Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

ส่องโปรไฟล์ 4 ยอดโค้ช นำทีมผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ยูโร 2020

เข้าถึงช่วงโค้งสุดท้าย ศึกฟุตบอลยูโร 2020 กันแล้ว ล่าสุดได้ 4 ทีมสุดท้าย ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ซึ่งจะเตะกันในค่ำคืนวันอังคารที่ 6 ก.ค. เวลาตีสอง และคืนวันพุธที่ 7 ก.ค. เวลาตีสองเช่นเดียวกัน

ถึงตรงนี้ ต้องบอกว่า ทั้งอิตาลี, สเปน, อังกฤษ และเดนมาร์ก ถือเป็นสุดยอดทีมที่บุกป่าฝ่าดงแข้งกันมาได้ถึงรอบนี้ ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับบรรดาโค้ชของทีม ไม่ว่าจะเป็น โรแบร์โต้ มันชินี่ โค้ชอิตาลี, หลุยส์ เอ็นรีเก้ โค้ชสเปน, แกเร็ธ เซาธ์เกต โค้ชอังกฤษ และคาสเปอร์ ฮูลมันด์ โค้ชเดนมาร์ก ที่ทำงานหนักจนพาทีมผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้

แต่จากนี้ จะเป็นโค้ชคนไหน ที่จะพาทีมเข้ารอบชิงชนะเลิศ และคว้าแชมป์ไปครอง เราลองไปดูโปรไฟล์พวกเขาซะหน่อยดีกว่า

ในบรรดาโค้ชทั้ง 4 คน แกเร็ธ เซาธ์เกต ถือเป็นโค้ชที่คุมทีมนานที่สุด ตั้งแต่ปี 2016 นับเป็นจำนวน 59 นัด ส่วนหลุยส์ เอ็นรีเก้ และคาสเปอร์ ฮูลมันด์ คุมทีมเป็นจำนวนเท่ากันที่ 18 นัด โดยเป็นฮูลมันด์ที่ทำผลงานได้ดีกว่า พาทีมเก็บชัยชนะไปถึง 12 นัด ส่วนเอ็นรีเก้พาทีมชนะ 8 นัด

แต่ถ้าคิดตามค่าเฉลี่ยจำนวนการคุมทีมกับการคว้าชัยชนะที่สูงที่สุด ต้องยกให้โรแบร์โต้ มันชินี่ ที่คุมทีมไป 37 นัด สามารถเก็บชัยชนะไปได้ถึง 28 นัด ที่สำคัญ ยังพาทีมอิตาลีกระหน่ำประตูไปได้ถึง 90 ประตู เสียประตูเพียงแค่ 16 ประตูเท่านั้น

ยังมีสถิติที่น่าสนใจอีกอย่างคือ โค้ชทั้ง 4 คนนี้ ยังไม่เคยคว้าแชมป์ใหญ่ในรายการระดับเมเจอร์ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ยังเป็นผู้เล่นก็ดี หรือในตอนที่หันมาเอาดีเป็นโค้ช ดังนั้น แชมป์ยูโรครั้งนี้ จะมีโค้ชที่คว้าแชมป์ใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิต น่าสนใจมาก ๆ ว่า เขาคนนั้นจะเป็นใคร

ถึงตรงนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นทีมเต็ง ขอให้ลืมไปได้เลย เพราะรับประกันว่า ทุกทีมใส่กันเต็มแน่นอน ผลงานในสนามเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า พวกเขาสมควรจะเป็นแชมป์ยูโรหรือไม่ อีกไม่นานได้รู้กัน!


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘แรมโบ้’ กระชากหน้ากาก ‘หมอบุญ’ ซัด เป็นนายทุนในคราบหมอ จ้องหากินกับวัคซีน

5 กรกฎาคม นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ชี้แจงตอบโต้กรณีข่าว นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริษัท ธนบุรี เฮลแคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ออกมากล่าวหาโจมตีการจัดหาวัคซีนของรัฐบาล ว่าล่าช้า ไม่ยอมดำเนินการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ โมเดอร์น่า โดยยกย่องว่าเป็นวัคซีนที่ดีที่สุด อ้างว่าวัคซีนที่รัฐบาลจัดหามาใช้นั้นเป็นเกรดซี และอ้างว่าประเทศเพื่อนบ้านเราได้รับไฟเซอร์กันหมดแล้ว

นายเสกสกล ระบุว่า คนในวิชาชีพหมอ ส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่น่ายกย่อง ยกมือไหว้ได้ เคารพได้ เพราะรักษาชีวิตผู้คน ยกเว้นหมอบางจำพวกที่แท้จริงเป็นนายทุน เป็นนักแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่อยู่ในคราบหมอ

น่าเสียใจที่หมอบุญ ซึ่งเป็นนักธุรกิจหลายประเภท ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโรงพยาบาลเอกชน ได้ออกมาให้ข้อมูลที่บิดเบือน เจตนาจะทำให้คนเข้าใจผิดในการทำงานของภาครัฐ และการจัดหาวัคซีน ซึ่งก็ดูแลโดยทีมหมอที่ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ในยามนี้

ในความเป็นจริง หากดูไทม์ไลน์แล้ว ภาครัฐไม่ได้ล่าช้าเลย

25 ก.พ. 64 ก่อนการระบาดใหญ่ องค์การเภสัชฯ ติดต่อตรงไปแสดงความจำนงค์ ไปยัง บ.โมเดอร์นา ที่สหรัฐอเมริกา เพื่อสั่งจองวัคซีนกว่า 5 ล้านโดส พร้อมสอบถามความเป็นไปได้ว่า จะได้ทัน มิ.ย. 64 หรือไม่

28 ก.พ. 64 องค์การเภสัชฯ ได้รับคำตอบกลับมา ว่าซัพพลายมีจำกัดเนื่องจากมีความต้องการสูงมาก ทำให้สามารถส่งได้เร็วสุด คือ ไตรมาสแรกของปีหน้า (มกราคม - มีนาคม 2565)

1 เม.ย. 64 องค์การเภสัชฯ สอบถามเพิ่มเติมว่า Moderna ได้ตั้งบริษัทใดเป็น Authorized dealer เนื่องจากมีผู้แสดงตัวว่า สามารถนำวัคซีนเข้าให้ไทยได้มากกว่า 2 ตัวแทน

2 เม.ย. 64 บ.โมเดอร์นา ได้แจ้งว่า อยู่ระหว่างการเจรจากับ ‘บริษัทซิลลิค’ (Zuellig Pharma LTD.) แต่เพียงผู้เดียว และหวังว่า จะสรุปสัญญากับ ซิลลิค ให้เร็วที่สุด

15 พ.ค. 64 บริษัท ซิลลิค ฟาร์มา ได้ออกแถลงการณ์ว่า ‘การจัดซื้อวัคซีนของโมเดอร์นา ต้องจัดซื้อผ่านตัวแทนภาครัฐเท่านั้น ในที่นี้ คือ องค์การเภสัชกรรม’ เนื่องจากเป็นข้อกำหนดของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนฯ เพื่อใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลเอกชน จัดส่งความต้องการวัคซีนจริง พร้อม ‘วางเงิน’ เพื่อให้องค์กรเภสัช สั่งวัคซีนจากบริษัท ซิลลิค ตัวแทนจัดหน่ายวัคซีน Moderna ในประเทศไทย

2 ก.ค. 64 องค์การเภสัชฯ ได้รับเอกสารจากฝั่งของซิลลิค เพื่อแนบไปให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา

ย้ำ เพิ่งได้รับเอกสารวันที่ 2 ก.ค. หลังจากวันที่ นพ.บุญออกมาพูด ไม่ใช่ว่าภาครัฐเพิ่งทำ หลังนพ.บุญโจมตี แต่ภาครัฐดำเนินการมาโดยตลอด เจรจามาโดยตลอดเพื่อขอให้ได้วัคซีนมาเร็วที่สุด แต่ฝ่ายเอกชนเพิ่งส่งเอกสารมาภายหลังเช่นเดียวกับวัคซีนไฟเซอร์ ลงนามใบจองไปแล้ว 20 ล้านโดส เร่งให้ได้ของเร็วที่สุดแล้ว คือ ไตรมาส 4 ปีนี้ ร่างสัญญาจะเข้า ครม.

ถ้าหมอบุญ ใจบุญต่อประเทศชาติและคนไทยจริง ทำไมไม่เร่งให้ผู้ผลิตวัคซีนทั้งโมเดอร์น่า ทั้งไฟเซอร์ รีบดำเนินการมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ รวมทั้งขอขึ้นทะเบียน อย. เพิ่งมาขอขึ้นทะเบียนภายหลัง ซึ่งทางการไทยก็ดำเนินการให้อย่างรวดเร็วที่สุด

ถ้าหมอบุญใจบุญจริง เมื่อองค์การเภสัชฯ ประกาศจะขายวัคซีนโมเดอร์นา ให้โรงพยาบาลเอกชน ราคา โดสละ 1,100 บาท (ราคารวมรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าขนส่ง ค่าประกันภัยรายบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว) โรงพยาบาลเอกชนก็ไม่ควรจะนำไปขายต่อในราคาที่มีส่วนต่างมากเกินไป

อย่างโรงพยาบาลเอกชนของหมอบุญ ก็แจ้งว่าจะคิดบริการรวมค่าฉีดวัคซีน 1,700 บาท ต่อโดส ประกาศรับชำระค่าวัคซีนทางเลือกก่อนแล้วด้วย มีส่วนต่างราคาที่รับมาจากองค์การเภสัชกรรมถึงโดสละ 600 บาท จำนวน 5 ล้านโดส ก็คือส่วนต่าง 3,000 ล้านบาท

ยิ่งพฤติกรรมของหมอบุญที่ออกมากล่าวหา กดดันให้รัฐต้องรีบเซ็นสัญญา ทั้ง ๆ ที่ ภาครัฐก็ต้องเจรจาเพื่อให้เสียเปรียบน้อยที่สุด แต่หมอบุญกลับมีผลประโยชน์ทับซ้อนเช่นนี้ ยิ่งทำให้เห็นธาตุแท้แห่งพฤติกรรมว่า ต้องการทำเพื่อคนไทยจริง ๆ หรือเพื่อหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจจากการค้าวัคซีน

สมแล้วที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ออกมาเตือนว่า โรงพยาบาลเอกชน และผู้ซื้อ ต้องตกลงเงื่อนไขต่าง ๆ กันให้ได้ก่อน เพราะการซื้อวัคซีนดังกล่าว รัฐบาล หรือ องค์การเภสัชจะต้องไม่รับความเสี่ยงใด ๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงเรื่องการเงิน เช่น หากรัฐบาลจ่ายเงินให้ก่อน แล้วเอกชนเปลี่ยนใจไม่เอา ซื้อมาแล้วก็จะส่งผลกระทบกับรัฐบาล กรณี นพ.บุญ วนาสิน จะมาโทษกระทรวงสาธารณสุข หรือรัฐบาลไม่ได้เลย หากอยากซื้อเพื่อเอากำไร ก็ต้องไปเจรจากับบริษัทผู้ผลิตให้เรียบร้อย แล้วก็ค่อยมาแจ้งองค์การเภสัช เพื่อจะเร่งดำเนินการให้ แต่ก็อย่ามามือเปล่า

คราวที่แล้ว หมอบุญออกมาโจมตีองค์การเภสัชฯ แล้วในที่สุดลูกหลานต้องออกมาทำหนังสือขออภัย ครั้งนี้เอาอีกแล้วหรือ

บรรดาคุณหมอที่ไปช่วยงานภาครัฐจัดการวัคซีน ล้วนเป็นนักวิชาการเก่งกล้าด้วยใจบริสุทธิ์ แต่กับนายทุนธุรกิจโรงพยาบาล (ในคราบหมอ) ที่เห็นช่องทางหารายได้เพิ่ม เที่ยวไปสัญญากับประชาชนแล้วมากดดันภาครัฐว่าเป็นจระเข้ขวางคลอง เช่น การอ้างว่ารู้จักคนใหญ่คนโตบริษัทฯ วัคซีนต่างชาติ ถ้าจริงดังว่า ทำไมไม่ติดต่อจัดหามาให้ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตนจึงอยากเตือนหมอบุญ ว่าพฤติกรรมตอนนี้ทำให้หน้ากากหลุดไปเยอะแล้ว คนเห็นธาตุแท้ล่อนจ้อนแล้ว อย่าให้เด็กรุ่นหลังต้องไปขุดคุ้ยพฤติกรรมเกี่ยวกับธรณีสงฆ์อัลไพน์ขึ้นมาเรียนรู้กันเลยว่าใครเป็นนักบุญ ใครเป็นคนบาป ร่วมด้วยช่วยแนะนำให้แปลงธรณีสงฆ์จนมาเป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์และหมู่บ้านจัดสรรในความดูแลของตนเอง

ยิ่งในวงการการเมืองตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันเขารู้กันดีว่า หมอที่เป็นนักล็อบบี้ยิสต์เครือข่ายใกล้ชิดนายทักษิณ วิ่งเข้าหาผลประโยชน์เพื่อธุรกิจตัวเองจนร่ำรวยมหาศาลเป็นหมอในคราบนักบุญใจบาปเป็นหมอคนไหน และเป็นหมอที่ชี้นิ้วสั่งนักการเมืองบางกลุ่มได้เพราะมีผลตอบแทนล่อจูงใจ นักการเมืองรุ่นเก่า ๆ ทุกคนรู้จักหมอคนนั้นเป็นอย่างดี

ถึงอย่างไร หากแม้นสูญเสียจิตวิญญาณความเป็นหมอ โดยเป็นนายทุนนักธุรกิจเต็มตัวแล้ว ก็อย่าได้ถึงขนาดเสียหมาไปกับการบิดเบือนข้อมูลการจัดหาวัคซีนเพื่อโจมตี ดิสเครดิตคนทำงานให้เสียกำลังใจเลย จิตแห่งความดีเพื่อประเทศชาติประชาชน ก็ขอให้มีมโนธรรมสูงกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวบ้างสักนิดจะได้ไหม อย่าถึงขั้นตัองหน้ามืดตามัว มองแต่ผลประโยชน์ส่วนต่างจากวัคซีน โดยไม่ห่วงประเทศชาติ ไม่สนใจว่าผลกระทบจากคำพูดและการกระทำของตัวเองเลย ที่จะส่งผลเสียหายให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อนายกฯ และบุคลากรที่ตั้งใจทำงาน เพียงเพื่อหวังให้ประชาชนออกมารุมกระหน่ำซ้ำเติม ตำหนิโจมตีด่าทอนายกฯ และรัฐบาลอย่างหนัก

พฤติกรรมการกระทำของหมอบุญเช่นนี้ ไม่สมควรอย่างยิ่ง การเป็นหมอของหมอบุญอย่านึกถึงแต่ผลประโยชน์ธุรกิจตัวเองมากเกินไป ประเดี๋ยวจะเสียหมอเป็นเสียหมามากกว่า


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘บิ๊กป้อม’ ติดตาม ช่วยเหลือคนยากไร้ ประชุม คกก. "สมัชชาคนจน" สั่งทุกหน่วยงานเร่งแก้ไข ให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว มอบ ร.อ.ธรรมนัส ลงพื้นที่ รับข้อเรียกร้องเพิ่มเติม รัฐบาลพร้อมช่วยคนจน ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา10.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ครั้งที่ 1/2564 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุมได้รับทราบ ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ และคณะทำงานภายใต้คำสั่ง คณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน ซึ่งมีความคืบหน้าในภาพรวม พร้อมกำชับหน่วยงานที่รับผิดชอบ รวมถึง ผวจ.ทุกพื้นที่ ที่เกี่ยวข้องให้เร่งรัด การแก้ไขปัญหาที่เป็นธรรม รวดเร็ว และรายงานให้คณะกรรมการฯ ทราบทุกเดือน

จากนั้น ที่ประชุมได้เห็นชอบ ข้อเสนอของสมัชชาคนจน พร้อมรับข้อเรียกร้องอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อลดผลกระทบ และบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ อทิ การขอใช้ประโยชน์ที่ดินทำกิน ,การของดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการขายที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ และการขอรับค่าทดแทน กรณีต้องออกจากพื้นที่ เป็นต้น 

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับคณะอนุกรรมการ และคณะทำงาน กษ.,ทส.,มท.,กค.และทุกหน่วยงานที่รับผิดชอบ จะต้องเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหา ของสมัชชาคนจน ให้ครอบคลุมทุกมิติและให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว พร้อมรับข้อเสนอเพิ่มเติม เพื่อพิจารณา และหาแนวทางช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน ของพี่น้องประชาชน ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำ มุ่งให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างยั่งยืน ตามเจตนารมณ์ "ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง"

พล.อ.ประวิตร  ยังได้ มอบหมายให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กษ./ประธานอนุกรรมการประสานงานเร่งรัดฯ ลงพื้นที่จริง เพื่อติดตาม การแก้ไขปัญหาร่วมกับ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ได้ข้อยุติ ซึ่งจะทำให้สมัชชาคนจนได้รับการช่วยเหลือตรงตามความต้องการ ภายใต้กรอบ กม.ที่เป็นธรรม อย่างรวดเร็ว อีกด้วย

“บิ๊กตู่” พอใจ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch ให้ Rating ไทยที่ BBB+ อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ สะท้อนภาพความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลก และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย 

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจากข้อมูลจาก Fitch Ratings (Fitch) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่สะท้อนความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ที่ได้รายงานไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2564 ที่ผ่านมาโดยยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) สะท้อนภาพความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลก และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทย ทั้งนี้ การจัดอันดับของ Fitch Rating มีตัวชี้วัดจากภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ซึ่งสะท้อนภาพความแข็งแกร่งของการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและเป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เพื่อรักษาวินัยทางการคลัง ซึ่งแม้ว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นจากการกู้เงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการทางการคลังเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 และภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ที่ยังคงมีความเข้มแข็ง และส่งผลต่อการจัดอันดับความเชื่อถือของประเทศไทย โดยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง เพียงพอสำหรับใช้จ่ายถึง 10.8 เดือน ขณะที่กลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Peers) มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 9.3 เดือน นอกจากนี้ คาดว่าในปี 2564 ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไทยจะยังคงเกินดุลที่ร้อยละ 0.5 ต่อ GDP และจะเกินดุลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนั้น Fitch ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลไทยสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีกลยุทธ์การบริหารหนี้สาธารณะภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่เข้มแข็ง ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศไทย ณ เดือนเมษายน 2564 มีอายุเฉลี่ย (Average Time to Maturity: ATM) ค่อนข้างยาว คือ 9.5 ปี และมีสัดส่วนหนี้สาธารณะสกุลเงินบาทมากกว่าร้อยละ 98 ซึ่งอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (BBB peers) เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โปรตุเกส ฮังการี บัลกาเรีย รัสเซีย และคาซัคสถาน เป็นต้น ที่มีค่ากลางของหนี้สกุลท้องถิ่นอยู่ที่ร้อยละ 68.8 นอกจากนั้น สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ต่อ GDP ของประเทศไทย  

ในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 52.7 ต่อ GDP จากการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 และการมีกฎหมายการกู้เงินเพิ่มเติม ซึ่งยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าค่ากลางของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกันที่ร้อยละ 59.4 
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 Fitch เชื่อมั่นว่า น่าจะเริ่มฟื้นตัวเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกสินค้าและการเร่งรัดการเบิกจ่ายโครงการลงทุนของภาครัฐ อีกทั้ง คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 4.2 เนื่องจากการขยายตัวของอุปสงค์ภายนอกประเทศ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้ เมื่อสถานการณ์การระบาดคลี่คลาย เศรษฐกิจฟื้นตัวและรายได้ของรัฐบาลเพิ่มขึ้นจะทำให้รัฐบาลจัดทำงบประมาณขาดดุลลดลง 

“รัฐบาลพึงพอใจกับการจัดอันดับ และเสนอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว และพยายามเร่งการฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างกว้างขวางให้ครอบคลุม รวมถึงการเปิดจังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดนำร่อง (Phuket Sandbox) ไปแล้ว เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำและปานกลาง ตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย และจะเริ่มเปิดพื้นที่อื่น ๆ ที่มีความพร้อมต่อไป เช่น เกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า ในกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ตามนโยบายเปิดประเทศภายใน 120 วันของนายกรัฐมนตรี” นายอนุชา กล่าว

เครือข่ายแรงงาน-สนท. บุกทำเนียบ วางโลงศพ ตู่-ป้อม-ป๊อก-หนู-เฮ้ง ประชดรัฐ จี้จ่ายเยียวยา 5 พันบาท นาน 3 เดือน

ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน นำโดย นางสาวสุธิลา ลืนคำ ผู้จัดการโครงการ สถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม ได้กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ โดยนำโลงศพ ซึ่งมีการติดรูปภาพพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งติดภาพโลโก้พรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย ล้อมสายสิญจน์ วางดอกไม้จันทน์ และอาหารสุนัข จากนั้นได้มีการทำพิธีกรรมสวดมนต์ จุดธูปเทียน ก่อนที่จะเริ่มปราศรัยอย่างดุเดือด ชี้ให้เห็นถึงความเดือดร้อนของผู้ใช้แรงงาน และตัวแทนกลุ่มได้ประกาศข้อเรียกร้อง ดังนี้

1.) ขอให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาฉีดให้กับประชาชนทุกคนเพื่อป้องกันโควิด-19 ภายในเดือนตุลาคมนี้โดยให้รัฐบาล มอบหมายให้สำนักงานประกัน (สปส.) และบริษัทเอกชนสามารถสั่งซื้อวัคซีนได้โดยตรง

2.) กรณีที่พนักงานหยุดงานเพราะถูกกักตัวหรือเจ็บป่วยจากติดเชื้อโควิด-19 จึงต้องไปรักษาตัว ขอให้รัฐบาลจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวน และไม่ถือเป็นวันลาตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 

3.) ให้รัฐบาลจัดให้มีการตรวจคัดกรองเชิงรุกในสถานประกอบการให้กับลูกจ้างทุกคน

4.) ให้รัฐบาล เยียวยาประชาชนและแรงงานข้ามชาติที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โควิด-19 เงินคนละ 5,000 บาทถ้วนหน้า เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน ตั้งแต่กรกฎาคมถึงกันยายน หรือจนกว่าประชาชนจะได้รับวัคซีนเกินกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร

5.) ขอให้รัฐบาลจัดรัฐสวัสดิการเพื่อดูแลประชาชนอย่างมีคุณภาพ

6.) ขอให้นายกรัฐมนตรีลาออกเนื่องจากบริหารงานล้มเหลว

7.) พร้อมสนับสนุนกลุ่มราษฏรยืนยันไม่ลดเพดานขอเรียกร้อง 3 ข้อ

จากนั้นตัวแทนของกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ได้ประกาศที่จะนำโลงศพดังกล่าว ที่ผ่านการทำพิธีในวันนี้ไปทำกิจกรรมด้วยการเผาในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ บริเวณหน้ากระทรวงสาธารณสุข 

“ภูมิใจไทย” ยันพร้อมร่วมประชุม ตามคำสั่ง “ประธานสภา” ด้าน “ณัฏฐ์ชนน” เผยกลัวติดโควิด เพราะไทม์ไลน์จะสร้างปัญหาจังหวัด-บุคคลใกล้ชิด ย้ำต้องระวังตนเองให้มาก

ที่รัฐสภา นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ ส.ส.สงขลา พรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า พรรคภูมิใจไทยยืดตามประกาศของสภาว่านายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งให้ประชุมหรือไม่หรือมีมาตรการอย่างอื่นอย่างใด ซึ่งถ้าในอนาคตมีการขออนุญาตงบเงินกู้หรือประกาศสงครามที่ให้อำนาจรัฐสภา หากทุกคนใช้สิทธิความเป็นส่วนตัวไม่มาประชุมก็ไม่ได้ ฉะนั้นอยากให้เพื่อนสมาชิกรัฐสภาทุกคนฟังการประกาศของนายชวนเป็นหลัก ซึ่งพรรคภูมิใจไทยทั้ง 61 คนพร้อมเข้าร่วมประชุมรัฐสภาตามที่นายชวนออกหนังสือเชิญ แต่ในกรณีกฎหมายแต่ละฉบับนั้น ในการแสดงตนก็มีเหตุผลของพรรคในเรื่องข้อกฎหมาย จึงอยากให้เข้าใจด้วยว่าเราไม่เจตนาจะให้สภาล่ม 

เมื่อถามว่าคิดว่าจะมีเหตุการณ์การประชุมสภาล่มอีกหรือไม่ หากนายชวนยังเดินหน้าประชุมต่อ นายณัฏฐ์ชนน กล่าวว่า ตนคิดว่าสมาชิกสภาผู้ทนราษฎรเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด ถามว่าพวกตนเป็นส.ส.กลัวหรือไม่ ต้องตอบว่ากลัว เพราะหากพวกตนติดโควิด-19 ไทม์ไลน์ต่าง ๆ จะสร้างปัญหาให้กับจังหวัดหรือบุคคลใกล้ชิด ฉะนั้นวันนี้พวกตนก็ต้องระวังตนเองให้มาก นอกจากนี้ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) หรืออนุกมธ.ฯ ต่าง ๆ ก็เป็นหน้าที่ของประธานรัฐสภาที่จะดูแลเรื่องนี้

เครือข่ายปชช.ปกป้องประเทศ ร้องผู้ตรวจฯ สอบรัฐบริหารวัคซีนโควิดไม่มีประสิทธิภาพ อัดจัดซื้อแต่ซิโนแวค คุณภาพต่ำราคาแพง เจตนาเลี้ยงไข้ จี้เร่งอนุญาตเอกชนนำเข้า ไฟเซอร์ - โมเดอร์น่า แบบไม่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม        

ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ นำโดย พญ.กมลพรรณ ชีวะพันธ์ศรี และนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ แกนนำกลุ่มไทยไม่ทน เข้ายื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายวัทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจฯขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี รมว.สาธารณสุข ผอ.องค์การเภสัชกรรม ผอ.องค์การอาหารและยา คณะกรรมการบริหารวัคซีน รมว.มหาดไทย กรณีบริหารจัดการวัคซีนป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ล่าช้า ไม่มีประสิทธิภาพ  

พญ.กมลพรรณ กล่าวว่า หลายหน่วยงานในต่างประเทศ รวมทั้งแพทย์ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ต่างก็ออกมาระบุว่า เป็นวัคซีนที่มีคุณภาพต่ำ ราคาแพง แต่รัฐบาลก็ยังกลับสั่งนำเข้ามาใช้กับประชาชนจำนวนมาก ขณะเดียวกันโรงพยาบาล เอกชนซึ่งต้องการนำเข้าวัคซีนไฟเซอร์ โมเดอร์น่า หน่วยงานของรัฐทั้งองค์การเภสัชกรรม องค์การอาหารและยา กลับดำเนินการอนุญาตล่าช้า ซ้ำยังเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งส่งผลเสียทำให้ประชาชนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพล่าช้า และถูกโรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค ทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตรา 47 กำหนดว่าบุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมาตรา 55 ระบุว่ารัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง ดังนั้นรัฐควรจะสนับสนุนให้เอกชนนำเข้าวัคซีนโดยไม่จัดเก็บภาษี หรือนำเข้าเองมาฉีดให้กับประชาชน 

“วันนี้มีคนติดเชื้อวันละ 5,000 คน เสียชีวิตวันหลายสิบคน แต่กลับใช้เงินกู้ 2 ครั้งกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เยียวยาประชาชนคนละเล็กน้อยไม่พอใช้ โดยไม่คิดจะทุ่มงบประมาณไม่เกินแสนล้านจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาให้กับประชาชน วัคซีนไฟเซอร์ ราคา 300-500 บาท จำนวน 60 ล้านโดส 2 เข็มใช้เงินแค่หลักหมื่นล้านบาท ก็สามารถฉีดให้กับประชาชนได้ครอบคลุมทั้งประเทศ แต่รัฐบาลกลับไม่ดำเนินการเจตนาเหมือนต้องการเลี้ยงไข้และต้องการจัดหาวัคซีนเพียงซิโนแวคเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่สามารถบริหารจัดการให้สามารถป้องกันโรคได้ การกระทำของรัฐบาลและหน่วยงานทั้งหมด จึงเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้า ทำงานล่าเช้า และถ่วงเวลา” พญ.กมลพรรณ กล่าว 

สศช. รับแนวโน้มหนี้ครัวเรือนไทยน่าห่วง

น.ส.จินางค์กูร โรจนนันต์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยแนวโน้มการก่อหนี้ของครัวเรือนในปี 64 ว่า สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีพีพี ยังคงอยู่ในระดับสูง จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับไปในระดับก่อนเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดย สศช. ประเมินว่าในปี 64 จีดีพีจะขยายตัวระหว่าง 1.5 - 2.5% ประกอบ กับตลาดแรงงานอาจได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น ทำให้ชั่วโมงการทำงานลดลงต่อเนื่อง และยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติซึ่งจะกระทบต่อรายได้ของแรงงานและทำให้ครัวเรือนประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องมากขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อย  

ทั้งนี้เห็นได้จากเงินฝากต่อบัญชีหลังการระบาดของโควิด ระลอกแรก (มี.ค. 63) ที่พบว่า บัญชีที่มีมูลค่าต่ำกว่า 100,000 บาท ลดลงต่อเนื่อง สวนทางกับกลุ่มที่มีเงินฝากมากกว่า 100 ล้านบาท ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนรายได้น้อยอาจเจอปัญหาขาดสภาพคล่องเพิ่มขึ้น ทำให้ในปี 64 ต้องระมัดระวังการใช้จ่าย โดยเฉพาะการชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยและรถยนต์ ซึ่งมีมูลค่าสูงอาจชะลอออกไป ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อชะลอตัวลง  

ส่วน ความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอาจปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัญหาการขาดสภาพคล่อง รวมทั้งมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ทั้งธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ที่ส่งเสริมการให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น 

“ในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา แม้รัฐบาลได้ออกมาตรการแก้ปัญหาหนี้สินในวงกว้าง แต่จากสถานการณ์การระบาดที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในปัจจุบัน ได้กระทบต่อรายได้ของแรงงาน และส่งผลสืบเนื่องไปถึงความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญของรัฐในการหาแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้เพื่อไม่ให้มีปัญหาสภาพคล่อง ที่จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และกลายเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจในระยะต่อไป” 

พท.บี้ “ประยุทธ์” ลาออกหลังแก้โควิดเหลว จ่อเอาผิดตาม กม.ฐานประเมินเลินเล่อ จงใจปล่อยคนตาย

พรรคเพื่อไทยจัดเสวนา “วิกฤตโควิด-19 : ทางออกก่อนถึงทางตัน” โดยมีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และประธานอนุกรรมการนโยบายสาธารณสุข พรรคเพื่อไทย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ร่วมเสวนา

นายพิชัย กล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่าประเทศไทยจะมาถึงจุดที่เละเทะขนาดนี้ได้ จากฝีมือการบริหารของรัฐบาลและผู้นำที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จนพล.อ.ประยุทธ์ดูเหมือนจะหมดสภาพแล้ว บอกตรง ๆ ว่าไม่แปลกใจ เชื่อมาตลอดว่าด้วยหลักคิดที่ย่ำแย่ของพล.อ.ประยุทธ์ต้องทำประเทศเละแน่ แต่ไม่คิดว่าจะเละได้มากและเร็วขนาดนี้ ส่วนสภาวะเศรษฐกิจจะยิ่งทรุดหนัก เศรษฐกิจไทยต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะฟื้น ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) ลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้ลงเหลือ 1.8% โดยที่ธนาคาร CIMB บอกว่าถ้ายังคุมโควิดไม่อยู่ เศรษฐกิจอาจจะขยายตัวได้ไม่ถึง 1% และ ธปท.ยังได้ลดการคาดการณ์การขยายตัวเศรษฐกิจของปีหน้าเหลือเพียง 3.9% ซึ่งอาจจะต่ำกว่าได้อีก ซึ่งเมื่อรวม 2 ปีแล้วก็ยังต่ำกว่าเศรษฐกิจปี 63 ที่ติดลบถึง -6.1% เสียอีก ตอนนี้พลเอกประยุทธ์กลายเป็น โมฆะบุรุษของประชาชนส่วนใหญไปแล้ว จึงอยากเสนอ 7 ทางออกดังนี้

1.) เร่งสั่งซื้อวัคซีน mRNA เช่น ไฟเซอร์และโมเดอร์นารวมแล้วประมาณ 60 ล้านโดสให้เข้ามาเร็วที่สุด ระงับการซื้อวัคซีนซิโนแวคได้แล้ว เพราะไม่เกิดประโยชน์ และต้องเร่งฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าโดยด่วน

นายพิชัย กล่าวต่อว่า 2.) จัดการให้มั่นใจว่าวัคซีนแอสตราเซเนกาจะส่งมอบตามจำนวนที่ตกลง พร้อมเปิดสัญญาให้ประชาชนรับรู้ เพราะข้อมูลล่าสุดบอกว่าโรงงานผลิตได้ไม่ครบจำนวนที่คาดหมาย ถ้าจำเป็นก็ต้องห้ามการส่งออกเพื่อใช้วัคซีนเพื่อกระจายฉีดให้ประชาชนในประเทศก่อน

3.) เร่งกระจายการฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพให้เร็วและมากที่สุด กำหนดวันเปิดประเทศที่พร้อมและทำได้จริง ไม่ใช่ขายฝัน เพื่อเอกชนจะได้เตรียมพร้อมและทำการตลาดรองรับได้

4.) จัดวิธีการเยียวยาใหม่ ยกเลิกการแจกเงินสะเปะสะปะแจกหว่าน

5.) เร่งออกซอฟท์โลน 0% ให้ภาคธุรกิจเพื่อสอดคล้องกับการเปิดประเทศ เพื่อภาคธุรกิจจะได้มีเงินทุนฟื้นฟูและดำเนินธุรกิจต่อได้

6.) เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปิดสวิตช์ ส.ว.อย่าปล่อยให้ประเทศเดินไปสู่ความวุ่นวายและถึงทางตัน เมื่อประชาชนไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์แล้ว แต่ ส.ว.จะพยายามจะดึงดันกัน

7.) พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลต้องออกไปได้แล้ว เพราะล้มเหลวเกินเยียวยา ไม่สามารถสร้างความเชื่อถือให้กับคนในประเทศและต่างประเทศได้แล้ว รัฐบาลที่เคยโม้ว่าเป็นดรีมทีมกลายเป็นรัฐบาลฝันร้ายของประชาชนไปแล้ว นี่เป็นทางออกที่เร่งด่วนและสามารถทำได้จริง ก่อนจะถึงทางตันที่ประเทศจะยิ่งล้มเหลวหนักและเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ความดื้อรั้นและเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเก่งสุดและดีสุด ประเทศถึงได้ย่ำแย่สุดๆจนมาถึงจุดนี้ ถ้าหากมาถึงขั้นนี้แล้วยังคิดไม่ได้ก็แย่แล้ว แสดงว่าไม่ได้เห็นแก่ความยากลำบากของประชาชนเลย 

นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยอยู่บนเหว และทุกคนจะตกลงไปตายหากไม่มีการจัดการสถานการณ์ที่ถูกต้อง โดยสัญญาณที่กำลังบอกว่าเรากำลังจะตกเหว คือ

1.) รัฐบาลชุดนี้ โดย ศบค.ไม่สามารถควบคุมโรคระบาดได้ และส่งต่อเชื้อเหล่านี้ไปต่างจังหวัดทั่วประเทศอีก ระบบทางการแพทย์ และทางสาธารณสุขเรากำลังจะล่มสลาย

2.) ระบบทางการแพทย์เราไม่สามารถรับมือไหวแล้ว

3.) เราไม่มีวัคซีนที่ดี ที่มีประสิทธิภาพที่ป้องกันการแพร่เชื้อได้

4.) เราไม่มีทิศทางที่ชัดเจนว่าเราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

ทั้งนี้ ตนขอเสนอ 4 เรื่องให้กับประเทศนี้ คือ

1.) ขอเรียกร้องให้ประชาชนสามารถตรวจหาเชื้อด้วยตัวเองได้ และต้องพยายามให้สถานบริการตรวจเชื้อได้ได้มากที่สุด

2.) เราต้องสามารถจำกัดคนติดเชื้อได้ ต้องแยกคนติดเชื้อ ออกจากคนไม่ติดเชื้อให้ได้ เราต้องปรับแผน เช่น กักตัวที่บ้านโดยมีทีมคอยดูแล

3.) วัคซีนเฉพาะหน้า เพราะวัคซีนเรามีจำกัด โดยในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ วัคซีนที่ผลิตในประเทศต้องใช้ในประเทศก่อน และคุณต้องกำหนดเป้าหมายฉีดแบบโฟกัสจุด เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย 7 โรคเรื้อรัง คุณจะหว่านแหไม่ได้เพราะวัคซีนเรามีจำกัด โดยต้องหาวัคซีน mRNA มาฉีดให้คนกลุ่มนี้ด้วย

นอกจากนี้ ศบค.ต้องรีบจัดหาวัคซีนทุกตัวให้เข้ามาเร็วที่สุด ตนเรียกร้องให้ยกเลิกซิโนแวค อาจจะติดแฮชแท็กในทวิตเตอร์เป็นอารยะขัดขืนเลยว่า ถ้าเป็นซิโนแวคไม่ฉีด ยอมตายจากโควิดดีกว่าที่จะตายจากความอัปยศจากการบริหารงานไม่เป็น ให้รู้ไปเลยว่าคุณฆ่าพี่น้องประชาชนอย่างเลือดเย็น

และ 4.) ล็อกดาวน์หรือไม่ ต้องตรวจทุกคน ไม่จำเป็นต้องปิดสถานที่ แต่ต้องตรวจทุกคน และต้องมีทีมเฝ้าระวังเข้าสอบสวนโรค ดำเนินการกักกันตัวภายใน 24 ชั่วโมง ตนเรียกร้องให้ กทม.ดำเนินการเขตละ 3 ทีม

“ประเด็นสำคัญที่สุด ผอ.ศบค.ต้องออก ถ้าไม่ลาออก เราจะใช้มาตรการทางกฎหมายจัดการคุณ เหมือนที่อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาฯ เสนอว่าท่านประมาท เลินเล่อ ปล่อยให้เชื้อแพร่กระจาย และจงใจปล่อยให้คนตายอย่างต่อเนื่อง ถ้าคุณไม่ออกด้วยจิตสำนึก หรือโนธรรมของคุณเอง ก็ต้องใช้มาตรการทางกฎหมายหรือมาตรการทางสภาฯ” นพ.ชลน่าน กล่าว

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ปัญหาสำคัญคือรัฐบาลใช้การทหารนำการสาธารณสุข การสาธารณสุข มีแพทย์ทางเลือก มีทางเลือกในการรักษา การทหาร ไม่มีทางเลือก มีแต่รวดเร็ว รุนแรง เปลี่ยนแปลงได้ เลยได้เห็นการออกประกาศตอนตี 1 ใช้ความมั่นคงนำการสาธารณสุข ระวังม็อบมากกว่าระวังโรค ระบบรำวงต้องเลิก ศบค.ชุดเล็กไปชุดใหญ่ แก้ปัญหาไม่ทันโรค ล็อกดาวน์ผิดพลาด เยียวยาล้มเหลว วางแผนวัคซีนผิด ชนิดยอมรับเองเลย ถ้าหาวัคซีนดี ๆ มาฉีดให้ประชาชนตั้งแต่แรกปัญหาคงไม่หนักขนาดนี้ แต่กลับผิดซ้ำซาก ทำตัวเหมือนร้านข้าวราดแกง บังคับทุกคนต้องกินแกงฟักไก่เหมือนกันหมด ทั้งที่มีคนที่พร้อมและอยากกินกุ้งแม่น้ำล็อบสเตอร์ แต่ห้ามสั่งกับข้าวหมดยังไงก็ต้องกินแกงฟักไก่ เป็นผู้ร้ายปากแข็ง ถามยี่ห้อไหนมีหมด กำลังจะเข้ามาหมด จนคนสงสัยว่าเป็นวัคซีนทิพย์ เพราะไม่มีวันเวลาที่ชัดเจน วัคซีนบางยี่ห้ออยู่ดี ๆ ก็หายไลน์ไม่ตอบ สะท้อนวิธีคิดแบบทหาร คือไม่ผ่อนปรน ไม่มีทางเลือก เคยทำอย่างไร ก็ทำแต่อย่างนั้น วันนี้รัฐบาลถึงทางตัน ต้องถอยยาว ไปต่อไม่ได้แล้ว โดยขอเสนอทางถอยดังต่อไปนี้ 

1.) เร่งฉีดวัคซีน mRNA ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าโดยเฉพาะพื้นที่สีแดง

2.) แก้ไขปัญหาการบริหารจัดการวัคซีน นำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดทุกสายพันธุ์ให้กับประชาชน

3.) เร่งตรวจเชิงรุก โดยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจเชื้อด้วยตัวเอง และเตรียมระบบรองรับการดูแลผู้ติดเชื้อที่บ้าน

4.) เร่งเยียวยาประชาชนเดือนละ 5,000 บาท อย่างน้อย 3 เดือน เร่งชดเชยเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ทั้งการยกเว้น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่ ลดหรือหยุดดอกเบี้ยสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ

และ 5.) ยกเลิก ศบค.ไม่ต้องมีทั้ง ศบค.ชุดเล็ก ชุดใหญ่เพราะล่าช้า ไร้ประสิทธิภาพ กลับไปใช้โครงสร้างการทำงานปกติ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกเพื่อเปิดโอกาสให้ปัญหาวิกฤตได้รับการแก้ไข ตราบที่ยังคงคิดเหมือนเดิม ทำแบบเดิม สถานการณ์ข้างหน้าจะวิกฤตมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนยากที่จะแก้ไข

น.ส.อรุณี กล่าวว่า ในสถานการณ์แบบนี้ ทางออกที่เราควรพิจารณา คือการใช้อำนาจทางกฎหมายผ่านองค์กรตุลาการ เนื่องจากความผิดพลาดและล้มเหลวในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดของรัฐบาล ตลอด 1 ปีกว่าที่ผ่านมา และพล.อ.ประยุทธ์ในฐานะ ผอ.ศบค.ต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะอำนาจในการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้กฎหมายจะได้ให้เกราะคุ้มครองแก่เจ้าหน้าที่รัฐตามมาตรา 17 ยกเว้นความผิดทางแพ่งทางอาญาและทางวินัยต่อเจ้าหน้าที่รัฐ แต่การจัดสรรวัคซีนที่ล่าช้า ทางเลือกวัคซีนที่ไม่หลากหลาย และความหละหลวมของรัฐบาลตั้งแต่มีการระบาดมาเกิดขึ้น ตั้งแต่ระลอก 1-3 จนถึงระลอกที่ 4 ที่มีสายพันธุ์อินเดีย ที่แพร่ได้ไวและมีอัตราการติดเชื้อในปอดสูง ยอดคนตายพุ่งสูงตั้งแต่เม.ย.-ก.ค.รวมมากกว่า 2000 คน และมีอาการหนัก 2147 ราย แม้แต่แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ก็ไม่ปลอดภัย

ทั้งนี้ พรรคพท.เป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เรามองว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ประมาท เลินเล่อ ละเว้นและล่าช้าในการบริหารสถานการณ์ในยามวิกฤติแบบนี้ พรรคพท.จะใช้กระบวนการทางกฎหมาย เอาผิดรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ งดเว้นหน้าที่ที่พึงต้องกระทำ และจงใจที่จะกระทำให้เกิดความเสียหายกับประชาชน เราจะศึกษาข้อกฏหมายและทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องชีวิตประชาชน และเอาผิดพล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ 

น.ส.อรุณี กล่าวอีกว่า เรื่องที่ขอพูดถึงในการหาทางออกจากวิกฤต ถือเป็นมุมมองความห่วงใยในอนาคตของเด็กไทยก่อนจะสายเกินไป จากการประเมินของ กศส.ในเบื้องต้นปี 64 จะมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ประมาณ 70,000 คนภายในสิ้นปี เพราะผู้ปกครองตกงาน โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพโรงแรม งานบริการ ภาคการท่องเที่ยว ร้านอาหาร และอีกหลายอาชีพ ครัวเรือนที่ยากจนต้องแบกรับภาระด้านการเรียนสูงกว่า 4 เท่า ค่าเดินทาง ค่าอุปกรณ์ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาด้วยความยากจนแบบเฉียบพลันตั้งแต่ปี 63 แต่รัฐบาลกลับไม่เคยเตรียมความพร้อมของเด็กไทยเลย ตั้งแต่มีการระบาดตลอด 1 ปีกว่าที่ผ่านมา ปัญหายังคงอยู่ที่เดิม ตนจึงขอเสนอกระทรวงศึกษา

1.) จัดสรรงบประมาณอุดหนุนกับกลุ่มเด็กเปราะบาง ยากจน ในต่างประเทศอย่างรัฐนิวยอร์กมีโครงการให้ยืมไอแพดและระบบซิมการ์ดให้เด็กที่ยากจน เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่พรรคเพื่อไทยในสมัยท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็เคยเสนอและตระหนักเห็นความสำคัญเรื่องนี้มาก่อน

2.) ยกเลิกการสอบวัดผลทุกระดับในสถานการณ์แบบนี้   เพื่อไม่ให้เด็กเกิดความกดดันและถูกกีดกันจากระบบการศึกษา

3.) ส่งเสริมการเรียนการสอนแบบ Active Learning มากขึ้น กำหนดรูปแบบการเรียนที่เด็กเสนอ Project Base ของตนเองตามความถนัด เพื่อพัฒนา Soft Skill ขอบตนเอง

และ 4.) เน้นเนื้อหาที่จำเป็นในวิชาพื้นฐานที่ควรรู้ แต่เพิ่มเติมเนื้อหาที่จะพัฒนาทักษะด้าน DQ Digital Intelligent ความฉลาดทางด้านดิจิตอล นอกจากทางด้าน IQ และ EQ โดยเด็กสามารถเรียนได้จากฐานข้อมูลที่มี

'สุริยะ' ลงพื้นที่ไฟไหม้โรงงาน บริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด จังหวัดสมุทรปราการ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สั่ง กรอ.เฝ้าระวังเข้ม พร้อมกำกับดูแลหาแนวทางป้องกันในโรงงานทั่วประเทศ ด้าน กรอ.ได้ส่งรถเคลื่อนที่เร็ว และรถตรวจสภาพอากาศเข้าพื้นที่เกิดเหตุแล้ว!

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโฟม และเม็ดพลาสติก ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการไฟไหม้ ว่าได้รับรายงานตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (5 ก.ค.) และได้สั่งการให้นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ให้เจ้าหน้าที่กรมโรงงานฯ ลงพื้นที่ด่วน เพื่อไปติดตามสถานการณ์โรงงานไฟไหม้ใกล้ชิด

ซึ่งทาง กรอ.ได้ร่วมประชุมกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเร่งหาสาเหตุและแนวทางอพยพช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เป็นการเร่งด่วน โดยเบื้องต้นได้ส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็วของ กรอ. เข้าไปในพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา พร้อมกับส่งรถตรวจสภาพอากาศเข้าไปในพื้นที่แล้ว โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการหาสาเหตุ และให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

สำหรับมาตรการเร่งด่วนในขณะนี้การดำเนินการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ ที่ กรอ. กรมควบคุมมลพิษ และสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยรอบ พร้อมตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตราย

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา) ได้แสดงความเป็นห่วงอย่างมาก โดยได้สั่งการตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุให้ผมลงพื้นที่ตรวจสอบว่าโรงงานประเภทดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าทั่วประเทศมีโรงงานประกอบกิจการผลิตเม็ดโฟม ESP (Expandable Polystyrene) จำนวน 2 แห่ง คือ ที่จังหวัดสมุทรปราการ และโรงงานไออาร์พีซี ที่จังหวัดระยอง ซึ่งโรงงานแห่งนี้ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2532 และได้ตั้งก่อนที่จะมีชุมชนเข้าไปตั้งในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งการจะตั้งโรงงานประเภทนี้จะมีการทำ EIA และ EHIA อยู่แล้ว

"อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีผู้เชี่ยวชาญพิเศษ จากกรมบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากกองวัตถุอันตรายและความปลอดภัย จาก กรอ. ลงไปอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่เมื่อช่วงเช้าแล้ว ส่วนความช่วยเหลือเบื้องต้น ได้มีการตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่มูลนิธิร่วมกตัญญูในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการในเบื้องต้นแล้ว” นายสุริยะ กล่าว

ด้านนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในเบื้องต้น กรอ.ได้เคลื่อนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่ไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยให้ห่างจากพื้นที่ที่สามารถติดไฟได้ พร้อมกับล้างสารเคมีที่เหลือด้วยน้ำปริมาณมาก ๆ ซึ่งสารสไตรีนโมโนเมอร์ (Styrene Monomer) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นผลิตโฟม ก็มีคุณสมบัติติดไฟได้ง่าย ส่วนสารพอลิสไตรีนนั้น เมื่อถูกความร้อนสูง จะให้สาร 2 ชนิดคือ สไตรีน (Styrene) และเบนซีน (Benzene) โดยเบนซีนเป็นสารพิษอันตราย มีความเป็นพิษสูงและเป็นสารก่อมะเร็ง โดยอาการของผู้ที่ได้รับเบนซีนเมื่อหายใจเข้าไปในระดับสูงและเป็นเวลานาน คือในระยะแรก ๆ จะเกิดอาการซึม วิงเวียน คลื่นไส้ หมดสติ ใจสั่น เมื่อสูดดมเป็นเวลานานจะทำให้เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด (Leukemia) ได้

สำหรับเหตุไฟไหม้ โรงงาน หมิงตี้ เคมีคอล ซอยกิ่งแก้ว 21 ล่าสุดยังไม่สามารถคุมเพลิงได้ และคาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ในกองเพลิงเกือบ 700 ล้านบาท มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บนับสิบราย แรงระเบิดทำให้บ้านเรือนเสียหายเป็นวงกว้าง ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้สั่งเร่งอพยพ รัศมี 5 กิโลเมตร เนื่องจากมีสารเคมี กว่า 10 ชนิด เพราะยังคุมเพลิงไม่ได้ เจ้าหน้าที่ถอนกำลังหวั่นระเบิดซ้ำ


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top