Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

“ก้าวไกล” เผย จ่อยื่นซักฟอกรัฐบาลเร็วขึ้นภายใน ต.ค.-พ.ย. ชี้ยังไม่มีการคุยในฝ่ายค้าน แต่เตรียมข้อมูลกันอยู่ 

นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการหารืออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในฝ่ายค้าน ว่า ยังไม่ทราบว่ามีการหารืออย่างเป็นทางการ แต่ในส่วนของพรรคก้าวไกลได้เตรียมข้อมูลกันอยู่ เนื่องจาก 2 ครั้งที่ผ่านมาการอภิปรายไม่ไว้ใจจะเกิดขึ้นในช่วง ปลายสมัยประชุมคือเดือนก.พ. แต่ในครั้งนี้จะมีการยื่นญัตติขออภิปรายไม่วางใจเร็วขึ้นกว่า 2 ครั้งที่เคยมีมา ส่วนการหารือในพรรคร่วมฝ่ายค้านขณะนี้วิปฝ่ายค้านยังไม่มีการคุยกัน แต่อาจเป็นการหารือกันในระดับเลขาธิการพรรค สำหรับพรรคก้าวไกลตอนนี้กำลังเตรียมข้อมูลกันโดยเน้นหนักในเรื่องของงบประมาณ ซึ่งหลังจากที่พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 65 ผ่านวาระ 3 เสร็จประมาณปลายเดือนก.ย. ในเดือนต.ค.หรือเดือนพ.ย.ก็จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ

“นทพ.” หนุน สธ. เสริมกำลังดูแลเปิดให้บริการใน  รพ.บุษราคัม เพิ่มเติม เปิดแล้ววันนี้อีก 1,500 เตียง พร้อมจตเคียงข้างประชาชน ใช้ศักยภาพทหารดูแลประชาชน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

พลเอก นเรนทร์  สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) จัดกำลังร่วมปฏิบัติงานกับกระทรวงสาธารณสุขในภารกิจดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ณ รพ.บุษราคัม อาคารชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยเสริมกำลังพลของ นทพ. ร่วมกับบุลากรทางการแพทย์ของ สธ. ในการขนส่งอาหาร ยารักษาโรคและสิ่งของเครื่องใช้จำเป็นในการดูแลรักษาให้กับผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งในวันนี้เปิดเพิ่ม Hall Chalenger 2 ให้บริการกับประชาชนเข้ามาพักรักษาตัวไม่ทอดทิ้งผู้ป่วยไว้ที่บ้าน โดยมี นายอนุทิน  ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีเปิดและพลเอก นเรนทร์  สิริภูบาล ผบ.นทพ. พลโท ธวัชชัย  ดะนุดิษฐ์ เสธ.นทพ. ร่วมพิธี

อีกทั้งตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด/หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส./หน.ศปม.) โดยปฏิบัติงานทุกวันจนกว่าจะจบภารกิจ

ก้าวไกล ถาม กลาโหมขอวัคซีน 6 หมื่นโดสเพื่อ? ยืดอกเป็นรั้วของชาติห้ามแย่งปชช. ซัดเรียกทหารใหม่เข้ากรมไม่มีความจำเป็นในสถานการณ์โควิด

ที่อาคาร URMENA หัวหมาก นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีเรียกทหารเกณฑ์ใหม่เข้ากรมว่า ในช่วงเดือนเม.ย.จะเป็นการจับเลือกทหารที่เกณฑ์ ซึ่งส่งผลให้ทหารกองประจำการเข้ารับราชการทหารในวันที่ 1 พ.ค.ในผลัดที่1 จำนวน 45,000 คน และมีคำสั่งเลื่อนการเข้าประจำการไปแล้วคือ 1 มิ.ย. ทหารชุดนี้เราได้เรียกร้องมาโดยตลอดว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องเร่งเกณฑ์ทหารชุดใหม่เข้ากรม กองในสถานการณ์แบบนี้ เรายืนยันอีกครั้งว่านี้คือสมรภูมิของสงครามเชื้อโรค เราจะต้องใช้ทุกสัพพะกำลังของรัฐบาลที่มีอยู่เพื่อปกป้องประชาชน แต่เรื่องนี้ไม่มีการรับฟังเสียงใดใดเนื่องจากทหารก็อ้างว่ามีความจำเป็นต้องใช้เหล่าทหารเกณฑ์จำนวนดังกล่าว 

นายณัฐชา กล่าวอีกว่า มาถึงวันนี้มีเอกสารออกมาจากสำนักงานปลัดกระทรวงกระหลาโหมขอสนับสนุนวัคซีนจำนวน 60,000 โดสให้กับทหารใหม่ และเจ้าหน้าที่พนักงานที่อยู่ใกล้ทหารใหม่ ซึ่งในเอกสารดังกล่าวระบุชัดเจนว่าขอสนับสนุนวัคซีนให้กับครอบครัว บริวารผู้ที่สัมผัสกับทหารใหม่ วันนี้ประชาชนอยู่คนละโลกกับทหาร ยังรอคอยวีคซีนรอคิวอยู่ และตอนนี้วัคซีนได้ให้ฉีดกับกลุ่ม 7โรคร้ายก่อน แต่ข้างในกรมไม่มีใครมีโรคร้าย แต่เพียงจะให้นายทหารชั้นผู้ใหญ่ได้ปลอดภัยเลยต้องขอวัคซีนเข้ามาก่อน วันนี้ถ้าทหารบอกว่าเป็นรั้วของชาติจะต้องไม่มาแย่งวัคซีนของประชาชน แต่คุณต้องช่วยเหลือประชาชน ตอนนี้ประชาชนไม่มีเตียงรักษาทหารถ้าเป็นรั้วของชาติจริงในสมรภูมิเชื้อโรคครั้งนี้ ต้องเปิดพื้นที่ของหน่วยทหารใหม่ให้เป็นพื้นที่พักคอยรอเตียงจากโรงพยาบาลสนามในทุกพื้นที่ของการรับทหารใหม่ 

ตนได้รับข้อมูลจากนายทหารชั้นสัญญาบัตรว่าไม่อยากให้เปิดรับทหารใหม่เข้ามา เพราะนายทหารสัญญาบัตรเหล่านี้มีบ้านพักอยู่ในค่ายทหารเกรงว่าเมื่อเปิดรับทหารใหม่เข้ามาแล้วมาจากทั่วทุกสารทิศจะเป็นการนำเชื้อเข้ามาหรือไม่ แต่นายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายๆคนไม่ฟังคำนี้ เพราะนายทหารที่จำเป็นต้องใช้ทหารเกณฑ์ไม่ว่าจะใช้ในตัวบุคคล หรือเป็นยัตรเอทีเอ็มมีความต้องการยอดทหารใหม่เข้าไป เพราะฉะนั้นมันสวนทางกันที่ว่าวันนี้ฝึกก็ไม่ได้แต่กลับนำยอดทหารใหม่เข้าไป ดังนั้นถ้าเกิดทหารยังเป็นทหารที่ปกป้องประชาชนในสถานการณ์สงครามเชื้อโรค ข้าราชการทหารต้องอำนวยความสะดวกในสถานการณ์นี้เพื่อปกป้องประชาชน และต้องไม่เอาเปรียบแทรกคิวเอาวัคซีนของประชาชน ไม่เช่นนั้นเราจะมีรั้วของชาติที่กดทับประชาชนในชาติ วันนี้เราจึงอยากทราบความชัดเจนของความจำเป็นต้องใช้วัคซีน 60,000 โดส และมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่จะต้องมีทหารใหม่ในห่วงสถานการณ์เช่นนี้ นายณัฐชา กล่าว

รมว.เฮ้ง อัด ผู้ไม่หวังดีปั้นข่าวปลอม แจงกรณีมีนักธุรกิจใจบุญ นำอาหารมามอบที่หาดพัทยา เป็นการแบ่งเบาช่วยประชาชนสู้โควิด 

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกรณีที่เว็บไซต์ BRIGHTTV.CO.TH เผยแพร่ข่าวมาถึงขั้นนี้แล้ว! ลูกจ้างตกงาน นั่งขออาหารริมหาดพัทยา เจอพิษโควิดไร้การเยียวยาจากรัฐนั้น จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ พบว่า ข่าวดังกล่าวเป็นข่าวเก่า เมื่อวันที่ 15 -16  มิถุนายนที่ผ่านมา มีนักธุรกิจซึ่งเป็นผู้ใจบุญในพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ได้บริจาคข้าวสาร อาหารแห้ง รวมถึงอาหารกล่องมามอบให้แก่ประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่บริเวณชายหาดพัทยา คนที่มารับอาหารก็มีความหลากหลาย โดยมีเจ้าหน้าที่เทศกิจของเมืองพัทยา มาอำนวยความสะดวกในการจัดระเบียบรักษาระยะห่าง ซึ่งได้มีการดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว โดยผู้ประสงค์จะนำอาหารมามอบจะต้องแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบ เพื่อจะได้ช่วยอำนวยความสะดวกในการจัดระเบียบให้มีการรักษาระยะห่างตามที่สาธารณสุขกำหนด 

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า รัฐบาล ได้มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาลูกจ้างในหลายๆ มาตรการ ทั้ง โครงการ ม.33 เรารักกัน การตรวจโควิดเชิงรุก การฉีดวัคซีนผู้ประกันตน การจ่ายสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยโควิด-19 แก่ลูกจ้างในแคมป์คนงาน 50 เปอร์เซ็นของค่าจ้าง เป็นเวลา 1 เดือน เป็นต้น 

ส่วนเรื่องที่มีคนใจบุญมักนำอาหารมามอบให้พี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิดที่ชายหาดเมืองพัทยาอยู่บ่อยครั้ง ถือเป็นเรื่องปกติ บางครั้งก็เป็นคนไทยบ้าง บางครั้งก็เป็นชาวต่างชาติที่ร่วมทุนกันบริจาคบ้าง เพื่อเป็นการแบ่งบันน้ำใจของภาคเอกชนใจดี นำอาหารมาแจกจ่ายแก่ประชาชนทั่วไป 

"การที่ผู้ไม่หวังดีพยายามปั้นข่าวปลอมขึ้นมา เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ประชาชนเสียกำลังใจ ชาวบ้านเกิดความเข้าใจผิด โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศชาติต้องการความสามัคคีปรองดอง การช่วยเหลือแบ่งปันกันจะทำให้พวกเราทุกคนก้าวข้ามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดไปได้" นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด

ก้าวไกล เรียกร้อง5 ข้อจัดการวัคซีนให้ "ประยุทธ์" เร่งดำเนินการ "วิโรจน์" กังวลแอสตราเซเนกา ไทยแลนด์ ส่งมอบวัคซีนให้ไทยได้ไม่ตรงแผน ตั้งข้อสังเกตรบ.หละหลวมทั้งที่เอาเงินภาษีปชช.6 ร้อยล้านหนุนทำวัคซีน สั่งหยุดซื้อซิโนแวคหลังพบประสิทธิภาพต่ำ จี้เผยราคาซื้อ

ที่อาคาร URMENA หัวหมาก นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อก้าวไกล กล่าวถึงข้อสั่งการถึงบรัฐบาลในการบริหารจัดการวัคซีนและการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ว่า สำหรับการส่งมอบวัคซีน แอสตราเซเนกาที่มีกำหนดต้องส่งมอบในเดือน มิ.ย. ที่ 6,333,000 โดส จากข้อมูลที่ปรากฎในระบบติดตามตรวจสอบย้อนกลับโซ่ความเย็น ที่จัดทำขึ้นโดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พบว่ามีการส่งมอบเพียง 5,371,100 โดส เท่านั้น ยังขาดการส่งมอบอีก 961,900 โดส ซึ่งยอดที่ขาดส่งนี้ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลจะต้องไปเร่งติดตามมาให้ได้ เพราะนี่หมายถึงเกือบ 1 ล้านชีวิตของประชาชนคนไทย ซึ่งจากขีดความสามารถในการฉีดที่โรงพยาบาลต่างๆ ทำได้ 961,900 โดส นั้นใช้เวลาเพียงแค่ 3 วัน เท่านั้น ก็จะช่วยชีวิตประชาชนคนไทยเกือบ 1 ล้านคน ให้ปลอดภัยได้

ที่น่ากังวลก็คือ ตั้งแต่เดือน ก.ค. เป็นต้นไป AstraZeneca Thailand จะเริ่มส่งออกวัคซีนไปยังประเทศต่างๆ โดย 1 ใน 3 ของกำลังการผลิต จะสำรองไว้ให้กับประเทศไทย นั่นหมายความว่าจากกำลังการผลิต 180-200 ล้านโดสต่อปี หรือ 15-17 ล้านโดสต่อเดือน AstraZeneca Thailand จะส่งมอบให้กับประเทศไทยเพียงแค่ 5-6 ล้านโดสต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งไม่ตรงตามแผนการจัดหาวัคซีน ที่รัฐบาลประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 20 เม.ย.64 ที่เว็บไซต์ของรัฐบาลไทย เพจศูนย์ข้อมูล COVID-19 เพจไทยคู่ฟ้า หรือ เว็บไซต์ของสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี ระบุตรงกันว่าในเดือน มิ.ย. จะได้รับวัคซีน AstraZeneca 6.3 ล้านโดส ก.ค.-พ.ย. เดือนละ 10 ล้านโดส และ ธ.ค. อีก 5 ล้านโดส รวมเป็น 61 ล้านโดส ซึ่งแผนนี้ ก็เท่ากับว่า AstraZeneca ไม่สามารถส่งมอบวัคซีนได้ตามแผนการส่งมอบที่รัฐบาลกำหนดได้แน่ๆ 

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต่อมาในวันที่ 2 ก.ค. ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ก็ได้ออกมายอมรับแล้วว่า AstraZeneca Thailand คงไม่สามารถส่งมอบวัคซีนได้เดือนละ 10 ล้านโดส ได้ โดยระบุว่าสัญญาจัดซื้อไม่ได้ระบุจำนวน โดยกำหนดกรอบคร่าวๆ ไว้ที่ 61 ล้านโดสต่อปีเท่านั้น โดยกรมควบคุมโรคได้ส่งเพียงแค่แผนการจัดฉีดวัคซีนให้ AstraZeneca Thailand รับทราบที่เดือนละ 10 ล้านโดส ซึ่ง AstraZeneca Thailand ไม่ได้ปฏิเสธ คงต้องตั้งคำถามว่า ถ้ารัฐบาลไปทำสัญญาเช่นว่านี้จริง ก็ถือว่าเป็นความหละหลวมใหญ่หลวงมาก สัญญาอะไรเพียงแต่กำหนดกรอบตัวเลขคร่าวๆ แล้วอย่างนี้จะวางแผนการฉีดวัคซีนให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างไร 

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ประชาชนจดจำได้ว่า รัฐบาลไทยอุดหนุนเงิน 600 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชน ให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตวัคซีนชนิดเวกเตอร์ไวรัสให้กับประเทศไทย โดยหนึ่งในเงื่อนไขที่ปรากฎในหนังสือเรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ระบุไว้ชัดว่า “... เพื่อให้ประเทศไทยได้รับสิทธิในการซื้อวัคซีนที่ผลิตโดยผู้ผลิตในไทยเป็นอันดับแรกตามจำนวนความต้องการ ... และวัคซีนที่เหลือบริษัท AstraZeneca วางเป้าหมายในการกระจายให้กับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้” ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 25 ส.ค. 63 ก็มีมติ ครม. อนุมัติงบกลาง ของงบประมาณประจำปี 63 อุดหนุนให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด

ดังนั้นพรรคก้าวไกลเรายืนยันว่า ประเทศไทยจึงมีความชอบธรรมที่จะได้รับวัคซีนจาก AstraZeneca Thailand เดือนละ 10 ล้านโดส ส่วนที่เหลืออีก 5-6 ล้านโดส AstraZeneca Thailand จึงสามารถนำไปส่งออก การที่ AstraZeneca Thailand จะส่งมอบให้กับประเทศไทยเพียงแค่ 5 ล้านโดสต่อเดือน จึงเป็นการไม่ยุติธรรมต่อประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงิน 600 ล้านบาท ซึ่งคงถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องเปิดเผยสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยกับ AstraZeneca Thailand ว่ามีเงื่อนไขนี้บรรจุอยู่หรือไม่ ถ้าไม่มีก็เท่ากับว่ารัฐบาลเอาเงินภาษีของประชาชน 600 ล้านบาท ไปอุดหนุนเอกชน โดยไม่ได้ทำตามเงื่อนไขตามที่ได้แจ้งให้ประชาชนทราบ ซึ่งหากไม่สามารถชี้แจงได้ ก็อาจเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง


นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญหลายๆ ท่าน รัฐบาลรู้อยู่แก่ใจว่า สถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ประเทศกำลังเผชิญหน้ากับเชื้อสายพันธุ์เดลต้า มีการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน เชื่อว่าเชื้อสายพันธุ์เดลต้า จะเป็นเชื้อสายพันธุ์หลักในการระบาดในที่สุด เนื่องจากมีอัตราการแพร่ระบาดที่เร็วกว่าเชื้อสายพันธุ์อัลฟ่าถึง 40% และปัจจุบันพบผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์เดลต้าในพื้นที่ กทม. แล้วถึง 70% และ และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในพื้นที่ กทม. ในเดือน ก.ค.-ส.ค. นี้ และที่น่ากังวลไปกว่านั้นก็คือ ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญออสเตรเลียที่ระบุว่า เชื้อสายพันธุ์เดลต้าสามารถแพร่จากคนสู่คน โดยใช้เวลาเพียงแค่ 10 วินาที เท่านั้น แทนที่รัฐบาลจะเร่งจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อกลายพันธุ์ โดยเฉพาะเชื้อสายพันธุ์เดลต้าได้ รัฐบาลกลับยังคงยืนกรานที่จะจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค ทั้งๆ ที่มีกรณีตัวอย่างให้เห็นที่ประเทศชิลี ตุรกี ที่ฉีดวัคซีนให้กับประชากรเป็นสัดส่วนที่มากพอสมควรแล้ว 

โดยวัคซีนที่ฉีดเป็นหลักคือ ซิโนแวค แต่ไม่สามารถควบคุมการระบาดได้  และไม่ใช่ว่าเหตุการณ์ที่บุคลากรทางการแพทย์ ติดโควิด ทั้งๆ ที่ฉีดซิโนแวค ครบ 2 เข็ม จะไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย ตัวอย่างก็มีให้เห็น เจอกับตัวก็โดนมาแล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐบาลจึงดึงดันที่จะจัดซื้อวัคซีน ซิโนแวคเพิ่มเติมอีก 28 ล้านโดส ซึ่งหากพิจารณาราคาก็ไม่ใช่ว่าจะถูก จากราคาที่เคยเปิดเผยผ่านสื่อคือ 549.01 บาท จากมติ ครม. เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 64 ที่ระบุว่า ค่าใช้จ่ายในการจัดหาวัคซีนซิโนแวค 500,000 โดส วงเงินรวม 290.24 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าวัคซีน 271.25 ล้านบาท และเป็นค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 18.99 ล้านบาท  ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการในการฉีดวัคซีน 31.36 ล้านบาท นั่นหมายความว่า วัคซีน 1 โดส จะต้องใช้งบประมาณเท่ากับ 643.2 บาท (รวม VAT) 

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยจัดหาวัคซีน ซิโนแวคมาแล้ว 19.5 ล้านโดส โดยรับบริจาคจากประเทศจีนมา 1 ล้านโดส มีมติ ครม. เพียง 2.5 ล้านโดส ที่เหลือ 16 ล้านโดส คาดว่าใช้งบประมาณ 10,291 ล้านบาท ไม่ปรากฏมติ ครม. ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นมติลับ ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลับ ทำไมถึงเปิดเผยให้ประชาชนทราบไม่ได้ หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับประเด็นในเรื่องราคาวัคซีน ที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตหรือไม่ ว่าราคาวัคซีนซิโนแวคที่รัฐบาลไทยซื้อ อาจจะมีราคาแพงกว่าประเทศอื่น ในประเด็นนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องชี้แจงว่า ราคาที่แท้จริงของซิโนแวคคือ โดสละเท่าไหร่ แพงกว่าที่ประเทศอื่นซื้อหรือไม่ เพราะเหตุใด วันนี้คำถามที่ก้องอยู่ในหัวใจของประชาชนในตอนนี้ ก็คือ ทำไมการสั่งซื้อวัคซีนยี่ห้ออื่น ทำไมไม่เร็วเหมือนกับวัคซีนซิโนแวคที่เหมือนไม่มีการติดขัดใดๆ เลย ทุกอย่างผ่านฉลุย ล่าสุดเลขาฯ สมช. ก็ยังออกมายืนยันว่าวัคซีนซิโนแวคยังคงเป็นวัคซีนที่เหมาะสมกับสภาพเวลานี้ โดยไม่ได้สนใจคำท้วงติงใดๆ จากนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเลย

รัฐบาลไม่สามารถอ้างได้ว่าความล่าช้านั้นเกิดจากการที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอน เพราะกรณีของวัคซีนซิโนฟาร์มยังสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วได้ หากนับตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. ที่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ สามารถนำเข้าวัคซีนได้เอง วันที่ 25 มิ.ย. ก็สามารถเริ่มฉีดได้แล้ว ใช้เวลาเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ประชาชนก็ได้ฉีดวัคซีนแล้ว นี่จึงสะท้อนว่า ถ้าจะเร่งรัดให้เร็ว ก็ทำได้ แต่รัฐบาลเลือกที่จะละเลยไม่ทำเอง  ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ประชาชนได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากอยู่ทุกวัน ทั้งหมดล้วนมาจากความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ภายใต้ความไร้สติปัญญาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งสิ้น

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องสั่งการ พร้อมกับเรียกร้อง ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งดำเนินการ ตามที่ได้สั่งการไว้ ดังต่อไปนี้ 1. การบริหารจัดการวัคซีน 1.1ใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีน พ.ศ. 2561 ในการบังคับให้ AstraZeneca Thailand ส่งมอบวัคซีนให้เป็นไปตามแผนการส่งมอบเดือนละ 10 ล้านโดส ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขที่รัฐบาลอุดหนุนให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ 600 ล้านบาท 1.2 ให้รัฐบาลปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ และสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย ในการพยายามอย่างสูงสุด เร็วที่สุด ในการจัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลต่อเชื้อสายพันธุ์เดลต้า และเชื้อกลายพันธุ์ต่างๆ  จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการเซ็นสัญญาเพื่อจัดหาวัคซีน mRNA ให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน พร้อมกับเปิดสัญญาให้ประชาชนได้ร่วมตรวจสอบ

1.3 ยุติการสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคจนกว่าจะมีผลการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ ที่ยืนยันในประสิทธิภาพ  
1.4 เปิดเผยสัญญา และเงื่อนไขข้อตกลงการสั่งซื้อวัคซีน ที่รัฐบาลได้ทำไว้กับ AstraZeneca Thailand และ ซิโนแวค ตลอดจนมติ ครม. ที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาวัคซีนทั้งหมด  1.5 ให้รัฐบาลเร่งจัดฉีดวัคซีนเสริมภูมิให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า  1.6 เร่งปรับปรุงระบบฐานข้อมูลการลงทะเบียนจองคิวฉีดวัคซีน ให้เชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูล MOPH IC ของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมกับปรับปรุงสูตรในการกระจายวัคซีนใหม่

2. การบริหารจัดการเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ของระบบสาธารณสุข และการดูแลชีวิตของประชาชน
2.1 มาตรการการกักตัวรักษาตนเอง ที่ได้เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการไปก่อนหน้านี้หลายครั้ง ยังคงต้องเน้นย้ำให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ 2.2 พิจารณาอนุญาตให้ผู้ป่วยที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลที่ยังไม่ครบระยะเวลา 14 วัน แต่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเบาบาง ในกรณีที่เข้าเงื่อนไขที่สามารถกักตัวรักษาตนเองได้ ให้กักตัวรักษาตนเอง

3. รัฐบาลควรเร่งตรวจเชิงรุกด้วย Rapid Antigen Test พร้อมกับอนุญาตให้ประชาชนได้เข้าถึงชุดตรวจที่ผ่านมาตรฐาน อย. 

4. การจัดฉีดวัคซีนที่ล่าช้านั้นมีมูลค่าความเสียหายสูงถึง รัฐบาลจะต้องเยียวยาให้กับประชาชนทั้งที่เป็นแรงงานในระบบ และแรงงานนอกระบบอย่างเป็นธรรม ด้วยเงินสด แบบถ้วนหน้า

5. ให้รัฐบาลกำหนดหลักเกณฑ์ในการล็อกดาวน์ และผ่อนคลาย โดยคำนึงถึงสถานการณ์การติดเชื้อ และขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่ แบบเป็นขั้นบันได จึงขอสั่งการให้ พล.อ.ประยุทธ์ เร่งไปดำเนินการ

“โฆษกกลาโหม”สอน สส.ณัฐชา อย่าอคติ ดูแคลน ชี้ ทหาร ก็คือ  ปชช. พร้อมแจงความจำเป็นขอวัคซีน วอนทำงานการเมืองในระบบไม่อคติ 

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม  เปิดเผยถึงกรณีสส.ณัฐชา โฆษกพรรคก้าวไกล ออกมากล่าวผ่านสื่อถึงทหาร ซึ่งทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติ เอาเปรียบ กดทับประชาชน แทรกคิวแย่งวัคซีนประชาชน โดยเรียกร้องเหตุผล ความจำเป็นจากการที่กระทรวงกลาโหม ขอรับการสนับสนุนวัคซีนฉีดให้กับทหารกองประจำการใหม่ ที่พึ่งเข้ารับราชการนั้น

ทั้งนี้อยากทำความเข้าใจกับท่านณัฐชา ว่า ทหารทุกคน ก็คือ ประชาชนเช่นกัน เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ซึ่งเป็นลูกหลานเรา ที่ต่างหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนเข้ามาทำหน้าที่เป็นกำลังหลักปกป้องประเทศ ดูแลผลประโยชน์ชาติและช่วยเหลือประชาชน  จึงอยากให้เห็นความสำคัญ ดูแลให้กำลังใจพวกเขาและไม่อคติ ดูแคลน หรือกีดกันทหารแปลกแยกจากออกไปจากประชาชน

“น้องๆทหารใหม่จำนวนมาก ที่เดินทางมาจากต่างพื้นที่ เข้ามารับราชการและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในทุกหน่วยทหารทั่วประเทศพร้อมกันนั้น กองทัพได้มีมาตรการเข้มข้น ดูแลคัดกรองตั้งแต่แรกเข้า ทั้งการรายงานตัว การเคลื่อนย้าย การสอบประวัติ การตรวจคัดกรองเชื้อเร่งด่วนและการส่งเข้ารักษาเมื่อตรวจพบ นอกจากนั้นได้จัดสถานที่พัก การรับประทานอาหาร และกำหนดการปฏิบัติประจำวันตามมาตรการที่สาธารณสุขกำหนด โดยเฝ้าระวังและกักตัวควบคุมโรคร่วมกันใน 14 วันแรก เพื่อให้มั่นใจกับครอบครัวของพี่น้องทหารใหม่ ถึงความปลอดภัยของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันและไม่สร้างปัญหากับชุมชนรอบหน่วยทหาร”พล.ท.คงชีพ กล่าว และว่า

การที่ กระทรวงกลาโหม ขอรับการสนับสนุนวัคซีนกับ กระทรวงสาธารณะสุข จำนวน  60,000 โดส เพื่อฉีดให้กับทหารใหม่ที่พึ่งเข้ารับราชการและปฏิบัติงานร่วมกับครูฝึกในทุกหน่วยทหารทั่วประเทศนั้น เพื่อให้มีภูมิคุ้มกันโรครองรับภายในเวลา 2 เดือนหลังฝึกจบ ก่อนต้องหมุนเวียนกระจายกำลังลงไปช่วยทำหน้าที่ต่างๆในการดูแลและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงด่านหน้า ทั้งชายแดนและพื้นที่ชั้นใน  ที่ปัจจุบันทหารลงไปปฏิบัติภารกิจป้องกันชายแดน และสนับสนุนการคัดกรองโรคผ่านแดน 

โดยเฉพาะผู้ลักลอบเข้าเมืองทั้งทางบกและทางน้ำ การจัดกำลังสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณะสุข และ ศบค. ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคเป็นพื้นที่และเฉพาะกลุ่ม เช่น สมุทรสาคร คลองเตย เรือนจำ แคมป์คนงาน เป็นต้น การจัดตั้งและดูแลโรงพยาบาลสนาม การดูแลสถานกักตัวควบคุมโรคของรัฐ การสนับสนุนจัดตั้งโรงพยาบาลบุษราคัม การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย การจัดรถครัวสนามช่วยเหลือชุมชนเสี่ยงสูง ฯลฯ 

พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า การเข้ารับราชการของทหารใหม่ในช่วงของสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ต่อเนื่องนั้น ยังมีความจำเป็น เพื่อทดแทนกำลังทหาร ที่ปลดประจำการไปแล้วจำนวนหนึ่งในสี่ ตั้งแต่ 30 เม.ย.64 ที่ผ่านมา โดยตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา กำลังทหารที่เหลือสามในสี่ต้องหมุนเวียนกันทำหน้าที่มากขึ้น ทดแทนกำลังทหารที่ขาดหายไป จากการเลื่อนเข้าหน่วยเป็น 1 ก.ค.64  ทั้งนี้เพื่อให้กองทัพมีกำลังเพียงพอสำหรับการปฏิบัติในภารกิจหลักและสนับสนุนหน่วยงานต่างๆช่วยเหลือประชาชน ต่อสู้กับโควิดที่ยังคงอยู่กับเราไปอีกนาน

“ขอความกรุณา ท่าน สส.ณัฐชา ได้ทำหน้าที่ผ่านกลไกของรัฐสภา หรือทำหนังสือสอบถามหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรง หากประสงค์ต้องการรับทราบข้อมูลใดๆที่ถูกต้อง โดยเกรงว่าการถามตอบผ่านสื่อไปมา อาจเกิดความคลาดเคลื่อนของการนำเสนอและได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน และอาจสร้างความสับสนซ้ำเติมสังคมในสถานการณ์ที่ประเทศเราต้องการความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ กระทรวงกลาโหม ขอไม่ตอบโต้ใดๆทางการเมืองและยืนยันทำหน้าที่เป็นหลักด้านความมั่นคงให้กับประเทศชาติและประชาชนในทุกสถานการณ์ของบ้านเมือง”พล.ท.คงชีพ กล่าว

"รมต.อนุชา" ลั่น รพ.สนามชัยนาท พร้อมรับ ผู้ป่วย โควิด-19 คนในพื้นที่ และจว.ใกล้เคียง

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางมาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ต.เขาพลอง อ.เมืองชัยนาท จ.ชัยนาท โดยมีนายสมบูรณ์ ศิริเวช ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท พร้อมด้วยนายนที มนตริวัต,นางศุภรินทร์ เสนาธง รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท, พลตำรวจตรีวรณัฏฐ์ ผันผ่อน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท หัวหน้าส่วนราชการจังหวัดชัยนาทที่เกี่ยวข้อง และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ร่วมในงาน

นายอนุชา ได้พบปะพูดคุยให้กำลังใจผู้ป่วยที่มารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลสนาม จำนวน 15 คน ผ่านระบบวีดิโอคอล ภายในศูนย์บัญชาการโรงพยาบาลสนาม โดยกล่าวว่า วันนี้ได้มาตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสนามขององค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจแทนพี่น้องชาวจังหวัดชัยนาทที่ได้เห็นความร่วมมือภาคส่วนราชการ จัดสร้างโรพยาบาลสนามขึ้นมารองรับประชาชนชาวชัยนาทที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19  ซึ่งระบาดเป็นระลอกที่สาม มีความรุนแรงและมีการกระจายของเชื้อเป็นวงกว้าง ถึงแม้ว่าตอนนี้สถานการณ์จังหวัดชัยนาทจะไม่รุนแรงแต่เตียงโรงพยาบาลหลักของรัฐมีอยู่จำนวนจำกัด ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีในการบริหารจัดการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ในอนาคต เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก้ไขปัญหาให้กับชาวชัยนาท รวมถึงพี่น้องประชาชนจังหวัดใกล้เคียงที่ติดเชื้อโควิด-19 ประสบปัญหาหาเตียงรักษาไม่ได้ 

นายอนุชา กล่าวว่า ฝากถึงพี่น้องประชาชนชาวชัยนาท และพี่น้องประชาชนจังหวัดใกล้เคียง ที่กำลังประสบกับความเดือดร้อนเรื่องเตียงรักษาผู้ป่วย ซึ่งในหลายพื้นที่มีข้อจำกัดในเรื่องการดูแลผู้ป่วยไม่ทั่วถึงเนื่องจากผู้ป่วยที่มีจำนวนมาก อยากให้ติดต่อขอกลับมารักษาตัวในโรงพยาบาลสนามจังหวัดชัยนาท ที่เบอร์โทรศัพท์ 0629936162 หรือสาธารณสุขจังหวัดชัยนาท และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดชัยนาท จังหวัดชัยนาทยินดีที่จะต้อนรับ และดูแลเป็นอย่างดี พร้อมมอบความรัก ความอบอุ่น และความห่วงใยให้คนชัยนาทและพี่น้องประชาชนจังหวัดใกล้เคียงอย่างดีที่สุด ดั่งคนในครอบครัว

“สิระ”ย้อนถาม "เต้ มงคลกิตติ์” ทำไมอยากเป็นลูกน้องโจร เย้ย "ทักษิณ"กลับมาก็ทประโยชน์อะไรไม่ได้ 

นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ โพสต์เฟตบุ๊คส่วนตัวระบุถึงเวลาที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องกลับประเทศแล้ว พร้อมเสนอตัวเป็นลูกมือทุกหน้าที่ว่า ตนตั้งคำถามว่าวันนี้นายมงคลกิตติ์ เป็นผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติ ที่ประชาชนเลือกเข้ามาให้ทำงาน เหตุใดวันนี้จึงเสนอตัวไปเป็นลูกน้องโจร เป็นลูกน้องมิจฉาชีพ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการที่ออกมาเสนอตัวเป็นลูกน้องของผู้ต้องหาหนีคดี ถือเป็นการกระทำที่ขัดจริยธรรม ส.ส.หรือไม่ 

นายสิระ ยังกล่าวว่า ถึงแม้นายทักษิณ จะกลับมา ก็ไม่สามารถทำประโยชน์อะไรให้กับบ้านเมืองได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญปี 2560 นายทักษิณ ถือว่าขาดคุณสมบัติทั้งการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและส.ส เพราะมองว่าปัญหาของโควิด- 19 ไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลอย่างเดียวที่จะแก้ไขได้ประชาชนทุกคนต้องให้ความร่วมมือ และเมื่อประชาชนให้ความร่วมมือแล้วภาครัฐต้องเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเร็วที่สุด 

“ทีเคพาร์ค” ปรับทิศทางสู่องค์กรยุคดิจิทัล พลิกโฉมดีไซน์-บริการ-นวัตกรรมใหม่ มุ่งสร้างระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้ เพื่อเสริมศักยภาพคนไทยในสังคมโลก นำเสนอ 5 จุดเช็คอินใหม่

สถาบันอุทยานการเรียนรู้ “TK Park” ครบรอบ 16 ปี เดินหน้าปรับทิศทางองค์กรครั้งใหญ่ พร้อมปรับโฉมใหม่ รวมทั้งเสริมบริการสุดล้ำให้เข้ากับยุคดิจิทัล โชว์วิสัยทัศน์พร้อมสร้างสรรค์ “ระบบนิเวศแห่งการเรียนรู้” คู่สังคมไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพคนไทยให้มีทักษะในการเรียนรู้ด้วยตนเองตลอดทุกช่วงชีวิต ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งในการสร้างทุนมนุษย์ที่มีความสำคัญ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน 

นายกิตติรัตน์ ปิติพานิช ผู้อำนวยการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ “TK Park” หน่วยงานในสังกัดสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) สำนักนายกรัฐมนตรี เปิดวิสัยทัศน์ในโอกาสครบรอบ 16 ปี ว่า TK Park ได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาองค์กรเพื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว พลิกกลยุทธ์จากห้องสมุดมีชีวิต มุ่งสู่บทบาทใหม่ ในฐานะผู้ริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้แห่งอนาคต (Pioneer of Innovative Future Learning) เน้นตอบโจทย์การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ให้คนไทย พร้อมปรับทิศทางและภาพลักษณ์องค์กรใหม่ 

เริ่มตั้งแต่การปรับโครงสร้างการบริหารงานในองค์กรให้มีความกระชับ เพื่อการขับเคลื่อนที่รวดเร็ว การพัฒนาบุคลากร สร้างคุณค่าหลักร่วมกันขององค์กร รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนโลโก้ ให้ดูทันสมัยเข้ากับคนรุ่นใหม่ การปรับปรุงพื้นที่บริการ ชั้น 8 โดยแบ่งโซนบริการต่างๆ ให้สามารถใช้สอยได้อย่างสะดวก เข้ากับทุกกลุ่มทุกวัยที่มาเข้าใช้บริการ รวมทั้งการปรับปรุงบริการให้สะดวกรวดเร็วโดยการใช้นวัตกรรมเพื่อการเรียนรู้เข้ามาเสริมทัพ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับสมาชิก ซึ่งทั้งหมดนี้จะตอบโจทย์เป้าหมายหลักของ TK Park ในการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อเสริมศักยภาพคนไทยให้มีคุณภาพ เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง นำมาสู่การพัฒนาสังคมไทย และสร้างสรรค์คุณค่าแก่สังคมโลก 

“เป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ ที่เราได้ปรับปรุงพื้นที่ภายในส่วนบริการ ชั้น 8 ด้วยรูปแบบใหม่เข้ากับยุคดิจิทัลเพื่อตอบโจทย์การใช้งานให้สะดวกรวดเร็ว ในแนวคิด Journey to the Next Chapter นำเสนอ 5 จุดเช็คอิน ได้แก่ 

1. Start Your Journey พื้นที่ทางเข้าสู่อุทยานการเรียนรู้ ออกแบบใหม่เพื่อสร้างสรรค์บรรยากาศของการเดินทาง ที่พร้อมพาทุกคนสู่โลกการเรียนรู้ บริการสมัครสมาชิกผ่านแอป MyTK เข้าออกพื้นที่และชำระเงินแบบไร้การสัมผัสด้วยการสแกน QR Code 

2. Smart Library พบกับจุดให้บริการห้องสมุดในดีไซน์ใหม่ เน้นออกแบบมาเพื่อการบริการตนเอง (Self Service) สมาชิกสามารถยืม คืน ต่ออายุการยืม ผ่านอุปกรณ์อัตโนมัติ ลดการสัมผัสใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของทุกคน 

3. Toy Library ห้องสมุดของเล่น บริการใหม่ภายในห้องสมุดเด็กของ TK Park ให้เด็กๆ เรียนรู้เสริมทักษะได้มากขึ้นจากการเล่นที่สนุกสนาน ด้วยของเล่นวัสดุธรรมชาติจากความร่วมมือกับ PlanToys บริษัทของเล่นชั้นนำ พร้อมหนังสือในธีมเดียวกัน คัดสรรโดยบรรณารักษ์ TK Park

4. Reading Space พื้นที่สำหรับอ่านหนังสือที่ปรับปรุงใหม่ เพิ่มมุมนิตยสารให้กว้างมากขึ้น ปรับขนาดชั้นวางหนังสือให้เข้าถึงได้สะดวกขึ้น เพิ่มที่นั่งการอ่านแบบโต๊ะขนาดใหญ่ พร้อมไฟส่องสว่างประจำโต๊ะ และเสริมที่นั่งอ่านเดี่ยว เพื่อความเป็นส่วนตัว

5. Book Wall & TK Cafe มุมใหม่ล่าสุด ที่เรียกได้ว่าเป็น Book Cafe ผสมผสานทั้งหนังสือ เครื่องดื่มและบรรยากาศได้อย่างกลมกล่อมลงตัว นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของบทสนทนา แบบสบายๆ ระหว่างวัน แลกเปลี่ยนกันเรื่องหนังสือ การอ่าน การเรียนรู้ 

อุทยานการเรียนรู้ TK Park ได้เปิดให้บริการตามมาตรการผ่อนคลายของรัฐบาลแล้ว ตั้งแต่วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 11.00 - 18.00 น. ที่ชั้น 8 Dazzle Zone ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ หากยังคงเดินหน้ารักษามาตรการป้องกัน COVID-19 เพื่อความปลอดภัยของสมาชิก และผู้มาใช้บริการทุกคน โดยจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการไม่เกิน 100 คน คนละไม่เกิน 60 นาที และทุกคนต้องสแกน QR Code ผ่าน "ไทยชนะ" ทุกครั้งที่แวะมายืม คืน หนังสือ สำหรับผู้สนใจสมัครสมาชิก TK Park สามารถลงทะเบียนผ่านแอป MyTK เพื่อรับโปรโมชั่นพิเศษ สมัครฟรีแบบไม่มีค่าใช้จ่าย วันนี้ ถึง 31 กรกฎาคม 2564 เท่านั้น ดูรายละเอียดเพื่อเติมได้ที่ www.tkpark.or.th

จังหวัดแม่ฮ่องสอน จ่อเดินหน้าเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่กรีนซีซันนี้ หลังปลอดโควิด-19 ในพื้นที่มานานกว่า 45 วัน วางแผนดันเส้นทางเที่ยวเชื่อมโยงทั้งโซนเหนือถึงโซนใต้ ชูแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ขณะที่ชาวบ้านรุมค้านกระหึ่มโซเชียลฯ

นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ขณะนี้จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ร่วมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยว หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และททท.สำนักงานแม่ฮ่องสอน ออกสำรวจความเป็นไปได้และความพร้อมเพื่อจะเปิดการท่องเที่ยวของแม่ฮ่องสอนอีกครั้ง หลังจากปลอดจากโควิด-19 มาแล้วเกินกว่า 45 วัน

เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวที่ถือว่าเป็นรายได้หลักที่สำคัญของจังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาหลายระลอก

มุ่งเน้นการท่องเที่ยวแบบเชื่อมโยงต่อเนื่องทั้ง 7 อำเภอ เริ่มตั้งแต่ช่วงหน้าฝน ที่จะชูการท่องเที่ยวในเทศกาล Green Season ให้สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวแม่ฮ่องสอนประสานความร่วมมือไปยังพื้นที่ทั้งโซนเหนือที่อำเภอปายและโซนใต้ที่อำเภอแม่สะเรียง ให้เตรียมความพร้อมทั้งด้านที่พักและแหล่งท่องเที่ยวให้พร้อมรับกับการท่องเที่ยว

โดยเฉพาะการเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่น่าสนใจนอกเหนือจากแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดีอยู่แล้ว รวมถึงการท่องเที่ยวและการค้าชายแดนที่บ้านแม่สามแลบ อำเภอสบเมย ที่เกิดเหตุความไม่สงบก่อนหน้านี้ และมีผู้คนรู้จักกันมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้สถานการณ์กลับมาอยู่ในความสงบ ที่ตั้งของหมู่บ้านก็สวยงาม ทัศนียภาพริมแม่น้ำสาละวินจะเป็นจุดขายที่สำคัญที่หลายคนอยากเดินทางไปเที่ยวชม

ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายต้องมีแผนในการเปิดการท่องเที่ยวอย่างรัดกุมที่สุด ออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 สอดคล้องกับข้อกำหนดและคำสั่งของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ที่ออกประกาศตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฉบับที่ 25 ซึ่งได้พิจารณาในทุกมิติอย่างรอบคอบและมีความพร้อมในทุก ๆ ส่วน รวมถึงได้รับความร่วมมือของพี่น้องประชาชน ทำให้จังหวัดแม่ฮ่องสอน ปลอดจากการพบผู้ติดเชื้อมาเป็นระยะเวลา 45 วัน

“เชื่อมั่นว่าแม่ฮ่องสอนจะสามารถเปิดเมืองเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวในช่วงฤดูฝนหรือกรีนซีซั่น ภายใต้เงื่อนไขหลักคือการปฏิบัติตามมาตรการของจังหวัด”

และเพื่อเป็นการคัดกรอง-สกัดโรคระบาด ก็จะจัดตั้ง 4 จุดคัดกรองนักท่องเที่ยว และพี่น้องประชาชนต่างถิ่นก่อนเข้าพื้นที่ ประกอบไปด้วย จุดตรวจด่านแม่ปิง อำเภอปาย จุดตรวจด่านแม่อูคอ อำเภอขุนยวม จุดตรวจหน้าถ้ำ อำเภอแม่สะเรียง และจุดตรวจแม่สวด อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่ง 4 จุดนี้จะเป็นด่านแรกที่เจ้าหน้าที่คัดกรองผู้ที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยให้ลงทะเบียนข้อมูลการเดินทางรวมถึงการสแกน QR Code สวัสดีแม่ฮ่องสอน

ส่วนกรณีผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัดนั้น ให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขของจังหวัดแม่ฮ่องสอนยังไม่ถึงขั้นต้องมีมาตรการกักตัว 14 วัน ให้สังเกตอาการในที่พักของตนเองตามจำนวนวันที่อยู่ในจังหวัด โดยทุกภาคส่วนทุกฝ่ายจะร่วมกัน ในการติดตามเฝ้าระวังกลุ่มบุคคลที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดแม่ฮ่องสอน

ทั้งนี้ หากการปฏิบัติถูกต้องตามมาตรการ และมีศักยภาพจะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนชาวแม่ฮ่องสอน นักท่องเที่ยวจะส่งผลให้กำกับควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้

อย่างไรก็ตาม หลังมีกระแสข่าวแม่ฮ่องสอนเตรียมเปิดการท่องเที่ยวแพร่สะพัดออกไป ก็มีการแสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดียกันอย่างกว้างขวาง ส่วนมากยังไม่เห็นด้วยที่จะเปิดการท่องเที่ยวและให้ผู้คนเดินทางมาจากจังหวัดต่าง ๆ เข้ามาในพื้นที่ในขณะนี้ เพราะยังไม่มั่นใจกับการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้จะปลอดจากผู้ป่วยมาหลายวันแล้วก็ตาม ต่างให้ความเห็นตรงกันว่าเป็นเพราะความโชคดีของจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่มีพื้นที่อยู่ห่างไกล ไม่เป็นเส้นทางผ่านเข้าออกของผู้คนมากนัก จึงอยากให้จังหวัดพิจารณาถึงผลกระทบให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจ

 

 

ที่มา : https://mgronline.com/local/detail/9640000064923


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top