Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

'เจดอน ซานโช่' กลายเป็นที่พูดถึงก่อนนัดเตะ อังกฤษ-ยูเครน เมื่อเขาเพิ่งกลายเป็นสมาชิกคนใหม่ของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

#เก็บตกยูโร2020 ⚽

คืนพรุ่งนี้ อังกฤษจะลงเตะกับยูเครน ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ศึกยูโร 2020 แต่คนที่กำลังเป็นข่าวร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ กลับเป็นตัวสำรองอย่าง เจดอน ซานโช่ ที่เพิ่งกลายเป็นนักเตะคนใหม่ของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเรียบร้อย

ย้อนเวลากลับไปสักหน่อย ซานโช่มีมหากาพย์เรื่องการย้ายทีมมาอย่างยาวนานกว่า 2 ปี สรุปสุดท้าย เพิ่งได้ย้ายมาแมนฯ ยูฯ ด้วยค่าตัวราว ๆ 85 ล้านยูโร แอบได้ยินเสียงเด็กผีเฮกันเบา ๆ ว่า ‘เฮ้อ มาสักที’

เพราะการรอคอยอย่างยาวนาน จนทำให้ความพีกของสตาร์รายนี้ ดูจะแผ่วลงไปพอสมควร แถมฤดูกาลก่อนก็ไม่ได้เปรี้ยงปร้างกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ต้นสังกัดเดิมในบุนเดสลีลา เยอรมัน สักเท่าไร ด้วยเหตุนี้ การมาของเสี่ยโช่ เอ้ย! ซานโช่ จึงไม่ได้สร้างความกระดี๊กระด๊าให้กับแฟน ๆ ผีแดงมากมายเท่าที่ควร

กลับมาที่ในแคมป์ทีมชาติอังกฤษในเวลานี้ จาก 4 นัดที่ผ่านมา ฟอร์มของบรรดานักเตะกองหน้าทำผลงานได้ดีกันแทบทุกคน ทั้งราฮีม สเตอร์ลิ่ง, แจ็ค กรีลิช, ฟิล โฟเด้น นั่นเองจึงทำให้ซานโช่ต้องกลายเป็นตัวสำรองอดทน

ซานโช่ เพิ่งลงเล่นให้อังกฤษในทัวนาเม้นท์นี้ไปแค่ 6 นาที โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาช่วงท้ายเกมกับสาธารณรัฐเช็ก ในรอบแรก และในเกมที่พบกับทีมชาติเยอรมัน รอบ 16 ทีม เจ้าตัวก็คาดหวังว่าจะได้ลงสนามเป็นตัวจริง เนื่องจากรู้ไส้รู้พุงนักเตะเยอรมันเป็นอย่างดี แต่แกเร็ธ เซาธ์เกต นายใหญ่ทีมชาติอังกฤษ ก็ไม่เลือกใช้งานเขา ด้วยเหตุผลสั้น ๆ ว่า ‘เรามีตัวเลือกกองหน้าที่มากมายจริง ๆ’

สถานภาพของซานโช่ในเวลานี้ ไม่ต่างจากคนอยากปล่อยของ ขอแค่เวลาและโอกาส ยิ่งเป็นช่วงสบายตัว สบายใจ ปลดล็อกความกดดันจากเรื่องการย้ายทีมไปแล้วแบบนี้ รับประกันว่าซานโช่อยากโชว์ของแน่นอน ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับนายใหญ่อย่างเซาธ์เกตแล้วล่ะว่า จะ ‘ใจถึง’ ส่งเสี่ยคนใหม่ เอ้ย! นักเตะคนใหม่ของแมนฯ ยูฯ ลงสนามวาดลวดลายหรือไม่

นัดที่เจอกับยูเครนคงมีคำตอบรออยู่!


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“พรรคกล้า” ยื่น 2 ข้อเสนอ ถึง “บิ๊กตู่” แนะ ชะลอการระบาด ไม่ให้ถึงจุดวิกฤต ชี้ การรักษาเร็ว คือการรักษาที่ดีที่สุด เผย ฟ้าทลายโจรรักษาโควิดได้

เมื่อวันที่ 2 ก.ค. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล นายมนต์ชีพ ศิวะศินางกูร กรรมการบริหารพรรคกล้าพร้อมด้วย ทพ.กันตพงศ์ ดีชัยยะ คณะทำงานด้านสาธารณสุข พรรคกล้า, นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ทีมกฎหมายพรรคกล้า และนายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม โฆษกพรรคกล้า ยื่นหนังสือข้อเสนอตั้งสถานกักตัวชุมชนและให้ยาฟ้าทะลายโจร รักษาผู้ติดเชื้อทันที ถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผ่านนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

นายมนต์ชีพ กล่าวว่า ข้อเสนอแรกให้จัดตั้งสถานที่กักตัวชุมชนและเมือง (Community-City Quarantine) คือ หากพบผู้ติดเชื้อ แต่บ้านที่มีขนาดกลาง-เล็ก มีสมาชิกในครอบครัวจำนวนมาก หรือวิถีชีวิตไม่สามารถแยกกักตัวที่บ้านได้ (Home Isolation) ให้มีกระบวนการแยกผู้ติดเชื้อออกจากสมาชิกในครอบครัวหรือคนใกล้ชิดทันที แล้วนำมากักตัวในพื้นที่เฉพาะที่ชุมชนหรือจังหวัดตั้งขึ้น โดยขอให้รัฐผ่อนคลายกฎระเบียบต่าง ๆ เกี่ยวการใช้สถานที่เพื่อการรักษาพยาบาลชั่วคราว เพื่อจัดตั้งสถานกักตัวในชุมชน ใช้อาสาสมัครหรือสร้างรายได้ด้วยการจ้างคนในชุมชนที่ผ่านการฝึกอบรมแล้ว เป็นผู้ดูแลแทนแพทย์และพยาบาลไปพลางก่อน

นายมนต์ชีพ กล่าวว่า ข้อเสนอที่สอง ‘ติดเชื้อปุ๊ป รับยาทันที’ เมื่อพบว่ามีการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่กักตัวเองอยู่ที่บ้าน หรืออยู่ในสถานกักตัวชุมชนตามข้อเสนอข้างต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการรอเตียงเข้ารับการรักษาต้องได้รับยาทันที ซึ่งทราบว่ายาฟาวิพิราเวีย (Favipiravir) มีเหลืออยู่ในคลังถึง 2.9 ล้านเม็ด และมีแผนจัดหาในเดือนกรกฎาคมอีก 5 ล้านเม็ด ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายนอีก 3 ล้านเม็ด ซึ่งมีปริมาณมากพอ เหลือแต่เพียงการกระจายให้ผู้ป่วยอย่างทั่วถึง และที่น่าสนใจ คือการให้ยาสมุนไพร "ฟ้าทะลายโจร" ได้ทันทีเมื่อพบว่าติดเชื้อ

ซึ่งพบว่าสารแอนโดรกราโฟไลด์ในฟ้าทะลายโจร สามารถบรรเทาอาการและรักษาโรคติดเชื้อโควิด-19 ได้ โดยร่างกายต้องได้รับสารแอนโดรกราโฟไลด์ 180 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งมีการทดลองแล้วว่า เมื่อได้รับยาติดต่อกัน 5 วัน จะเกิดภาวะปอดอักเสบน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับยาฟ้าทะลายโจร ประกอบกับต้นทุนราคาถูกกว่า สามารถหาซื้อได้ง่าย จึงเหมาะสมเป็นอีกหนึ่งยาหลักที่ผู้ติดเชื้อควรได้รับทันที

นายมนต์ชีพ กล่าวว่า เพื่อชะลอการระบาดไม่ให้สถานการณ์ไปถึงจุดวิกฤต หากสถานการณ์ผู้ติดเชื้อใหม่ต่อวันสูงถึง 5,000 ถึง 6,000 คนต่อไปเรื่อย ๆ สิ่งที่จะตามมาก็คือวิกฤตระบบสาธารณสุข บุคลากรและเครื่องมือทางการแพทย์ไม่เพียงพอ จำนวนผู้เสียชีวิตก็จะมากขึ้นตามลำดับ ดังนั้น พรรคกล้าจึงเห็นว่า การแก้ปัญหาที่ต้นทางเป็นเรื่องที่จำเป็นเพราะการรักษาที่เร็วที่สุด คือการรักษาที่ดีที่สุด


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'Ericsson' บริษัทเทเลคอมยักษ์ใหญ่จากสวีเดน คว้าดีลเซ็นสัญญาการพัฒนาระบบ 5G ในประเทศมาเลเซียได้สำเร็จ

มาเลเซียเคาะเรียบร้อยสำหรับสัญญาการพัฒนาระบบ 5G ทั่วประเทศ และผู้ที่มาเซ็นดีลมูลค่ากว่า 2.65 พันล้านเหรียญกลับไม่ใช่อดีตเต็ง 1 อย่าง Huawei แต่เป็น Ericsson บริษัทเทเลคอมยักษ์ใหญ่จากสวีเดน ที่จะรับผิดชอบการวางระบบ 5G แบบ end-to-end ครบวงจร ตั้งแต่ การวางระบบพื้นฐาน ติดตั้งเสาสัญญาณ วางเครือข่ายไฟเบอร์ และระบบบริหารจัดการธุรกิจทั้งหมด เพื่อสนับสนุนบริษัทเทเลคอมในประเทศนานถึง 10 ปี

Digital Nasional Berhad (DNB) หน่วยงานผู้ดูแลสัญญา 5G ของรัฐบาลมาเลเซีย ได้อธิบายถึงภาพรวมโครงการ 5G ร่วมกับ Ericsson และเป้าหมายที่จะเกิดขึ้นกับเทคโนโลยีการเชื่อมโยงสื่อสารในมาเลเซียด้วยระบบใหม่นี้ แบ่งเป็น 2 ระดับ

ระดับแรก การพัฒนาระบบ 5G จะทำให้เกิดการยกระดับความรู้ในระบบนิเวศน์การสื่อสารที่ได้จากเทคโนโลยีของ Ericsson สู่ผู้ประกอบการด้านเทเลคอมในประเทศ ที่สามารถต่อยอด สร้างมูลค่าใหม่ ๆ ในภาคธุรกิจได้อย่างมากมายมหาศาล

ระดับที่สอง คือ พัฒนาศักยภาพในการครอบคลุมพื้นที่การใช้งานทั่วประเทศได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น และตั้งเป้าว่า ในพื้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ไซเบอร์จายา และ ปูตราจายา จะสามารถใช้ระบบ 5G ได้ภายในไม่เกินสิ้นปี 2021 นี้ และชาวมาเลเซียในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศกว่า 80% จะสามารถเข้าถึงระบบดิจิตอล 5G ได้ภายในปี 2024

การปาดเข้าวินของ Ericsson นับเป็นข่าวใหญ่ในแวดวง 5G ในย่านอาเซียน เนื่องจากก่อนหน้านี้ มาเลเซียเคยมีข่าวว่าจะให้สัมปทานวางระบบ 5G แก่ Huawei มาตั้งแต่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรี มหาธีร์ มูฮัมหมัด และได้เซ็นสัญญากับบริษัท Maxis ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของมาเลเซียมาแล้ว

แต่จากกระแสกดดันอย่างหนักจากสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ไว้ใจระบบ 5G ในประเด็นด้านความมั่นคง และการจารกรรมข้อมูล ที่ทำให้หลายชาติจำเป็นต้องรื้อสัญญาวางระบบของ Huawei ใหม่รวมถึงสิงคโปร์ ที่เปลี่ยนใจไปเซ็นสัญญาพัฒนาระบบ 5G กับบริษัท Nokia และ Ericsson ไปแล้วเช่นกัน เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2020 ที่ผ่านมานี้เอง คาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ระบบ 5G ได้ถึง 50% ของเครือข่ายที่ใช้ในสิงคโปร์ทั้งหมดภายในปี 2022

ส่วนการพัฒนาระบบ 5G ในประเทศไทยก็ไม่ได้ช้ากว่าประเทศในย่านอาเซียนอื่น ๆ ที่ตอนนี้มีบริษัท Nokia เข้ามาวางระบบเครือข่าย 5G สำหรับองค์กร และมีสัญญาการติดตั้งอุปกรณ์ทั้งของ Ericsson และ Huawei ที่คาดว่าตลาดเครือข่าย 5G ในไทย น่าจะมีการแข่งขันสูง และน่าจับตามองมากเช่นกัน

 

 

อ้างอิง

https://www.thestar.com.my/business/business-news/2021/07/01/malaysia-picks-ericsson-for-rm11bil-project-to-deploy-5g-nationwide

http://focusmalaysia.my/singapore-telcos-pick-nokia-ericsson-over-huawei-to-build-main-5g-networks/

https://soyacincau.com/2020/06/25/singapore-5g-singtel-starhub-m1-pick-nokia-ericsson-tpg-huawei/

https://www.bangkokpost.com/tech/1987367/nokia-builds-on-5g-for-enterprise-use


โปรเด็ด! ถึง 15 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ศปฉ.ปชป. ทำงานเชิงรุก เร่งประสาน รพ.รอบนอกเพิ่มเติมทั้งรัฐและเอกชน หลังมีตอบรับแล้ว 2 แห่ง ช่วยรับเคสสีเขียวผู้ป่วยโควิด-19 

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้รับผิดชอบประสานข้อมูลผู้ติดเชื้อเพื่อการส่งต่อ ศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 (ศปฉ.ปชป.) เปิดเผยว่าจากสถานการณ์วิกฤตเรื่องเตียงผู้ป่วยโควิด-19 ในรอบสัปดาห์นี้ที่ตัวเลขพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับจำนวนเตียงที่จะรองรับ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทำให้มีผู้ป่วยรอเตียงตกค้างอยู่ที่บ้านจำนวนมาก ทั้งสีเขียวและสีเหลือง บางรายเข้าข่ายสีแดงที่ต้องเร่งหาเตียงให้อย่างรวดเร็ว

จากสถานการณ์ “วิกฤตเตียงผู้ป่วยโควิด” ในปัจจุบัน ตนเองและทีมจิตอาสาของพรคฯ ได้ประสานไปยังโรงพยาบาลที่อยู่โดยรอบกรุงเทพมหานครเพื่อช่วยระบายผู้ป่วย โดยเฉพาะเคสสีเขียวที่ยังเคลื่อนย้ายและเดินทางได้สะดวก ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าได้รับการตอบรับจากผู้บริหารโรงพยาบาลของรัฐแล้วแห่งหนึ่งคือโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มมีการส่งตัวผู้ป่วยไปเข้ารับการักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้วมากกว่า 10 ราย และจะทยอยส่งเพิ่มเติมอีกในกรณีที่โรงพยาบาลยังมีเตียงว่างและสามารถรับผู้ป่วยได้ รวมถึงโรงพยาบาลเอกชนในย่านสมุทรปราการที่พร้อมรองรับผู้ป่วยเคสสีเขียวรักษาตัวใน Hospitel รวมทั้งเคสสีเหลืองที่จะนำไปแอดมิทในโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลสนามของทหารเรือที่อยู่ระหว่างการประสานงานเพิ่มเติม เพื่อช่วยรองรับผู้ป่วยอีกด้วย

นางดรุณวรรณ กล่าวด้วยว่าทีมจิตอาสาของพรรคฯ ทำงานจริงจัง ต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่เปิดศูนย์มา มีระบบในการประสานงานที่ดี มีทีมที่หลากหลาย ทั้งแพทย์ พยาบาล วิศวกร อดีต ส.ส. ส.ก.อดีตผู้สมัครของพรรค และทีมยุวประชาธิปัตย์ ทำให้ทำงานได้รวดเร็ว เข้าใจปัญหา ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนที่ร้องขอความช่วยเหลือมา รวมถึงโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ร่วมงานด้วย ที่สำคัญคือไม่ทิ้งผู้ป่วยและคอยติดตามประสานงานอย่างใกล้ชิด

ด้าน นพ.ประวัติ กิจธรรมกูลนิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวว่า ยินดีรับผู้ป่วยทุกรายที่ส่งต่อมา ที่เป็นเคสสีเขียวตามศักยภาพของโรงพยาบาลที่รับได้ ส่วนตัวแล้วอยากช่วยเหลือประเทศชาติในยามวิกฤต โดยไม่เลือกผู้ป่วยว่าจะมาจากพื้นที่ไหนก็ตาม ทั้งนี้โรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย เป็นโรงพยาบาลสมาร์ท ฮอสปิทัล (Smart Hospital) ที่คว้ารางวัลเป็นเลิศระดับประเทศในปี 2563 ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งทั่วประเทศมีเพียง 5 หน่วยงานที่ผ่านการประเมินระดับเป็นเลิศ
“เรายินดีช่วยรับเคสให้ทุกรายถ้ายังมีเตียงและมีบุคลากรรองรับ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาแบ่งแยกว่าใครอยู่ที่ไหน จังหวัดอะไร ที่ไหนเตียงว่างก็ต้องช่วยกันรับผู้ป่วย เพราะทุกคนคือคนไทยด้วยกันทั้งนั้น.. ผมไม่มีสิทธิปฏิเสธคนไข้ เพราะผมเป็นหมอและเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีหน้าที่ช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน” นพ.ประวัติ กล่าว

ด้านนางดรุณวรรณ กล่าวเสริมว่า ขอบคุณทีมแพทย์พยาบาลทุกคนที่เสียสละทำงานอย่างหนัก ช่วยรับผู้ป่วยแม้จะต้องเหนื่อยมากขึ้นก็ตาม รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายและทีมจิตอาสาที่ได้ทำงานร่วมกันมาตลอด 
“พวกเรายืนยันจะทำงานกันอย่างเต็มที่ภายใต้กลไกที่มี อาจจะเร็วบ้าง ช้าบ้าง แต่จะตั้งใจทำเพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤตได้โดยเร็ว” นางดรุณวรรณ กล่าว

“เด็กพลังธรรมใหม่” ซัด “เอ๋ ปารีณา” หัดเห็นใจบุคลากรทางการแพทย์ ช่วยไม่ได้ก็พูดให้น้อย เย้ย บางคนน่าเวทนากว่า ร้องไห้เพราะไม่ได้ตำแหน่งสมใจ แนะ เอาเวลาไปสู้คดีให้พ้นคุกจะดีกว่า 

นายณัฐดนัย ชนิตร์วัฒน์ รองเลขาธิการพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึง นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัดสาธารณสุขว่ารู้สึกไม่เห็นด้วยกับการใช้น้ำตานั้น ว่า น.ส.ปารีณา ต้องเข้าใจและหัดเห็นใจบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอยู่ในภาคพื้นสนามและต้องเสี่ยงกับการติดเชื้อโควิด-19 ทุกนาที การที่ นพ.ธงชัย มีน้ำเสียงเหมือนร้องไห้ นั่นสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ทำงานอย่างหนัก จนสุดกลั้น ถึงขั้นต้องระบายความอึดอัดใจออกมา ฉะนั้นบรรดานักการเมืองที่ทำงานตากแอร์อยู่บนหอคอย เมื่อท่านช่วยไม่ได้ ก็ขอร้องให้พูดน้อยลงหน่อยก็จะเท่ากับช่วยบุคลากรทางการแพทย์ได้แล้ว

“น.ส.ปารีณากล่าวหารองปลัดสธ.ว่าใช้น้ำตาแบบไม่มีสติ ใช้แต่อารมณ์ แต่ผมคิดว่ายังดีกว่าคนที่ร้องไห้เพราะผิดหวังจากตำแหน่งประธานอนุกรรมาธิการงบประมาณ ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง ประชาชนเขาจะเวทนาเอาเปล่าๆ ผมขอฝากให้ น.ส.ปารีณา เอาเวลาไปต่อสู้คดีของตัวเองที่ไม่รู้จะติดคุกเมื่อไหร่ ดีกว่ามานั่งจับผิดคนที่เขาทำงานอย่างตั้งใจเพื่อประเทศชาติและประชาชน” นายณัฐดนัย กล่าว

นายณัฐดนัย กล่าวต่อว่า การเสียน้ำตาของรองปลัดสธ.ครั้งนี้ ฝ่ายบริหารควรต้องหันกลับมาใส่ใจ และตระหนักถึงวิกฤตโควิดที่บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนต้องเหนื่อยและตรากตรำสู้อยู่ ต้องหัดยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นและรีบแก้ไข มิใช่พูดไปส่งเดชว่ายังเอาอยู่ ทั้งๆ ที่แต่ละวันมีทั้งหมอและพยาบาลสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่ไร้คนเหลียวแล วันนี้ด่านหน้าที่สู้กับวิกฤตของประเทศคือพวกเขา ไม่ใช่นักการเมือง ฉะนั้นหยุดใส่ร้ายว่าบุคลากรทางการแพทย์ออกมาเพื่อสร้างดราม่า เพราะพวกเขาทุกคนไม่มีความจำเป็นต้องออกมาสร้างภาพเหมือนบรรดานักการเมืองที่หิวแสง

โฆษกรัฐบาล แจงยิบ ขยายห้องไอซียู-เพิ่มเตียง-รพ.สนาม หลัง นายกฯสั่ง แก้ปัญหาเตียงขาด ยืนยัน รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้อย่างเต็มที่

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อมของรัฐบาลในการบริหารจัดการเตียงรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ทั้งกลุ่มผู้ป่วยโควิดสีแดง และสีเหลืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ตามข้อสั่งการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. ซึ่งมีความห่วงใยต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ว่า ขณะนี้รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ดำเนินการจัดเตรียมเตียงไว้สำหรับรองรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 อย่างเต็มที่

นายอนุชา กล่าวว่า โดยในส่วนของโรงพยาบาลบุษราคัม กระทรวงสาธารณสุข ได้หารือกับผู้บริหารเมืองทองธานีเพื่อต่อสัญญาใช้สถานที่สำหรับทำโรงพยาบาลบุษราคัมต่อไปอีกจนถึงสิ้นเดือน ต.ค. 64 นี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อรับผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล รวมถึงผู้ป่วยจากจังหวัดใกล้เคียง และแบ่งเบาภาระ และบรรเทาปัญหาการขาดแคลนเตียงในพื้นที่ กทม. ทำให้โรงพยาบาลบุษราคัมขยายเตียงเพิ่มได้อีก 1,500-2,000 เตียง รวมมีเตียงรองรับผู้ป่วยอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง (สีเหลือง) ได้ประมาณ 3,700-4,000 เตียง โดยมีการบูรณาการความร่วมมือกับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ ในการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาช่วยดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ทั้งผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงใน กทม.

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังได้รับรายงานถึงความร่วมมือจากกระทรวงกลาโหม โดยได้หารือและพิจารณาร่วมกันในแต่ละส่วนของกองทัพ ถึงขีดความสามารถทางการแพทย์ทหารในการร่วมระดมปรับเกลี่ยบุคลากรทางการแพทย์ทหาร เสริมโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เร่งขยายห้องผู้ป่วยไอซียูในโรงพยาบาลทหารต่างๆในพื้นที่ กทม. และขยายขีดความสามารถ พื้นที่ มทบ.11 สนับสนุนอาคารและสถานที่จัดทำโรงพยาบาลสนามเพิ่มเติม โดยร่วมกับโรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ดูแลผู้ป่วยสีแดงและเหลือง จำนวน 178 เตียง และร่วมกับโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ดูแลผู้ป่วยสีเขียว เพิ่มเติมอีก 176 เตียง นอกจากนี้ โรงพยาบาล 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาลวชิรพยาบาล จะเปิดเตียงสีแดงเพิ่มเติมในสัปดาห์หน้า ซึ่งได้มีการขอสนับสนุนกำลังบุคลากรทางด้านสาธารณสุขในส่วนของแพทย์เฉพาะทาง แพทย์จบใหม่ และพยาบาล มาช่วยดูแลผู้ป่วยโควิด-19 อีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมสถานพยาบาลเพื่อรองรับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคโควิด-19 ตามอาการต่าง ๆ และมีการดูแลอย่างเป็นระบบ โดยสถานะสถานพยาบาล (ณ 30 มิ.ย.64) สถานการณ์เตียงของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จาก 9 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต กระทรวงกลาโหม กรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลตำรวจ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลเอกชน มีเตียงทั้งหมด รวมจำนวน 31,505 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 26,069 เตียง และรองรับได้เพิ่มเติมจำนวน 5,436 เตียง ทั้งนี้ จำแนกตามระดับเตียง ได้แก่ เตียงระดับ 3 (สีแดง) จำนวน 1,317 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 1,203 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม 114 เตียง เตียงระดับ 2 (สีเหลือง) จำนวน 12,782 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 11,090 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม 1,692 เตียง และเตียงระดับ 1 (สีเขียว) จำนวน 17,404 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 13,776 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม 3,628 เตียง 

นายอนุชา กล่าวว่า ส่วนโรงพยาบาลสนาม (ณ 30 มิ.ย. 2564) ได้แก่ (1)  การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ปัจจุบันมีทั้งหมด 53 แห่ง พร้อมรับจำนวน 11,104 เตียง ขยายได้เป็น 12,822 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 3,840 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 7,264 เตียง  (2) สถานะการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของกระทรวงกลาโหม สนับสนุนอาคารสถานที่ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ จำนวน 31 แห่ง พร้อมใช้งาน จำนวน 4,770 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 1,394 เตียง และรองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 3,376 เตียง (3) สถานะการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามของ กทม. ปัจจุบันมีทั้งหมด 10 แห่ง พร้อมรับ จำนวน  2,502 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 2,101 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 401 เตียง รวมสถานะการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามจาก 3 หน่วยงานดังกล่าว ปัจจุบันมีทั้งหมด 94 แห่ง พร้อมรับ จำนวน 18,376 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 7,335  เตียง และรองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 11,041เตียง 

นายอนุชา กล่าวว่า สำหรับโรงพยาบาลสนามแบบโรงแรม (Hospitel) รวมทั้งสิ้น จำนวน 77 แห่ง เปิดให้บริการแล้วจำนวน 59 แห่ง พร้อมใช้งาน จำนวน  14,559 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 13,061 เตียง และรองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 1,498 เตียง ขณะเดียวกันก็มีการบริหารจัดการเตียงสำหรับผู้ป่วยต่างด้าวในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยฮอสพิเทลปัจจุบันมีจำนวน 10 แห่ง พร้อมใช้งาน 2,755 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว จำนวน 2,252 เตียง รองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 503  เตียง โรงพยาบาลสนาม จำนวน 9  แห่ง พร้อมใช้งาน 4,542 เตียง รับผู้ป่วยแล้ว 3,589 เตียง และรองรับได้เพิ่มเติม จำนวน 953 เตียง

บริหารโรคระบาดจนมง..ลง ‘ไทยมียอดติดเชื้อรายวันอันดับหนึ่งของโลก’

นางสาวเกศปรียา แก้วแสนเมือง รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ ชี้ ในที่สุดเวลาก็เปิดเผยความจริงและความสามารถ ของรัฐบาลเผด็จการทหารซ่อนรูปในเสื้อคลุมประชาธิปไตยปาหี่ ที่ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อความต้องการอยู่ในอำนาจตลอดกาลของตนเอง โดยไม่ได้พิจารณาความสามารถตนเองในการบริหารจัดการเพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชน ก่อนหน้านี้ไม่มีสถานการณ์โรคระบาด รัฐบาลทหารก็ใช้การโฆษณาชวนเชื่อว่า ตนเองมีความสามารถ ถึงขั้นออกมาโวช่วงแรกๆ ที่แย่งชิงอำนาจมาจากประชาชนว่า บริหารประเทศไม่เห็นยาก แต่ประชาชนฐานรากของประเทศรับรู้มานานมากกว่า 4 ปี แล้ว ว่า ถ้าให้รัฐบาลทหารอยู่ต่อไปพวกเค้าจะอดตาย แต่ในช่วงนั้นพวกชนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือนยังไม่ได้รับผลกระทบ เสียงบ่นของกลุ่มฐานรากยังดังไม่พอ 

พอสถานการณ์โรคระบาด โควิด 19 ปรากฏขึ้น เมื่อปลายปี 2562 ทั้งประเทศตาสว่างเริ่มเห็นความสามารถ และวิธีคิดที่มองออกจากตนเอง ประเมินว่าตนเองเหนือกว่าประชาชนของรัฐบาล ความผิดพลาดจากการบริหารงานไม่เคยพิจารณาตนเอง โยนความผิดให้ประชาชนและคนอื่น บริหารสถานการณ์โรคระบาดโดยเอาผลประโยชน์ส่วนตนเองเป็นที่ตั้ง

เริ่มจากล็อกดาวน์ประเทศเป็นเวลายาวนาน เพื่อหลีกเลี่ยงม๊อบขับไล่รัฐบาล รักษาอำนาจตนเองเป็นหลัก แต่ไม่คำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจของประชาชนทั้งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ สร้างคนจนเพิ่มขึ้นสูงสุดในอาเซียนต่อมาบริหารจัดการวัคซีนผิดพลาด วัคซีนขาดแคลน โดยนำภาษีของประชาชนทั้งประเทศหลายหมื่นล้านไปซื้อของราคาสูงคุณภาพต่ำ มาฉีดให้ประชาชน ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตประชาชนไทยต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน อย่าง สัตว์เลี้ยง ไก่ เป็ด หมา แมว ที่เจ้าของสัตว์มีสิทธิ์เลือกวัคซีนให้สัตว์ของตนเอง แต่ประชาชนไทยไม่มีเสรีภาพในการเลือกวัคซีน ต้องทนเป็นหนูทดลองวัคซีนให้รัฐบาลที่ไม่สามารถตัดสินใจจัดหาวัคซีนที่ประสิทธิภาพป้องกันโรคและคุณภาพอันดับต้นๆ ให้ประชาชนได้ ข้อผิดพลาดครั้งนี้เป็นความผิดที่ร้ายแรงและอำมหิตมาก เพราะเป็นการฆ่าคนไทยทางอ้อม 

ข้อผิดพลาดจากการบริหารจัดการอีกประการ คือ เมื่อกรุงเทพมหานครมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากจนสถานพยาบาลรับไม่ไหว รัฐบาลก็ตัดสินบริหาร แบบนำโครงการแพร่เชื้อเพื่อชาติ มาบริหารสถานการณ์โรคระบาด โดยปิดล็อคกรุงเทพมหานคร ปิดกิจการที่มีผู้ติดเชื้อสูงอย่างก่อสร้างเพื่อให้แรงงานเดินทางกลับบ้าน จะได้ไปเผยแพร่เชื้อที่จังหวัดที่แรงงานเดินทางกลับไป อีกกรณีที่ทำให้สถานการณ์โรคระบาดรุนแรงขึ้นของโครงการแพร่เชื้อเพื่อชาติ คือ วัคซีนขาดแคลนทำให้ไม่สามารถส่งวัคซีนไปต่างจังหวัดที่จะมีแรงงานสุ่มเสี่ยงติดเชื้อเดินทางกลับไปได้ 

ความผิดพลาดในการบริหารจัดการโรคระบาดของรัฐบาลที่เห็นแก่อำนาจตนเองนี้ ส่งผลให้ไทยมียอดผู้ติดเชื้อรายวันเป็นอันดับหนึ่งของโลกในวันที่ 2 กรกฎาคม 2564 ต้องปรบมือรัวๆ ให้กับวิธีการบริหารยอดแย่ของรัฐบาลนี้ 

นอกจากไร้ความสามารถในการบริหารแล้ว เวลาที่ประเทศไทยเสียไปกว่า 7 ปี ความสูญเสียทางเศรษฐกิจและการเสียโอกาสของประเทศ ทำให้ประชาชนเห็นความจริงว่า รัฐบาลนี้ดูแคลนประชาชน มองว่าประชาชนผู้จ่ายภาษีเงินเดือนให้พวกรัฐบาล คือ คนละระดับกับพวกรัฐบาล กฏหมายทุกอย่างที่บังคับใช้กับประชาชนรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีไม่ปฏิบัติตาม เช่น กรณีคณะรัฐมนตรีไปภูเก็ตทั้งคณะไม่มีใครใส่หน้ากากอนามัยที่มีกฏหมายบังคับให้ประชาชนทุกคนสวมใส่ แต่คณะรัฐมนตรีหัวเราะร่วนโดยไม่มีหน้ากากอนามัย หรือว่ากำลังหัวเราะเยาะประชาชนที่กำลังร้องไห้ด้วยความทุกข์ยากแสนสาหัส จากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์โรคระบาดที่ไม่มีที่รับรักษา

“โฆษกปชป.”เผย “จุรินทร์”ย้ำ ทุกภาคส่วนของพรรค ลุย ช่วย ปชช. สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ เต็มที่ แนะเพิ่มช่องทางสื่อสารโดยมีเจ้าภาพหลัก เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ขณะนี้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก  พรรคขอเป็นกำลังใจและแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตทุกคน สถานการณ์ขณะนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อผ่านพ้นไปให้ได้ ในส่วนของพรรค โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ย้ำกับบุคลากรของพรรคทุกคน ให้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ลำบากให้ได้มากที่สุด ซึ่งตั้งแต่แรกเริ่มที่มีการแพร่ระบาดพรรคได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ตลอดมา การตั้งศูนย์ในส่วนกลาง ทั้งทำการประสานให้คำปรึกษา ส่วนในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. อดีต ส.ส. ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดทุกเขต ก็จะมีการให้ความช่วยเหลือดูแลประชาชนตลอดมา และจนถึงขณะนี้ได้สื่อสารย้ำให้ประชาชนยังต้องป้องกันตัวเองด้วยวิธีการตามที่กำหนด การสวมหน้ากาก การหมั่นล้างมือ การไม่รวมกลุ่มสังสรรค์กันเป็นจำนวนมาก ก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยป้องกันได้ ในทุกพื้นที่บุคลากรของพรรคจะมีทั้งการแจกหน้ากาก การบริการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ การช่วยหาเตียงให้ผู้ป่วยการมอบอาหารให้กลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัว และที่สำคัญให้การสนับสนุนความสะดวกร่วมกันทำงานกับบุคลากรทางการแพทย์ 
       
นายราเมศ กล่าวต่อว่า ต้องยอมรับว่าบุคลากรทางการแพทย์ทุ่มเททำงานกันอย่างหนักแทบจะไม่มีเวลาพัก ขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคน และเชื่อว่าคนไทยส่งกำลังให้เช่นกัน 
ขณะนี้รัฐต้องเพิ่มช่องทางการสื่อสารที่จำต้องให้มีเจ้าภาพหลักอย่างแท้จริงในการรวบรวมข้อมูลและสื่อสารให้ประชาชนได้รับทราบเพื่อป้องกันความสับสน การคัดกรองผู้ติดเชื้อย่อมมีความสำคัญ และการคัดแยกผู้ป่วยที่ติดเชื้อให้มีพื้นที่รองรับที่พอเพียงก็สำคัญเช่นกัน ควบคู่ไปกับกระบวนการในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน เชื่อว่าหากมีการอธิบายความจริงของการทำงานประชาชนพร้อมจะรับฟังและจะเกิดความเขื่อมั่นในที่สุด 

"ผอ.สสน.นทพ." ตรวจเยี่ยมชุดควบคุมแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก เขตลาดกระบัง

พล.อ.นเรนทร์  สิริภูบาล ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) มอบหมายให้ พล.ต.ธนินทร์  พู่ทองคำ ผู้อำนวยการสำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผอ.สสน.นทพ.) ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจและรับทราบปัญหาข้อขัดข้องพร้อมมอบแนวทางในการปฏิบัติให้แก่ชุดควบคุมแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก เขตลาดกระบัง ซึ่งเป็นกำลังพลที่ นทพ. จัดสนับสนุนศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน (EOC) กทม. ในการดูแลควบคุมแคมป์คนงานเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจัดกำลังพลจากสำนักงานพัฒนาภาค 1 หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สนภ.1 นทพ.), สำนักงานทหารพัฒนา หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สทพ.นทพ.) และสำนักงานสนับสนุน หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (สสน.นทพ.) สนธิกำลังกับตำรวจ เทศกิจ และเจ้าหน้าที่เขตลาดกระบัง เข้าดูแลควบคุมแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่กลุ่มเขตกรุงเทพตะวันออก เขตลาดกระบัง จำนวน 12 แห่ง เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งเฝ้าระวังรวบรวมข้อมูลสถานการณ์และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการนำส่งผู้ป่วยติดเชื้อให้เข้าสู่กระบวนการรักษาโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ เพื่อปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานในพื้นที่เสี่ยง ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานโดยพลการหรือหลบหนี ตามนโยบายของรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสั่งการของ พลเอก เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผบ.ทสส./หน.ศปม.) เพื่อแก้ไขปัญหาสำคัญเร่งด่วนของชาติให้สถานการณ์กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วต่อไป

นายกฯ สั่งเพิ่ม ชุดอุปกรณ์ตรวจหาเชื้อ-เพิ่มศักยภาพ ตรวจเชิงรุก คัดกรองในชุมชน ให้ได้มากที่สุด เพื่อตัดวงจรแพร่เชื้อโควิด-19

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมในฐานะผอ.ศบค. มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลการจัดหาและกระจายเวชภัณฑ์และยารักษาโรคโควิด-19 ให้เพียงพอนั้น นายกรัฐมนตรีได้มีข้อกำชับเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเพียงพอของชุดอุปกรณ์การตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตลอดจนการเพิ่มศักยภาพการตรวจคัดกรองให้ได้มากที่สุดด้วย

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้รับรายงานข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการเร่งตรวจคัดกรองประชาชน ทั้งในผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงในระบบการเฝ้าระวัง การลงพื้นที่เพื่อตรวจเชิงรุกในชุมชน ในทัณฑสถาน ตลอดจนในสถานที่กักตัวที่รัฐรับรอง ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญที่จะทำให้พบผู้ติดเชื้อมากขึ้นเพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุด ซึ่งทราบว่าหน่วยให้บริการต่างๆได้ทำงานเต็มที่ ทั้งในโรงพยายาบาลและลงพื้นที่ตรวจเชิงรุก

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในส่วนของโรงพยาบาลเอง อาจจะมีบางช่วงที่พบว่ามีการหยุดตรวจคัดกรองบ้างเนื่องจากต้องบริหารจัดการให้สอดคล้องกับจำนวนเตียงผู้ป่วย แต่ขณะนี้รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้เร่งดำเนินการขยายเตียงรองรับผู้ป่วยในส่วนต่างๆ ให้เพียงพอ ทั้งในส่วนของโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน โรงพยาบาลบุษราคัม ที่เมืองทองธานี ห้องไอซียูสนามที่ มทบ.11 โรงพยาบาลสนาม และ Hospitel  ก็จะมีส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพการตรวจคัดกรองผู้ป่วยให้ได้มากขึ้นด้วย

“นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนและติดตามเพื่อสั่งการการให้การสนับสนุนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในทุกด้าน ซึ่งในส่วนของการตรวจคัดกรองหาเชื้อนายกรัฐมนตรีขอให้หน่วยบริการทั้งในโรงพยาบาลและการลงพื้นที่ตรวจเชิงรุกในชุมชุนดำเนินการให้เต็มที่และหากสามารถขยายศักยภาพการตรวจได้ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยทางสาธารณสุขได้ก็ให้เร่งดำเนินการทันที” น.ส.ไตรศุลี กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top