Saturday, 17 May 2025
NewsFeed

มานูเอล นอยเออร์ กัปตันทีมเยอรมัน สวมปลอกแขนสีสายรุ้ง ร่วมรณรงค์เดือนแห่ง Pride Month

#เก็บตกยูโร2020 ⚽

หลายคนที่มีโอกาสได้ชมเกมที่ทีมชาติเยอรมันลงแข่งขัน คงแอบสังเกตเห็น มานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตูและกัปตันทีมของเยอรมัน สวมปลอกแขนลวดลายเป็นสีรุ้ง ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นดราม่ากันไปเบาๆ

สืบเนื่องจากเดือนมิถุนายน ถูกยกให้เป็นเดือน Pride Month หรือเดือนที่เป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงสิทธิและความเท่าเทียมกันทางเพศ ทำให้ มานูเอล นอยเออร์ ออกมาสวมปลอกแขนกัปตันทีมที่มีสีสันเป็นสีรุ้ง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญระดับโลกนี้ด้วยนั่นเอง

โดยความตั้งใจของผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมันรายนี้ ต้องการสะท้อนถึงความเท่าเทียมกัน รวมไปถึงการเปิดใจกว้าง และต่อต้านการเหยียดซึ่งกันและกัน แต่ปรากฎว่า นอยเออร์กลับถูกทางสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป หรือยูฟ่า ตั้งทีมงานขึ้นมาสอบสวนถึงการกระทำดังกล่าว เนื่องจากการสวมปลอกแขนกัปตันทีม ถือเป็นกฎระเบียบข้อหนึ่งของนักฟุตบอลที่ต้องทำตามกติกาที่วางเอาไว้

แต่ต่อมา ทางยูฟ่าก็ออกมาให้ข่าวทำนองว่า ได้ล้มเลิกการสอบสวนกับนอยเออร์ไปแล้ว เนื่องจากได้ทราบถึงเจตนารมย์ของผู้รักษาประตูคนดัง ก็เป็นอันเข้าใจได้ แต่! เรื่องมันไม่จบเท่านั้น เพราะคืนนี้เยอรมันจะลงทำการแข่งขันนัดสุดท้าย เพื่อชี้ชะตาเข้ารอบ 16 ทีม โดยจะพบกับทีมชาติฮังการี ซึ่งประเด็นดราม่ามันอยู่ตรงที่ว่า

เยอรมัน ในฐานะเจ้าบ้าน จะขอเปิดไฟที่สนามอัลลิอันซ์ อารีนา ให้เป็นสีรุ้งรอบสนาม เจตนาก็เพื่อต้อนรับเดือน Pride Month นี่ล่ะ แต่มาติดตรงที่ว่า ที่ประเทศฮังการี รัฐสภาของฮังการี เพิ่งผ่านกฎหมายแบนการเผยแพร่เนื้อหาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการรักร่วมเพศ พูดง่ายๆ ว่า เยอรมันไปอย่าง ฮังการีไปอีกอย่าง

เรื่องนี้จึงทำให้ยูฟ่า ในฐานะเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลยุโร 2020 ต้องตัดสินใจ เพราะถือว่าเป็นประเด็นอ่อนไหวพอสมควร และอาจจะมีผลกระทบในทางการเมืองโดยไม่จำเป็น สุดท้ายจึงขอไม่ให้ทางนายกเทศมนตรีเมืองมิวนิก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางสนามอัลลิอันซ์ อารีนา ได้เปิดไฟสีสันดังกล่าว

โดยทางผู้หลักผู้ใหญ่ของเยอรมันก็ยินยอม แต่ก็มีแอบประชดเล็กๆ ด้วยการไปเปิดไฟแสงสีรุ้งที่สนามฟุตบอลอื่นๆ ทั้งหมด และประชาชนเยอรมันก็จะพร้อมใจกันโบกธงสีรุ้ง เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์แทน

สรุปเป็นเรื่องคนละมุมมองกันไป แต่สำคัญที่สุด ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน และหาความเหมาะสมร่วมกันให้ได้


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก หัวข้อ "โลกกำลังอยู่ในช่วงผันผวนรุนแรง ถ้าระบบราชการยังช้า ไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง!"

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก หัวข้อ "โลกกำลังอยู่ในช่วงผันผวนรุนแรง ถ้าระบบราชการยังช้า ไทยจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง!" โดยยกงานเขียนของนาย Bill Gates เคยเตือนภัยต่อโลกไว้ก่อนที่จะเกิดแพร่เชื้อโควิด 2 ปี ว่าจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเกิดขึ้นแน่นอน และภาวะโลกร้อน จะมีผลต่อชีวิตของมนุษย์มากกว่านี้หลายเท่าว่า...

ในช่วงที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสร่วมวงเสวนากับ Bill Gates ซึ่งจัดโดย บริษัทเก่าของผม เครือธนาคาร JP Morgan Chase มีประเด็นสำคัญหนึ่งที่เป็นยุทธศาสตร์หลักต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก

ผมขอชวนถกประเด็นพูดคุยกันได้ในโพสต์นี้นะครับ

ก่อนอื่นผมขอเล่าเกริ่นให้ฟังก่อนว่า Bill Gates เขากล่าวไว้ว่าอย่างไรบ้าง และมุมมองขยายความของผมต่อโอกาส และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของไทย หลังยุคโควิดควรมีโฉมหน้าอย่างไร

หากใครได้อ่านงานเขียนของ Bill Gates จะทราบว่า ท่านเคยเตือนภัยต่อโลกไว้ก่อนที่จะเกิดแพร่เชื้อโควิด 2 ปี โดยเขาขอให้ทั่วโลกเตรียมตัวรับมือ ว่าจะมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งมันเกิดขึ้นจริงตามที่เขาพูด นั่นแสดงให้เห็นว่า Bill Gates จับกระแส และพยากรณ์ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องใหญ่ๆ ที่จะมีผลกระทบต่อมนุษยชาติได้ค่อนข้างแม่นยำ

ในวันนั้นเอง เขาได้พูดเรื่องผลกระทบที่ต่อโลกของเราโดยมองข้ามช็อตจาก โควิดไปสู่ภาวะโลกร้อน โดยระบุว่า "ไม่ว่าการแพร่เชื้อโควิดเที่ยวนี้จะรุนแรงแค่ไหน จะมีผลต่อชีวิตประชากรชาวโลกไปแล้วกี่คนก็ตาม แต่สุดท้ายแล้ว ผลจากภาวะโลกร้อน จะมีผลต่อชีวิตของมนุษย์มากกว่านี้หลายเท่า”

วันนี้ทั้งโลกกำลังมุ่งไปที่ปัญหาเฉพาะหน้า แล้วก็คิดเพียงว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนั้น ทั้งที่จริงๆ แล้วมันอาจจะมีวิกฤตการณ์ที่รอเราอยู่ ซึ่งจะมีผลต่อเรา มากกว่าวิกฤตการณ์เฉพาะหน้านี้อีกหลายเท่า เรื่องเฉพาะหน้าก็ต้องดูแลให้ดี เรื่องในอนาคตก็ต้องวางแผนให้ทัน

นั่นหมายความว่า สิ่งที่เราต้องทำคือ เตรียมแผนไว้ว่ามันอาจจะมีความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่จะได้รับผลกระทบมากกว่า ศัพท์ใช้กันอย่างแพร่หลายในระยะหลังคือ VUCA V-Volatility ความผันผวนรวดเร็ว, U-Uncertainty ความไม่แน่นอนว่าจะเกิดอะไรอีก, C-Complexity ความสลับซับซ้อน และ A-Ambiguity ความคลุมเครือ ซึ่งพวกเราส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเห็นภาพว่ามันจะเป็นจะเป็นอย่างไร มันจะเกิดขึ้นกับเราหรือเปล่า จะมีผลกระทบกับประเทศไทยหรือไม่ เพราะดูเหมือนไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงกับประเทศเรา

[ผมคิดว่าโควิดเป็นตัวเปลี่ยนแปลงที่บ่งชี้ชัดที่สุดว่า ตอนนี้ทั้งโลกอยู่ในภาวะ VUCA อย่างแท้จริง]

Bill Gates ยังให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจนั่นคือ "ความร่วมมือระหว่างประเทศติดลบ ขาดความร่วมมืออย่างสิ้นเชิงในทุกระดับ" ทั้งยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาและการรับมือ ดูได้จากมีการแก่งแย่งวัคซีนกัน

ผมค่อนข้างแปลกใจว่า ตอนนี้ไม่มีบทบาทของอาเซียนเลย ทั้งที่หากเรารวมตัวกันอำนาจการต่อรองกับบริษัทผู้ผลิตจะมากที่สุดในโลก แต่กลับกลายเป็นต่างคนต่างคิด แบบตัวใครตัวมัน ทั้งนโยบายและยุทธศาสตร์การตั้งรับ หรือแม้แต่การสั่งซื้อวัคซีนเอง เราต้องกลับมาทบทวนว่าจะปรับตัวอย่างไรเพื่อรองรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งในสถานกรณ์การแพร่เชื้อหรือปัญหาอื่นๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นจาก ภาวะโลกร้อน

อย่างไรก็ตามก็มีมุมดีในแง่การรับมือของภาคเอกชน ส่งผลให้เรามีแนวโน้มโอกาสที่จะออกจากปัญหาเฉพาะหน้าได้เร็วกว่าที่คาดไว้เดิม ซึ่งตามที่นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศไป เมื่อวันก่อนว่า อีก 120 วัน จะเปิดประเทศ นั้นก็เพราะมันมีความเป็นไปได้เพราะตัวแปรสำคัญคือเรามีวัคซีนที่สามารถผลิตได้เร็วๆ และมีแนวโน้มว่าจะสามารถเข้าสู่สภาวะปกติได้ภายในเวลา 1 ปี เป็นเรื่องที่ค่อนข้างมหัศจรรย์มาก เมื่อเทียบกับในอดีตที่จะใช้เวลา 3-4 ปี หรือมากกว่านั้น ซึ่งทำให้มั่นใจว่า ด้วยประสบการณ์ และทรัพยากรที่มีอยู่ของ ภาคเอกชนทำให้เชื่อว่า หากเกิดการแพร่เชื้อชนิดใหม่ขึ้นอีก โลกก็น่าจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะค้นหาวัคซีน เพื่อมาต่อกรกับไวรัสได้ในระยะเวลาเพียงไม่เกิน 6 เดือน แต่ในโลกของ VUCA ใครจะเป็นคนที่มีความมั่นใจว่าประเภทปัญหาในระดับวิกฤตที่เราะจะต้องรับมือในอนาคต มันต้องไม่ใช่การรับมือแบบเดิมอย่างแน่นอน

“นี่คือบริบทในการพูดถึง New Normal หากในอนาคตเราจะเจอปัญหาที่เคยประสบมาแล้ว เราต้องมีโครงสร้างและองคาพยพที่มีความฉลาดและยืดหยุ่นเพียงพอในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง

ถามว่าแล้วโครงสร้างสังคมและการบริหารจัดการของเรา ณ วันนี้มันมีความยืดหยุ่น คล่องตัว ว่องไว และมีความสามารถเพียงพอที่จะวิเคราะห์ปัญหาที่มีความสลับซับซ้อนแล้วหรือไม่ ผมคิดว่าพวกเราทุกคน มีคำตอบเดียวกัน คือยังห่างไกล เพราะระบบบริหารจัดการระดับประเทศของเรา โดยเฉพาะระบบราชการ ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมายาวนาน ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมาเห็นชัดเจนว่า ขาดวัฒนธรรมการบริหารข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ต้องเตรียมการรองรับโลกที่สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น หากยังเป็นอยู่แบบนี้ โอกาสที่จะปรับตัวเพื่อแก้ปัญหาในอนาคตก็ยังน้อยเหมือนเดิม

[ไทยปรับตัวได้ช้า เพราะติดกับดัก “ระบบราชการ” ล้าหลัง]

เราจะหวังให้ระบบราชการปฏิรูปตัวเองคงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าคนทำงานหรือข้าราชการดีๆ เก่งๆ มีประสิทธิภาพ อยากสร้างความเปลี่ยนแปลงก็ตาม แต่เพราะอำนาจของหน่วยราชการ มาจากการรับหน้าที่ด้วยกฎหมาย ดังนั้น ตราบใดที่กฎหมายยังกำหนดว่าขั้นตอนต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แม้จะไม่ทั้งหมด เพราะบางอย่างมันก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีขั้นตอนในระบบราชการ แต่หากจะนำไปสู่การยกระดับให้ระบบราชการมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น แม้จะเป็นความเหมาะสมของแต่ละประเทศ แต่มันก็ได้ใช้แล้วกับหลายประเทศที่มีความหลากหลาย เช่น เกาหลีใต้ เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ทางซีกตะวันตก ที่เขาเรียกกันว่า Regulatory Guillotine ปฏิรูปกฎหมาย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รัฐบาลนี้ก็เคย ได้พิจารณาเรื่องนี้ แต่มันก็เงียบหายไป เพราะขาดแรงดัน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าประเทศไทยมีทั้งกฎหมาย กฎระเบียบ ประกาศกระทรวง เป็นจำนวนมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งมันเป็นค่านิยมที่ทำให้ ระบบราชการมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะมารองรับกฎพวกนั้นที่มีความสลับซับซ้อนและมากขึ้นเรื่อยๆ

[การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องเกิด...ไทยต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เพื่อหาเงินแหล่งให้เข้ากระเป๋าคนไทย]

การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจนี้ คำถามคือ เราจะต้องปรับในประเด็นไหน ความจริงถ้าเราย้อนกลับไปดูวิกฤตต้มยำกุ้ง 20 กว่าปีที่ผ่านมา มันคือตัวเปลี่ยนในหลายๆ เรื่องในภูมิภาคเอเชียของเราเอง หลายประเทศได้รับผลกระทบในระดับเดียวกัน ทั้ง ไทย อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ แต่ละประเทศ มีการปรับเปลี่ยนที่แตกต่างกัน แต่ประเทศไทยปรับน้อยมาก สิ่งที่มีความสำคัญต่อระบบโครงสร้างที่เกิดจากวิกฤตต้มยำกุ้ง คือ การลอยตัวค่าเงินบาท นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เพราะเงินบาทลอยตัว ส่งผลให้การส่งออกของเราไปแข่งกับคนอื่นได้ง่ายขึ้นในด้านของราคา ทำให้การส่งออกโตอย่างรวดเร็ว สัดส่วนการส่งออกเทียบกับจีดีพีต้มยำกุ้งประมาณ 35% หลังต้มยำกุ้ง มาถึงทุกวันนี้มี 70% ซึ่งเป็นเหตุให้ภาคธุรกิจที่เน้นการส่งออกเติบโต แต่การเติบโตเพียงเพราะเรามีขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านราคาที่ดีขึ้น ไม่ได้เติบโตด้วยนวัตกรรม หรือประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น และไม่ได้ส่งผลต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมเป็นส่วนใหญ่

ตัวชี้วัดที่เห็นชัดๆ คือ ถ้าเราดูรายชื่อบริษัทชั้นนำที่มีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน จนถึงวันนี้ ชื่อบริษัทยังไม่เปลี่ยนเลย ชื่อใหม่ๆ ก็เป็นรัฐวิสาหกิจบ้าง แต่ไม่ได้เกิดจากนวัตกรรมใหม่ๆ ถ้าเทียบกับสหรัฐอเมริกายี่สิบปีที่แล้ว ชื่อบริษัทที่ติดอันดับหนึ่งในห้า วันนี้คนรุ่นใหม่แทบจะไม่รู้จัก แต่วันนี้ TOP 5 มีแต่ Tech Company หมด ไม่ว่าจะเป็น Facebook Google Amazon Apple ทั้งๆ ที่ 20 ปีก่อน บริษัทพวกนี้ยังไม่ได้ก่อตั้งเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจ วิธีการทำมาหากินของประเทศเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก ขณะที่ของเรายังแบบเดิม และผู้ที่ประสบความสำเร็จ โดยส่วนใหญ่ ก็คือผู้ที่มีสัมปทานกับรัฐ ผู้ที่ค้าขายกับรัฐ หรือมีใบอนุญาตที่ออกจากรัฐคอยปกป้องคุ้มครอง

[ยุทธศาสตร์ Vaccine Economy เติมแหล่งรายได้ใหม่เข้ากระเป๋าคนไทย ทำได้ ทำไม่ง่าย แต่ไม่ทำ...ไม่ได้!]

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรับคือ “การเพิ่มความสามารถการแข่งขัน” ซึ่งของไทยมีน้อย ทำให้บริษัทที่มีใบอนุญาตโตวันโตคืน ส่วนแบ่งตลาดก็มากขึ้น แต่บริษัทเล็กจะไม่มีโอกาสที่จะโตมาแข่งขันในฐานะแรงดันหลักทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ ซึ่งมันขาดนวัตกรรม สุดท้ายแล้วทำให้ขาดการลงทุนซึ่งเป็นหัวใจหลัก จากที่เปรียบเทียบให้เห็นแล้วว่า การลงทุนจากต่างประเทศในรูปของ FDI ของเราลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์

ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนจากต่างประเทศถอนการลงทุนจากตลาดหลักทรัพย์บ้านเราไปแล้วเกือบ 1 ล้านล้านบาท นั่นคือสาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นของเราก็ยังย่ำอยู่ที่เดิม เราเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ดัชนียังไม่กลับไปอยู่ในระดับเดิมก่อนต้มยำกุ้งด้วยซ้ำไป ตรงนี้เป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นว่าต่างประเทศที่เขาเป็นนักลงทุนมืออาชีพ ช่วงนี้เขามองว่าแนวโน้มโอกาสในการทำกำไร ในการลงทุนในประเทศอื่นสูงกว่าการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งไม่ผิด เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเท่าตัวของเอเชียโดยเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้นประมาณ 40% แต่ของไทยยังอยู่ที่เดิม หรือแม้แต่เราดูการลงทุนจากบริษัทเอกชนของไทยเอง จะเห็นว่าอัตราการขยายตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ลดลงไปเกือบศูนย์ เหลือเพียง 2-3% เท่านั้น เพราะเขาไปลงทุนในประเทศอื่น ทั้งหมดเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่า ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มสิทธิประโยชน์ เพื่อที่จะเป็นแรงจูงใจให้คนกลับมาลงทุน แต่เป็นเรื่องของการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการเขามีความรู้สึกว่าเขาอยากจะมาลงทุนที่นี่

“จุดเริ่มต้นในการที่จะดึงดูดความสนใจหรือกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีความคึกคักมากยิ่งขึ้นข้อสำคัญ ต้องเริ่มที่ปฏิรูประบบราชการ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และมีทัศนคติในทางบวกมากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องเพิ่มการแข่งขัน ซึ่งไม่ว่าจะทำด้วยวิธีใดก็ตามต้องเอาจริง ที่สำคัญเราต้องสร้างโอกาสของธุรกิจใหม่ (New-S-curve) ซึ่งก็ต้องกลับมาที่เรื่องทัศนคติอีก อย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กลต. ออกประกาศสกัดดาวรุ่งเรื่องของการนำเหรียญ คริปโต พวกโทเคิล ประเภทต่างๆ ที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อกเชน มาจดทะเบียน ซึ่งมันเป็นประกาศที่สร้างความตกใจให้กับทุกคนที่อยู่ในวงการคริปโต เพราะไม่ได้ส่งผลทางบวกกับใคร ถ้าเป้าหมายเพียงเพื่อต้องการปกป้องนักลงทุน ซึ่งเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่านักลงทุนถ้าเขาอยากที่จะลงทุนในโลกคริปโตเขาสามารถที่จะลงทุนข้ามชายแดนได้โดยสะดวกอยู่แล้ว แต่ผลมันคือทำให้แนวโน้มโอกาสที่จะพัฒนาในส่วนของผู้เชี่ยวชาญที่จะพัฒนาทักษะหรือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล๊อคเชนในประเทศนั้นมันหมดไป ซึ่งเมื่อถูกปิดโอกาสแบบนี้ คนเก่งๆ ก็จะย้ายไปทำในประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์แทน”

แล้วผมจะมาชวนคุยต่อถึงแนวทางในการสร้างโอกาสที่ยั่งยืนให้ประเทศไทยสำหรับโลกใหม่หลังโควิดนะครับ

 

ที่มา : https://www.facebook.com/KornGoThailand/photos/a.10151851815469740/10159726945409740/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. จึงเตรียมวงเงินไว้รองรับนักเรียนนักศึกษาที่ต้องการความช่วยเหลือถึง 3.8 หมื่นล้านบาท พร้อมเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงให้ด้วยการ ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกัน ในสัญญาเงินกู้

การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ปีนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา หรือ กยศ. จึงเตรียมวงเงินไว้รองรับนักเรียนนักศึกษาที่ต้องการความช่วยเหลือถึง 3.8 หมื่นล้านบาท พร้อมเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงให้ด้วยการ ยกเลิกการกำหนดให้มีผู้ค้ำประกัน ในสัญญาเงินกู้

ส่วนมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ กยศ. มีดังนี้

1.) ผู้ที่ไม่เคยผิดนัดชำระ ลดดอกเบี้ยให้เหลือ 0.01% ต่อปี

2.) ผู้ที่ชำระหนี้ปิดบัญชี ลดเบี้ยปรับให้ 100%

3.) ผู้ชำระหนี้ค้างทั้งหมด ลดเบี้ยปรับให้ 80%

4.) ผู้ไม่เคยผิดนัดชำระ และจ่ายปิดบัญชีในคราวเดียว ลดเงินต้นให้ 5%

5.) ผู้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ลดอัตราการคิดเบี้ยปรับเหลือ 0.5%

ทั้งหมดนี้ มีผลถึง 31 ธ.ค.64

สำหรับผู้กู้ที่ผิดนัดชำระ ปี 2563 และ 2564 จะชะลอการฟ้องคดีไปถึง 31 มี.ค. 65 ยกเว้น คดีที่ขาดอายุความในปีนี้ พร้อมงดการขายทอดตลาด

กรณีถูกบังคับคดีจนถึงสิ้นปีนี้ จะงดการขายทอดตลาด

ผู้กู้ยืมเงินที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะได้รับการพักชำระหนี้ 2 ปี


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"ไบโอเทค" เผยผลวิจัยต่างประเทศ ฉีด AZ เข็มแรก ตามด้วย mRNA เข็ม 2 กระตุ้นภูมิดี รับมือไวรัสโควิดกลายพันธุ์ได้ทุกตัว

ห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี เผยผลวิจัยในเยอรมนี การฉีดวัคซีนโควิดเข็ม 2 แบบ mRNA ต่อจาก AZ ในเข็มแรกสามารถสร้างภูมิคุ้มกันสูงมากกันโควิดกลายพันธุ์ได้ทุกตัว

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. เพจ "Virology and Cell Technology Lab - BIOTEC" ของห้องปฏิบัติการไวรัสวิทยาและเซลล์เทคโนโลยี ได้ออกมาโพสต์ข้อความน่าสนใจเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ในหัวข้อ "เข็มแรก AZ เข็มสอง Pfizer...การใช้วัคซีนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด?" โดยทางเพจได้ระบุข้อความว่า

"จากปัญหาเรื่องลิ่มเลือดอุดตันที่พบได้ในคนที่ฉีดวัคซีน AZ ทำให้หลายประเทศในยุโรป โดยเฉพาะเยอรมนี เริ่มจำกัดการใช้วัคซีน AZ เฉพาะผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปี ทำให้คนวัยหนุ่มสาวที่ได้ AZ เข็มแรกไปแล้ว อาจต้องไปใช้เข็มสองในรูปแบบอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง mRNA vaccine ของ Pfizer ผลการทดสอบจากเยอรมัน ในเรื่องการใช้วัคซีนแบบสลับเข็มจึงเห็นออกมาเรื่อยๆ ผลการทดลองครั้งนี้มาจากทีม Hannover Medical School ซึ่งมีผลการทดลองที่น่าสนใจหลายเรื่องครับ

กลุ่มที่ทำการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

1.) AZ เข็มเดียว

2.) AZ สองเข็ม

3.) AZ แล้วตามด้วย Pfizer

โดยการให้เข็มที่ 2 ทำในวันที่ 73-74 วัน หรือ 10 อาทิตย์หลังเข็มแรก ทีมวิจัยนำตัวอย่างที่ได้จากอาสาสมัครเหล่านั้นมาตรวจหาภูมิคุ้มกันทั้งในรูปแบบของแอนติบอดียับยั้งไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ (Wuhan, Alpha, Beta และ Gamma แต่ไม่มี Delta) ตลอดจนดูการ กระตุ้นของ T cell ด้วย

ข้อมูลมีค่อนข้างเยอะนะครับ แต่สรุปสาระสำคัญได้ คือ การใช้ mRNA เป็นเข็มที่สองต่อจาก AZ สามารถกระตุ้นการสร้างแอนติบอดีทั้ง IgG และ IgA ได้สูงมาก (ซึ่งสอดคล้องกับหลายงานวิจัยก่อนหน้านี้) โดย NAb ในระบบสองเข็มต่างชนิดเมื่อทดสอบกับไวรัสกลายพันธุ์ 3 ชนิด ยังสูงเพียงพอในการยับยั้งได้ โดย Beta อาจจะมีลดลงมาบ้างแต่ไม่มากนัก แต่ที่น่ากังวลสำหรับข้อมูลนี้คือ AZ 2 เข็ม ดูเหมือนจะมี NAb สูงพอสำหรับ Wuhan และ Alpha แต่เมื่อทดสอบกับ Beta และ Gamma ผลออกมาไม่ค่อยดีเลย... อีกข้อมูลนึงที่คิดว่าน่าสนใจคือ NAb จาก AZ เข็มเดียว ดูใช้ได้อยู่สำหรับ Wuhan แต่น้อยเกินไปที่ยับยั้งไวรัสกลายพันธุ์ที่ทดสอบทุกตัวเลย

ข้อมูลของ T cell ดูสอดคล้องกับ NAb ครับ การ boost ด้วย mRNA เข็มสองสามารถกระตุ้น CD4 และ CD8 ได้สูงกว่า AZ 2 เข็มอย่างชัดเจน ซึ่งแอบแปลกใจเล็กๆ ว่า ทำไม AZ 2 เข็มกระตุ้น T cell ได้น้อยกว่าที่คาดไว้มาก

สรุปแบบง่ายๆ คือ การใช้ mRNA vaccine boost เป็นเข็มที่ 2 สามารถกระตุ้นภูมิได้สูงมาก และน่าจะเป็นวิธีที่จะรับมือไวรัสกลายพันธุ์ได้ทุกตัว"

ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000060668

https://www.facebook.com/avctbiotec/posts/352193916476550


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ซินแสเข่ง ชี้ 89 ปี เปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิ.ย. 2475 กับ 24 มิ.ย. 2564 ดวงชะตาเมืองต่างกันฟ้ากับดิน คนคิดทำลายบ้านเมืองระวังเจอผลร้ายเข้าตัว

นายชนม์ทรรศน์ ฤทัยผ่อง หรือ ‘ซินแสเข่ง’ ผู้อำนวยการสถาบันโหราศาสตร์พยากรณ์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้วิเคราะห์ผ่าดวง 89 ปี 24 มิถุนายน 2475 จุดเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองของประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ ตู่ นายจตุพร พรพมพันธุ์ แกนนำไทยไม่ทน จะถือฤกษ์ประกาศกร้าว 24 มิถุนายน 2564 เชิญชวนร่วมขบวนขับไล่รัฐบาลพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ขอบอกว่า…

“ผลตกดวงไม่แตกแยกเหมือนยุคปี 2475 ถึงวันจะตรงกัน แต่ยามที่ถอดออกมาดวงจะต่างกัน ในยุคนั้นเป็นฤกษ์ยามแห่งการปะทะ แตกแยกไม่ปรองดอง ก่อให้เกิดการสาดซัดทำลาย ในฤกษ์ยามนั้นก่อให้เกิดการปะทะกับดวงเมืองของปีศักราช 2325 ทำให้สถานการณ์ในยุคนั้นทำให้คณะที่เรียกตนเองว่า ‘คณะราษฎร’ กระทำสำเร็จ”

ซินแสเข่ง กล่าวต่ออีกว่า แต่ยุควันเวลาเปลี่ยนไป ราศีวันเดือนปีก็ไม่เกื้อหนุน ไม่ก่อให้เกิดการทำลายที่จะทำให้ดวงบ้านดวงเมืองมีผลกระทบ หรือทำให้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล คงมีบ้างที่ทำให้ผู้นำประเทศอาจจะมีเหตุให้หงุดหงิดรำคาญใจ ในการกระทำอันไร้จิตสำนึก ไร้สาระของกลุ่มผู้นำไทยไม่ทน และหากจะก่อให้เกิดความรุนแรง ก็อาจจะทำให้มีเหตุเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันเปล่าๆ ซ้ำยังอาจต้องคดีอีกด้วย เพราะดวงผู้นำไทยไม่ทน มีแต่ดวงคิดร้ายเบียดเบียนและเป็นศัตรูต่อบ้านเมืองตลอดเวลา

“เปรียบเทียบระหว่าง ดวงเมือง 21 เมษายน 2325 ดวงเมืองในยุคนั้นราศีกำลังยังมั่นคงตลอดเวลา แต่ด้วยฤกษ์ยามที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นฤกษ์ที่แรงจนทำให้ดวงเมืองมีผลเป็นลบ ทำให้ดวงเมืองปะทะกับฤกษ์ยามของคณะราษฎรในยุคนั้นด้วย ทั้งยามของวันและยามของปีที่มีผลปะทะกับดวงเมือง จึงทำให้เป็นผลพวงเกิดการเปลี่ยนแปลงสำเร็จ แต่ถ้าเทียบกับฤกษ์ยามวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ต่างกันราวฟ้ากับดิน นรกกับสวรรค์ เพราะเต็มไปด้วยเจ้าทุกข์ และตกดวงแห่งครูบาอาจารย์ที่มีแต่ความหวังดีที่จะคลุมบ้านเมืองให้ปลอดภัยจากหายะนะของกลุ่มคิดทำลายบ้านเมืองให้วิบัติ” ซินแสเข่ง กล่าว

 

ที่มา: https://www.posttoday.com/politic/news/656211


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กระทรวงเกษตรฯ เร่งฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิด ‘เฉลิมชัย’ เห็นชอบพิมพ์เขียววิสัยทัศน์ฮาลาล (Thailand Halal Blueprint) พร้อมเสนอ ครม. ดันไทยฮับฮาลาลโลก หวังเจาะตลาดฮาลาล 48 ล้านล้านบาท

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริม สินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” (ฮาลาลบอร์ด-Halal Board) แถลงวันนี้ (23 มิ.ย.) ที่กระทรวงเกษตรฯ ว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงนามเห็นชอบ “วิสัยทัศน์ นโยบายและแผนพัฒนาสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาล” แล้วโดยสั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไปโดยเร็ว นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีวิสัยทัศน์ นโยบาย แผนและโครงการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบครบวงจร เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอาหารฮาลาลของไทยสู่เป้าหมายฮับฮาลาลโลก

โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ย้ำว่า “ในยุคโควิด เราต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆ สำหรับสินค้าเกษตรและอาหาร เพื่อสร้างโอกาสในวิกฤติและตลาดฮาลาลคืออนาคต” ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมา ตลาดอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลทั่วโลก มีมูลค่าสูงถึง 1,533,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (48 ล้านล้านบาท) โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% คิดเป็นมูลค่าเพิ่มปีละ 560 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (16.8 ล้านล้านบาท) และประเมินว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,285,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (68 ล้านล้านบาท) ภายใน 5 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ยังไม่รวมตลาดที่ไม่ใช่มุสลิม (non-Muslim market)

“ด้วยศักยภาพของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกสินค้าอาหารอันดับ 2 ของเอเชียและอันดับ 11 ของโลกในปี 2562 และภายใต้ “5 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตรฯ” ของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บนความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย สถาบันฮาลาล มอ.สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้า ศูนย์ AIC (Agritech and Innovation Center) และทุกภาคีภาคส่วนจะเป็นฐานการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีพลังและพลวัตร เมื่อเป้าหมายชัด นโยบายชัด ความร่วมมือแข็งแกร่ง”

ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานคณะอนุกรรมการจัดทำวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” กล่าวว่า วิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาล มีเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศผู้นำในการผลิต การแปรรูป การส่งออกและการพัฒนาสินค้าเกษตร และอาหารฮาลาลที่ได้รับความเชื่อมั่นในระดับสากล และเข้าสู่ตลาดโลกด้วยมาตรฐานฮาลาลไทย โดยใช้หลักศาสนา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ภายในปี 2570 ผ่านการขับเคลื่อนการดำเนินงานที่กำหนดทั้งหมด 5 แนวทาง ได้แก่

(1) การเพิ่มศักยภาพหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาล

(2) การสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าเกษตรและอาหาร ด้วยมาตรฐานฮาลาลไทย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม

(3) การเสริมสร้างองค์ความรู้ในการผลิต และการบริหารจัดการตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงผู้บริโภค

(4) การเพิ่มศักยภาพทางตลาด และโลจิสติกส์

(5) การยกระดับความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งใน และต่างประเทศ

ทั้งนี้ วิสัยทัศน์ดังกล่าวเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวฮาลาลไทย (Thailand Halal Blueprint) ฉบับแรกที่มีความสมบูรณ์ประกอบด้วยเป้าหมาย วิสัยทัศน์ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) โครงการและงบประมาณเป็นแผนแม่บทสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก

นายอลงกรณ์ ยังเปิดเผยด้วยว่า ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” ครั้งที่ 3/2564 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตและการลงทุนเกี่ยวกับสินค้าและผลิตผล การเกษตรมาตรฐาน “ฮาลาล” และคณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการค้าและผลิตผลการเกษตร มาตรฐาน “ฮาลาล” ในพื้นที่ชายแดนใต้ ได้รายงานความก้าวหน้าของโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรฮาลาล 3 โครงการ และตั้งเป้าหมายจะขยายอีก 5 โครงการ ในยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยความร่วมมือกับ ศอบต. อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ 3 จังหวัดภาคใต้ เป็นฮับของอุตสาหกรรมฮาลาลภายใต้แนวทางระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล (Halal Economic Corridor)

“ที่ประชุมยังให้ขยายการส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรอาหารฮาลาลในภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคตะวันออก โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนที่เป็นเมืองท่าหน้าด่าน เช่น อุดรธานี เชียงราย ตาก กาญจนบุรี เป็นต้น โดยประสานกับโครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และศูนย์ AIC เพื่อขยายฐานการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำ ปลายน้ำไปทุกภาคทั่วประเทศ ฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิด สร้างงานสร้างอาชีพสร้างผลิตภัณฑ์สร้างตลาดใหม่ๆ ให้มากที่สุดเร็วที่สุด

รวมทั้งเห็นควรขยายความร่วมมือกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) ในการพัฒนามาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพฮาลาล ตลอดจนการขยายผลการเรียนการสอนหลักสูตรการบริหารจัดการฮาลาล และโครงการโรงเชือดแพะต้นแบบมาตรฐานฮาลาลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.-หาดใหญ่) สำหรับผู้ประกอบการและเกษตรกร นอกจากนี้ที่ประชุมยังรับทราบรายงานผลการแก้ไขปัญหาเนื้อวัวปลอม ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ และได้มีการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค นับเป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามประสบผลสำเร็จแต่ก็ต้องเฝ้าระวังต่อไป”


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘เดฟ เลดั๊ค’ หยามไทยอีก หลังโดนแบนห้ามเข้าประเทศ

ตามที่ เดฟ เลดั๊ค นักมวยจอมเกรียนชาวแคนาดา เจ้าของแชมป์เลธเหว่ยโลก (มวยพม่าคาดเชือก) ได้ออกมาดูหมิ่นศิลปะแม่ไม้มวยไทย รวมถึงยกเอาประวัติศาสตร์เรื่องนายขนมต้มให้เป็นประเด็นเสียหาย ก่อให้เกิดความไม่สบายใจกับบรรดาคนทำมวย และแฟนมวยไทยเป็นอย่างมาก จนต่อมาประเทศไทยเคลื่อนไหวสั่งแบนไม่ให้ เดฟ เลดั๊ค เข้าประเทศไทย ส่วนประเทศเมียนมา ลงดาบถอด เดฟ เลดั๊ค ออกจากการเป็นแชมป์มวยเลธเหว่ยโลก (มวยพม่าคาดเชือก) อีกด้วย

ล่าสุด จากการตรวจสอบที่ IG ส่วนตัวของ เดฟ เลดั๊ค พบว่า มีการขึ้นภาพปกข้อข่าวจากสำนักข่าว “มติชนออนไลน์” เรื่อง การลงโทษห้าม เดฟ เลดั๊ค เข้าไทย พร้อมกับแสดงความเห็นเป็นภาษาอังกฤษที่แปลความหมายดังนี้

“โดนสั่งห้ามเข้าไทยอย่างเป็นทางการ ทั้งประเทศแบนแย่จริงๆ กระทรวงวัฒนธรรมไทยขึ้นบัญชีดำผม ไม่ให้เข้าประเทศไทย แถมยังเตรียมฟ้องร้องผมที่ออกมาพูดความจริง 555 ก่อนอื่นเลย ทำไมผมถึงอยากไปที่ประเทศไทยด้วยล่ะ ทั้งหมดมันเกิดขึ้น เพราะผมเป็นคนเดียวในโลกที่กล้าออกมาเผยถึงนิทานพื้นบ้านจอมปลอมของนายขนมต้ม ผมขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นการแต่งขึ้นแน่นอน แถมยังไม่เคารพประวัติศาสตร์ของเมียนมาด้วย ซึ่งคนไทยยังคงจัดงานเฉลิมฉลองทุกปี”

“ผมไม่ได้สร้างความเกลียดชังระหว่างประเทศ แต่กลับเป็นทางไทยที่มีการจัดงานแบบนั้นทุกปี พี่น้องชาวเมียนมาของผมไม่กล้าที่จะขอให้ยุติเรื่องราวจอมปลอมเหล่านั้น สิ่งที่แน่ชัดคือประเทศไทยแพ้สงครามในปี 1767 ดังนั้นพวกเขาจึงแต่งเรื่องราวให้รู้สึกดีขึ้น ผมไม่สนใจเรื่องที่พวกเขาแบนผมเข้าประเทศไทย แต่ถ้าประเทศไทยเคารพเพื่อนบ้านอย่างเมียนมาจริงๆ กระทรวงวัฒนธรรมของประเทศไทย ควรยกเลิกการกล่าวถึง นายขนมต้ม และงดจัดงานเฉลิมฉลองให้กับตัวละครนั้นในวันมวยไทยแห่งชาติ”

 

ที่มา : https://www.matichon.co.th/sport-slide/news_2787197

https://www.instagram.com/p/CPs76rhp4gn/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เผยแผนลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก 5 ปี สนับสนุน BCG Model สร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม มั่นใจปี 64 ลดมลพิษได้เกินเป้าที่ตั้งไว้

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ.ได้ดำเนินงานการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเพื่อส่งเสริมให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และระบบเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ภายใต้นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) ซึ่งสอดคล้องตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ในยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และแผนวิสาหกิจ กนอ. (พ.ศ.2561-2565) ในยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาและบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่ความยั่งยืน (Green Strategy) โดย กนอ. ตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนิคมอุตสาหกรรมทั่วประเทศให้ได้ 2.5 ล้านกิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e) ภายใน 5 ปี (2564-2568) หรือปีละ 500,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e)

สำหรับปี 2564 กนอ. ได้จัดทำแนวทางเพิ่มค่าประสิทธิภาพเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (Eco-Efficiency) เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย BCG Model ของรัฐบาล โดยคาดว่าจะสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือประมาณกว่า 700,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2e) จากการให้บริการสาธารณูปโภคของนิคมอุตสาหกรรม/ท่าเรืออุตสาหกรรมที่ กนอ. ดำเนินการเอง รวมทั้ง กนอ. สำนักงานใหญ่ โดยเป็นการดำเนินงานผ่านแผนงานการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกของ กนอ.

อาทิ การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปบนอาคารสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมบางปูและนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง การติดตั้งโซล่าเซลล์ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด การนำวัสดุที่ไม่ใช้แล้วและของเสียอุตสาหกรรมกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ การสนับสนุนให้โรงงานเก็บสถิติก๊าซเรือนกระจกเบื้องต้นและขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (CFO) เพื่อลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ กนอ. ยังมีโครงการสนับสนุนส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และโครงการส่งเสริมสนับสนุนโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ที่ดำเนินงานเพื่อสนับสนุนให้เกิดเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อีกด้วย

“แนวคิดการปรับปรุงประสิทธิภาพเชิงนิเวศมีเป้าหมายหลัก คือ เพื่อสร้างความยั่งยืนของทรัพยากร พัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้เศรษฐกิจ BCG ให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน และสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งทั้งหมดต้องก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมาก ส่งเสริมการเกิดเครือข่ายในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่นำทรัพยากรมาใช้อย่างคุ้มค่า ยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ พัฒนาสินค้าและบริการ การนำของเสียที่อยู่ท้ายสุดของห่วงโซ่อุปทานมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าและบริการใหม่ และปลดปล่อยของเสียให้เหลือน้อยที่สุด สร้างสมดุลระหว่างวัตถุดิบ การนำไปใช้ และผลผลิตในกระบวนการที่ก่อให้เกิดของเสียในโรงงานและนิคมอุตสาหกรรม ส่งเสริมกิจกรรมความร่วมมือต่างๆ ระหว่างโรงงานทั้งในและนอกพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม สร้างการเกื้อกูลพึ่งพากันและกันในรูปแบบเครือข่ายได้ในที่สุด” นายวีริศ กล่าวทิ้งท้าย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เข้ารับวัคซีนของโมเดอร์นาเป็นวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 2 หลังจากเข็มแรกที่เธอฉีดนั้นเป็นของแอสตราเซเนกา

บีบีซี/เอเอฟพี รายงานว่า นางแองเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เข้ารับวัคซีนของโมเดอร์นาเป็นวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เข็มที่ 2 หลังจากเข็มแรกที่เธอฉีดนั้นเป็นของแอสตราเซเนกา จากการเปิดเผยของโฆษกรัฐบาลในวันอังคาร (22 มิ.ย.) โดยการตัดสินใจมีขึ้น ในขณะที่พวกผู้เชี่ยวชาญยังอยู่ระหว่างทำการศึกษาเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนเข็ม 1 กับเข็ม 2 ต่างยี่ห้อกัน

ผู้นำวัย 66 ปีรายนี้ ได้เข้ารับวัคซีนเข็มแรกซึ่งเป็นของแอสตราเซเนกาในเดือนเมษายน ราว 2 สัปดาห์หลังจากเจ้าหน้าที่เยอรมนีแนะนำให้ใช้วัคซีนตัวดังกล่าวกับบุคคลอายุ 60 ปีขึ้นไป และล่าสุดโฆษกของรัฐบาลเปิดเผยว่าไม่กี่วันที่ผ่านมา นางแมร์เคิล เข้ารับวัคซีนเข็มสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยฉีดวัคซีนของโมเดอร์นา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการใช้วัคซีนโควิด-19 ต่างยี่ห้อกันอาจเป็นความคิดที่ดี แต่ยังเร็วเกินไปที่จะพูดได้อย่างมั่นใจ

อย่างไรก็ตามในเดือนมีนาคม ทางเยอรมนีและอีกหลายประเทศในยุโรป ได้ระงับฉีดวัคซีนของแอสตราเซเนกา หลังมีรายงานพบเคสลิ่มเลือดอุดตันหลายเคส ก่อนกลับมาใช้อีกรอบ แต่จำกัดการใช้เฉพาะกับบุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ขณะที่สำนักข่าว Deutsche Welle รายงานว่าเยอรมนีเตรียมอนุญาตฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาแก่ประชากรวัยผู้ใหญ่ทุกช่วงอายุ

หลังจากเริ่มต้นอย่างช้าๆ โครงการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนของเยอรมนียกระดับความรวดเร็วขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจนถึงตอนนี้มีประชากรมากกว่าครึ่งประเทศที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 โดสแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับสถานการณ์การฉีดวัคซีน 2 เข็มที่ต่างชนิดกัน ทางด้านรอยเตอร์สระบุว่า ในบางประเทศกำลังศึกษาวิจัยความเป็นไปได้ของการฉีดวัคซีนเข็ม 1 กับเข็ม 2 ต่างชนิดกัน สืบเนื่องจากปัญหาขาดแคลนวัคซีนและเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกัน ในนั้นรวมถึงรัฐออนแทรีโอและควิเบกของแคนาดา ที่บอกว่ามีแผนใช้วัคซีนต่างยี่ห้อในอนาคตอันใกล้นี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการส่งมอบวัคซีนแอสตราเซนเนกาและข้อกังวลเกี่ยวกับภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่เกิดขึ้นน้อยมาก

ขณะที่ผลการศึกษาหนึ่งในสหราชอาณาจักร พบว่าบุคคลวัยผู้ใหญ่ดูเหมือนจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อยถึงปานกลาง หลังได้รับวัคซีน 2 เข็มต่างยี่ห้อกัน ระหว่างแอสตราเซนเนกาและไฟเซอร์

 

 

ที่มา : https://mgronline.com/around/detail/9640000060517


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กนง. มีมติเอกฉันท์คงดอกเบี้ย 0.50% รับโควิดระบาด

นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วย ผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี โดยประเมินว่าการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าลงและไม่ทั่วถึงมากขึ้นเทียบกับประมาณการเดิม อีกทั้งในระยะข้างหน้ายังมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยง จึงเห็นว่า การเร่งดำเนินมาตรการทางการเงิน โดยเฉพาะสินเชื่อฟื้นฟู รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จะช่วยภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบได้ตรงจุดมากกว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นคณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในการประชุมครั้งนี้ และพร้อมดำเนินนโยบายการเงินที่มีจำกัดในจังหวะที่เกิดประสิทธิผลสูงสุด 

ทั้งนี้ยังประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้มีแนวโน้มขยายตัว 1.8% และขยายตัว 3.9% ในปี 2565 โดยปรับลดลงจากประมาณการเดิมตามแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ปรับลดลง และอุปสงค์ในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกที่สาม ด้านตลาดแรงงาน โดยเฉพาะภาคบริการและผู้ประกอบอาชีพอิสระมีความเปราะบางมากขึ้นและอาจฟื้นตัวได้ช้า

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีแรงสนับสนุนเพิ่มเติมจากแนวโน้มการใช้จ่ายภาครัฐที่สูงขึ้นจาก พ.ร.ก. กู้เงินล่าสุดและการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งขึ้นชั่วคราวในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 จากฐานราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับต่ำในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักและข้อจำกัดด้านอุปทานมีผลจำกัดต่ออัตราเงินเฟ้อไทย ด้านการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังยึดเหนี่ยวอยู่ในกรอบเป้าหมาย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top