Wednesday, 21 May 2025
NewsFeed

“องอาจ” เสนอนายกฯ แจกชุดตรวจเชื้อโควิดด้วยตนเองให้ประชาชนฟรี

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการตรวจเชื้อโควิด-19 ว่า นับตั้งแต่โควิดแพร่ระบาดรอบ 3 ที่กระจายตัวมากขึ้นทำให้มีประชาชนจำนวนมากสนใจตรวจโควิดมากขึ้น ถึงขนาดไปนอนรอคิวตามจุดตรวจต่างๆ จนภาครัฐต้องประกาศปลดล็อคให้โรงพยาบาลเอกชน และห้องแล็บเอกชนให้ตรวจเชื้อโควิดได้ โดยไม่บังคับให้ต้องรับผู้ติดเชื้อรักษาตัว รวมทั้งอนุญาตให้ประชาชนซื้อ Rapid Antigen Test มาตรวจเชื้อโควิดด้วยตัวเองได้เหมือนที่ทำกันในหลายประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ดีจากการติดตามการจัดตรวจหาเชื้อโควิดฟรีของหน่วยงานภาครัฐ ตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่ามีประชาชนจำนวนมากยังมีความต้องการตรวจเชื้อโควิดฟรีตามที่ทางราชการกำหนด เพราะถ้าไปใช้บริการตรวจตามโรงพยาบาลก็เสียค่าใช้จ่ายหลักพันบาทขึ้นไป หรือถ้าจะซื้อชุดตรวจมาตรวจหาเชื้อด้วยตนเองก็ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น สำหรับคนหาเช้ากินค่ำหรือผู้มีรายได้น้อยเงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนมีความหมาย จึงพบว่าประชาชนส่วนมากต่างมุ่งไปตรวจฟรีตามที่ทางราชการกำหนด

จากการตรวจสอบตามจุดตรวจต่างๆ ของทางราชการ พบว่ามีการบริหารจัดการดีขึ้น ประชาชนมารอข้ามคืนน้อยลง โดยใช้ระบบบัตรคิวซึ่งมีทั้งแจกบัตรคิววันต่อวัน หรือแจกบัตรคิวล่วงหน้า 1 วัน โดยเริ่มตั้งแต่ 6.00 น. หรือ 7.00 น. บ้าง แต่ก็มีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ตรวจเพราะคิวเต็มต้องไปเสาะแสวงหาจุดตรวจอื่นๆ 

การที่ประชาชนไปรอคิวตรวจฟรีตามที่ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าประชาชนให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการช่วยกันยับยั้งการแพร่ระบาด เพราะถ้าพบว่าตนเองติดเชื้อก็จะได้เข้าสู่กระบวนการของการรักษาตัวตามสถานพยาบาล หรือแยกกักตัวที่บ้าน เพื่อไม่นำเชื้อไปแพร่ให้บุคคลอื่นต่อไป ภาครัฐจึงควรจัดให้มีการเข้าถึงบริการสาธารณสุขดังนี้ 

1. จัดให้มีการตรวจเชื้อโควิดเพิ่มมากขึ้นให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่คิดว่าตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยงใน กทม. ที่มีการระบาดสูง
2. อำนวยความสะดวก ลดขั้นตอนและอุปสรรคที่ทำให้การเข้าถึงการตรวจเชื้อโควิดทุกกรณี
3. รัฐควรจัดหาชุดตรวจเชื้อโควิดด้วยตนเองฟรีให้ประชาชนส่งตรงถึงบ้าน โดยกำหนดช่องทางการขอรับชุดตรวจเชื้อด้วยตนเองฟรีที่สะดวกที่สุด

จึงขอฝากข้อเสนอทั้ง 3 ข้อนี้ให้นายกรัฐมนตรี นำไปพิจารณาใน ศบค. เพื่อกำหนดมาตรการและวิธีการปฏิบัติเพื่อจะได้ช่วยกันทำให้การแพร่ระบาดของโควิดทุเลาเบาบางลง เมื่อสามารถขจัดต้นตอของการติดเชื้อของบุคคลต่างๆ ลงได้ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาวิกฤติโควิดในที่สุด 

“นิพนธ์” ร่วม “มหาดไทยปันสุข ส่งต่อความห่วงใย สู้ภัยโควิด-19” เติมของอุปโภค-บริโภคใส่ “ตู้ปันสุข” หน้ากระทรวง มท. ช่วยเหลือประชาชน พร้อมเชิญชวนผู้มีจิตกุศลร่วมบริจาคสิ่งของช่วยเพื่อนร่วมชาติยามวิกฤติ

ที่บริเวณหน้ากระทรวงมหาดไทย  นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย พร้อมข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ อส.ร่วมกิจกรรม “มหาดไทยปันสุข ส่งต่อความห่วงใย สู้ภัยโควิด-19”  เพื่อนำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมาเติมเต็มที่ตู้ปันสุข เป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นให้แก่ประชาชนโดยรอบกระทรวงมหาดไทยที่ได้รับผลกระทบเป็นการคลายความทุกข์ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน และประชาชนที่เดือดร้อน เชิญเข้ามาหยิบสิ่งของนำไปใช้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนกันได้ทุกวัน และสำหรับผู้มีจิตกุศลและต้องการแบ่งปันสามารถนำสิ่งของไปเติมได้ในตู้ปันสุขทุกแห่ง เพื่อเป็นการแบ่งปันและพร้อมที่จะก้าวผ่านช่วงระยะเวลายากลำบากไปด้วยกัน 

สำหรับกิจกรรม "มหาดไทยปันสุข ส่งต่อความห่วงใย สู้ภัยโควิด 19" กรมการปกครอง โดยกระทรวงมหาดไทย จัดขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมตามปรัชญากระทรวงมหาดไทยที่ว่า "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข"ให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบในสถานการณ์โควิด-19  โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ซึ่งมีประชาชน ผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะอย่างแท็กซี่  และวินมอเตอร์ไซค์ มารอรับสิ่งของอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ได้ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)ให้เป็นไปตามแนวทางมาตรการป้องกันโรค และปฏิบัติตามมาตรการ D-M-H-T-T-A โดยเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด

พล.อ.ประวิตร  ประธานมอบหนังสืออนุญาต ใช้ที่ราชพัสดุ เพื่อประโยชน์ด้านสาธารณสุข-การศึกษา-สิ่งแวดล้อม-การท่องเที่ยว  มุ่งพัฒนาท้องถิ่น  ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช.  ลดผลกระทบจากโควิด-19 

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา10.00น.  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.ได้เป็นประธานในพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุ เพื่อสนับสนุนภารกิจของส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.กค. และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.กค. เข้าร่วมในพิธี  ณ  ห้องประชุมวายุภักษ์ 4  กระทรวงการคลัง

พล.อ.ประวิตร ได้เป็นประธาน และทำพิธีมอบหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ราชพัสดุ แก่หัวหน้าหน่วยงาน ภายใต้มาตรการ ป้องกันโควิด-19  เพื่อสนับสนุนภารกิจของส่วนราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 71 รายการ รวมเนื้อที่ 561 ไร่เศษ โดยเป็นการสนับสนุนที่ดินให้กับหน่วยงานภาครัฐ ที่มีภารกิจ ด้านสาธารณสุข การศึกษา และการพัฒนาพื้นที่เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการท่องเที่ยวในระดับท้องถิ่น ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์ โควิด-19 ด้วย

พล.อ.ประวิตร  ยังได้กล่าวขอบคุณ กระทรวงการคลัง และกรมธนารักษ์ ที่ได้ดำเนินการ ส่งเสริมสนับสนุนภารกิจของหน่วยงาน ผู้ขอใช้ที่ราชพัสดุ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ของ พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 ในการใช้ที่ราชพัสดุ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด พร้อมกำชับ ส่วนราชการและองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งขับเคลื่อนภารกิจให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว และบรรลุวัตถุประสงค์ ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ของพี่น้องประชาชน ต่อไป

“คนรักสถาบันฯ” ร้อง “นายกฯทบทวนคุณสมบัติ “ชัยวุฒิ” นั่งดีอีเอส เหตุ ปล่อยปละเกิด เฟกนิวส์ กระทบความมั่นคง

ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล ตัวแทนกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน(ศปปส.) กลุ่มภาคีประชาชนปกป้องสถาบัน ศูนย์ช่วยเหลือด้านกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิด Bully ทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.) อาชีวะปกป้องสถาบัน ในนาม พสกนิกรปกป้องสถาบัน นำโดย นางแน่งน้อย อัศวกิตติกร อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งส.ส.พิษณุโลก พรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.)ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ตรวจสอบการทำงานของนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ผ่านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี

นางแน่งน้อย กล่าวว่า สภาวะของประเทศไทยเวลานี้ เต็มไปด้วยความขัดแย้งของผู้คนในสังคม การต่อสู้กันจะอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์ ทุกแพลตฟอร์ม วิธีการที่นิยมนำมาใช้เพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามคือการสร้างข่าวปลอม หรือเฟกนิวส์ หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และมีอำนาจโดยตรงในการเข้ามาจัดการกับข่าวปลอมคือ กระทรวงดีอีเอส แต่สิ่งที่เกิดขึ้น และประชาชนเห็นชัดคือ กระทรวงดีอีเอส ไม่สามารถจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเป็นรูปธรรม ข่าวปลอมยังท่วมประเทศ ก่อให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง และไม่สามารถนำคนที่ปล่อยข่าวปลอมมาลงโทยเอาผิดทางกฎหมายได้ โดยเฉพาะข่าวปลอมที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น ประชาชนภาคสังคม จึงขอให้พล.อ.ประยุทธ์ ตรวจสอบการทำงานของนายชัยวุฒิ ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2564 จนถึงปัจจุบันว่ามีความสามารถ และมีความเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ที่จะมาเป็นรัฐมนตรี เพื่อกำกับดูแลกระทรวงดีอีเอส ซึ่งถือเป็นกระทรวงหลักสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ

ด้านนายเสกสกล กล่าวว่า ขอชื่นชมทั้งองค์กรที่มาในวันนี้ที่มาช่วยกันรวมพลังปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้อยู่คู่สังคมไทยตลอดตราบนานเท่านาน ตนขอชื่นชมจากใจจริงเพราะก็เป็นคนหนึ่งที่พร้อมร่วมมือปกป้องสถาบันฯ และไม่ต้องการที่จะให้ใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามาคิดไม่ดีต่อสถาบันฯ ทั้งการจาบจ้วงก้าวล่วงหรือทำผิดกฎหมายมาตรา 112 

มิสเตอร์ผ้าไหม-โคราช โต้กลับกรณี ‘ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ’ อ้าง ‘กรมหม่อนไหม’ มีงบประมาณ 560 ล้าน และตั้งคำถามทำไมต้องให้งบประมาณมากขนาดนี้ ลั่นหม่อนไหม คือ โอกาสของประเทศ ไม่ใช่ภาระของชาติ

จากกรณี ดราม่าวงการผ้าไหมไฟลุก หลังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อ้าง ‘กรมหม่อนไหม’ มีงบประมาณ 560 ล้าน และตั้งคำถามทำไมต้องให้งบประมาณมากขนาดนี้ พร้อมระบุว่า ‘คนทำงานตัวจริงโต้กลับ งบถูกตัดทุกปี คนทำงานกัดฟันดูแลเกษตรกร’ ชี้ อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ไม่ใช่ได้แค่ผ้าไหม แต่ยังมีทั้งอาหาร ยารักษาโรค เครื่องสำอาง แถมช่วยชีวิตคนในห้องผ่าตัดยื้อจากความตาย ตามที่เคยนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

วันนี้ (15 ก.ค.) เพจ ‘ศักดา แสงกันหา มิสเตอร์ผ้าไหม-โคราช’ หรือนายศักดา แสงกันหา กรรมการผู้จัดการ บริษัท มะลิกู๊ด จำกัด ทายาทวัย 30 ปี ของ ‘วันเพ็ญ แสงกันหา’ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรคึมมะอุ-สวนหม่อน จ.นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ตอบโต้ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า ‘กรมหม่อนไหม คือ ‘โอกาส’ มิใช่ภาระของชาติ อย่างที่เขาถากถาง จากกรณีมีคนตั้งถามทำร้ายหัวใจพวกเราชาวอีสาน ชาวเหนือผู้ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และได้รับโอกาสในการทำงานร่วมกับ ‘กรมหม่อนไหม’ มายาวนานนับชั่วคน กับคำถามที่ว่าทำไมต้องมีกรมหม่อนไหม ไปส่งเสริมปศุสัตว์ประมง ดีกว่ามั้ย คำถามคำนี้ใจร้ายมาก เปี่ยมไปด้วยอคติ ความตื้นเขินทางความคิด และขาดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อ วิถีชีวิตของคนไทยโดยเฉพาะพี่น้องของผมที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ ผม ‘ศักดา แสงกันหา’ ผมโตมากับต้นหม่อนและตัวไหม ผมกับแม่ เราเป็นเกษตรกร เราปลูกหม่อน เลี้ยงตัวไหม ทอผ้าขาย นี่คือชีวิตของเรา นี่คือวิถีชีวิตของครอบครัวอีกหลายครอบครัว และนี่คือคำดูถูกที่พวกเรา รับไม่ได้!

ผ้าไหมกับวิถีชาวบ้าน ผมเกิดและเติบโตมาในภาคอีสาน ตั้งแต่เล็กจนโตเห็นการใช้ผ้าไหมในวิถีชีวิตต่าง ๆ โดยในสมัยก่อนผ้าไหมไม่ได้เป็นสินค้าในการจำหน่ายซะทีเดียว แต่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมจะเป็นอาชีพเสริมที่ผู้หญิง จะต้องทำผ้าไหม หรือผ้าฝ้าย เพื่อใช้ในพิธีการต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน ใช้เป็นเครื่องไหว้ต้อนรับผู้ใหญ่ของอีกฝ่าย และตัดชุดซึ่งคิดว่าเป็นชุดที่สวยที่สุดในวันสำคัญของชีวิต ต่อมาหากมีลูกเป็นผู้ชาย ก็จะนำผ้าไหม ให้ลูกใช้ใส่เป็นนาคก่อนบวช หรือ นำไปตัดเป็นผ้าไตรให้ลูกสำหรับใช้บวช นอกจากสองพิธีที่กล่าวมาข้างต้น ในงานมงคลต่าง ๆ ทางศาสนา ก็จะมีผ้าไหมเป็นองค์ประกอบอยู่เสมอ ๆ เพื่อสื่อว่า ‘ผ้าไหมคือผ้าที่ดีที่สุด มงคลที่สุด’ และเมื่อถึงวาระสุดท้าย คุณค่าอันสูงสุดของวิถีชีวิตของพวกเรา ผ้าไหมใช้ห่ออัฐิของบิดามารดาเพื่อเก็บไว้ประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

ผ้าไหมกับการสร้างรายได้และอาชีพ การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมในปัจจุบัน ในหมู่บ้านของผมนั้น ผ้าไหมแทบจะกลายเป็นรายได้หลักในยามที่มีวิกฤต โรคระบาดเช่นนี้ การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมสามารถสร้างรายได้ได้ตั้งแต่ ใบหม่อน ราคารับซื้อในปัจจุบันตอนนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 10-30 บาท โดย 1 ไร่สามารถผลิตใบหม่อนได้เกือบ 5,000 กิโลกรัมในตลอดทั้งปี ต่อมาคือการเลี้ยงไหม

ชาวบ้านเริ่มด้วยการ ซื้อไข่ไหมราคาเป็นธรรมจากกรมหม่อนไหมมาในราคา 15-20 บาท หรือบางครั้งมีการแจกให้ฟรี ไข่ไหมหนึ่งแผ่น (ขนาดเท่ากระดาษเอสี่) สามารถเลี้ยงและสาวเป็นเส้นไหมได้ 4-6 กิโลกรัม เส้นไหมราคาปัจจุบันอยู่ที่ กิโลกรัมละ 1,400-1,600 บาท นอกจากเส้นไหมที่ขายได้แล้วดักแด้ ซึ่งเป็นของเสียจากกระบวนการผลิตเส้นไหมยังสามารถนำมาประกอบเป็นอาหารได้ สามารถขายได้ในราคากิโลกรัมละ 80-120 บาท ไข่ไหม 1 แผ่น จะสามารถได้ดักแด้ประมาณ 10-20 กิโลกรัม หลังจากเราได้เส้นไหมมาแล้วเราจะนำเส้นไหมไปผ่านกระบวนการต่าง ๆ เช่น การฟอกกาวไหม ย้อมไหม มัดหมี่ และสุดท้ายทอออกมาเป็นผ้าไหม ซึ่งสามารถขายได้ ตั้งแต่ราคาเมตรละ 400 บาทจนถึงราคาเมตรละหลายหมื่นบาทไปจนถึงเมตรละเป็นแสนก็มี

ภูมิปัญหาท้องถิ่น คือโอกาสที่ต้องส่งเสริม เทคนิคที่พูดถึงนั้น ก็หมายถึงภูมิปัญญาของชาวบ้านที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ที่เป็นสิ่งล้ำค่า สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมทอผ้า แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นของพระราชินีในรัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ท่านได้นำภูมิปัญญาการทอผ้าไหมของไทยไปตัดเป็นชุดฉลองพระองค์และเผยแพร่ให้กับคนทั่วโลกได้รับรู้ถึงความงามของผ้าไหมไทยและภูมิปัญญาในการทอผ้าของไทย การทำงานร่วมกับ กรมหม่อนไหม ‘กรมหม่อนไหม’ ได้มีส่วนสำคัญในการเข้ามาพัฒนาสายพันธุ์ของไหมไทย เพื่อให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงไหมให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น และยังสนับสนุนส่งเสริมด้านต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้มีคุณภาพและมาตฐานให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมไปถึงการประสานงานช่วยหาตลาดร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ อีกด้วย

หม่อนไหม คือ โอกาสของประเทศผมเคยอ่านเจอวิสัยทัศน์หนึ่งของผู้บริหารประเทศเมื่อ 10 ปีก่อน ที่พูดถึง ‘เศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ผมอยากจะบอกว่า นี่คือโอกาสของประเทศ ไหมไทย คือโอกาสของเกษตร ของคนไทย เราสร้างมูลค่าเพิ่มมากมายได้จากอุตสาหกรรมสิ่งทอ และโดยเฉพาะจากผ้าไหม

เทียบงบประมาณปีล่าสุด กรมหม่อนไหม ได้รับงบ 560 ล้านบาท เพื่อดูแลเรื่องนี้ทั้งระบบ แต่รายได้ของการขายผ้าไหม และผลิตภัณฑ์ต่างไหมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ยา หรือเครื่องนุ่งห่ม เราสร้างรายได้รวมเข้าประเทศได้หลักหมื่นล้าน ใครที่จะมาเป็นนักการเมือง หรือเป็นผู้บริหารประเทศไทยต่อไป ยิ่งต้องมองเป็น ‘โอกาส’ หาใช่การผลักไสวิถีชีวิตของพวกเราไปเป็นเรื่องตลก หรือมองเป็น ‘ภาระ’ และท่านจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงของพวกเราอีกเลย


ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000069183

https://www.facebook.com/112126377810669/posts/112220214467952/?d=n


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สินมั่นคง หักดับ ยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด หลังเห็นยอดติดเชื้อพุ่งติดหลักหมื่นคนต่อวัน อ้างเป็นการบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ จึงใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ฯ แบบ เจอ จ่าย จบ

วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือแจ้งยกเลิกให้ความคุ้มครองประกันภัยโควิด แบบเจอ จ่าย จบ โดยในเอกสารระบุว่า

ด้วยผลสืบเนื่องจากการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 อันเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่ทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง จึงนับเป็นภาวะวิกฤตด้านสาธารณสุขในระดับที่ท้าทายจนไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปสู่จุดใด ส่งผลให้บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) ต้องบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพ

บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) จึงมีความจำเป็นต้องใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยการติดเชื้อไวรัสโคโรนาแบบ เจอ จ่าย จบ หรือ COVID 2 in 1 ตามแบบและข้อความ หมวดที่ 2 เงื่อนไขทั่วไป และข้อกำหนด ข้อ 2.4.3 และข้อ 2.5.1 โดยให้กรมธรรม์ประกันภัยข้างต้นสิ้นสุดความคุ้มครองทั้งฉบับ เมื่อล่วงพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ผู้เอาประกันได้รับหนังสือเป็นต้นไป และบริษัทฯ จะคืนค่าเบี้ยประกันภัยที่ได้รับมาแล้วแก่ผู้เอาประกันให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่กรมธรรม์ประกันภัยสิ้นผลบังคับ โดยหักเบี้ยประกันภัยสำหรับระยะเวลาที่กรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ได้ใช้บังคับมาแล้วออกตามส่วน

การตัดสินใจดังกล่าว บริษัทฯ ได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบและเฝ้าติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยความห่วงใยมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทบทวนผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการดำเนินธุรกิจ และการกำหนดทางเลือกและแนวทางที่จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถบริหารทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เพื่อให้ความคุ้มครองและดูแลลูกค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการทั้งหมดของบริษัทฯ อันได้แก่ ประกันภัยรถยนต์ ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุและการเดินทาง และประกันภัยอื่น ๆ ได้อย่างดีที่สุดและยั่งยืนในระยะยาว

สินมั่นคงประกันภัย ขออภัยลูกค้าเป็นอย่างสูงที่ได้แจ้งยกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ บริษัทประกันวินาศภัยหลายแห่ง ได้ทยอยเลิกขายประกันภัยโควิดแบบ เจอ จ่าย จบ แล้ว เนื่องจากสถานการณ์ระบาดรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่พบว่า มีบริษัทใดที่ทำการบอกเลิกกรมธรรม์ มีเพียงสินมั่นคงประกันภัย เท่านั้นที่ถอดใจก่อน

ทั้งนี้ จากข้อมูลสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พบว่า ประกันภัยโควิด (ณ 15 มิ.ย. 2564) มีเบี้ยประกันรวม 9,070 ล้านบาท คิดจำนวนกรมธรรม์ทั้งหมด 26.41 ล้านกรมธรรม์ ยอดจ่ายเคลมประกันรวมกว่า 1,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 2,095% จากสิ้นปี 2563 ที่มียอดเคลมเพียง 77.3 ล้านบาท โดยเฉพาะหลังจากช่วงระบาดโควิดระลอก 3 ยอดจ่ายเคลมเพิ่มขึ้นกว่า 770.26% จากสิ้นเดือน เม.ย. 2564 ที่มียอดเคลมเพียง 195 ล้านบาท โดยตัวเลขยอดเคลมสูงสุดเข้ามาในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2564


ที่มา : https://www.prachachat.net/finance/news-700771


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

อย่าทำเหมือนไม่มีวิกฤต! ‘ศิริกัญญา’ เสนอ ‘ส่วนกลาง’ หนุนเงินให้โรงเรียน ลดภาระค่าเทอมผู้ปกครอง กังวล อุปสรรค ‘เรียนออนไลน์’ อุปกรณ์และระบบไม่พร้อม สร้างภาระให้ครู-นักเรียนแสนสาหัส จี้ จัดงบสนับสนุนหน่วยงานด้วย

ที่อาคารรัฐสภา นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ได้ตั้งคำถามกับหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการช่วงหนึ่งว่า ประเด็นเรื่องการลดค่าเทอม เป็นเรื่องที่ประชาชนในสังคมต่างให้ความสนใจ รวมทั้งมีข่าวออกมาว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็เคยมีการสั่งการเรื่องนี้ แต่มองไม่เห็นทางออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร หากไม่มีเงินอุดหนุนจากส่วนกลางมอบให้ไป จะให้ไปบีบบังคับโรงเรียนแต่ละโรงเรียนลดค่าเทอมเองคงแทบจะเป็นไปไม่ได้ และยิ่งโรงเรียนเอกชนไม่ต้องพูดถึง เพราะปัจจุบันก็ยังไม่สามารถอุดหนุนเงินครอบคลุมค่าใช้จ่ายบุคลากรหรือครูให้กับพวกเขาได้เลยด้วยซ้ำ เพราะเงินอุดหนุนรายหัวที่อุดหนุนกันนั้น ครอบคลุมแค่ค่าดำเนินการเท่านั้น การไปบีบให้ลดค่าเทอมอีกจึงเป็นไปไม่ได้

“เห็นด้วยถ้าจะนำเงินกู้ส่วนหนึ่งไปช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้กับผู้ปกครองในยามวิกฤตด้วยการอุดหนุนค่าเทอมบางส่วนให้กับแต่ละโรงเรียน แนวทางนี้คิดว่าอาจจะเป็นทางออกของเรื่องนี้ได้” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

นอกจากนี้ ในประเด็นเรื่องการเรียนออนไลน์นั้น นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เป็นเทอมที่ 3 แล้ว ที่นักเรียน นิสิต นักศึกษาต้องเรียนออนไลน์ จึงขอสอบถามถึงการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานว่าได้มีการเตรียมอุปกรณ์ เตรียมความพร้อมให้กับครูและผู้เรียนอย่างไรบ้าง เพราะจากที่ดูจากงบประมาณที่ตั้งมายังไม่ค่อยเห็นรายการที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือ มีแต่รายการที่ใช้สำหรับอบรมวิธีการสอนออนไลน์เท่านั้น

“หลายที่มีการเก็บข้อมูล รวมถึงของหน่วยงานอย่างกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้มีรายงานข้อมูลมาว่า ครอบครัวที่ยากจนนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กจะสามารถเรียนออนไลน์ได้อย่างสะดวก ด้วยความที่ขาดแคลนอุปกรณ์ แม้กระทั่งกรณีที่ไม่ได้เป็นครอบครัวที่มีฐานะยากจนมาก แต่หากต้องเรียนออนไลน์ผ่านทางโทรทัศน์ ถ้าในครอบครัวนั้นมีลูก 2 คนขึ้นไป ก็ทำไม่ได้แล้ว หากที่บ้านมีโทรทัศน์เพียงเครื่องเดียว และยิ่งไปกว่านั้นการเรียนออนไลน์ผ่านโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องที่ทรมาน เมื่อต้องนั่งจ้องจอมือถือที่มีจอขนาดเล็กไปนานๆ 
.
“ดิฉันจึงรู้สึกเห็นอกเห็นใจเด็กๆมาก รวมไปถึงครูเองด้วยที่ต้องมีภาระเพิ่มขึ้น โดยครูบางท่านต้องแก้ปัญหาโดยการแบ่งจำนวนนักเรียนในห้องออกเป็น 2 ห้อง เพราะไม่สามารถสอนนักเรียนพร้อมกันได้ทั้ง 50-60 คน โดยที่ต้องดูนักเรียนที่อยู่ในออนไลน์พร้อมกันได้ กลายเป็นว่าต้องสอน 2 รอบ ต้องวิ่งส่งงานให้ตามบ้านนักเรียนบ้าง ต้องทำงานเพิ่มขึ้น คำถามคือมีการเพิ่มอัตรากำลังบ้างหรือไม่ หรือมีการเพิ่มเบี้ยเลี้ยงให้กับครูที่ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่” นางสาวศิริกัญญา ระบุ

นางสาวศิริกัญญา กล่าวด้วยว่า จากผลการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลกอย่างบริษัท McKinsey พบว่า การเรียนออนไลน์ทำให้ความรู้ของเด็กถดถอย ดังนั้นภายหลังจากที่มีการกลับมาเรียนปกติแล้ว จำเป็นต้องมีการฟื้นฟูการเรียนรู้กลับคืนมา ทางหน่วยงานได้เตรียมการ เตรียมงบประมาณสำหรับใช้จัดการเรื่องนี้แล้วหรือไม่ จำเป็นต้องมีการเรียนเสริมหรือเรียนเพิ่มอะไรหรือไม่ และที่สำคัญในปีการศึกษา 2563 จำนวนวันการเรียนการสอนก็น้อยลง น้อยลงไป 10 % แล้ว โดยจากเดิมที่หนึ่งปีจะเรียนประมาณ 200 วัน จะเหลือเพียงปีละประมาณ 180 วันเท่านั้น ไม่นับว่าการเรียนออนไลน์อาจทำให้เรียนไม่ทันตามบทเรียนอีกด้วย หน่วยงานจะมีการวางแผน จัดการอย่างไร

“ปีนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ. ถูกลดงบประมาณไปประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้มูลค่า 3,000 ล้านบาทเป็นการลดลงของงบประมาณด้านบุคลากร เนื่องจากมีการเกษียณอายุราชการในแต่ละปีค่อนข้างมาก แม้จะรับครูเข้ามาทดแทน แต่ก็ยังไม่เท่ากับจำนวนครูที่เกษียณออกไป ดังนั้นจึงขอเอกสารชี้แจงว่ามีจำนวนครูที่เกษียณในอีก 10 ปี ข้างหน้า โดยแต่ละปีมีจำนวนเท่าใด และขอแผนที่จะมีการรับครูเข้ามาทดแทนด้วย เพื่อที่จะดูแผนและงบประมาณว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

ในเรื่องหลักสูตร นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า แม้ว่าทาง สพฐ. มีแผนที่จะปฏิรูปการสอนเรื่องเพศวิถีและเพศศึกษา แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีการเปิดเผยว่า การอบรมศึกษานิเทศก์ ในเนื้อหาการอบรมมีการเหยียดเพศและมีการพูดถึงว่า เด็กที่ความหลากหลายทางเพศเป็นเพราะเด็กเห็นเพื่อนเป็นกันเยอะแล้วสนุกดี ก็เลยมีแนวโน้มที่จะเป็นคนข้ามเพศ จึงเป็นความน่าผิดหวังและอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นปฏิรูปการสอนเรื่องเพศหรืออย่างไร เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องการสอนในห้องเรียนแล้วมีครูที่แสดงทัศนคติที่ไม่ดีต่อเพศหลากหลาย แต่นี่คือการอบรมศึกษานิเทศก์ ซึ่งจะเป็นการผลิตซ้ำความคิดแบบนี้ไปกับครูอีกหลายๆ ท่าน

“ในปีนี้ทราบว่าจะเริ่มการเรียนแบบการจัดการการเรียนรู้แบบใช้สมรรถนะเป็นฐาน (Competency-based learning) เป็นปีแรก ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี เนื่องจากการศึกษาในระดับแนวหน้าของโลกก็เปลี่ยนมาใช้วิธีการแบบนี้กันหมดแล้ว ทั้งนี้ทางหน่วยงานได้มีการเตรียมพร้อมให้กับบุคลากรแล้วหรือไม่ เพื่อที่จะเข้าอกเข้าใจและสามารถถ่ายทอดกระบวนการเรียนรู้วิธีการดังกล่าวได้ เนื่องจากขณะนี้การอบรมครูก็มีการทำแบบออนไลน์เช่นเดียวกัน จึงทำให้หวั่นใจว่าหากไม่มีการเตรียมความพร้อม ก็อาจจะทำให้ล้มเหลวแบบที่เกิดขึ้นแบบในอดีตที่มีการเปลี่ยนหลักสูตร ถึงแม้ว่าหลักสูตรจะถูกออกแบบไว้ดีแค่ไหนก็ตาม หากเป็นเช่นนั้นก็จะส่งผลทำให้เด็กๆ ต้องเสียโอกาสในการเรียนรู้ไปอย่างน่าเสียดาย” นางสาวศิริกัญญา กล่าว

'ผศ.ดร.วรัชญ์' เผยมีแค่ 5 หน่วยงานเท่านั้นที่สั่งซื้อวัคซีนได้ ถาม ใครเบอร์ใหญ่กว่าหน่วยงานรัฐ

ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนาคณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) NIDA โพสต์เฟซบุ๊ก 'Warat Karuchit' ว่า...

หน่วยงานรัฐที่มีอำนาจสั่งซื้อวัคซีนได้มี 5 แห่ง คือ

1.) กรมควบคุมโรค

2.) สถาบันวัคซีนแห่งชาติ

3.) องค์การเภสัชกรรม

4.) ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

5.) สภากาชาดไทย

ถามว่าที่ไหน ผมก็ตอบได้เลยว่า...ไม่ทราบ ???? (เพราะเช็กกันมาสองสามวันแล้วยังไม่มีใครรู้เรื่องเลย 555)

แต่ 1-2 นั้น เป็นหน่วยงานหลักที่ดีลไฟเซอร์ของรัฐอยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ดีลอื่นที่เร็วกว่า

3 หมอบุญเองก็โจมตีเช้าเย็นว่าล่าช้า

ส่วน 4 หมอบุญออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่เพราะมีงานเยอะ จึงต้องไปหาหน่วยงานรัฐที่ "ใหญ่กว่า"

จึงเหลือ 5 ซึ่งหมอบุญเองก็บอกว่าไม่ใช่ เคยไปติดต่อแล้ว แต่บอกว่าเป็น non-profit

ก็เลยงงๆ ครับว่า เบอร์ไหนจะเปิดตัวออกมาเป็นหน่วยงานปริศนา

ตกลงจากวันที่ 16 ก.ค. 64 เซ็นสัญญา เปลี่ยนไปเป็น "ภายใน 2 วัน" แล้วนะครับ ("ถ้าทุกอย่างลงตัว" ด้วยนะครับ ถ้ายังไม่ลงตัวก็...รอจนกว่าจะลงตัว?)

แล้วจากที่บอกว่า "มาแน่เดือนนี้" เป็น "อย่างเร็วปลายเดือนนี้"...แล้วอย่างช้าละครับ?

#ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย

ขอบคุณโพสต์ของคุณเอกรัฐด้วยนะครับ

https://www.facebook.com/EakaratTkn/posts/3994353167357219


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4773642245984710&id=100000169455098


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รวมเหล่าคนดัง ติดโควิด-19 แล้วกลายเป็นประเด็นดราม่า

เมื่อวาน ดาราสาว แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ เพิ่งประกาศในอินสตราแกรมส่วนตัวว่า ติดโควิด-19 งานนี้กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึง เพราะเจ้าตัว ‘แคล้วคลาด’ การติดโควิด-19 มาหลายครั้งหลายครา โดยเฉพาะหนล่าสุด ที่มีประเด็นดราม่า ชาวเน็ตจับผิดหาว่าเธอ #กักตัวทิพย์

ถึงตอนนี้ มีเหล่าดาราคนดัง ที่ต้องโชคร้ายติดโควิด-19 กันไปแล้วหลายราย แถมบางรายยังมีประเด็นดราม่าให้ต้องเคลียร์กันเสียอีก THE STATES TIMES ไปรวบรวมกรณีคนดังติดโควิด-19 แล้วต้องรบรากับคดีดราม่า ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ต้นปี มีใครกันบ้าง ลองไปดูกัน!


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ผบ.นทพ. ตรวจคัดกรองกำลังพลที่ปฏิบัติงานในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

พลเอก นเรนทร์ สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) ได้ประสานขอรับการสนับสนุนรถเก็บตัวอย่างชีวนิรภัย พระราชทาน จากกรมควบคุมโรค จำนวน 1 คัน มาตรวจคัดกรองหาผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 เชิงรุก ด้วยการเก็บตัวอย่างส่งตรวจ (Swab) โดยการเก็บสารคัดหลั่งบริเวณหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal swab) ของกำลังพลกลุ่มเสี่ยง นทพ. ที่ออกปฏิบัติงานตามนโยบายและสั่งการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) ในการสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขและศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC ) กรุงเทพมหานคร  ณ รพ.บุษราคัม, สนามบินสุวรรณภูมิ, แคมป์คนงานและจุดตรวจในพื้นที่เขตลาดกระบัง และจุดให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19 นทพ. เพื่อเฝ้าระวังและค้นหาผู้ที่อาจติดเชื้อจากการปฏิบัติงาน 

รวมทั้งป้องกันการแพร่ระบาดของโรค โดยได้สั่งการให้สำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สสน.นทพ.) จัดเตรียม บุคลากรที่ได้รับการฝึกปฏิบัติจาก สถาบันป้องกันและควบคุมโรคเขตเมือง(สปคม) พร้อมกับการจัดสถานที่ อำนวยการ ประสานงาน และกำกับดูแลการตรวจคัดกรอง ณ บริเวณโรงจอดรถยนต์ขนาดใหญ่ ด้านหลังอาคารกองบังคับการ สำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา และมีกำลังพล จิตอาสา 904 นทพ. ร่วมอำนวยความสะดวกในการตรวจคัดกรอง

ทั้งนี้ เพื่อดูแลและเฝ้าระวังกำลังพลของหน่วยที่ออกปฏิบัติงานในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ต้องเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงและใกล้ชิดกับประชาชนกลุ่มเสี่ยง ให้สามารถปฏิบัติงานตามนโยบายและสั่งการได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top