Saturday, 24 May 2025
NewsFeed

????นักเรียน-นักศึกษาเฮ‼️ ครม.เคาะ มาตรการช่วยเหลือภาคเรียนที่ 1/64 ทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัย รัฐ-เอกชน ช่วยผู้ปกครอง 2 พัน ลดค่าเทอมรัฐสูงสุด 50% เอกชนช่วย 5 พันต่อคน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ภาครัฐและเอกชน ดังนี้

1. กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ) กรอบวงเงิน 23,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียนในระบบการศึกษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 

✅สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครอง 2,000 บาท/นักเรียน 1 คน
✅จัดสรรค่าใช้จ่ายให้แก่สถานศึกษาเพื่อช่วยจัดการเรียนรู้
✅ลดหรือตรึงค่าใช้จ่ายในโรงเรียนเอกชนให้เท่ากับปีการศึกษา 63

2. สถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ของ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท

กลุ่มเป้าหมาย คือ นิสิต/นักศึกษาชาวไทย ระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ระยะเวลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

แนวทางการดำเนินการ
????สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ จะได้รับส่วนลดเป็นลักษณะร่วมจ่ายระหว่างรัฐและสถาบันอุดมศึกษาในอัตรา 6:4 โดยค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษาส่วนที่

✅ไม่เกิน 50,000 บาท ลดร้อยละ 50  
✅50,001 - 100,000 บาท ลดร้อยละ 30 
✅เกิน 100,000 บาท ลดร้อยละ 10 โดยส่วนลดสูงสุดรวมกันไม่เกินร้อยละ 50

????สถาบันอุดมศึกษาของเอกชน ค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษา รัฐสนับสนุนในอัตรา 5,000 บาท/คน

นอกจากนี้ กระทรวง อว. ยังขอให้พิจารณาเพิ่มเติม ทั้งขยายเวลาผ่อนชำระ จัดหาอุปกรณ์/โปรแกรมสำหรับยืมเรียนออนไลน์ รวมทั้งลดค่าหอพักด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ศธ. และ อว. จะได้เร่งจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับสนับสนุนแหล่งเงิน ตามขั้นตอนของ พ.ร.ก. กู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 รวมทั้งจะมีการกำหนดกลไกการตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือและการจ่ายเงินให้ความช่วยเหลือผ่านระบบบัญชีธนาคาร พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจถึงหลักการและแนวทางการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชนต่อไป


ที่มา: https://mgronline.com/politics/detail/9640000073472

กองทัพเรือจัดตั้งศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 แบบ Call Center  ให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ทั่วประเทศ ทั้งบนบก และในทะเล  

พลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ แบบ Call Center ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง ทั่วประเทศ ทั้งบนบก และในทะเล เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นมา

ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือมีหน้าที่ประสานและให้ความเหลือประชาชน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนผู้ป่วย COVID-19 ฉุกเฉิน และประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เพื่อเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุดโดยศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ  ได้จัดรถยนต์ในการสนับสนุนการเคลื่อนย้ายทางบกจำนวน 65 คัน และเรือสนับสนันการเคลื่อนย้ายในทะเลจำนวน 10 ลำ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ดังนี้

1.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือประจำพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีกรมการขนส่งทหารเรือเป็นหน่วยรับผิดชอบ หมายเลขโทรศัพท์ å02-475-5238 และ 02-475-5499 โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 4 คัน ได้แก่ รถบรรทุกขนาดใหญ่ 2 คัน และรถยนต์บรรทุกขนาดเล็ก 2 คัน ทั้งนี้ดำเนินงานสนับสนุนกับหน่วยให้บริการประชาชนของกองทัพเรือ 8 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล

2.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง มีฐานทัพเรือสัตหีบเป็นหน่วยรับผิดชอบ  หมายเลขโทรศัพท์ 038-438-474 และ 038-438-163 โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 4 คัน ได้แก่ รถยนต์โดยสารขนาดใหญ่ 2 คัน และรถตู้โดยสาร 2 คัน

3.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จ.จันทบุรี และ จ.ตราด มีกองกําลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดเป็นหน่วยรับผิดชอบ   
•พื้นที่ จ.จันทบุรี หมายเลขโทรศัพท์ 039-312-172  และ 039-447-1440
•พื้นที่ จ.ตราด หมายเลขโทรศัพท์ 039-312-172
•พื้นที่ในทะเล หมู่เรือลาดตระเวนชายแดน/1 รับผิดชอบ หมายเลขโทรศัพท์ 039-518-519
โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 42 คัน เรือ 4 ลำ ได้แก่ มีรถโดยสารขนาดใหญ่ 14 คัน รถโดยสารขนาดเล็ก 18 คัน รถบรรทุก 10 คัน เรือหลวงตากใบ เรือ ต.113 เรือ ต.237 และเรือ ต.272

4.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จ.สงขลา มีทัพเรือภาคที่ 2 เป็นหน่วยรับผิดชอบ  หมายเลขโทรศัพท์ 074-325-804 – 5  โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 3 คัน ได้แก่ รถยนต์บรรทุกขนาดเล็ก 3 คัน

5.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือประจำพื้นที่ จ.ภูเก็ต และจ.พังงา มีทัพเรือภาคที่ 3 เป็นหน่วยรับผิดชอบ  
• พื้นที่จังหวัดภูเก็ต ที่หมายเลขโทรศัพท์ 076-391-598 
• พื้นที่จังหวัดพังงา ที่หมายเลขโทรศัพท์ 076- 453-354
โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 8 คัน เรือ 6 ลำ ได้แก่ รถบรรทุกขนาดใหญ่ 4 คัน เล็กบรรทุกเล็ก 4 คัน เรือหลวงชลบุรี เรือหลวงมันใน เรือหลวงแหลมสิงห์ เรือ ต.233 และเรือพยาบาล 2 ลำ 

6.ศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19  กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จ.นราธิวาส มีหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองทัพเรือเป็นหน่วยรับผิดชอบ  หมายเลขโทรศัพท์ 073-565-3677  โดยจัดรถยนต์ให้ความช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจำนวน 4 คัน ได้แก่ รถยนต์โดยสารขนาดเล็ก 4 คัน

โดยศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จว.พังงา โดย ทัพเรือภาคที่ 3 ได้สนับสนุนรถบรรทุกขนาดใหญ่ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด 19 จำนวน 20 ราย จากหมู่บ้านบางคลี ม.8 ต.นาเตย อ.ท้ายเหมือง จว.พังงา ซึ่งเป็นพื้นที่คลัสเตอร์การระบาดใหม่ของ จ.พังงา ไปเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลตะกั่วป่า จ.พังงา และศูนย์ให้บริการด้านการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคติดต่อ COVID-19 กองทัพเรือ ประจำพื้นที่ จว.จันทบุรี โดย กองกําลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด สนับสนุนรถยนต์โดยสารขนาดเล็กจำนวน 2 คัน ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่หายจากโควิด 19  จำนวน 8 ราย โดยเคลื่อนย้ายจากโรงพยาบาลสนามกองทัพเรือบ้านจันทเขลม ส่งที่บริษัทขนส่งจันทบุรีเพื่อให้เดินทางกลับภูมิลำเนา

กองทัพโต้ไม่เคยทอดทิ้งผู้ป่วยโควิดระหว่างทาง ยันผู้ป่วย​ทั้ง​ 3​ รายร้องขอพลขับขอลงรถเอง 

พล.ต.ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา รองโฆษกกองทัพไทย กล่าวถึงกรณีที่ปรากฏข่าวทางสื่อมวลชน ว่าทหารทิ้งผู้ป่วยโควิด 19 เมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 26 ก.ค.บริเวณหน้าวัดไผ่ สาทร กรุงเทพฯ โดยระบุว่ามีผู้สูงอายุซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ป่วย ซึ่งเมื่อมีการเผยแพร่ข่าวสารโดยปราศจากการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งทางผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว ทราบว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ค.นายสราวุฒิ (ขอสงวนนามสกุล) ผู้ป่วยโควิด 19 ได้เดินทางเข้ารักษาตัวภายหลังทราบว่าติดเชื้อโควิด 19  ที่โรงพยาบาลสนามบุษราคัม ต่อมาทราบว่ารายชื่อของผู้ป่วยยังไม่ปรากฏในระบบการเข้ารับการรักษา ดังนั้นแพทย์โรงพยาบาลสนามบุษราคัม จึงได้พูดคุยกับผู้ป่วย ถึงแนวทางการปฏิบัติตนในเบื้องต้นและแนะนำให้ผู้ป่วยกลับที่พักอาศัยก่อน และในวันรุ่งขึ้นให้กลับมาเข้าระบบการรักษาต่อไป ทั้งนี้ได้มีการประสานศูนย์สนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อโควิด 19 ศปม. ในการอำนวยความสะดวกนำส่งผู้ป่วยกลับที่พักอาศัย 

พล.ต.ธีรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า โดยในระหว่างเดินทาง พลขับได้มีการโทรติดต่อกับผู้ป่วยเป็นระยะ โดยเมื่อถึงบริเวณหน้าวัดไผ่ ผู้ป่วยขอลงเจ้าหน้าที่จึงได้ส่งผู้ป่วย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เดินทางกลับมายังโรงพยาบาลสนามบุษราคัม เพื่อทำความสะอาดรถเตรียมความพร้อมในการรับ-ส่งผู้ป่วยรายใหม่ต่อไป กองทัพไทย ได้สอบถามถึงสาเหตุการนำเสนอข่าวในทางลบว่า มีรถทหารทิ้งผู้ป่วยโควิด ตัวผู้ป่วยเองได้ยืนยันว่า รถของเจ้าหน้าที่ที่นำส่งมิได้ทิ้งผู้ป่วยทั้ง 3 คน พร้อมทั้งยังแสดงความเสียใจที่ทำให้เกิดข่าวดังกล่าว อีกทั้งยังขอบคุณกองทัพและบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ดูแล โดยในวันนี้ทั้ง 3 คน ได้รับการรักษา ที่โรงพยาบาลบุษราคัมเรียบร้อยแล้ว และขอยืนยันว่าข่าวสารที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้นั้น ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด

'บิ๊กตู่' สั่ง ใช้ข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปราบ 'เฟกนิวส์' เด็ดขาด

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ในที่ประชุมครม. วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีข้อสั่งการเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน หรือข่าวปลอม ซึ่งปัจจุบันแต่ละกระทรวงก็มีภารกิจคอยมอนิเตอร์ข่าวสารที่บิดเบือน หรือเฟกนิวส์ อยู่แล้ว โดยบางกระทรวงได้จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมหรือศูนย์การชี้แจงข่าวต่างๆ แล้ว โดยนายกฯ ขอให้ทุกกระทรวงได้ดำเนินการอย่างแข็งขัน เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างชัดเจน เพราะปัจจุบันเรื่องข่าวปลอมเป็นสิ่งที่รัฐบาลมีความกังวล 

"นอกจากนี้ จากข้อกำหนดฉบับที่ 27 ตามพระราชกำหนดฉุกเฉิน ที่ได้ประกาศใช้แล้ว ได้ระบุถึงการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจไม่ตรงกัน นายกฯ จึงได้ให้นำมาตรการนี้มาใช้ให้มีประสิทธิภาพและให้เกิดผลโดยเร็วที่สุด" นายอนุชา กล่าว 

รศ.พญ.ประภาพร พิสิษฐ์กุล ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิต้านทาน โพสต์ข้อความอธิบายการฉีดวัคซีนสลับไขว้ (ซิโนแวคเข็มแรก - แอสตราเซเนกาเข็มสอง)

รศ.พญ.ประภาพร พิสิษฐ์กุล ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิต้านทาน จาก ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล โพสต์เฟซบุ๊ก Prapaporn Pisitkun ระบุว่า...

การจะหยุดการระบาดของโควิดและให้ระบบสาธารณสุขไปต่อได้คนส่วนใหญ่จะต้องมีภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโควิด

สถานการณ์การติดเชื้อโควิดในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะยังระบาดกันต่อเนื่องอย่างที่ทุกคนได้เห็นข่าวตัวเลขของผู้ติดเชื้อที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและข่าวของโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่แทบจะไม่เหลือเตียงรับผู้ป่วยแล้ว

ดังนั้น การฉีดวัคซีนจึงเป็นสิ่งสำคัญในการจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ (ที่ปลอดภัย) มากกว่าการจะปล่อยให้แต่ละคนติดเชื้อแล้วสร้างภูมิคุ้มกันเอง (อันนี้ไม่ปลอดภัย)

ในสถานการณ์ปัจจุบันทุกภาคส่วนกำลังพยายามบริหารจัดการวัคซีนให้ผู้คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้และได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการฉีดวัคซีนแบบสลับไขว้ระหว่าง SV1/AZ2 (ซิโนแวคเข็มแรก - แอสตราเซเนกาเข็มสอง) โดยมีข้อมูลเบื้องต้นว่ากระตุ้นภูมิป้องกันโควิดได้ แต่ก็ยังมีผู้กังวลใจหลังไมค์มาถามหมอกันมากมายว่ามันจะได้ผลจริงไหม?

วันนี้หมอเลยจะมาเล่าเรื่องการกระตุ้นภูมิคุ้มกันโดยการใช้วัคซีนแต่ละชนิดสลับกันว่าระบบภูมิคุ้มกันของเราจะตอบสนองต่อวัคซีนเหล่านี้อย่างไร มีข้อมูลบ้างไหมที่จะสนับสนุนว่าการทำแบบนี้น่าจะได้ผลหรือไม่?

Q1 : ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองต่อวัคซีนโควิดอย่างไร?

เมื่อร่างกายเจอเชื้อโรคครั้งแรกจากการฉีดวัคซีน ระบบภูมิคุ้มกันหลายตำแหน่งจะถูกกระตุ้น และเพื่อที่ร่างกายจะได้มีภูมิป้องกันต่อการติดเชื้อครั้งหน้าร่างกายจะสร้างเซลล์ที่มีความทรงจำ (Memory cell) หรือสร้างแอนติบอดีขึ้นมา โดยจะเริ่มมีการสร้างในปริมาณไม่มากในช่วงสัปดาห์ที่ 1-2 และถ้าไม่มีตัวกระตุ้นอีกระดับของภูมิคุ้มกันจะลดลง

เพราะฉะนั้นหมายความว่าถ้าเราได้วัคซีนเพียง 1 เข็ม ภูมิคุ้มกันจะขึ้นไม่สูงมาก แต่เมื่อเราทิ้งระยะห่างไปสักพักแล้วฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 2 จะเห็นได้ว่าระดับของแอนติบอดีจะขึ้นไปสูงมากขึ้น และจะมีผลป้องกันการติดเชื้อมากขึ้น ถึงแม้ว่าระดับภูมิคุ้มกันที่ขึ้นนั้นไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ภูมิคุ้มกันที่ถูกกระตุ้นจากการฉีดวัคซีนนี้จะสามารถลดอาการและความรุนแรงของการติดเชื้อได้

เนื่องจากการระบาดของเชื้อโควิดรอบนี้ทำให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีอาการรุนแรงและมีจำนวนมากเกินกว่าศักยภาพของระบบสาธารณสุขของไทยไปมาก การได้รับการฉีดวัคซีนให้ครบทั้ง 2 เข็มจะสามารถผ่อนหนักเป็นเบาให้กับผู้ป่วยไม่ให้มีอาการรุนแรงจนต้องเข้าห้องไอซียู (ซึ่งไม่มีเตียงเหลือแล้ว) และทำให้บุคลากรการแพทย์มีกำลังเพียงพอที่จะให้การดูแลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ

Q2 : ระบบภูมิคุ้มกันจะงงไหม ถ้าให้เข็มแรกเป็นชนิดหนึ่งแล้วเข็มสองเป็นอีกชนิดหนึ่ง ระบบภูมิคุ้มกันเราจะรู้ไหมว่าอันนี้เป็นเข็มสอง? (จะสูญเปล่าไหม)

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าระบบภูมิคุ้มกันของเราทุกคนมีความฉลาดกว่าที่เราคาดคิดไว้มาก ๆ

วัคซีนแต่ละชนิดหรือคนละเทคโนโลยีเป็นเพียงวิธีการที่แตกต่างกันในการที่จะส่งชิ้นส่วนของเชื้อโรคเข้าไปให้เซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันให้รู้จัก (ดูจากโพสต์หมอก่อนหน้านี้) โดยจุดหมายปลายทางที่วัคซีนทุกชนิดจะจัดส่งข้อมูลของเชื้อโรคไปที่เซลล์ชนิดเดียวกันซึ่งก็คือ Antigen-presenting cells หรือ APC และเมื่อ APC รู้จักหน้าตาของเชื้อโรคก็จะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันด่านหลังทั้ง B และ T เซลล์ เพื่อสร้างภูมิป้องกันโควิด

ดังนั้น ไม่ว่าครั้งแรก (Prime) กับครั้งที่สอง (Boost) จะเป็นวัคซีนคนละชนิดแต่การส่งชิ้นส่วนของเชื้อโรคไปที่เซลล์เดียวกัน เซลล์เม็ดเลือดขาวจะรับรู้ว่าเป็นการกระตุ้นครั้งที่ 1 และซ้ำครั้งที่ 2

ดังนั้น โดยหลักการทางภูมิคุ้มกันการฉีดวัคซีนที่ต่างชนิดกันจึงกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้

นอกเหนือจากนี้แล้ว การฉีดวัคซีนคนละชนิดอาจทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต่อตำแหน่งของเชื้อโรคที่แตกต่างกันซึ่งอาจส่งเสริมฤทธิ์ของการกระตุ้นภูมิให้ดีขึ้น (ในทางทฤษฏี)

Q3 : มีข้อมูลบ้างไหม (ในทางปฏิบัติ) ที่จะสนับสนุนว่าการฉีดวัคซีนแบบสลับนี้น่าจะได้ผลหรือไม่?

การต่อสู้กับ Pandemic COVID ครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายทราบกันดีว่าจะต้องมีการใช้วัคซีนหลายประเภทเพื่อจัดการกับเชื้อโควิดที่มีการกลายพันธุ์เหล่านี้ และจะมีการขาดแคลนวัคซีนเนื่องจากมีความต้องการอย่างมากทั่วโลก จึงมีผู้วิจัยทำการศึกษาการสลับวัคซีนชนิดต่าง ๆ แล้วดูผลของการสร้างแอนติบอดี และการตอบสนองของ T cells โดยในงานวิจัยนี้ได้ใช้วัคซีนทั้ง 4 ประเภทที่ทำขึ้นในประเทศจีนเพื่อ Proof of concept ว่าการฉีดวัคซีนไขว้แบบไหนจะมีการกระตุ้นภูมิได้ดีที่สุด โดยวัคซีนเข็มแรกและเข็มสองจะฉีดห่างกัน 3 สัปดาห์ และเจาะเลือดที่ 2 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2

โดยเราจะสนใจดูผลของการฉีดวัคซีนเชื้อตาย (Sinopharm) และ adenovirus vector (Cansino) ซึ่งเป็นสูตรวัคซีนที่ใกล้เคียงกับที่ประเทศไทยได้เริ่มฉีดกันแล้ว

สำหรับบุคคลทั่วไปอาจดูรูปกราฟแล้วงง ๆ หมอจะสรุปให้ฟังง่าย ๆ คือการฉีดวัคซีนสลับกันระหว่างเชื้อตายและ adenoviral vector สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันชนิดแอนติบอดี้ได้มากกว่าการฉีดวัคซีนเชื้อตายอย่างเดียว (2 เข็ม) หรือ adenoviral vector (1 เข็ม) โดยพบว่าไม่มีความแตกต่างกันของระดับ neutralizing antibody ระหว่างกลุ่มที่ฉีดเชื้อตายก่อนแล้วตามด้วย adenovirus vector เมื่อเปรียบเทียบกับ adenovirus vector ก่อนแล้วตามด้วยวัคซีนเชื้อตาย

แต่ถ้าวัดระดับแอนติบอดีต่อ Spike protein จะพบว่าการฉีดวัคซีนเชื้อตายแล้วตามด้วย adenovirus vector จะให้ระดับแอนติบอดีที่สูงกว่าการฉีดสลับกัน

อย่างไรก็ตามในการศึกษานี้ไม่ได้เปรียบเทียบระดับแอนติบอดีของการฉีดสลับระหว่างวัคซีนเชื้อตายกับ adenovirus vector เปรียบเทียบกับการฉีด adenovirus vector 2 เข็ม จึงทำให้ไม่ทราบว่าประสิทธิภาพของการฉีดจะเป็นอย่างไร ถ้าเปรียบเทียบกับการฉีด Adenovirus vector 2 เข็ม นอกจากนี้ชนิดของ Adenovirus ที่ใช้จาก Cansino ก็แตกต่างจาก AZ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีน

แต่ผลที่ได้จากการศึกษานี้บ่งชี้ว่าการฉีดแบบสลับนี้กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีกว่าการให้วัคซีนเชื้อตาย 2 เข็มอย่างชัดเจน (อ่านเพิ่มเติมที่ https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/22221751.2021.1902245)

Q4 : มีหลักฐานไหมว่าการฉีดวัคซีนสลับชนิดกันนั้นจะมีประสิทธิภาพดีในบุคคลที่ได้รับการฉีดวัคซีนแบบสลับชนิด?

ข้อมูลส่วนใหญ่เป็นการสลับการฉีดระหว่าง mRNA กับ adenovirus vector

ล่าสุดมีอาจารย์หลายท่านรีวิวแล้ว หมอแนะนำให้ติดตามอ่านเพจ อาจารย์มานพ ซึ่งรีวิวไว้หลายเปเปอร์

สำหรับการไขว้สูตรอย่างที่กำลังทำกันในเมืองไทยเกิดขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดของวัคซีนที่มีให้ใช้ในขณะนี้

(หวังว่าข้อจำกัดนี้จะหมดไปในเร็ววัน) และคงต้องมีการเก็บข้อมูลของประเทศไทยเองว่าประสิทธิภาพจะเป็นอย่างไรเพื่อนำมาปรับสูตรวัคซีนที่เหมาะสมกับสถานการณ์การระบาดและชนิดของเชื้อกลายพันธุ์ต่อไป

>> ข้อแนะนำ

ผู้เกี่ยวข้องควรเตรียมจัดหาวัคซีนให้หลากหลายชนิดและมากเพียงพอ เพราะว่ามีแนวโน้มที่จะต้องได้ใช้วัคซีนไขว้ชนิดต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกัน และมีความจำเป็นที่จะต้อง Boost ให้ผู้ที่ได้รับ Sinovac ไปแล้ว 2 เข็ม (ถึงแม้จะไม่ใช่บุคลากรการแพทย์)

>> Take home message

- การฉีดวัคซีนที่มีในปัจจุบันเพื่อลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยติดเชื้อโควิด (อยากให้รีบไปฉีดกัน)

- การฉีดวัคซีน 1 เข็ม (Prime) มีประสิทธิภาพน้อยกว่าการฉีด 2 เข็ม (Prime + Boost) ดังนั้นควรต้องไปรับวัคซีนเข็มสองตามกำหนด

- วัคซีนทุกชนิดส่งข้อมูลลักษณะหน้าตาของเชื้อให้ที่เซลล์ชนิดเดียวกัน (APC) และสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันปลายทางได้เหมือนกัน (การฉีดวัคซีนไขว้ หรือ Heterologous Prime-Boost สามารถกระตุ้นภูมิได้)

- การฉีดวัคซีนแบบไขว้ระหว่างวัคซีนเชื้อตายกับ adenovirus vector สามารถกระตุ้นภูมิได้ดีกว่าการฉีดเชื้อตายสองเข็ม (ดังนั้นใครที่ได้ Sinovac มาแล้ว 1 เข็มควรดีใจที่จะได้ AZ เป็นเข็มที่สอง เพราะกระตุ้นภูมิได้ดีขึ้น)


ที่มา : https://siamrath.co.th/n/265689

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4484985728187317&id=100000278023117


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ที่ประชุมครม. เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ภาครัฐและเอกชน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอุดมศึกษา ภาครัฐและเอกชน ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ มีกรอบวงเงินรวม 3.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะใช้จ่ายจาก พ.ร.ก.เงินกู้ แบ่งออกเป็น

1.) มาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กรอบวงเงิน 23,000 ล้านบาท สำหรับนักเรียนในระบบการศึกษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ปกครอง 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน พร้อมจัดสรรค่าใช้จ่ายให้แก่สถานศึกษาเพื่อช่วยจัดการเรียนรู้ และลดหรือตรึงค่าใช้จ่ายในโรงเรียนเอกชนให้เท่ากับปีการศึกษา 2563

2.) มาตรการการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท กลุ่มเป้าหมาย คือ นิสิต/นักศึกษาชาวไทย ระดับปริญญาตรีและบัณฑิตศึกษา ในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและเอกชน ระยะเวลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

สำหรับแนวทางการดำเนินการ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ จะได้รับส่วนลดเป็นลักษณะร่วมจ่ายระหว่างรัฐและสถาบันอุดมศึกษาในอัตรา 6:4 โดยค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษาส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ลด 50% / 50,001-100,000 บาท ลด 30% และเกิน 100,000 บาท ลด 10% โดยส่วนลดสูงสุดรวมกันไม่เกิน 50% ส่วนสถาบันอุดมศึกษาของเอกชน ค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษา รัฐสนับสนุนในอัตรา 5,000 บาท/คน นอกจากนี้ กระทรวงอว. ยังขอให้พิจารณาเพิ่มเติม ทั้งขยายเวลาผ่อนชำระ จัดหาอุปกรณ์/โปรแกรมสำหรับยืมเรียนออนไลน์ รวมทั้งลดค่าหอพักด้วย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โควิด-19 ระบาดหนัก เวียดนาม ประกาศเคอร์ฟิวนครโฮจิมินห์ จุดศูนย์กลางแพร่เชื้อห้ามประชาชนออกนอกบ้านเด็ดขาด ในขณะที่มาเลเซีย “สาหัส” ติดโควิดรายวันเกิน 1.7 หมื่น ยอดสะสมทะลุ 1 ล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันอาทิตย์ 25 กรกฎาคม ที่โฮจิมินห์ซิตี ซึ่งปัจจุบันเป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในเวียดนาม ได้ออกประกาศการบังคับใช้เคอร์ฟิวทั่วเมือง ตั้งแต่วันจันทร์ 26 กรกฎาคม เป็นต้นไป

หน่วยงานเทศบาลนครโฮจิมินห์ซิตีตัดสินใจประกาศเคอร์ฟิวช่วง 18.00-06.00 น. โดยสั่งห้ามประชาชนทั่วเมืองเดินทางออกนอกบ้านทุกกรณี ระงับกิจกรรมทุกประเภทระหว่างช่วงเคอร์ฟิว ยกเว้นกิจกรรมทางการแพทย์ฉุกเฉินหรือการประสานงานที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19

โฮจิมินห์บังคับใช้กฎการรักษาระยะห่างทางสังคมที่เข้มงวดที่สุดของเวียดนามภายใต้คำสั่งข้อที่ 16 ของรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. โดยสั่งให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน ห้ามรวมตัวกันเกิน 2 คน และระงับบริการขนส่งสาธารณะ

อนึ่ง กระทรวงสาธารณสุขของเวียดนามรายงานว่าโฮจิมินห์ซิตีมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสม 60,425 ราย นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดครั้งล่าสุดในเวียดนามช่วงปลายเดือนเมษายนจนถึง 19.00 น. ของวันอาทิตย์ 25 ก.ค.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียระบุ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมในประเทศขณะนี้ทะลุ 1 ล้านคนแล้ว หลังจากวันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 17,045 คน ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมใกล้แตะ 8,000 คน มีผู้กำลังป่วยอยู่กว่า 114,000 คน ในจำนวนนี้อาการหนัก 869 คน และตรวจหาเชื้อไปแล้วกว่า 16 ล้านคน ท่ามกลางการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้า ที่ทำให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ กระนั้นก็ตามทางการมาเลเซียยังไม่มีแนวคิดประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

นายกรัฐมนตรีมูห์ยิดดิน ยัสซิน ของมาเลเซีย กล่าวว่า การรณรงค์ฉีดวัคซีนให้แก่ผู้สูงวัยดูเหมือนกำลังได้ผล เพราะยอดผู้สูงวัยอาการหนักเริ่มลดลง ทำให้ทางการตัดสินใจเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ผู้ใหญ่ทุกคนในรัฐสลังงอร์และกรุงกัวลาลัมเปอร์

ขณะที่ อธิบดีกรมการแพทย์มาเลเซีย เรียกร้องให้ประชาชนเชื่อมั่นในวัคซีนและข้อมูลของรัฐบาล ต้องรับการฉีดวัคซีนและยึดมั่นตามขั้นตอนปฏิบัติมาตรฐานที่รัฐบาลประกาศ เพราะขณะนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปเป็นการแพร่ระบาดสำหรับผู้ไม่ฉีดวัคซีน ขอให้ทุกคนร่วมกันทำให้ทุกคนและสถานที่ทุกแห่งปลอดภัย

ด้านรัฐวิกตอเรีย ของออสเตรเลีย รายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รายใหม่ลดลง ทำให้เกิดความหวังว่า จะยุติมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ตามแผน

กระนั้นก็ตามในส่วนของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งอยู่ติดกัน เตรียมขยายระยะเวลาบังคับใช้คำสั่งให้ประชาชนอยู่แต่ภายในบ้าน เนื่องจากยอดคนป่วยไม่ลด


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/590622


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'กรณ์' นำทีมพรรคกล้า เดินหน้าเปิด 'ศูนย์กล้าดูแลแห่งที่ 3' ช่วยตัดวงจรระบาดในชุมชน ย้ำรัฐมีสต๊อกฟาวิพิราเวียร์เพียบ ขอรัฐเร่งปลดล็อกปัญหา การกระจายยาควรถึงผู้ติดเชื้อทุกคน ยกโมเดลจุดตรวจศูนย์ราชการ ตรวจเจอแจกยาทันที เสนอรัฐใช้ส่วนราชการเร่งกระจายแจกยาทุกบ

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นำทีมพรรคกล้า เดินหน้าร่วมมือกับชุมชนเปิด 'ศูนย์กล้าดูแล' แห่งที่ 3 ที่วัดพระไกรสีห์ (น้อย) เขตบางกะปิ เป็นศูนย์พักคอยให้กับพระ เณร บุคลากรในวัด และคนในชุมชน ที่ติดเชื้อโควิด-19 มาดูแลที่ศูนย์ รับการดูแลเบื้องต้นระหว่างรอเตียงรักษาพยาบาล ตัดวงจรการระบาดในชุมชน โดยศูนย์แห่งนี้มีเตียงรองรับทั้งหมด 12 เตียง และจะมีผู้ติดเชื้อเข้ามาที่ศูนย์ในคืนนี้ 2 คน

นายกรณ์ กล่าวว่า เรื่องที่สำคัญตอนนี้คือการเข้าถึงการรักษาพยาบาลโดยเร็ว พรรคกล้าเคยเสนอให้ปลดล็อกหลายเรื่อง โดยเฉพาะการเข้าถึงยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งจำนวนยาไม่น่าจะมีปัญหา เพราะทราบว่าในสต๊อกมี 4 ล้านเม็ด และภายในสิ้นเดือนนี้จะมีถึง 20 ล้านเม็ด แต่ปัญหาที่เป็นคอขวดอยู่คือการแจกจ่ายยาให้ถึงมือผู้ป่วย ซึ่งจากประสบการณ์ของกลุ่มกล้าอาสา พรรคกล้า พบว่าผู้ป่วยใช้เวลารอยา 4 - 6 วัน ทั้งที่ทุก ๆ วันมีผลอย่างมากต่ออาการและความเสี่ยงต่อชีวิต

"ที่ผ่านมามีข่าวว่า ที่ศูนย์ราชการเริ่มแจกจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ทันที หลังจากการตรวจพบเชื้อด้วยวิธี Antigen Test แต่จำนวนศูนย์ที่มีความพร้อมแจกจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ให้ผู้ติดเชื้อได้ทันทีมีน้อยมาก ถ้าเทียบกับผู้ที่ติดเชื้อกักตัวอยู่ที่บ้านหรือที่อยู่ตามศูนย์พักคอย การเข้าถึงยาทั่วประเทศจึงเป็นไปอย่างล่าช้า จึงต้องปลดล็อกเงื่อนไขและอุปสรรคทั้งหมดให้ได้โดยเร็ว" นายกรณ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า สิ่งที่ต้องเร่งทำวันนี้คือการตรวจเชื้อเชิงรุก เพื่อนำไปสู่การแยกตัว โดยมีระบบรองรับ เช่น ศูนย์พักคอยชุมชนอย่างที่พรรคกล้าทำอยู่ตอนนี้ หรือการแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation) แต่ที่สำคัญที่สุดคือผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลโดยเร็ว ซึ่งพรรคกล้ากำลังจับมือกับกลุ่มแพทย์แผนไทย จัดชุดยาสมุนไพรให้เข้าถึงผู้ป่วยที่ตรวจพบเชื้อและมีอาการระดับสีเขียวอยู่ เพื่อให้ผู้ติดเชื้อสามารถรักษาตัวทันที แต่หากรัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถจัดยาฟาวิพิราเวียร์ให้กับทุกคนที่ตรวจพบเชื้อ ซึ่งแยกตัวอยู่ตามบ้านหรือศูนย์พักคอยได้ ยิ่งจะเป็นผลดี สามารถลดการพึ่งพาเตียงรักษาได้มากในอนาคต เพราะยาสามารถจำกัดอาการได้

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวด้วยว่า ในกรุงเทพมหานคร วันนี้อาสาสมัครของพรรคกล้าหลายเขต รับหน้าที่รับยาจากหน่วยงานราชการ วิ่งไปส่งตามบ้านผู้ที่กักตัวอยู่ ซึ่งพรรคกล้ายินดีช่วยเหลือและพร้อมอาสาในทุกแง่มุม ที่จะช่วยผู้ป่วยเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาลได้โดยเร็ว แต่อดคิดไม่ได้ว่าหน่วยงานราชการที่มีกำลังพลจำนวนมากในหน่วยงานต่าง ๆ น่าจะทำหน้าที่นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่านี้


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน วัคซีนไฟเซอร์จากสหรัฐฯ จะจัดสรรให้บุคลากรด่านหน้าก่อน 5 แสนโดส ที่เหลือจัดสรรให้กลุ่มเสี่ยง

จากกรณีที่มีข่าวว่าวัคซีนไฟเซอร์ล็อตที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จำนวน 1.5 ล้านโดส ที่จะเข้าไทยในเดือนกรกฎาคมนี้ ต่อมามีการประกาศว่าจะฉีดให้แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นลำดับแรก ประมาณกว่า 5 แสนโดส

ซึ่งระหว่างนั้น มีกระแสข่าวให้สับสนว่า การฉีดให้บุคลากรข้างต้นอาจจะเหลือ 2-3 แสนโดส และกล่าวหาว่ามีการขโมยวัคซีน กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่สังคมวิจารณ์

รวมทั้งล่าสุด ยังมีบางกลุ่มไปยื่นจดหมายเปิดผนึก ต่อสถานทูตสหรัฐอเมริกาเพื่อขอให้ตรวจสอบการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) จำนวน 1.5 ล้านโดส อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ทางกระทรวงสาธารณสุข โดย นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง และโฆษกกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมายืนยันแล้วว่า...

วัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรก จำนวน 1.54 ล้านโดส จะเข้ามาภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เริ่มฉีดต้นเดือนสิงหาคม 2564 ในกลุ่มบุคลากรการแพทย์และสาธารณสุข บุคลากรด่านหน้า ไม่น้อยกว่า 5 แสนโดส ที่เหลือจัดสรรไปยังกลุ่มเสี่ยง พื้นที่เสี่ยงอื่น ๆ และเพื่อควบคุมการระบาดในพื้นที่

“ข่าวการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ด่านหน้าเหลือ 2 แสนโดสนั้น ขอย้ำไม่เป็นความจริง การจัดสรรวัคซีน กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญของบุคลากรด้านการแพทย์และด่านหน้า เพื่อธำรงรักษาระบบสาธารณสุขของประเทศรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 บุคลากรด่านหน้าทุกคนต้องได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน”

เท่ากับว่า ไม่มีการขโมยวัคซีนไฟเซอร์ เพราะวัคซีนที่นอกเหนือจากการจัดสรรให้แพทย์ พยาบาล บุคลากร สาธารณสุขด่านหน้าแล้ว อีกส่วนจะถูกจัดสรรไปให้กับ กลุ่มผู้สูงอายุ, ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง, หญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป, ชาวต่างชาติ เน้นผู้สูงอายุและผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง และ คนไทยที่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ คือ นักเรียน, นักศึกษา, นักกีฬา และนักการทูต ซึ่งเป็นไปตามการรายงานของ พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวไว้เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา

เท่ากับวัคซีนไฟเซอร์ ที่กำลังจะมาถึงนั้น ทีมสาธารณสุข เป็นกลุ่มที่ได้รับมากที่สุดกว่า 5 แสนโดส ก่อนจะกระจายให้กลุ่มอื่น ๆ ตามที่ระบุไว้ข้างต้น

ดังนั้น ขอย้ำว่า "ไม่มีการขโมยวัคซีนจากมือแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด่านหน้าอย่างแน่นอน"

สำหรับเรื่องนี้ ทางด้าน ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษาด้านการสื่อสาร ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้เคยโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก Warat Karuchit แจกแจงไปเมื่อ 25 ก.ค. 64 ความว่า...

สธ.แถลง อย่างเป็นทางการแล้วครับ ก็ประมาณที่เราพูดกันไป สำหรับวัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส

1.) ยืนยันว่า ข่าวที่ว่าวัคซีนไฟเซอร์สำหรับบุคลากรการแพทย์ เหลือแค่ 2 แสนโดส เป็น "ข่าวปลอม"

2.) อย่างน้อย 5 แสนโดส จัดสรรให้กับบุคลากรทางการแพทย์ บวกด้วย จำนวนที่เกิน

3.) เป็นความสมัครใจ ไม่มีการบังคับฉีดยี่ห้ออะไรทั้งสิ้น

4.) ผลการทดสอบประสิทธิผล พบกว่า SV+SV+AZ สูงกว่าทุกแบบ รวมทั้ง PZ+PZ ด้วย

5.) ไม่มีการเรียกเก็บเงินใด ๆ ทั้งสิ้น

6.) นอกจากบุคลากรทางการแพทย์ วัคซีนไฟเซอร์ล็อตนี้จะจัดสรรไปยังกลุ่มเสี่ยง พื้นที่เสี่ยง (และกลุ่มอื่น ๆ เช่น ชาวต่างชาติ) ไม่มี VIP หรือ VVIP ใด ๆ

7.) ไม่มีวัคซีนหายใด ๆ ทั้งสิ้น (ยังไม่มา จะหายได้ไง?!)


ที่มา : https://mgronline.com/politics/detail/9640000073407

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4802334673115467&id=100000169455098


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สกพอ. จับมือ BOI TARA และ TRUE เดินหน้ายกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ industry 4.0 ด้วยเทคโนโลยี 5G ในพื้นที่อีอีซี

(27 ก.ค. 64) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย (TARA) และ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดงานสัมมนาออนไลน์ (Webinar) ในหัวข้อ “Smart Industry 4.0 & Digital Transformation Technology by 5G” เป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์และแนวทางการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G ในภาคอุตสาหกรรมแก่ผู้ประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาพิเศษด้านพัฒนาการศึกษา บุคลากร และเทคโนโลยี สกพอ. เปิดเผยว่า ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรม ในแง่มุมด้านการเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลภายในโรงงานเพื่อพัฒนาสู่ industry 4.0 และแนะนำเพิ่มเติมถึง ศูนย์นวัตกรรมการผลิตยั่งยืน หรือ SMC (Sustainable Manufacturing Center) ซึ่งเป็นโครงการนำร่องภายใต้การพัฒนาเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) โดย SMC จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการในเชิงเทคนิค ซึ่งจะเป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาด้าน industry 4.0 ในพื้นที่ EEC

โดยงานสัมมนาในครั้งนี้ ได้ประชาสัมพันธ์ถึงแนวทางการส่งเสริมการลงทุนด้าน industry 4.0 และ digital transformation จาก BOI เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเล็งเห็นถึงความคุ้มทุนและตัดสินใจลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ในด้านของสมาคมผู้ประกอบการระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ไทย หรือ TARA ได้มาพูดถึงจุดประสงค์ของสมาคมที่จะเป็นศูนย์กลางของผู้ซื้อและผู้ขาย สร้างความร่วมมือกันระหว่างสมาชิกของสมาคม หน่วยงาน และองค์กรอื่น ๆ ทั้ง ภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ รวมถึงวิชาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ภายในงาน ทาง TrueBusiness ได้ยกตัวอย่างการนำเทคโนโลยีด้าน 5G และนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมธุรกิจรูปแบบต่าง ๆ อาทิ AI unmanned vehicle, การเชื่อมต่อข้อมูลอุปกรณ์ IoT และส่งข้อมูลไปเก็บเพื่อประมวลผลบนระบบ cloud ด้วยโครงข่าย 5G ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ อีกทั้ง TrueBusiness เองเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำแนะนำแก่องค์กรที่สนใจนำเทคโนโลยีไปปรับใช้ในการผลิตและดำเนินการต่าง ๆ รวมถึงให้บริการออกแบบและติดตั้งโซลูชันตั้งแต่ต้นจนจบตามความต้องการของแต่ละธุรกิจ

ทั้งนี้ สกพอ. พร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนในการสนับสนุนการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ industry 4.0 ด้วยเทคโนโลยี 5G อย่างเต็มที่ โดยตั้งเป้าหมายในการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์เรื่อง industry 4.0 & 5G แก่ผู้ประกอบการในเขตพื้นที่ EEC อย่างต่อเนื่อง และจะขยายผลสู่ระดับประเทศในลำดับต่อไป


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top