Wednesday, 21 May 2025
NewsFeed

รมว.คมนาคม เผย ล่าสุดได้พัฒนาระบบ M-Flow บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 เพื่อแก้ปัญหารถติดหน้าด่าน และเปิดให้ผู้ใช้บริการลงทะเบียนกลางเดือนสิงหาคมนี้

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้ประชุมติดตามและเร่งรัดการพัฒนาและการเปิดให้บริการ ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น (M-Flow) ของกรมทางหลวง และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ล่าสุดได้พัฒนาระบบ M-Flow บนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 9 เพื่อแก้ไขปัญหารถติดหน้าด่าน โดยผู้ใช้รถยนต์สามารถขับขี่ผ่านบริเวณด่านฯ ที่จะติดตั้งโครงเสาแขวนสูงเหนือศีรษะ พร้อมอุปกรณ์ระบบตรวจจับยานพาหนะอัตโนมัติ ระบบอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ โดยไม่ต้องหยุด หรือชะลอรถ

ทั้งนี้ได้เริ่มการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ แล้ว 4 ด่าน คือ ด่านทับช้าง 1, 2และด่านธัญบุรี 1, 2 พร้อมกับเชื่อมต่อข้อมูลกับทะเบียนรถยนต์ของกรมการขนส่งทางบก (และทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครองเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างปรับปรุงกายภาพบริเวณช่องทาง และการเชื่อมต่อระบบเข้ากับสำนักงาน

นอกจากนี้ กรมทางหลวงยังจะประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับระบบ M-Flow โดยจะทดสอบระบบลงทะเบียนการใช้บริการระบบ M-Flow ระหว่างวันที่ 24-30 ก.ค. 64 จากนั้นจะเริ่มเปิดให้ผู้ใช้บริการลงทะเบียนในช่วงกลางเดือนส.ค. 64 ก่อนดำเนินการทดสอบเสมือนจริงในเดือนก.ย. 64 คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงปลายเดือนต.ค. 64

สำหรับแผนการพัฒนาระบบ M-Flow ของ กทพ. ประกอบด้วย ระยะที่ 1 บริเวณทางพิเศษฉลองรัช 3 ด่าน (จตุโชติ, สุขาภิบาล 5-1 และสุขาภิบาล 5-2) นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการคัดเลือกผู้รับจ้าง คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในต้นปี 65 ส่วนระยะที่ 2 บริเวณทางพิเศษฉลองรัช บูรพาวิถี และกาญจนาภิเษก 60 ด่าน อยู่ระหว่างการจัดทำทีโออาร์ คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในต้นปี 66


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'THG' ยืนยันซื้อวัคซีนจริง หมอบุญลั่น กลต.สั่งไม่ให้พูดเรื่องดีลไฟเซอร์

ความคืบหน้ากรณี นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่ออกมาเคลื่อนไหวอ้างถึงการเปิดเจรจาซื้อขายวัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 20 ล้านโดสของเครือโรงพยาบาลธนบุรี โดยล่าสุดระบุถึงอยู่ระหว่างการตรวจสอบร่างสัญญาที่ทางอเมริกาส่งมาให้มากกว่า 40 หน้า และคาดว่าจะมีการลงนามภายในวันนี้ ซึ่งล็อตแรกจะสั่งซื้อก่อน 5 ล้านโดส แต่ปรากฏว่าทางไฟเซอร์กลับยืนยันกับรอยเตอร์ว่ายังไม่มีการเจรจาใด ๆ เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลให้หุ้นในเครือดังกล่าวพุ่งขึ้น

ล่าสุดวันนี้ (16 ก.ค. 64) บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือชี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง ชี้แจงการนำเข้าวัคซีนเทคโนโลยี mRNA ว่า ตามที่นักลงทุนจำนวนมากได้ให้ความสำคัญกับข่าวการเจรจานำเข้าวัคซีนโควิด-19 เทคโนโลยี mRNA ของ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ 'THG' โดยมีข่าวที่อาจก่อให้เกิดความสับสนเนื่องจากมีการสอบถามไป ยังบริษัทผู้ผลิตวัดชีนนั้น

ทั้งนี้ THG ได้มีการตกลงซื้อวัคซีนจริง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการคำเนินการด้านเอกสารกับตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ ในส่วนของระยะเวลาหากมีชัดเจนแล้วจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งเนื่องจากยังต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

THG มุ่งหวังให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตินี้ไป โดยเร็วที่สุด โดย THG ได้ทุ่มเทกับการป้องกันและรักษาชีวิตของประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ

ขณะเดียวกันมีข่าวว่า นพ.บุญ ได้ออกมาระบุว่า ตนไม่สามารถตอบอะไรได้ เพราะว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ได้สั่งห้ามไม่ให้พูดอะไร เพราะว่าจะส่อไปในทางปั่นหุ้น ซึ่งความคืบหน้าต่าง ๆ ขอให้สอบถามกับทีมทนายตัวแทนในการเจรจา


ที่มา : https://www.naewna.com/business/588061


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เปิดตัวโครงการ Covid Home Care ช่วยผู้ป่วยโควิดกักตัวที่บ้าน 'ธีระชัย' นำร่องบริจาค 4.5 แสน

เครือข่าย “เราดูแลกัน” เปิดตัวโครงการ Covid Home Care ช่วยผู้ป่วยโควิดที่ต้องกักตัวที่บ้านแบบไม่มีค่าใช้จ่าย ด้านนักธุรกิจรุ่นใหม่ “ธีระชัย” นำร่องบริจาค 4.5 แสนบาท เพื่อจัดซื้อเวชภัณฑ์และชุดตรวจโควิด พร้อมเชิญชวนเพื่อนนักธุรกิจร่วมสนับสนุน เผยโครงการมีทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่ประเมินอาการ 24 ชั่วโมง พร้อมส่งเวชภัณฑ์ดูแลตัวเองเบื้องต้น ประเดิม กทม.แห่งแรก

เมื่อเร็ว ๆ นี้สมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุและเครือข่ายเราดูแลกัน ซึ่งเป็นความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดตัวโครงการ Covid Home Care เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดที่ต้องกักตัวที่บ้านและลดภาระให้กับบุคลากรทางการแพทย์

นายแพทย์ฆนัท ครุฑกูล นายกสมาคมสมาพันธ์สถานประกอบการเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ Covid Home Care เปิดเผยว่า สถานการณ์ในปัจจุบันที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก เรามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นหมื่นรายต่อวัน ทำให้ทรัพยากรที่มีอยู่ไม่พอ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากต่างประเทศพบว่า ผู้ป่วย 70-80% สามารถดูแลตนเองที่บ้านได้

ดังนั้น สมาพันธ์ฯ และเครือข่ายเราดูแลกัน หรือ we care network ซึ่งเป็นความร่วมมือองค์กรภาครัฐภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำโครงการ Covid Home Care เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดที่ต้องกักตัวที่บ้าน ให้สามารถดูแลตนเองที่บ้านได้อย่างปลอดภัยซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระแก่บุคลากรทางการแพทย์อีกทางหนึ่ง

สำหรับช่องทางติดต่อโดยเปิดช่องทางติดต่อผ่าน Line : @ covidhomecare ให้ผู้ป่วยโควิดเข้ามาลงทะเบียน และจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับไป เพื่อส่งมอบ Covid Care Box ที่มีเวชภัณฑ์ในการดูแลรักษาตัวเอง

ซึ่ง Line : @ covidhomecare จะเสมือนเป็นคลินิกออนไลน์ ที่จะมีทีมแพทย์และเจ้าหน้าที่คอยประสานข้อมูลกับผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง และจะช่วยประเมินอาการผู้ป่วยว่ายังอยู่ในเกณฑ์สีเขียว สีเหลือง หรือสีแดง นอกจากนั้น ยังมีระบบฉุกเฉินที่จะประสานโรงพยาบาลในการรับส่งต่อผู้ป่วยต่อไปโดยทั้งหมดเป็นการช่วยเหลือประชาชนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ขณะนี้ได้เตรียมจัดทำ Covid Care Box ไว้แล้ว 1,000 กล่อง ซึ่งมีเวชภัณฑ์สำหรับดูแลรักษาตัวเอง อาทิ เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย ยาฟ้าทะลายโจร ยาละลายเสมหะ ยาพ่นคอ รวมถึงมีชุดตรวจ Rapid Antigen Test แอลกอฮอล์เจล และหน้ากากอนามัย ทั้งหมดนี้จะส่งต่อไปให้ประชาชนที่ยังไม่สามารถเข้าสู่ระบบการรักษาในโรงพยาบาลได้ ซึ่งโครงการทั้งหมดจะเริ่มนำร่องในพื้นที่ กทม.ก่อน

“เราคาดหวังว่าโครงการนี้จะช่วยลดความแออัดที่โรงพยาบาล ลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ หากผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เราจะพยายามประสานหาโรงพยาบาลเพื่อรับส่งต่อผู้ป่วยต่อไป” นายแพทย์ฆนัท กล่าวทิ้งท้าย

นายธีระชัย รัตนกมลพร ประธาน บริษัท อาร์ยู แอสเซท ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีจะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดที่กักตัวอยู่ที่บ้านระหว่างรอเตียง ให้สามารถดูแลตนเองที่บ้านได้อย่างปลอดภัยซึ่งเป็นการแบ่งเบา ภาระแก่บุคลากรทางการแพทย์ ตามมาตรฐานกรมการแพทย์กำหนด

ตนจึงยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่โดยนำร่องบริจาคเงินจำนวน 450,000 บาท เพื่อจัดซื้อเวชภัณฑ์ จำนวน 500 ชุด และชุดตรวจโควิด จำนวน 3,000 ชุด ซึ่งก่อนหน้านี้ตนก็ได้ร่วมบริจาคเพื่อซื่อเครื่องช่วยหายใจให้กับโรงพยาลศิริราชจำนวนเงิน 3 แสนบาท

“อย่างไรก็ตามโครงการ Covid Home Care ยังต้องการการสนับสนุนอีกมากตนจึงอยากจะขอเชิญชวนนักธุรกิจและผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเพื่อช่วยพี่น้องคนไทยที่กำลังประสบชะตากรรมฝ่าวิตกฤติและฝ่าความมืดครั้งนี้ไปด้วยกัน” นายธีระชัย กล่าว


ที่มา : https://www.naewna.com/local/588096


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ราเมศ”ประกาศ ระดมพลนักกฎหมายทั่วประเทศ ช่วย ปชช ถูกยกเลิกกรมธรรม์ โควิด-19 หลังบริษัทประกันบอกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรม

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์และเลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีที่บริษัทประกัน ได้บอกเลิกกรมธรรม์ ประชาชนที่ทำประกันภัยการติดเชื้อโควิด-19 ว่า เรื่องนี้กฎหมายระบุไว้ชัดประชาชนผู้ทำประกันภัยการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการ บริษัทตกลงใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงินจำนวนหนึ่งในกรณีภัยหากมีขึ้น คือหากผู้ทำประกันภัยติดเชื้อโควิด-19 บริษัทก็ต้องทำตามสัญญาคือการใช้เงินจำนวนหนึ่งให้ ผูกพันสมบูรณ์ตามระยะเวลาที่กำหนด เมื่อได้หลักความสมบูรณ์ของสัญญาประกันภัยแล้ว ก็ต้องมาดูว่ากรณีที่จะยกเลิกสัญญาประกันภัย ทำได้เพราะเหตุใดบ้าง หลักกฎหมายกำหนดไว้ชัดว่า หากมีการแถลงข้อความอันเป็นเท็จหรือรู้อยู่แล้วไม่บอกความจริง สามารถบอกเลิกได้ เช่น หากติดเชื้อโควิด-19 แล้ว แต่นำหลักฐานเท็จมาแสดงต่อบริษัทว่าตนไม่เป็นผู้ติดเชื้อโควิด ต่อมาเมื่อทำสัญญาประกันแล้ว นำผลตรวจมาแจ้งว่าติดเชื่อโควิดเพื่อขอรับเงินค่าสินไหม กรณีตัวอย่างนี้บอกเลิกสัญญาได้ เช่นเดียวกันคือประชาชนผู้ทำสัญญาประกันภัยกระทำการทุจริต เช่น นำผลตรวจปลอมมาขอรับเงินค่าสินไหม กรณีนี้บอกเลิกสัญญาได้

นายราเมศ กล่าวต่อว่า กรณีบริษัทสินมั่นคงประกันภัย อ้างเหตุบอกเลิกสัญญาตามกรมธรรม์ ข้อ 2.4.3 ที่ระบุการสิ้นสุดความคุ้มครองเมื่อผู้เอาประกันภัยหรือบริษัทบอกเลิกกรมธรรม์ตามเงื่อนไขทั่วไปและข้อกำหนดข้อ 2.5 และอ้างเหตุตาม ข้อ 2.5.1. ที่ระบุว่าบริษัทสามารถบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยนี้โดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงผู้เอาประกันภัยตามที่อยู่ครั้งสุดท้ายที่แจ้งให้บริษัททราบโดยบริษัทจะคืนเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยหักเบี้ยประกันภัยสำหรับระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้ใช้บังคับมาแล้วออกตามส่วน ในกรณีที่ปรากฏหลักฐานชัดเจนต่อบริษัทว่าผู้เอาประกันภัยได้กระทำการโดยทุจริตเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการประกันภัยนี้ บริษัทจะไม่คืนเบี้ยประกันภัยที่ได้เรียกเก็บมาแล้ว เพราะเหตุแห่งการฉ้อฉลหรือการทุจริตดังกล่าวข้างต้นและบริษัทจะไม่รับผิดสำหรับการเรียกร้องค่าทดแทนอันเกิดจากการกระทำดังกล่าว” จากกรณีการกล่าวอ้าง กรมธรรม์ข้อ 2.4.3. และข้อ 2.5.1. ไม่ชอบด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายและกรมธรรม์ การจะเลิกสัญญาได้นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีเหตุผลตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่นกรณีการปกปิดความจริง การทุจริตฉ้อฉล หากไม่มีเหตุย่อมไม่มีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาได้ การบอกเลิกสัญญาประกันภัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

นายราเมศ กล่าวต่อว่า การทำประกันของประชาชนเพื่อป้องกันความเสี่ยงภัยในอนาคต ไม่ใช่ว่าบริษัทเสี่ยงภัยแล้วเลยบอกเลิกสัญญา แล้วอย่านี้จะทำสัญญาประกันไปทำไม ไร้ประโยชน์ การบอกว่าจะคืนเบี่ยประกันบางส่วนยิ่งเป็นเรื่องตลก เพราะเหตุผลที่บอกมาคือบริษัทต้องบริหารความเสี่ยง เพราะเป็นวิกฤตที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ คือบริษัทเสี่ยงจึงบอกเลิก ทั้งที่เหตุเกิดจากบริษัท แล้วจะให้ประชาชนรับกรรมจากความเสี่ยงของบริษัทอย่างไร ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าขอให้ฝ่ายกฎหมายกลับไปดู พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมให้ดีด้วย มาตรา 4 ระบุไว้ชัด ข้อตกลงให้สัญญาสิ้นสุดลงโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือให้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยอีกฝ่ายมิได้ผิดสัญญาในสาระสำคัญ ถือได้ว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ให้ไปท่องให้ขึ้นใจ และประชาชนที่ทำประกันภัยกับบริษัทสินมั่นคง ไม่จำเป็นต้องรับคืนค่าเบี้ยประกันที่บริษัทจะจ่ายคืน เพราะสัญญายังสมบูรณ์ และประชาชนที่ทำประกันติดเชื้อโควิด ก็ยังมีสิทธิได้รับเงินตามจำนวนที่เอาประกันภัยไว้คือ 100,000 บาท

“ผมขอประกาศจุดยืนตอนนี้เลยว่าจะสู้เรื่องนี้ให้กับประชาชน โดยจะระดมนักกฎหมายทั่วประเทศเพื่อเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมให้กับประชาชน การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมให้กับประชาชนไม่ใช่เรื่องยาก บริษัทจะมีเงินทองมากมายก่ายกองขนาดไหนไม่สำคัญ แต่หลักสำคัญคือบริษัทต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมกับประชาชน เพราะบริษัทอยู่ได้มีรายได้มากก็เพราะประชาชนในประเทศนี้ อย่าซ้ำเติมวิกฤติในสถานการณ์แบบนี้เลย” นายราเมศ กล่าว

10 จังหวัดในประเทศที่ฉีดวัคซีนโควิดมากที่สุด

ประเทศไทย ยังทยอยฉีดวัคซีนโควิดอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด จากข้อมูล MOPH Immunization Center พบว่า จำนวนการได้รับวัคซีนในประเทศไทย สะสม ตั้งแต่ 28 กุมภาพันธ์ - 14 กรกฎาคม 2564 มีทั้งสิ้น 13,533,717 ล้านโดส

แบ่งเป็น เข็มที่ 1 จำนวน 10,163,340 ล้านโดส และเข็มที่ 2 จำนวน 3,370,377 ล้านโดส

ส่วน 10 จังหวัดที่ฉีดวัคซีนโควิด มีที่ไหนบ้างไปดูกันเลย


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เลขาธิการสภากาชาดไทยยืนยันประสานผู้ผลิตในการจัดซื้อวัคซีนทางเลือก 1 ล้านโดส ฉีดให้บุคลากรการแพทย์ และประชาชนด้อยโอกาสฟรี

รายงานจาก​ เลขาธิการสภากาชาดไทยยืนยัน ประสานผู้ผลิตในการจัดซื้อวัคซีนทางเลือก 1 ล้านโดส โดยองค์การเภสัชกรรมทำสัญญากับบริษัทโมเดอร์นา โดยคาดว่า จะได้รับวัคซีนในไตรมาส 4 ของปีนี้ ฉีดให้บุคลากรการแพทย์ และประชาชนด้อยโอกาสฟรี

นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า วัคซีนที่สภากาชาดไทยจัดซื้อเป็นวัคซีนทางเลือกแบบ mRNA ซึ่งทางสภากาชาดไทยประสานกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนโมเดอร์นาตั้งแต่เดือนเมษายน

แต่ทางบริษัทระบุในขณะนั้นว่า จะทำสัญญากับหน่วยงานรัฐ ซึ่งล่าสุดทางองค์การเภสัชกรรมจะทำสัญญาซื้อ-ขายจำนวน 5 ล้านโดส โดยองค์การเภสัชกรรมแจ้งว่า จะกันให้สภากาชาดไทย 1 ล้านโดส​ เนื่องจากเป็นองค์กรการกุศลที่เจรจาซื้อไว้ก่อนแล้ว ส่วนอีก 4 ล้านโดสขึ้นกับองค์การเภสัชกรรมว่า จะจัดสรรให้หน่วยงานใด

ทั้งนี้ ทางบริษัทแจ้งว่า จะส่งมอบได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เมื่อได้รับ ทางสภากาชาดไทยคาดว่า จะดำเนินการฉีดวัคซีนได้ช่วงปลายปี โดยฉีดให้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หญิงมีครรภ์ ป่วย ผู้ดูแลประจำศูนย์เด็กเล็ก และบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกลซึ่งยังไม่ได้รับวัคซีน โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

นายเตชกล่าวต่อว่า งบประมาณในการจัดซื้อวัคซีน 1 ล้านโดสนี้ ทางสภากาชาดไทยมีงบประมาณส่วนหนึ่ง กำลังขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล และเตรียมขอรับการสนับสนุนจากประชาชนด้วย ซึ่งจะแจ้งช่องทางบริจาคสมทบทุนจัดซื้อวัคซีนหลังจากการประชุมคณะกรรมการในช่วงบ่ายนี้


ที่มา : https://tna.mcot.net/latest-news-739793


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘สุริยะ’ เผย ขนย้ายสารเคมีสไตรีนโมโนเมอร์ของรง.หมิงตี้ แล้ว 650 ตัน คาดแล้วเสร็จทั้งหมด 17 ก.ค.นี้ สั่ง กรอ. เร่งตรวจสอบโรงงานที่ใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต ในเขตชุมชนและเป็นโรงงานที่ได้รับอนุญาตเป็นระยะเวลานาน

ความคืบหน้าการขนย้ายสารสไตรีนโมโนเมอร์ ที่ตกค้างในพื้นที่ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ

ล่าสุด นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ระบุว่าได้ทำการขนย้ายสารเคมีสไตรีนโมโนเมอร์ไปแล้ว 650 ตัน (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ก.ค. 64) คาดว่าจะสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 17 กรกฎาคมนี้

นอกจากนี้ นายสุริยะ ยังได้สั่งการ กรอ.เร่งตรวจสอบโรงงานที่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตยางเรซินสังเคราะห์ ยางอีลาสโตเมอร์ พลาสติก โดยเน้นโรงงานในพื้นที่ชุมชนและเป็นโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการโรงงานเป็นระยะเวลานานเป็นอันดับแรก

ด้านนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) บอกว่า กรอ.ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานที่มีการใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต โรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการผลิตยางเรซินสังเคราะห์ ยางอีลาสโตเมอร์ พลาสติก จำนวน 92 โรงงาน และโรงงานประกอบกิจการทำเคมีภัณฑ์ สารเคมี หรือวัสดุเคมี ซึ่งมิใช่ปุ๋ย จำนวน 460 โรงงาน เน้นโรงงานในพื้นที่ชุมชนและเป็นโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการโรงงานเป็นระยะเวลานานเป็นอันดับแรก

โดยเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ได้มอบหมายให้นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองบริการงานอนุญาตโรงงาน 1 กองส่งเสริมเทคโนโลยีความปลอดภัยโรงงาน และกองบริหารจัดการวัตถุอันตราย เข้าร่วมตรวจสอบโรงงาน บริษัท ไทยโทเรซินเทติคส์ จำกัด เขตบางเขน กรุงเทพฯ เป็นที่แรก

และมีแผนที่จะตรวจสอบโรงงานในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ประมาณ 50 โรงงาน ตลอดเดือนกรกฎาคมนี้

ส่วนกรณีสารสไตรีนที่คงค้างอยู่ภายใน บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ที่เกิดเหตุเพลิงไหม้บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ข้อมูลเบื้องต้นเป็นการคาดการณ์ปริมาณสารที่ยังคงเหลืออยู่จากทีมปฏิบัติการฉุกเฉินและผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทสารเคมีที่เข้าไปตรวจสอบว่ามีประมาณ 600 ตัน

เนื่องจากบริเวณที่วางถังบรรจุสไตรีนยังมีความเสี่ยงและอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน โดยหลังจากทีมปฏิบัติงานได้เข้าควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดการทำปฏิกิริยาต่อเนื่องของสารเคมีจนปลอดภัยต่อการขนย้ายได้แล้ว จึงได้ตรวจวัดปริมาณสารอีกครั้ง พบว่ามีสารสไตรีนอยู่ประมาณ 1,000 ตัน ซึ่งสารสไตรีนทั้งหมดจะดำเนินการขนส่งไปกำจัดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 17 กรกฎาคม 2564

“เบื้องต้นสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ (สอจ.) มีคำสั่งมาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2562 ให้บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดและให้จัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เกิดจากเพลิงไหม้ให้เป็นไปตามกฎหมายและให้จัดการสารเคมีที่ตกค้างในภาชนะบรรจุให้มีสภาพปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่อยู่อาศัยใกล้เคียง ซึ่งจากการประสานกับผู้แทนโรงงาน ได้รับคำยืนยันว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเพลิงไหม้ทั้งหมด ทางบริษัท หมิงตี้ เคมีคอลฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบ

ขณะเดียวกันในส่วนของการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว กระทรวงฯ กำลังดำเนินการรับเรื่องราวร้องทุกข์ผ่านศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ 3 แห่ง ทั้งที่ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ สถานีตำรวจภูธรอำเภอบางแก้ว และบริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบได้เข้ามายื่นคำขออย่างต่อเนื่อง


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

พาณิชย์ชงครม.เร่งแก้แรงงานภาคธุรกิจขาดแคลน

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) ผ่านระบบ VDO conference โดยที่ประชุมได้หารือกันถึงเรื่องแรงงานต่างด้าวที่ขาดแคลนสำหรับภาคการผลิตทั้งภาคการเกษตรอุตสาหกรรม โดยกระทรวงพาณิชย์รับว่า จะนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบปัญหาและดำเนินการแก้ไขต่อไป รวมทั้งการใช้แรงงานข้ามเขตในบางกรณี เช่น ช่วยเก็บผลไม้หรือตามความจำเป็น ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจอนุมัติในแต่ละจังหวัดด้วย

ส่วนเรื่องการผลักดันการส่งออกนั้น ที่ประชุมเห็นตรงกันว่าแม้ในปัจจุบันตัวเลขการส่งออกถือว่าดีมาก แต่ก็มีปัญหาเรื่องของตู้คอนเทนเนอร์ทั้งนำเข้าและส่งออก เข้าสู่สภาวะสมดุลแล้ว ตัวเลขนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคมมีจำนวน 2,200,000 TEU ส่งออก 2,000,000 TEU ยังมีตู้เหลืออยู่ประมาณ 200,000 TEUที่สามารถใช้ได้ แต่เนื่องจากในภาคปฏิบัติจริงจำนวนหนึ่งต้องรอขั้นตอนในการนำสินค้าออกทำให้ตู้ไม่ว่าง และภาคเอกชนบางส่วนเคลียร์ตู้ ทำให้บางช่วงตู้ขาดแคลนในบางช่วงเวลา 

ดังนั้นจึงเห็นว่าควรร่วมกันสร้างแรงจูงใจให้เรือขนาดใหญ่เข้ามาเทียบท่าที่แหลมฉบังมากขึ้น โดยควรเปิดโอกาสเรือสินค้าขนาดใหญ่สามารถถ่ายลำระหว่างทางไปยังประเทศอื่นได้ด้วย เรื่องนี้ที่ประชุมได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงคมนาคมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนหารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการออกมา ส่วนเรื่องค่าระวางเรือ ภาคเอกชนยอมรับว่าเป็นไปตามกลไกราคาในตลาด อยากให้มีการลดค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม จึงได้มอบให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์หารือกับภาคเอกชนต่อไปว่ามีส่วนใดสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้บ้าง

เข้าใจดีว่าอึดอัด ‘วิโรจน์’ ดีใจ ‘สาธิต’ ยอมเปิดปากกล้าสารภาพความจริงที่ ‘ประยุทธ์ - อนุทิน’ ปกปิด จี้ เปิดข้อมูลสำคัญที่ถูก ‘ถมดำ’ เพื่อประโยชน์ประชาชน ถามย้ำ ปชป.ยังจะร่วม ‘รัฐบาลประยุทธ์’ ที่ก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนต่อไปอีกหรือ

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล  กล่าวถึงจากกรณีที่นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข ออกมาสารภาพความจริง ให้ประชาชนได้รับทราบว่า สัญญาที่รัฐบาลได้ทำเอาไว้กับ AstraZeneca ไม่ได้ระบุว่าต้องส่งมอบเมื่อใดนั้น และเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลไม่น่าจะได้รับวัคซีนเพื่อนำมาใช้ปกป้องชีวิตของประชาชนคนไทยจากโรคระบาด ได้ครบ 61 ล้านโดส ภายในสิ้นปี 2564 นี้ โดยมีการขยายระยะเวลาการส่งมอบไปถึงเดือน พ.ค. ปี 65 ซึ่งถ้าสัญญา ไม่ได้ระบุ ระยะเวลาในการส่งมอบที่ชัดเจน ก็ไม่รู้ว่าจะถูกเลื่อนการส่งมอบอีกหรือไม่

วิโรจน์ กล่าวต่อกรณีนี้ว่า แม้จะรู้สึกคับแค้น และเสียใจที่ได้รับทราบข่าวดังกล่าว แต่ก็ยังดีที่วันนี้ได้รู้ความจริง จากปากของ นายสาธิต ที่กล้านำเอาความจริงที่ พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน ไม่ยอมบอกกับประชาชน มาบอกให้ประชาชนได้ล่วงรู้ความจริง ว่าเรื่องวัคซีนจะมีเต็มโรงพยาบาล มีเต็มแขนของประชาชน คงจะเป็นไปได้ยากมากๆ แล้ว เข้าใจว่านายสาธิต คงต้องเผชิญแรงกดดันจากทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน เป็นอย่างมาก ที่นำเอาความจริงมาเปิดเผยในครั้งนี้ 

“ในเมื่อประชาชนได้รู้ความจริงแล้วว่า รัฐบาลนั้นเชื่อถือไม่ได้อีกแล้ว ต่อจากนี้ไป ประชาชนคงต้องเน้นพึ่งพาตนเองให้มากขึ้น ตลอดจนช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามทุกข์ยามยากให้มากขึ้น” 

วิโรจน์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องการกระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีน ตนและภาคประชาชน ได้เตือนรัฐบาลมาโดยตลอด ว่าหากรัฐบาลไม่กระจายความเสี่ยงในการจัดหาวัคซีนเอาไว้ล่วงหน้า ถ้าเกิดปัญหาการส่งมอบวัคซีนล่าช้า หรือเกิดปัญหาประสิทธิผลของวัคซีนที่ไม่เพียงพอต่อการป้องกันการระบาด หรือเกิดปัญหาอาการไม่พึงประสงค์หลังรับการฉีดวัคซีนที่ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่น หรือในกรณีที่ต้องเผชิญหน้ากับเชื้อกลายพันธุ์ แล้วรัฐบาลจะแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อปกป้องชีวิตของประชาชนได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนายสาธิต กล้าที่จะนำเอาความจริงมาเปิดเผยแล้ว ก็ควรจะเปิดเผยความจริงทั้งหมดให้กับประชาชนได้รับทราบ เพราะมีอีกหลายเรื่อง ที่ประชาชนอยากรู้ความจริง เช่น

1) ในเมื่อเงื่อนไขการอุดหนุนวงเงิน 600 ล้านบาท ให้กับ บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด มีเงื่อนไขที่ระบุในหนังสือจากคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ลงวันที่ 24 ส.ค. 63 ระบุชัดว่า มีเงื่อนไขจำกัดการส่งออก และประเทศไทยจะมีสิทธิสั่งซื้อเป็นอันดับแรก แล้วเหตุใด ในรายละเอียดในหนังสือแสดงเจตจำนงในการทำสัญญา (Letter of Intent) ในวันที่ 12 ต.ค. 63 รัฐบาลจึงไปตกลงที่ยอมให้ AstraZeneca สามารถส่งออกได้ โดยปราศจากเงื่อนไข

2) ตกลงแล้วสัญญาวัคซีน AstraZeneca 26 ล้านโดส ที่ลงนามในวันที่ 12 ม.ค. 64 นั้นมีเงื่อนไขจำกัดการส่งออก และประเทศไทยมีสิทธิซื้อก่อน อยู่หรือไม่ แล้ว ณ วันนี้ ที่ประชาชนได้รับวัคซีนไม่เป็นไปตามแผน 10 ล้านโดสต่อเดือน รัฐบาลสามารถบังคับสัญญาได้หรือไม่

3) ในกรณีที่ไม่มีเงื่อนไขการจำกัดการส่งออก และสิทธิการซื้อวัคซีนก่อน แล้วสัญญารับทุนอุดหนุนของบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ที่ลงนามในวันที่ 18 ธ.ค. 63 นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

4) สัญญาที่เปิดเผย ณ วันนี้ นั้นเป็นสัญญาสั่งซื้อวัคซีน AstraZeneca ที่ปรากฎตัวเลขเพียง 26 ล้านโดส เท่านั้น จึงอยากจะสอบถามว่า ตัวเลขอีก 35 ล้านโดส เพื่อรวมเป็น 61 ล้านโดส นั้นอยู่ในสัญญาฉบับไหน และมีเงื่อนไขการสั่งซื้ออย่างไร

นอกจากนี้ วิโรจน์ ยังได้ทวงถามไปถึงนายอเนก เหล่าธรรมทัศน์ รมว.กระทรวง อว. ว่า ปกติแล้วประชาชนทั่วไป จะสามารถเข้าไปตรวจสอบข้อมูลสต๊อกวัคซีนโควิด-19 ได้ผ่านระบบการติดตามตรวจสอบย้อนกลับโซ่ความเย็นของวัคซีนโควิด-19 ซึ่งพัฒนาโดยกระทรวง อว. แต่ทำไม ในปัจจุบัน จึงมีการปิดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบได้ จึงขอเรียกร้องให้กระทรวง อว. กลับมาเปิดให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูลสต๊อกวัคซีน โดยเร็วที่สุด เพราะนี่คือ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของประชาชน ความโปร่งใสเท่านั้น ที่จะเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนกลับมาได้ ยิ่งปิดกั้น ยิ่งทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือในรัฐบาล และจะทำให้รัฐบาลล่มสลายในความชอบธรรมในการบริหารราชการแผ่นดินในที่สุด

สุดท้าย วิโรจน์ ได้ให้กำลังใจนายสาธิต เพราะเข้าใจในความอึดอัดของนายสาธิตดี ที่ต้องทนเห็นประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส เห็นประชาชนตายคาบ้าน เห็นคนรอคิวตรวจต้องนอนรอตามริมกำแพงวัด นอนรอบนฟุตบาท ต้องตากฝนรอ เห็นน้ำตาประชาชนที่หมดหนทางในการหาเตียง เห็นเด็กตัวเล็กๆ ต้องกำพร้าที่จะไม่ได้รับอ้อมกอดจากพ่อแม่อีก เห็นคนต้องสิ้นเนื้อประดาตัว หมดอาลัยตายอยากในชีวิต

“ผมขอตั้งคำถามเชิงให้กำลังใจ ไปยังนายสาธิตว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยังจะยอมให้กับ รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อกรรมเข็ญกับประชาชน ต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ จริงๆ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ทำได้แค่เบือนหน้าหนี กัดริมฝีปากล่าง และแอบไปร้องไห้ปาดคราบน้ำตา กับภาพความทุกข์ยากสิ้นหวังของประชาชน ที่สาหัสขึ้นอยู่ทุกวัน ทำได้แค่นี้จริงๆ หรือ”  วิโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย

 

กอ.รมน. ร่วมบูรณาการทุกภาคส่วน เชิงรุก แก้ไขปัญหาหลบหนีเข้าเมือง ทุกพื้นที่ 

พล.ต.ธนาธิป  สว่างแสง โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เปิดเผยว่า กอ.รมน. ได้ประชุมหน่วยขึ้นตรง กอ.รมน. เพื่อสรุปผลการปฏิบัติงานในรอบเดือนที่ผ่านมา โดยเป็นการจัดประชุมผ่านระบบวิดิทัศน์ทางไกล (VTC) เพื่อป้องกันการอยู่ร่วมกันเป็น หมู่คณะตามนโยบายของรัฐบาล และมาตรการที่ ศบค. กำหนด โดยมี พล.อ.วรเกียรติ  รัตนานนท์ เลขาธิการ กอ.รมน. เป็นประธานการประชุม ว่า ทางกอ.รมน. ได้ร่วมบูรณาการจัดตั้งทีมสหวิชาชีพ ดำเนินการเชิงรุกแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าว และบุคคลหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จับกุมบุคคลหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาการจับกุมบุคคลต่างด้าวที่ใช้ช่องทางธรรมชาติลักลอบเข้ามาทำงานในประเทศไทย ยังคงมีการตรวจพบและจับกุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลการจับกุมในพื้นที่ชายแดนมีแนวโน้มลดลง แต่มีผลการจับกุมที่ตรวจพบในสถานประกอบการเพิ่มขึ้น
 
โดยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของประเทศไทย ยังคงตรวจพบการแพร่ระบาดเป็นกลุ่ม (คลัสเตอร์) ใหม่ๆ และมีแรงงานต่างด้าวติดเชื้อเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ, ปริมณฑล และจังหวัดเศรษฐกิจ/อุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยให้ห้วงเดือนที่ผ่านมา  กอ.รมน. ร่วมบูรณการกับกระทรวงมหาดไทย กรมอนามัย และสภาอุตสาหกรรม ประชาสัมพันธ์ จึงขอความร่วมมือให้สถานประกอบการปฏิบัติตามแนวทางที่ดีของโรงงาน (Good Factory Practice) (GFP)  สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันโรค ด้วยการประเมินตนเองผ่านแพลตฟอร์ม มาตรฐานความปลอดภัยป้องกันโควิค – 19 รองรับสุขภาพดีวิถีใหม่   Thai Stop COVID Plus (TSC) และร่วมจัดตั้งทีมสหวิชาชีพเข้าประเมินโรงงานแบบ on site ในระดับจังหวัด โดยจะสุ่มตรวจให้ทุกจังหวัดต้องมีการประเมินโรงงานไม่น้อยกว่าร้อยละ 10-20 ตามแนวทางที่ได้กำหนดไว้
  
พล.ต.ธนาธิป กล่าวอีกว่า การดำเนินการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ที่ผ่านมามีการควบคุมโรคในรูปแบบพื้นที่ปิดเฉพาะ (Bubble and Seal) โดย กอ.รมน. ร่วมบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐร่วมสกัดกั้นควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว ตรวจสอบสถานประกอบการ ยกระดับมาตรการการป้องกันโรค และเร่งรัดการฉีดวัคซีน รวมทั้งหาแนวทางที่จะดำเนินการนำแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าสู่ระบบการจ้างงานอย่างถูกต้อง ซึ่งหากมีการดำเนินการอย่างเข้มข้น คาดว่าจะสามารถควบคุมการแพร่การกระจายเชื้อโควิด - 19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป  
 

โฆษกอ.รมน. กล่าวว่า กอ.รมน.จัดโครงการตู้ปันสุขช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิค - 19 โดยกอ.รมน. ได้ดำเนินการจัดทำโครงการตู้ปันสุข ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.รมน. ที่ต้องการให้ กอ.รมน. มีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระในการครองชีพให้กับประชาชนในชุมชนใกล้เคียง ซึ่งกอ.รมน. ได้ดำเนินการจัดตั้งตู้ปันสุขที่บริเวณด้านหน้า กอ.รมน. และชุมชนวัดสวัสดิ์วารีสีมาราม ซึ่งได้ประสานผู้นำชุมชนและให้ช่วยดูแลและบริหารจัดการในการแบ่งปันสิ่งของอุปโภค บริโภคในตู้ปันสุขให้กับประชาชนในชุมชนวัดสวัสดิ์วารีสีมาราม, ชุมชนซอยโซดา และชุมชนนครไชยศรี ให้ได้รับสิ่งของต่างๆ อย่างทั่วถึง โดยเฉพาะหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์ โดยกำหนดเวลาการเติมสิ่งของในตู้ปันสุขในวันราชการ จำนวน 2 ครั้ง คือ 09.00 น. และ เวลา 14.00 น. ซึ่งที่ผ่านมาสามารถช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ได้ในระดับหนึ่ง 

“ก่อนปิดการประชุม พล.อ.วรเกียรติ ได้กล่าวถึงนโยบายของ นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.รมน. ได้สั่งการให้เหล่าทัพสนับสนุนยุทโธปกรณ์ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิค – 19 (สีเขียว) ที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีความประสงค์จะเดินทางกลับไปรักษายังภูมิลำเนา โดยที่  ผ่านมาได้ดำเนินการ “โครงการคนไทยไม่ทิ้งกัน ทบ. และ กอ.รมน. พาคนกลับบ้าน” เพื่อสนับสนุนรัฐบาลลดภาระระบบสาธารณสุขในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถช่วยแบ่งเบาภาระการรักษาผู้ป่วยฯ ของโรงพยาบาลสนาม และโรงพยาบาลในระบบของกระทรวงสาธารณสุขได้ในระดับหนึ่ง โดยในห้วงต่อไปจะดำเนินการขยายผลโดยใช้อากาศยานของกองทัพบก สนับสนุนการเดินทางให้กับผู้ป่วยโควิค – 19 ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถเดินทางกลับไปพักรักษาตัวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ กอ.รมน. ใคร่ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนช่วยดำเนินการขยายผลและประชาสัมพันธ์ให้ได้รับทราบต่อไป” พล.ต.ธนาธิป กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top