Tuesday, 20 May 2025
NewsFeed

สหรัฐฯ ยาหอม!! พร้อมยืนข้างไต้หวัน แต่ย้ำชัด!! ไม่หนุนประกาศเอกราช

เมื่อวันอังคาร (6 กรกฎาคม 2021) ได้มีการจัดงานเสวนาทางออนไลน์โดยสถาบัน Asia Society Policy Institute โดยมีการเชิญ 'เคิร์ท แคมเบล' ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ประสานงานนโยบายภาคพื้นอินโด-แปซิฟิค ประจำทำเนียบขาว เข้าร่วมการประชุม

เสวนาวันนั้น นายแคมเบล ได้กล่าวถึงนโยบายอันแข็งกร้าวขึ้นอย่างมากของจีนในย่านนี้ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีข้อพิพาทเรื่องอธิปไตยมาช้านานอย่าง 'ไต้หวัน'

ทว่า บางส่วนของถ้อยคำของนายเคิร์ท แคมเบล ได้เผยข้อความสุดชอกช้ำต่อไต้หวัน โดยกล่าวว่า สหรัฐฯ จะยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับไต้หวัน และพร้อมสนับสนุนบทบาทของไต้หวันในเวทีโลก...แต่สหรัฐฯ "ไม่ได้สนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวัน"

เคิร์ท แคมเบล ยังอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐฯ-ไต้หวัน ว่ามีความละเอียดอ่อนในการรักษาสมดุลอำนาจอย่างมาก ถึงแม้ไต้หวันจะเป็นพันธมิตรที่ได้รับการหนุนหลังจากสหรัฐฯ มาตลอด แต่สหรัฐฯ ก็ไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้าทางทหารกับจีนที่มีจุดยืนชัดเจนเรื่อง 'นโยบายจีนเดียว' ซึ่งรวมถึงเขตปกครองไต้หวันด้วย

เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่สหรัฐฯ กับจีนจะร่วมมือกัน หรือต่างคนต่างอยู่อย่างสันติ ทาง เคิร์ท แคมเบล ก็ตอบว่า เขายังเชื่อว่าเป็นไปได้ เพียงแต่อุปสรรคมันเยอะ และมีความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไป รวมถึงความรู้สึกนึกคิดของคนรุ่นใหม่ด้วยเช่นกัน

นอกเหนือจากการพูดจุดยืนของสหรัฐฯ ต่อไต้หวันแล้ว เคิร์ท แคมเบล ยังพูดการแสดงออกอย่างเปิดเผยของจีน เมื่อมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับคู่กรณีที่เป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ อย่าง 'ออสเตรเลีย' ที่ตอนนี้มีปัญหาด้านการกีดกันสินค้านำเข้าจากออสเตรเลียอย่างมาก เพื่อตอบโต้การแสดงความเห็น หรือจุดยืนที่เป็นปฏิปักษ์กับจีน

และยังแสดงความห่วงใยกับสถานการณ์การกวาดล้างกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลจีนในฮ่องกง และเกรงว่าจีนอาจพยายามที่จะใช้วิธีเดียวกันกับเขตปกครองไต้หวัน ซึ่งแน่นอนว่าสหรัฐฯ จะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น และพร้อมจะยืนข้างไต้หวันเพื่อรักษาสิทธิ์การปกครองตนเอง ตามระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย

>> แต่ยังย้ำเช่นเคยว่าจะไม่รับรองการเป็นประเทศเอกราชของไต้หวัน

สำหรับการแสดงความเห็นของนายเคิร์ท แคมเบล ในครั้งนี้ เป็นการพูดถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับไต้หวันเป็นครั้งแรกนับในยุคสมัยของรัฐบาลโจ ไบเดน ที่สานต่อนโยบายสงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน ที่ดุเดือดขึ้นตั้งแต่สมัยของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งโจ ไบเดน จะมุ่งไปที่ประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองซินเจียง และการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงใหม่ในฮ่องกง เป็นวาระสำคัญ

แน่นอนว่าจากคำพูดของเคิร์ท แคมเบล ได้ส่งเสียงสะท้อนแรงไปถึงสถานะของไต้หวันอย่างมาก ที่คาดหวังมาตลอดให้สหรัฐฯ หนุนหลัง รับรองการมีเอกราชของไต้หวันในเวทีโลก เพราะดูเหมือนสุดท้ายสหรัฐฯ ก็มองไต้หวันเป็นเพียงหนึ่งในยุทธศาสตร์การเมือง ที่ใช้เพื่อกดดัน ยั่วยุจีน แต่จะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการแยกดินแดน หรือเอกราชออกจากจีน ซึ่งอันที่จริงสหรัฐฯ เองก็ไม่เคยมีนโยบายสนับสนุนการประกาศเอกราชของไต้หวันมาตั้งแต่ต้นแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่ายที่ต้องระมัดระวังในการรักษาสมดุลของขั้วอำนาจให้ดี ๆ น่าจะเป็น 'ไต้หวัน' ที่ตั้งอยู่บนทางแพร่งอันตรายที่สุดของสงครามระหว่างสหรัฐฯ - จีน

และคนที่ไว้ใจหวังพึ่งได้นั้น อาจไม่เคยมีอยู่จริงเลยก็เป็นได้...

อ้างอิง : Taiwan News / South China Morning Post

ผู้เขียน : ยีนส์ อรุณรัตน์ เปรมสิริอำไพ คอลัมนิสต์อิสระ นักแปล นักเล่าข่าว


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ไทยไม่ทน​ -​ ตู่ต้องทน

...วันนี้ที่ 8 กรกฎาคม 2564

...ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ให้นับโทษนายจตุพร พรหมพันธุ์ จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 4176/2552

...ศาลลงโทษจำคุก 12 เดือนต่อจากโทษคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 4907/2555

...ทั้งสองคดี​ มี​ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นโจทก์ ฟ้อง​ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นจำเลย ในข้อหาหมิ่นประมาท

...ศาลอาญาได้ออกหมายขังจำคุกคดีถึงที่สุด โดยที่ก่อนหน้านี้นายจตุพร ถูกจำคุกในคดีนี้มาแล้ว 14 วัน จึงต้องนำมาหักจากโทษจำคุก 12 เดือน จึงเหลือที่นายจตุพรต้องถูกจำคุกอีก 11 เดือน 16 วัน

...เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้นำตัวนายจตุพรไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครต่อไป

...หมายเหตุ : คดีสองคดีนี้โจทก์ให้นับโทษจำเลยต่อจากอีกคดีหนึ่ง เพราะถ้าไม่นับโทษต่อกันจำเลยจะได้ประโยชน์มาก

...ยกตัวอย่าง คดีแรกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2561 ซึ่งจะครบ 1 ปี ในวันที่ 31 ธันวาคม 2561

...คดีที่สองศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2561 ซึ่งครบ 1 ปีในวันที่ 31 มีนาคม 2562

...ถ้าไม่นับโทษคดีที่สองต่อจากคดีแรก เมื่อถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 จำเลยก็ถูกจำคุกครบ 1 ปี

...ส่วนคดีที่สองเมื่อถึงวันที่ 31 มีนาคม 2562 ก็ถูกจำคุกครบ 1 ปีเช่นเดียวกัน รวมแล้วจำเลยถูกจำคุกเพียง 1 ปี 3 เดือน เพราะตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 จำเลยถูกจำคุกซ้อนกันสองคดี

...แต่ถ้านับโทษคดีที่สองต่อจากคดีแรก โทษในคดีที่สองเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 หลังจากครบการจำคุกในคดีแรกคือวันที่ 31 ธันวคม 2561 คดีที่สองครบ 1 ปีในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 คือจำเลยถูกจำคุกรวม 2 ปี ตามคำพิพากษาทั้งสองคดี

 

 

ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3850661081726756&id=100003487051857


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กระทรวงอุตสาหกรรม ผนึกกำลังภาครัฐและภาคเอกชน เปิดงานประกวดนวัตกรรม Catalyst Startup 2021 เร่งศักยภาพ Startup ยกระดับนวัตกรรมไทย เฟ้นหาสุดยอด BCG Startup ต่อยอดธุรกิจเข้าถึงแหล่งทุน

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เผยถึงที่มาของการจัดงาน เกิดจากนโยบายรัฐบาล ที่ตั้งเป้าหมายในการเปิดประเทศในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งจะมุ่งเน้นการเร่งฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศ การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องกับวิถีใหม่ที่เกิดขึ้น ตลอดจนการปรับทักษะแรงงาน เน้นการสร้างโอกาสใหม่ให้แก่บุคลากรภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการประกอบอาชีพอิสระ ค้าขายส่วนตัว หรือการประกอบธุรกิจส่วนตัวที่นำความรู้ความสามารถของตนเองมาช่วยในการสร้างธุรกิจ จนอาจจะสามารถเกิดเป็นผู้ประกอบการใหม่ หรือผู้ประกอบการธุรกิจ Startup ได้ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล

กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานภายใต้กำกับทุกหน่วยงาน ได้เตรียมแนวทางในการสนับสนุนด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินที่มีการสนับสนุนสินเชื่อสำหรับการพัฒนาธุรกิจ การส่งเสริมและพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ภายใต้แนวคิดการพัฒนาการตลาด และการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปใช้ในธุรกิจ ซึ่งจะสามารถเร่งศักยภาพและยกระดับนวัตกรรมไทย ตามนโยบายและเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้

งาน Catalyst Startup 2021 เร่งศักยภาพ Startup ยกระดับนวัตกรรมไทย จะเป็นหนึ่งในแนวทางที่กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ และหน่วยงานพันธมิตร ภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันต่าง ๆ จะร่วมกันขับเคลื่อนและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีผู้ประกอบการ Startup ที่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้มีจำนวนมากขึ้น

โดยภายในงาน จะมีกิจกรรม Online Demo Day ที่จะคัดเลือกผู้สมัครจำนวน 35 ทีม มาทำร่วมทำ Work Shop พร้อมการนำเสนอไอเดียหรือแผนธุรกิจต่อคณะกรรมการจากหน่วยงานพันธมิตร เพื่อคัดเลือกเข้าสู่กิจกรรม Pitching Day ที่จะได้มีโอกาสนำเสนอไอเดียหรือแผนธุรกิจต่อหน่วยงาน บริษัทชั้นนำ และเหล่านักลงทุน ได้แก่

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, บริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน), บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด, บริษัท บัวหลวงเวนเจอร์ส จำกัด, บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด และ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย เป็นต้น

ซึ่ง Startup ที่ผ่านการคัดเลือกเหล่านี้ อาจจะมีโอกาสในการได้รับการร่วมลงทุน หรือได้รับสินเชื่อ เพื่อต่อยอดหรือเสริมสภาพธุรกิจได้ในอนาคต โดยภายหลังจากการจัดงานในครั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเกิดการร่วมลงทุนหรือได้รับสินเชื่อจากหน่วยงานหรือบริษัทชั้นนำที่ร่วมงาน ไม่น้อยกว่า 12 ทีม วงเงินสินเชื่อ หรือเงินลงทุนไม่น้อยกว่า 60 ล้านบาท ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปิดท้าย

ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง Facebook สำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ www.facebook.com/thaismefund/ หรือเว็บไซต์งาน Catalyst Startup 2021 เร่งศักยภาพ Startup ยกระดับนวัตกรรมไทย www.catalyststartup.tech

ทั้งนี้ ผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่กิจกรรม Online Demo Day จำนวน 35 ทีม จะได้รับการสนับสนุนค่าใช้บริการ Online Enterprise System จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัท ไลฟ์ฟินคอร์ป จำกัด ทีมละ 10,000 บาทต่อทีม

และบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด มอบคูปองใช้บริการ HUAWEI CLOUD Credit ทีมละ 5,000 USD หรือประมาณ 150,000 บาทต่อทีม และสำหรับผู้ชนะภายในกิจกรรม Pitching Day บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด มอบคูปองใช้บริการ HUAWEI CLOUD Credit ทีมละ 10,000 USD หรือ ประมาณ 300,000 บาทต่อทีม พร้อมสิทธิในการเข้าร่วม HUAWEI Partner Network และสิทธิ์ในการเข้าร่วมอบรมหลักสูตร HUAWEI CLOUD หลักสูตรละประมาณ 50,000 บาทต่อทีม


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'บิ๊กยิ้ม' ประธาน นสช.รุ่นที่1 (NBI EEC1) สถาบันการสร้างชาติ มอบเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้ 8 โรงพยาบาลในภาคตะวันออก

วันที่ 9 กรกฎาคม 2564 นักศึกษาสถาบันการสร้างชาติ หลักสูตรนักบริหารระดับสูงเพื่อการสร้างชาติ ภาคตะวันออก รุ่นที่1 นำโดย พล.ต.ท.ดร.มนตรี ยิ้มแย้ม ประธานคณะกรรมการบริหาร

คุณพิศมัย ศุภนันตฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารรุ่น, คุณธีรวัฒน์ สุดสุข ประธานอำนวยการ, นพ.ชัยวัฒน์ จัตตุพร ประธานยุทธศาสตร์, ดร.ปรีดา บุญศิลป์ ประธานบริหาร, คุณอภิเษก สื่อประเสริฐสุข ประธานจัดการคณะสรรหาสรรสร้างและประชาสัมพันธ์

พร้อมด้วยคณะกรรมการรุ่นและเพื่อนนักศึกษาในหลักสูตร ได้มีพิธีรับมอบเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้แก่ 8 โรงพยาบาล ใน 7 จังหวัด พื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่ โรงพยาบาลระยอง จ.ระยอง, โรงพยาบาลแกลง จ.ระยอง, โรงพยาบาลแหลมฉบัง จ.ชลบุรี, โรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี, โรงพยาบาลตราด จ.ตราด, โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช จ.สระแก้ว, โรงพยาบาลพุทธโสธร จ.ฉะเชิงเทรา และโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จ.ปราจีนบุรี ในชื่อโครงการ “ทำดีด้วยการให้ ต่อลมหายใจ สร้างไทย...สร้างชาติ” ซึ่งเป็นการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับเชื้อโควิด-19

ทั้งนี้ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานมูลนิธิสถาบันการสร้างชาติ ได้กล่าวว่า “ปัจจุบันผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ได้ทำงานช่วยเหลือผู้ติดเชื้ออย่างเต็มที่แล้ว แต่ยังขาดเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทางนักศึกษาหลักสูตรนักบริหารระดับสูงเพื่อการสร้างชาติ ภาคตะวันออก (NBI EEC) รุ่นที่ 1 ได้เล็งเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้จัดทำโครงการ “ทำดีด้วยการให้ ต่อลมหายใจ สร้างไทย...สร้างชาติ” เพื่อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลต่าง ๆ ใน ภาคตะวันออก เพื่อช่วยผู้ป่วยต่อไป”

ด้วยความร่วมมือของคณะนักศึกษาหลักสูตรนักบริหารระดับสูงเพื่อการสร้างชาติ ภาคตะวันออก (NBI EEC) รุ่นที่ 1 ในครั้งนี้ ได้มีผู้มีจิตศรัทธาจากทุกสารทิศมีส่วนร่วมบริจาค ทำให้โครงการนี้สำเร็จได้ สามารถจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ได้แก่ เครื่องให้ออกซิเจนอัตราไหลสูง (HFO2) พร้อมสาย จำนวน 4 เครื่อง และเครื่องติดตามการทำงานของหัวใจและสัญญาณชีพ (ePM12) จำนวน 4 เครื่อง รวมทั้งสิ้น 8 เครื่อง มูลค่ารวมประมาณ 1,600,000 บาท และทำพิธีรับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่ 8 โรงพยาบาล ใน 7 จังหวัด ภาคตะวันออก ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

สอบถามเพิ่มเติมติดต่อ คุณปรียนันท์  เจริญรัตน์ (ประธานบริหารคณะประชาสัมพันธ์รุ่น) 
เบอร์โทรศัพท์ 061-9942596 อีเมล์: [email protected]
 
ติดตามข้อมูลสถาบันการสร้างชาติได้ที่ เว็บไซต์ https://nbi.in.th/ หรือ เพจของสถาบันการสร้างชาติ https://www.facebook.com/nationbuildinginstitute/

ที่มา: ธีรวัฒน์ อินธิพันธ์ รายงาน

'อนุทิน'​ เปิด 'รพ.สนาม'​ สมุทรปราการ แห่งที่​ 2​ รองรับผู้ป่วยโควิดได้ กว่า 1,200 ราย พร้อมชื่นชมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

(สมุทรปราการ)​ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะเดินทางมายังจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเป็นประธานเปิดโรงพยาบาลสนาม แห่งที่ 2 ของจังหวัดสมุทรปราการ โดยมีชื่อว่า 'โรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5'​ ซึ่งนับว่าเป็นโรงพยาบาลสนามขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่สามารถรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้มากถึง 1,200 -1,400 คน 

โดยก่อนหน้านั้น นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และคณะผู้บริหารได้เดินทางมาตรวจความพร้อมในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ในเบื้องต้นแล้ว

สำหรับพิธีเปิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 มีนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นผู้กล่าวรายงาน โดยมีนายชัยพจน์ จรูญพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ นำคณะผู้บริหารโดยมีนายสุนทร ปานแสงทอง รองนายก อบจ.สมุทรปราการ, ดร.พิริยะ โตสกุลวงศ์ รองนายก อบจ.สมุทรปราการ, นายสมลักษณ์ ควรสงวน รองนายก อบจ.สมุทรปราการ, นายสมหวัง เกษมโกสินทร์ เลขานุการนายก อบจ.สมุทรปราการ, นางสาวชนม์ทิดา อัศวเหม เลขานุการนายก อบจ.สมุทรปราการ ประธานคณะกรรมการ บริษัท WHA คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และหัวหน้าส่วนราชการคณะสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ, ข้าราชการตำรวจ, ทหาร และแขกผู้มีเกียรติร่วมให้การต้อนรับ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า  ขอชื่นชมในการประสานความร่วมมือของจังหวัดสมุทรปราการ ที่สามารถขยายพื้นที่โรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้มากถึง 1,200-1,400 เตียง โดยการประสานความร่วมมือระหว่าง องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ หอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ และบริษัท WHA คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่อำนวยความสะดวกเอื้อเฟื้อจัดหาสถานที่เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด-19 และความร่วมแรงร่วมใจจนทำให้เกิดโรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 แห่งนี้ โดยมีโรงพยาบาลสมุทรปราการ โดยนายแพทย์ นำพล แดนพิพัฒน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมุทรปราการ ดูแลดำเนินการเป็นหลัก

อีกทั้ง องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการปรับปรุงสถานที่เพื่อรองรับผู้ป่วย รวมทั้งสร้างห้องน้ำให้กับผู้ป่วยอีกด้วย ตลอดจนทุกภาคส่วนที่มีส่วนร่วมกันผลักดันจัดตั้งโรงพยาบาลสนามแห่งนี้

โรงพยาบาลสนามแห่งนี้ยังมีความพร้อมในการรองรับผู้ป่วย จำนวนถึง 1,200 คน ประกอบกับการนำรูปแบบเทคโนโลยีที่ทันสมัยนำมาใช้กับผู้ป่วยโควิด-19 แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของจังหวัดสมุทรปราการ จึงมีความห่วงใยประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วย กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายที่จะรับรักษาผู้ป่วยโดยไม่ทอดทิ้งให้ผู้ป่วยที่มีอาการหนักต้องอยู่ที่บ้าน 

ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการทุกรายต้องได้รับการเข้ารักษาในโรงพยาบาล หรือ Home Isolation และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โรงพยาบาลสนามแห่งนี้จะช่วยเหลือผู้ป่วยได้อีกเป็นจำนวนมาก

ที่มา: คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

“เสกสกล” รับ คนแห่ต่อคิวตรวจโคิวิด-19 แน่น ยัน รัฐ เร่งเปิดจุดตรวจเชื้อ วอน ปชช.เชื่อ “บิ๊กตู่”พาพ้นวิกฤต

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่ปรากฎภาพประชาชนต่อแถว รอการตรวจหาเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ว่า ยอมรับว่าประชาชนอาจไม่ได้รับความสะดวกสบาย โดยศบค.ยืนยันที่จะเร่งเปิดจุดตรวจหาเชื้อให้มากขึ้น นอกจากนั้นกระทรวงสาธารณสุข มีมติให้กำหนดแนวทางการใช้วิธีตรวจหาแอนติเจนโดยใช้ ชุดตรวจโควิด Rapid Antigen Test โดยสถานพยาบาลของรัฐและเอกชนที่ผ่านการรับรองทางห้องปฏิบัติการเครือข่ายตรวจ SARS-CoV-2 จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อแก้ปัญหาประชาชน เข้าไม่ถึงบริการตรวจโควิดเพราะต้องรอคิวจำนวนมาก 

นอกจากนั้นยังเพิ่มความสามารถรักษาพยาบาล โดยจัดตั้ง รพ.สนาม ไอซียูสนาม แยกกักในชุมชน แยกกักที่บ้าน ปรับแผนการกระจายวัคซีน เร่งฉีดผู้สูงวัยที่อายุมากกว่า 60 ปี กลุ่มผู้มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ให้ได้ 1 ล้านโดส ภายใน 2 สัปดาห์ และจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ฉีดเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และเร่งจัดหาวัคซีนที่ประชาชนต้องการมาฉีดให้ประชาชน

“ยืนยันว่านายกฯจะทำทุกอย่างเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น ทั้งดูแลด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ เยียวยา และบริหารจัดการวัคซีนให้ประชาชนทุกคน ขอให้ประชาชน เข้าใจว่านายกฯทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างสุดความสามารถ และนายกฯ ขอความร่วมมือประชาชนทุกคนรักษาตนเองให้ปลอดภัย อย่าเชื่อ
เฟกนิวส์ ข่าวบิดเบือน ข่าวปลอม หรือฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่เล่นการเมือง จ้องโจมตีทำลายความเชื่อถือของรัฐบาลเพื่อหวังผลทางการเมือง เพื่อก้าวข้ามวิกฤตไปด้วยกัน

“จุรินทร์” สั่งพาณิชย์จังหวัดติดตามราคาสินค้า ป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาช่วงล็อกดาวน์ เตรียมปล่อยขบวนรถ Mobile พาณิชย์ จำหน่ายสินค้าราคาถูก 300 คัน ลงพื่นที่ 10 จังหวัด

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังจากที่ ศบค.ประกาศมาตรการเตรียมล็อกดาวน์ถึงข้อกังวลในเรื่องราคาสินค้า ว่า ตนได้มีการสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ไปดำเนินการแล้ว โดยให้พาณิชย์จังหวัดแต่ละจังหวัดติดตามปริมาณและราคาสินค้า หากะบมีใครกระทำผิดกฎหมายก็จะต้องดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด เพราะถือเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์และประชาชนที่กำลังเดือดร้อนจากสถานการณ์โควิด19 แล้วยังจะต้องมาเจอการเอารัดเอาเปรียบจากการจำหน่ายสินค้าเกินราคาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง โดยประชาชนหากพบเจอก็สามารถร้องเรียนมาที่สายด่วน 1569 ได้ 

นายจุรินทร์ ยังเปิดเผยอีกว่า ภายหลังจากที่มีมติ ศบค.เตรียมล็อกดาวน์ 10 จังหวัด คือ กทม.และปริมณฑล และจังหวัดในชายแดนภาคใต้ ที่จะเริ่มในวันที่ 12 ก.ค.นั้น กระทรวงพาณิชย์จะปล่อยขบวนรถ Mobile พาณิชย์ จำหน่ายสินค้าราคาถูกเป็นกรณีพิเศษจำนวน 300 คัน เพื่อเข้าไปใน 10 จังหวัดทันทีที่เริ่มมาตรการล็อกดาวน์ และจะจำหน่ายต่อเนื่องไปจนจบมาตรการล็อกดาวน์ โดยสินค้าที่นำไปจำหน่ายนอกจากจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปแล้ว ยังจะมีสินค้าสำหรับใช้ในการป้องกันเชื้อโควิด19ด้วย เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ แอลกอฮอล์ และภายในวันนี้จะมีการหารือคำนวณราคาสินค้าอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรให้มีราคาถูกที่สุด เพื่อสามารถลดค่าครองชีพให้ประชาชนได้มากที่สุดในช่วงล็อกดาวน์ รวมถึงในสัปดาห์หน้าก็เตรียมที่จะลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบราคาสินค้าในสถานประกอบการต่างๆอีกด้วย

ทอ.เปิดโรงพยาบาลสนามแห่งใหม่ที่จังหวัดลพบุรี รับมือโควิด มั่นใจมีความพร้อมเปิดรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทันที

 พล.อ.ท. ฐานัตถ์ จันทร์อำไพ เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในฐานะโฆษกกองทัพอากาศ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด19 ในประเทศไทยแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้โรงพยาบาลหลายแห่งมีข้อจำกัดจำนวนเตียงไม่สามารถรองรับกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด19 ที่เพิ่มขึ้น กระทรวงกลาโหมจึงได้สั่งการให้เหล่าทัพจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้น เพื่อรองรับขีดจำกัดของสถานพยาบาลต่าง ๆ 

พล.อ.อ.แอร์บูล สุทธิวรรณ ผู้บัญชาการทหารอากาศ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงสั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการพลเรือน-ทหาร ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพอากาศ (ศป.พรท.ศบภ.ทอ.) เร่งดำเนินการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพื่อสนับสนุนรัฐบาลและ ศบค.อย่างเร่งด่วน โดยพิจารณาใช้อาคารและสถานที่ และขีดความสามารถของหน่วยที่มีอย่างเต็มความสามารถ 

กองทัพอากาศ ร่วมกับ จังหวัดลพบุรี และ สาธารณสุขจังหวัดลพบุรี รวมทั้งโรงพยาบาลท่าวุ้งและบริษัท บี.ฟู้ดส์ โปรดักส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด จัดตั้ง ”โรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศ (กองบิน 2) จังหวัดลพบุรี” บริเวณอาคารศูนย์ฝึกภาคพื้นทางยุทธวิธีกองทัพอากาศ กองบิน 2 จำนวน 5 อาคาร เพื่อรองรับผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการและสามารถดูแลตัวเองได้ (กลุ่มสีเขียว) รวมทั้งสิ้นจำนวน 400 เตียง โดยแบ่งโซนผู้ป่วยชาย จำนวน 2 อาคาร รวม 160 เตียง และโซนผู้ป่วยหญิง จำนวน 3 อาคาร รวม 240 เตียง พร้อมอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก สำหรับตัวอาคารมีรั้วกั้นโดยรอบพื้นที่ การกำหนดเส้นทางการเข้าออก ทั้งเส้นทางที่ปลอดเชื้อ และเส้นทางกรณีฉุกเฉิน  ซึ่งมีการซักซ้อมการปฏิบัติให้แก่เจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้วนับเป็นโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 5 ของจังหวัดลพบุรี 

กองทัพอากาศขอให้ประชาชนมั่นใจว่า “โรงพยาบาลสนามกองทัพอากาศ (กองบิน 2) จังหวัดลพบุรี”ได้รับการตรวจและรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ตลอดจนมีความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลท่าวุ้ง เป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบตลอด 24 ชั่วโมง

ทั้งนี้ ได้เปิดให้บริการรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 วันแรก จำนวน 134 คน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา กองทัพอากาศขอยืนยันว่า จะใช้ขีดความสามารถทั้งด้านกำลังพลและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยมุ่งหวังให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีสุขภาพดีและปลอดภัยจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19

“ผบ.ทสส.” ปช.หน่วยมั่นคง จัดกำลังตั้งจุดตรวจ-จุดสกัด -สายตรวจ คุมเข้มทุกพท. เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค ตามนโนบายรัฐบาลและศบค.

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.ต.ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยว่า พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส/หน.ศปม.) สั่งการให้หน่วยงานด้านความมั่นคง เริ่มดำเนินการจัดตั้งจุดตรวจจุดสกัด และชุดสายตรวจในการลาดตระเวนเพื่อกำกับดูแลการปฏิบัติ การเดินทางข้ามพื้นที่อย่างเข้มงวดในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้ง 50 เขต จำนวน 88 จุด ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่ามีผู้ฝ่าฝืนจากมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายและการดำเนินกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดฯ ของบุคคลในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 10 จังหวัด ให้บังคับใช้บทลงโทษตามแห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558

ทั้งนี้ ผบ.ทสส/หน.ศปม. ได้ขอความร่วมมือกำลังพลและครอบครัว รวมทั้งประชาชนทุกภาคส่วน มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติตามการป้องกันไวรัสโควิด-19 เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด โดยขอให้งดเว้นการจัดกิจกรรมทุกรูปแบบที่อาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค พร้อมทั้งเน้นย้ำการปฏิบัติหน้าที่ของทหารที่ประจำอยู่ในพื้นที่ควบคุมจุดตรวจหรือด่านตรวจต่างๆ โดยเฉพาะตามแนวชายแดนต้องเคร่งครัด รวมทั้งการปฏิบัติเพื่อควบคุมการเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อที่อาจลักลอบเข้ามาในราชอาจักรไทย

สำหรับ การควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ตามแนวชายแดนนั้น ปัจจุบันได้ดำเนินการปฏิบัติโดยการเพิ่มกำลังทหาร ตำรวจ สนธิกำลังกับกองกำลังป้องกันชายแดน อย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้เน้นย้ำการวางจุดตรวจพื้นที่ที่สำคัญ เพื่อป้องกันการข้ามเข้ามายังประเทศไทย พร้อมทั้งสั่งการให้ใช้เครื่องมือพิเศษตรวจพื้นที่ และประสานกระทรวงมหาดไทยใช้ชุมชนเข้มแข็งตามแนวชายแดนช่วยตรวจตราแจ้งข้อมูลข่าวสารให้กับทางเจ้าหน้าที่เพื่อดูแลควบคุมพื้นที่ทหารที่ทำหน้าที่ต้องเพิ่มความเข้มข้นและเข้มงวดในมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันให้ได้มากที่สุด

ในห้วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน โปรดให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตนตามที่ภาครัฐกำหนดโดยเคร่งครัด งดการออกนอกเคหะสถานในช่วงเวลาที่กำหนดโดยไม่มีความจำเป็น หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ปฏิบัติงานที่บ้าน (Work from home) อย่างเต็มรูปแบบ ร่วมกันอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ  มีวินัยในการปฏิบัติตนตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค โดยกองทัพไทยพร้อมเคียงข้างพี่น้องประชาชนและจะปฏิบัติภารกิจเพื่อดูแลประชาชนอย่างเต็มขีดความสามารถเพื่อก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ไปด้วยกัน

กห.ปช.ฝ่ายความมั่นคง เร่งเตรียมกำลังสนับสนุนมาตรการรัฐ ตั้งจุดตรวจจุดสกัด พื้นที่สีแดงเข้ม อย่างเข้มงวด 

ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ  ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ  ช้างมงคล รมช.กลาโหม และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม ประชุมหน่วยงาน กอ.รมน. นขต.กลาโหม เหล่าทัพ และ ตร. ผ่านระบบ VTC เพื่อเร่งเตรียมความพร้อมสนับสนุนการปฏิบัติตามมาตรการ ศบค.ที่กำหนด

สำหรับภาพรวมฝ่ายความมั่นคงโดย ศปม.ได้เร่งปรับแผนและสนธิกำลัง ทั้งทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง โดยใช้กำลัง ตร.เป็นหลัก กระจายลงพื้นที่จัดตั้ง จุดตรวจ จุดสกัดร่วม รวมทั้งจัดตั้งสายตรวจเคลื่อนที่เร็ว ลงปฏิบัติการในพื้นที่สีแดงเข้ม ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดทั้ง 10 จังหวัด แล้ว ตั้งแต่เวลา 06.00 น. วันนี้ ( 10 ก.ค.)

ทั้งนี้ได้ร่วมจัดตั้งจุดตรวจในพื้นที่ กทม.รวม 88 จุด พื้นที่ 5 จังหวัด ปริมณฑล จำนวน 22 จุด และใน 4 จชต.รวม 35 จุด ร่วมกันทำหน้าที่ในการสร้างความเข้าใจและให้คำแนะนำการปฏิบัติกับประชาชนถึงมาตรการต่างๆ ที่ ศบค.กำหนด 

โดยเฉพาะการจำกัดการปฏิบัติในการเคลื่อนย้าย รวมทั้งข้อกำหนดและข้อจำกัดในกิจกรรมและเวลาที่กำหนด  ทั้งนี้จะเริ่มเข้มงวดบังคับใช้กฎหมายต่อเนื่องตั้งแต่ 12 ก.ค. เป็นต้นไป เพื่อคัดกรองการเดินทางข้ามจังหวัดในพื้นที่สีแดงเข้ม รวมทั้งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการหยุดแพร่กระจายของโรคและการดูแลรักษาความปลอดภัยของประชาชนจากปัญหาอาชญกรรมในคราวเดียวกัน

ขณะเดียวกัน ทุกเหล่าทัพอยู่ระหว่างเร่งขยายขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์แถวสอง และยกระดับขีดความสามารถ รพ.สนามให้สามารถรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและแดงที่เพิ่มขึ้นอย่างเพียงพอ รวมทั้งได้จัดรถพยาบาลสนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยตามบ้าน เข้าสู่ระบบการรักษาแล้ว 9,296 รายโดยทำงานร่วมกับ สธ.อย่างใกล้ชิด

โดยพล.อ.ชัยชาญ ได้กำชับ ขอให้ทุกเหล่าทัพและตร.สนับสนุน ศปม.ในการเตรียมกำลังเสริมและปรับแผนให้สอดรับครอบคลุมงานความมั่นคงตามข้อกำหนดของ ศบค.ที่จะประกาศ โดยให้ประสานทำงานร่วมกับฝ่ายปกครองของจว.และ กทม.โดยเฉพาะคณะกรรมการควบคุมโรค จว.อย่างใกล้ชิด และขอให้ทุกเหล่าทัพให้ความสำคัญ คงความเข้มข้นเฝ้าระวังพื้นที่ชายแดนป้องกันการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่องกันไป หลังจาก 5 วันที่ผ่านมา สามารถจับผู้ลักลอบเข้าเมืองได้เกือบ 300 คน  

นอกจากนั้น พล.อ.ชัยชาญ ยังได้ย้ำให้ทุกเหล่าทัพ วางแผนกระจายกำลังเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคของรัฐที่กำหนด โดยขอให้จัดรถครัวสนามและสิ่งของจำเป็นเข้าไปช่วยเหลือชุมชนต่างๆ รวมทั้งเตรียมพร้อมจัดรถพยาบาลเข้าไปช่วยเหลือนำพาผู้ป่วยตามบ้าน เข้ารับการรักษาใน รพ.สนามที่จัดตั้งขึ้นโดยเร็ว

ก่อนเลิกประชุมในตอนท้ายพล.อ.ชาญชัย ได้ย้ำถึงคำสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์’ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจกับประชาชนไปพร้อมๆกัน เพื่อให้เกิดการสนับสนุนและความร่วมมือกันหยุดเชื้อควบคุมโรคในสถาการณ์วิกฤตที่ต้องการความร่วมมือกันทุกฝ่ายสูงสุด พร้อมทั้งได้แสดงความห่วงใยในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ด่านหน้าในระดับพื้นที่ทุกนาย โดยขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังไม่ประมาทและขอให้ทุกเหล่าทัพ เร่งฉีดวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ทุกนายเป็นการเร่งด่วน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top