหาในภาคธุรกิจก่อสร้าง/อสังหาริมทรัพย์ แน่นอนว่าถ้าคุณเคยมีประสบการณ์โดยตรงในภาคธุรกิจนี้มาก่อน จะทำให้นักลงทุนเชื่อถือในตัวคุณมากขึ้น ว่าคุณเข้าใจตลาด และปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจนี้จริง แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้าใหม่ของวงการเลย และยิ่งเป็นภาคธุรกิจที่ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางมาก่อน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างความเชื่อใจจากนักลงทุนได้

.

8.) ผลงานหรือข้อมูลอ้างอิงอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับตัวคุณหรือทีมงานของคุณ เช่น ผลงาน หรือคอนเนคชั่นกับคนมีชื่อเสียง คนที่มีเครดิตที่ทำให้คุณดูน่าเชื่อว่า ถ้านำข้อมูลส่วนนี้มาผสมได้ด้วยจะดีมาก ๆ

.

อย่างไรก็ตาม เทคนิคที่กล่าวมา อาจจะได้ใช้ทุกข้อ หรือบางข้อ ก็เป็นเรื่องที่ Startup จะนำไปพลิกแพลงตามเหตุการณ์ที่เหมาะสม แต่ถ้าอยากทราบวิธีนำเสนอนักลงทุน และ Pitching แบบของจริง จากเวทีจริง และ Startup ผู้มาคว้าโอกาสตัวจริง สามารถรับชม Live สด งาน 'Startup Connect' ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 นี้ได้


Start Up ของจริง ไม่ได้มีแต่ในซี่รี่ส์เกาหลี

>> รับชม Start Up Connect Live ถ่ายทอดสด Pitching เพื่อลงทุนจริง!!!

สดจาก ห้องประชุม ชั้น 22 เกษรทาวเวอร์

วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.00 น.

Facebook Live >> https://www.facebook.com/thestatestimes

Website >> https://thestatestimes.com

Final Stage!! ร่วมชมและลุ้นไปกับ 6 Startup สายพันธุ์ใหม่ คว้าทุนก้อนใหญ่...เติมไฟธุรกิจ @โครงการ 'Startup Connect'

Start-Up (2020) ซีรีส์เกาหลียอดฮิต ที่เล่าเรื่องราวชีวิตของคนวัยหนุ่มสาวที่ก้าวเดินจากจุดเริ่มต้น (Start) จนเติบโต (Up) ในธุรกิจ Startup ด้วยความใฝ่ฝันที่อยากจะประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับในฐานะอัจฉริยะ และมีชื่อปรากฏใน 'Silicon Valley' ของเกาหลีใต้ เขาและเธอที่ต่างเป็นตัวละครชวนติดของเรื่องนี้ ได้สร้างแรงผลักดันให้แก่กันและกัน

แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้น เพราะพวกเขาและเธอ ต่างก็สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่อีกมากมายทั่วโลกและเมืองไทย ให้อยากก้าวเข้ามาสู่เวทีแห่ง Startup แบบไม่รู้ตัว

จริง ๆ ตอนที่ซีรีส์ชุดนี้ออกมา ก็ไม่ได้คาดหวังอะไร และมองว่าคงไม่ต่างจากซีรีส์เกาหลีทั่วไป รัก ๆ ใคร่ ๆ กุ๊กกิ๊ก ๆ และแค่หาพล็อตเรื่องแปลก ๆ มานำเสนอ แต่เปล่าเลย ซีรี่ส์เรื่องนี้ สะท้อนแง่มุมที่ 'ไม่ง่าย' ของ Startup ออกมาให้เห็นได้เด่นชัด โดยเฉพาะอุปสรรคของธุรกิจ และที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของเงินทุน

เพราะเงินทุนมากมาย จะไม่มีทางออกมาสู่ธุรกิจ Startup ได้เลย ถ้าแนวคิดทางธุรกิจ ไอเดีย ผู้นำ และแผนในอนาคตไม่เฉียบและเด็ดขาด ในระหว่างที่ซีรีส์เรื่องนี้กำลังดำเนินอย่างเข้มข้น ในบ้านเราก็มีงานใหญ่ของ Startup ไทยสาย Deep Technology (เทคโนโลยีเชิงลึก) ที่เกิดขึ้นจาก 'กระทรวงอุตสาหกรรม' ภายใต้โครงการกิจกรรมเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนและการตลาดสำหรับวิสาหกิจเริ่มต้น หรือ 'Startup Connect'

ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 นี้ เป็นรอบ 'วัดพลัง' แบบสด ๆ ของ 6 กลุ่มธุรกิจสาย Deep Tech ที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้ามา Pitching เงินทุนก้อนโต ซึ่งจะนำเสนอและอภิปรายผลงาน/สิ่งประดิษฐ์ด้าน Deep technology ประกอบไปด้วย

.

- บริษัท ทีโออี สมาร์ท โซลูชั่น จำกัด

- ทีมสลัดเก่ง

- บริษัท ไอคิวเมด อินโนเวชั่น จำกัด

- บริษัท อินเทค แวลิ่ว จำกัด

- บริษัท ยู บี เซฟ จำกัด

- บริษัท โชเซ่น เอ็นเนอร์จี้ จำกัด

.

โครงการ 'Startup Connect' ที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้ ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้บริษัท อีซีจี - รีเซิร์ช จำกัด ที่สนใจในการร่วมลงทุนกับ Startup มาเป็นผู้ใหญ่ใจดีให้ทุนสนับสนุนหลายร้อยล้านบาท เพื่อสานฝันแก่ Startup ทั้ง 6 ที่สามารถเอาชนะใจบรรดา Angel Fund ได้

โดยเป้าหมายของการสนับสนุนครั้งนี้ มาจากการมองถึงการต่อยอดโมเดล Startup ของแต่ละรายที่จะเป็นผลดีในเชิงเศรษฐกิจไทย ทั้งการลดการนำเข้าเทคโนโลยีที่จากต่างประเทศ และสามารถนำองค์ความรู้ไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมต่อไป

เรื่องราววุ่น ๆ ของ หนุ่มสาวนักธุรกิจรุ่นใหม่ แห่ง Start - Up (2020) จะลงเอยอย่างไรไม่รู้ แต่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 นี้ คงได้รู้แน่ว่าใครจะคว้าทุนหลักร้อยล้านไปต่อยอดธุรกิจ Startup ของตน

สำหรับใครที่สนใจรับชมไอเดียของ Deep Tech ทั้ง 6 ราย สามารถติดตามชมและเป็นกำลังใจให้ได้ผ่าน Live ของ The States Times ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 นี้ ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.00 น.


Start Up ของจริง ไม่ได้มีแต่ในซี่รี่ส์เกาหลี

>> รับชม Start Up Connect Live ถ่ายทอดสด Pitching เพื่อลงทุนจริง!!!

สดจาก ห้องประชุม ชั้น 22 เกษรทาวเวอร์

วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ตั้งแต่เวลา 13.00 – 16.00 น.

Facebook Live >> https://www.facebook.com/thestatestimes

Website >> https://thestatestimes.com

วิเคราะห์ 3 ประสาน ทีมต่างประเทศของ "โจ ไบเดน"

หากจะพูดถึงทีม 3 ประสานในงานต่างประเทศที่เคยได้ชื่อว่าเป็นแก๊งค์ 3 ช่าแห่งทำเนียบขาวในยุคของ 'โดนัลด์ ทรัมพ์' จะเป็นทีมไหนไปไม่ได้เลยนอกจากทีม ทรัมพ์ - ปอมเปโอ - โบลตัน อันประกอบด้วยตัวประธานาธิบดีเสี่ยใหญ่ 'โดนัลด์ ทรัมพ์' รัฐมนตรีต่างประเทศ 'ไมค์ ปอมเปโอ' และ อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง 'จอห์น โบลตัน' ที่รับส่งนโยบายด้านต่างประเทศ สอดประสานกัน สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทุกมุมโลก

หากทีม 3 ประสานของทรัมพ์ นับเป็นทีมรวมดาวดังสายเหยี่ยว สไตล์เกรี้ยวกราดท้าชน แต่เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล 'โจ ไบเดน' ก็ได้วางทีม 3 ประสานของเขาไว้แล้ว ที่จะส่งผลต่อรูปแบบนโยบายการเมืองต่างประเทศของสหรัฐตามสไตล์การเล่นของประธานาธิบดีคนใหม่

โครงสร้าง 3 ประสานของโจ ไบเดน ได้วาง 'แอนโทนี บลินเคน' ไว้ในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ และวางตัว 'เจค ซัลลิแวน' เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงประจำตัว ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นการรวมดาวของทีม ลับ ลวง พราง เบื้องหลังที่เคยทำงานร่วมกับไบเดนมานานเกือบ 20 ปี

                                                    แอนโทนี บลินเคน

.

ตามประวัติของ 'แอนโทนี บลินเคน' ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของสหรัฐ เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายยิว เกิดในนิวยอร์ค แต่ย้ายไปเรียนต่อที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส แล้วกลับมาเรียนต่อปริญญาตรีที่ฮาร์วาร์ด และด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศมาก และมีแนวคิดสนับสนุนการกลุ่มพันธมิตรแบบพหุภาคี และตลาดการค้าเสรี

ต่อมาบลินเคน ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในสภาฝ่ายความมั่นคงในปี 2002 และเป็นที่ที่เขาได้ทำงานเป็นผู้ช่วยของโจ ไบเดนเป็นครั้งแรก ซึ่งตอนนั้นไบเดนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสภาความมั่นคง จนเมื่อถึงสมัยของโอบาม่า โจ ไบเดน ได้ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดี เขาดึงแอนโทนี บลินเคน มาเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำตัว ก่อนที่จะดันขึ้นไปนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ ให้กับฮิลลารี คลินตันในเวลาต่อมา

และคนที่มาแทนตำแหน่งที่ปรึกษาของไบเดน ต่อจากแอนโทนี บลินเคนก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจค ซัลลิแวน นี่เอง

เจค ซัลลิแวน ก็เป็นหนึ่งในกุนซือฝ่ายต่างประเทศของพรรคเดโมแครตมาหลายปี เคยเป็นผู้ช่วยประจำตัวของฮิลลารี คลินตันมาก่อนที่จะมาทำงานคู่กับโจ ไบเดน ในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ที่มีส่วนสำคัญในการวางแผนนโยบายต่างประเทศของสหรัฐในลิเบีย ซีเรีย และ พม่า

ดังนั้น ทั้งไบเดน - บลินเคน - ซัลลิแวน เคยทำงานในทีมเดียวกันมาก่อนในช่วงเวลา 8 ปีในสมัยของประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สำคัญของโลกหลายเหตุการณ์ ยกตัวอย่างเช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ที่ถือเป็นหนึ่งในผลงานสร้างชื่อเสียงที่ส่งให้บารัค โอบาม่า ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพในปีค.ศ.2009

แต่นอกเหนือจากภารกิจด้านสันติภาพ นโยบายต่างประเทศด้านอื่น ๆ ก็เข้มข้นไม่แพ้กัน เช่นกระแสอาหรับสปริงในตะวันออกกลาง ที่สหรัฐมีส่วนสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในลิเบียเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี 'มูห์มา กัดดาฟี' คำสั่งปฏิบัติการเด็ดชีพ โอซามา บิน ลาเดน การสนับสนุนกลุ่มชาติพันธมิตรซาอุดิอารเบียใช้กำลังทหารแทรกแซงการเมืองในเยเมน การคว่ำบาตรรัสเซียเพื่อตอบโต้การผนวกดินแดนไครเมีย หรือแม้แต่การส่งทหารเข้าร่วมฝึกกองรบให้กับกลุ่มกบฏในซีเรีย

ถึงแม้ผลงานเหล่านี้จะมีภาพของบารัค โอบาม่า หรือ ฮิลลารี คลินตัน เป็นแถวหน้า แต่เบื้องหลังในการขัดเกลานโยบาย หรือแสดงความเห็นสนับสนุนที่ปรึกษาคนสนิทมีส่วนอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะ แอนโทนี บลินเคน คือหนึ่งในผู้สนับสนุนแผนการบุกอิรักของสหรัฐในปี 2003 หรือการเพิ่มกำลังทหารในอาฟกานิสถานอีกกว่า 16,000 นายในสมัยของโอบาม่า

ดังนั้นสิ่งที่คาดเดาได้จากทีม 3 ประสาน ไบเดน - บลินเคน - ซัลลิแวน ก็ยังคงไว้ลายสายเหยี่ยว ไม่ต่างจากทีมเก่าของทรัมพ์ เพียงแต่รูปแบบในการดำเนินนโยบายจะแตกต่างกัน

                                                  เจค ซัลลิแวน

.

โจ ไบเดน เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของทรัมพ์ว่า เป็นนโยบายที่ทำให้สหรัฐเจ็บตัวมากกว่าได้ เพราะทรัมพ์ใช้ทุกทรัพยากร และอิทธิพลที่มีของสหรัฐชนศัตรูซึ่งๆหน้า ด้วยนโยบาย American First เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และการชนดะไม่ละเว้น ก็สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจในสหรัฐไม่น้อย ซึ่งไบเดนบอกว่าเขาจะไม่ทำอย่างนั้น

ดังนั้น 3 ประสานของไบเดน น่าจะเน้นนโยบายในการแทรกซึม ผ่านอำนาจขององค์กรระหว่างประเทศ หรือชาติพันธมิตรของสหรัฐอย่าง 'NATO EU' หรือ 'กลุ่มพันธมิตรซาอุดิอารเบีย' ในการเข้าร่วมกดดันประเทศที่สหรัฐถือว่าเป็นภัยคุกคาม อันได้แก่ จีน รัสเซีย อิหร่าน เป็นต้น

วิธีการใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงหรือสนับสนุนกลุ่มกบฏในประเทศคู่ขัดแย้งอาจถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง รวมถึงกลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ยืนอยู่ขั้วตรงข้าม ก็จะทวีความเข้มข้นขึ้นเช่นเดียวกัน

และดูจากประวัติการทำงานร่วมกันมาอย่างโชกโชนของ 3 ประสานชุดนี้ นับว่าแข็งแกร่ง และมีเป้าหมายชัดเจนพอที่จะทำให้โจ ไบเดน ประกาศออกมาได้อย่างมั่นใจว่า America is back! เรากลับมาแล้ว ที่ทั่วโลกจะต้องปรับเกมรับการเจาะสนามของ 3 ประสานทีมนี้ไว้ให้ดี มิฉะนั้น อาจมีสิทธิ์แพ้คาบ้านได้ง่าย ๆ


แหล่งข่าว

BBC

https://www.bbc.com/news/election-us-2020-55048975

Politico

https://www.politico.eu/article/nine-things-to-think-about-antony-blinken/

Wikipedia

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Antony_Blinken#cite_note-28

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Jake_Sullivan

BTS & Airport Rail link จัดกิจกรรมดีๆ วันพ่อแห่งชาติ

บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS จัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติไทย และวันพ่อแห่งชาติ ในวันที่ 5 ธันวาคม นี้

โดยลูกๆ สามารถพาคุณพ่อมาโดยสารรถไฟฟ้า BTS ได้ฟรีตลอดสาย ทุกเส้นทาง รวมทั้งส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท และสายสีลม ตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 24.00 น. รวมไปถึงรถโดยสารด่วนพิเศษ บีอาร์ที ซึ่งคุณพ่อและคุณลูกจะต้องขึ้น / ลงสถานีเดียวกันเท่านั้น สามารถติดต่อขอรับคูปองเดินทางฟรี ได้ที่ห้องจำหน่ายบัตร นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ยกเว้นค่าโดยสารสำหรับเด็กที่มีส่วนสูงไม่เกิน 90 ซม. อีกด้วย

ด้านบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิ้งก์ ก็ได้จัดกิจกรรมพิเศษเนื่องในวันพ่อแห่งชาติเช่นเดียวกัน เปิดโอกาสให้คุณลูกพาคุณพ่อขึ้นรถไฟฟ้าฟรี! ไม่จำกัดเที่ยว ตลอดวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2563 ตั้งแต่เวลา 06.00 น. – 24.00 น. เพียงคุณลูกพาคุณพ่อมาแสดงตัวที่ห้องจำหน่ายตั๋ว (คุณพ่อ และคุณลูกไม่จำเป็นต้องมีนามสกุลเดียวกัน) เพื่อขอรับคูปองเดินทางฟรีที่ห้องจำหน่ายตั๋วก่อนเดินทาง เพียงเท่านี้คุณพ่อก็สามารถเดินทางได้ฟรี

5 ธันวาคมนี้ พาคุณพ่อไปเที่ยวกัน!!

'ต้องไม่ระบาด!' "บิ๊กตู่" เน้นคุมเข้มชายแดนป้องกันโควิด19

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมสภากลาโหมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมเน้นย้ำให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ คงความต่อเนื่องในการคุมเข้มการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างใกล้ชิด

โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนภาคตะวันตกจากประเทศเมียนมาที่สถานการณ์การแพร่ระบาดยังไม่สามารถจำกัดการควบคุม ให้เพิ่มความเข้มข้นงานข่าวเครือข่ายขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และเพิ่มความถี่การลาดตระเวนสกัดกั้นตามช่องทางธรรมชาติมากขึ้น

สำหรับพื้นที่ชั้นในให้ประสานการทำงานร่วมกับ กอ.รมน. เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง แรงงานจังหวัดและตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่

คุมเข้มการผ่านแดนและมาตรการทางสาธารณสุขควบคู่กับการทำลายเครือข่ายขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา

ที่มาจากบุคคลลักลอบผ่านแดน ทั้งนี้ ห้ามเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าไปเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลังขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด

ไต้หวันประท้วงเดือด! ปาไส้หมูเละเต็มสภา

กลายเป็นข่าวดัง เจือกลิ่นคละคลุ้งไปทั่วโลก เมื่อสส. ฝ่ายค้านประท้วงเดือด ด้วยการสาดถังไส้หมูใส่นายกรัฐมนตรีไต้หวันขณะที่กำลังแถลงนโยบายอยู่กลางสภา

สาเหตุของการประท้วงด้วยวิธีชวนแหวะนี้ เกิดจากนโยบายใหม่ของประธานาธิบดี "ไช่ อิงเหวิน" ที่ต้องการผ่อนปรนมาตรการการนำเข้าเนื้อหมู และเนื้อวัวจากประเทศสหรัฐอเมริกา

จากที่เคยแบนการนำเข้าเพราะมีการใช้สารเร่งเนื้อแดงประเภท Ractopamine ในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ของสหรัฐ

ซึ่งการใช้สารเร่งเนื้อแดง Ractopamine นี้ถูกแบนจากจีน และยุโรปเช่นเดียวกัน แต่เป็นสารที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ได้ในสหรัฐ

และการที่ประธานาธิบดี ไช่ อิงเหวิน และพรรค DPP ที่เป็นพรรคฝ่ายรัฐบาลเห็นชอบที่จะอนุญาตให้เปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงชนิดนี้จากสหรัฐอเมริกาได้ เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของข้อแลกเปลี่ยนในการเจรจาข้อตกลงทวิภาคีด้านการค้าร่วมกันนั่นเอง

เมื่อฝ่ายรัฐบาลพยายามดันนโยบายนี้ให้ผ่านสภา ทีมพรรคฝ่ายค้านที่นำโดนพรรคก๊กมินตั๋งก็ตั้งใจที่จะมาประท้วง และเมื่อนายซู เจินชาง นายกรัฐมนตรีไต้หวันกำลังอ่านแถลงนโยบายเรื่องนี้ในสภา สส.ฝ่ายค้านคนหนึ่งก็คว้าถังใส่ไส้หมูเข้ามาสาดโครมใส่นายกรัฐมนตรี

แล้วหลังจากนั้นก็กลายเป็นความชุลมุนเมื่อสส.ทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลก็กรูกันออกมาตะลุมบอน จิกต่อย ขว้างปา ไส้หมู เครื่องใน กันให้เละเทะ เหม็นคละคลุ้งไปทั้งสภา

ถึงแม้ว่าการชกต่อยกลางสภาไต้หวันจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรในประเทศนี้ แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นปาไส้หมูในสภามาก่อน ที่พรรคฝ่ายรัฐบาลก็ออกมาประณามว่า ช่างเป็นวิธีการที่น่าขยะแขยง คลื่นไส้แล้วยังเสียของ ที่เอาของกินมาขว้างปาอย่างไร้ค่า จนเหม็นไปทั้งสภา ต้องเสียเวลามากวาดล้าง ก่อนที่ต้องมาประชุมกันต่อในประเด็นถัดไป

ส่วนประชาชนชาวไต้หวันบางส่วนก็ไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลจะอนุญาตให้นำเข้าเนื้อที่อาจปนเปื้อนสารเร่งเนื้อแดงจากสหรัฐ ก็ออกมาเดินขบวนประท้วงกันเป็นจำนวนมากเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ซึ่งทางพรรคฝ่ายค้านก็ออกมาร่วมโหนกระแส และวิจารณ์นโยบายเนื้อหมูของพรรค DPP ว่าเมื่อคราวที่เป็นฝ่ายค้านก็บอกว่าจะต่อต้านการนำเข้าเนื้อหมูที่ใช้สารเร่ง แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลก็กลับข้างมาเอาใจสหรัฐ โดยไม่คำนึงถึงผลข้างเคียงต่อประชาชน

แต่อย่างไรก็ตาม การประท้วงด้วยการปาไส้หมูกันเละเทะในสภาก็คลื่นไส้สุดจะทนจริง ๆ เอาเป็นว่าดูได้พอเป็นเยี่ยง แต่อย่าเอาอย่างจะดีกว่า


แหล่งข่าว

CBC

https://www.cbc.ca/news/world/taiwan-parliament-pork-brawl-1.5819250

CNN

https://edition.cnn.com/2020/11/28/asia/taiwan-pig-intestines-lawmakers-intl-hnk/index.html

The Guardian

https://www.theguardian.com/world/2020/nov/27/taiwan-politicians-throw-pig-guts-meat-row

ชาวนาไทยได้เฮ! นายกฯ ลั่น “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างล่าง” อัดฉีดเงินประกันรายได้อีก 2.87 ล้านบาท

ชาวนาไทยเตรียมเฮอีกรอบ หลังจากคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธาน เห็นชอบปรับเพิ่มกรอบวงเงินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2563/2564 รอบที่ 1 เพิ่มเติมอีก 28,711.29 ล้านบาท

จากเดิมก่อนหน้านี้ ทางคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเบื้องต้น เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 จำนวน 18,096.06 ล้านบาท รวมเป็น 46,807.35 ล้านบาท

พร้อมมอบหมายธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงพาณิชย์ จัดทำรายละเอียดโครงการฯ และงบประมาณให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561

และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปริมาณผลผลิต ประมาณการณ์วงเงินที่ใช้ เพื่อให้การจ่ายเงินถูกต้องครบถ้วน

โดยนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานบอร์ด นบข. ยืนยันรัฐบาลพร้อมดูแลคนทั้งประเทศ โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกร กำชับทุกฝ่ายให้ช่วยกันดูแล ให้ดำเนินการอย่างโปร่งใส สุจริต และสามารถตรวจสอบได้ และต้องส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างเป็นระบบ ให้ไทยมีพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ ล่าสุดทาง ธ.ก.ส. เริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือโครงการสนับสนุนค่าบริหารจัดการและพัฒนาคุณภาพผลผลิตเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2563/64 ตามนโยบายรัฐบาล ในอัตราไร่ละ 500 บาท สูงสุดไม่เกิน 20 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาทต่อครัวเรือน วงเงินกว่า 28,000 ล้านบาท เข้าบัญชีเกษตรกรโดยตรงแล้ววันนี้ (1 ธันวาคม พ.ศ.2563) จำนวนกว่า 400,000 ครัวเรือน หรือคิดเป็นจำนวนเงินกว่า 1,600 ล้านบาท

''PT LPG'' แจกคูปองส่วนลดเติมก๊าซ 1,100 บาท ประคองต้นทุนคนขับแท็กซี่ 10,000 คัน

ค่อย ๆ ทยอยออกมาเรื่อย ๆ สำหรับนโยบายภาครัฐ ในการช่วยเหลือประชาชนแต่ละกลุ่มผ่านมาตรการต่าง ๆ กลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่ ก็เป็นอีกกลุ่มที่ถึงคิวในการช่วยเหลือจากภาครัฐ

เพื่อประคองต้นทุนในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตผู้ขับ ผ่านโครงการ ''PT LPG เพื่อแท็กซี่ สู้วิกฤต'' โดยมี ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดโครงการ

สำหรับโครงการนี้ "สุวัชชัย พิทักษ์วงศาภรณ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอลิมปัส ออยล์ จำกัด บริษัทในเครือ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ "PTG" เปิดเผยว่า "บริษัทฯ ได้จัดงบประมาณอยู่ที่ 22 ล้านบาท เดินหน้าจัดโครงการส่งมอบความช่วยเหลือลดต้นทุนในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตผู้ขับรถแท็กซี่ต่อเนื่อง ภายใต้ชื่อ "PT LPG เพื่อแท็กซี่ สู้วิกฤต" โดยมอบคูปองส่วนลดมูลค่ารวม 1,100 บาท สามารถใช้เป็นส่วนลดต้นทุนเชื้อเพลิงแก๊ส,น้ำมัน,ค่าน้ำมันเครื่องยนต์,ค่าก๊าซหุงต้ม เป็นต้น"

โครงการดังกล่าว ทางบริษัทฯ ได้วางเป้าหมายผู้ขับขี่แท็กซี่เข้าร่วมกิจกรรมอยู่ที่ 10,000 คัน โดยจะเริ่มกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2563 - 1 มกราคม พ.ศ.2564 เฉพาะวันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 8.00 – 17.00 น. สามารถเข้าไปขอรับคูปอง ณ สถานีบริการ LPG ของ PT ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลจำนวน 50 สถานี

นอกจากนี้ ในส่วนของสมาชิกแม็กการ์ด (Max Card) ที่มีจำนวนกว่า 13 ล้านราย เมื่อร่วมใช้บริการแท็กซี่ที่มีสัญลักษณ์ PT Taxi Rewards จะได้รับ 20 คะแนน

ส่วนลูกค้าใหม่ที่สมัครสมาชิกผ่านคิวอาร์โค้ดในรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการสำเร็จจะได้รับคะแนน 100 คะแนน สะสมเพื่อใช้แลกเป็นส่วนลดสินค้าและบริการต่างๆ ของบริษัทฯได้ และจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่าย - เพิ่มรายได้แก่แท็กซี่ได้เช่นกัน

"การบินไทย" คัมแบ็ค!! ปั้นรายรับน่านฟ้าสยาม ขนานรายได้ธุรกิจส่งผัก

หยุดทำการบินเส้นทางในประเทศไปตั้งแต่เดือนเมษายน ตอนนี้การบินไทยกำลังจะทะยานสู่น่านฟ้าอีกครั้ง!!

หลังจากรัฐบาลได้คลายล็อกดาวน์มาตรการคุมเข้ม โควิด-19 และสนับสนุนให้สายการบินไทยสมายล์ทำการบินแทนในเส้นทางที่การบินไทยเคยทำการบินอยู่

แต่ตอนนี้ การบินไทย เตรียมจะกลับมาบินในประเทศอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2563 - วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

โดยการบินไทยจะกลับมาเปิดบินใน 2 เส้นทาง ได้แก่

1.) ให้บริการเส้นทางบินภายในประเทศเฉพาะเส้นทางกรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) - เชียงใหม่

2.) เส้นทางบินกรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) - ภูเก็ต

ทั้ง 2 เส้นทางดังกล่าว การบินไทย จะทำการบิน จำนวน 3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ให้บริการในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ด้วยเครื่องบินแบบโบอิ้ง 777-200ER

.

- เส้นทางกรุงเทพฯ (BKKเชียงใหม่ (CNX) / เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ ได้แก่ TG108 (WE5108) BKK 1210 น.- CNX 13.30 น./TG109 (WE5109) CNX 14.30น. - BKK 15.55 น.

- เส้นทางกรุงเทพฯ(BKK) - ภูเก็ต(HKT) / ภูเก็ต-กรุงเทพฯ ได้แก่ TG205 (WE5205) BKK 12.05 น.- HKT 13.30น. / TG206 (WE5206) HKT 14.20 น.- BKK 15.45 น.

.

ทั้งนี้เบื้องต้นสามารถจองบัตรโดยสารได้จากเว็บไซต์ www.thaismileair.com ส่วนในเว็บไซต์ของการบินไทยคาดว่าจะเปิดให้จองในลำดับถัดไป

นอกจากการเปิดเส้นทางการบินในประเทศอีกครั้งของการบินไทยในครั้งนี้ จะเป็นแผนการหารายได้หนึ่ง

แต่การบินไทย ยังเตรียมหารายได้อื่นควบคู่กันไป โดยเฉพาะกับการเร่งหารายได้จากธุรกิจคาร์โก้

ซึ่งจะร่วมมือกับ 3 กระทรวง คือ กระทรวงคมนาคม / กระทรวงพาณิชย์ / กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อกระตุ้นการขนส่งผักและผลไม้ สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกร ภาคส่งออกและการบินไทยเองด้วย

ตรงนี้เป็นแนวทางต่อเนื่องของการบินไทยในการจัดบริการขนส่งผักและผลไม้ตามฤดูกาล ในราคาขนส่งถูกพิเศษ เพื่อสนับสนุนการส่งออก และช่วยกระจายสินค้าไปต่างประเทศ

ซึ่งเป็นอีกธุรกิจที่ได้รับการตอบรับดี โดยที่ผ่านมาการบินไทยได้ขนส่งสินค้าไปหลายประเทศ เช่น มะม่วง ได้รับการตอบรับอย่างดีจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และฮ่องกง

นอกจากนี้ยังได้หารือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อขอข้อมูลแนวโน้มการส่งออกสินค้าผักและผลไม้ปี พ.ศ.2564 เพราะปัจจุบันการบินไทยทำการบินกึ่งพาณิชย์ โดยมีจุดหมายปลายทางเพิ่ม อาทิ ยุโรป ซึ่งประเมินว่าธุรกิจคาร์โก้ปีหน้าจะสร้างรายได้สนับสนุนการบินไทยต่อเนื่อง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top