Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

"น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลฯ" ทำความดี_ช่วยเหลือคนพิการและผู้ป่วยติดเตียง

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2564 "นายยุทธพงษ์ เอี้ยงอ้าย" เลขานุการในหม่อมเจ้าอุทัยกัญ ญาภาณุพันธุ์ ร่วมกับ "นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล" นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย "นายณัฐวุฒิ เหมือนเพชร" (จิตอาสา) ลงพื้นที่มอบ "ที่นอนลม" และเบาะเจลรองนั่ง ให้คนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง โครงการในอุปถัมภ์ "หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์" โดยได้รับมอบมาจาก "นายสายันต์ ดีเลิศ" นายกสมาคมส่งเสริมอาชีพและช่วยเหลือรถเข็นเพื่อคนพิการ (ปทุมธานี) มาส่งต่อให้ถึงมือชาวบ้านโดยมี "นายนิพนธ์ แก้วธรรม" รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสาม "นางสาวรุ่งนภา แก้วธรรม" ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่16 ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และทีมงานจิตอาสา ร่วมกันลงพื้นที่ ไปยังบ้านคนพิการ และผู้ป่วยติดเตียง ที่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ อุปกรณ์ช่วยเหลือ

ทั้งนี้นายยุทธพงษ์ เอี้ยงอ้าย เลขานุการในหม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ ยังได้นำกระแสรับสั่ง ความห่วงใยคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ มายังผู้พิการ และขอขอบคุณน้ำใจที่งดงาม ที่ท่านนายกสมาคมฯทั้ง 2 ท่าน และจิตอาสา ได้ร่วมกันทำความดีช่วยเหลือประชาชนเพื่อให้เกิดประโยชน์ ความสุข ความเป็นอยู่ที่ดี และความสามัคคีของประชาชนคนไทย เพื่อประเทศชาติและบ้านเมืองสืบไป ในการนี้ขอน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ซึ่งตรงกับวันที่ 9 มิถุนายน "วันอานันทมหิดล"

กองทัพบกพร้อมหนุนทุกส่วน ร่วมคลี่คลายโควิดระยะต่อไป หลังผลสำรวจชี้ประชาชน พอใจบทบาททหารช่วยโควิด

พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ตามที่สวนดุสิตโพลได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ต่อบทบาทของกองทัพบกในสถานการณ์ COVID-19 ช่วง 26 พ.ค.-4 มิ.ย. 2564 ซึ่งผลสำรวจระบุว่าประชาชนรับรู้ในบทบาทของกองทัพบกที่ได้มีการตั้งโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ติดเชื้อ, ภารกิจสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง ผิดกฎหมาย และการส่งกำลังพลช่วยสร้างโรงพยาบาลสนามให้กับรัฐบาล

นอกจากนี้โพลยังระบุว่าประชาชนพึงพอใจเรื่องการบริจาคโลหิตของหน่วยทหาร ที่ช่วยแก้ปัญหาภาวะขาดแคลนโลหิต และบทบาทในการช่วยสร้างโรงพยาบาลสนามเพื่อดูแลประชาชน

ซึ่งถือว่าผลการสำรวจดังกล่าวเป็นข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจหรือความรู้สึกของประชาชน รวมถึงมุมมองที่มีต่อกองทัพบกในสถานการณ์วิกฤตของประเทศได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตามบทบาทและการนำศักยภาพของกองทัพบกเข้าไปดำเนินการเรื่อง COVID-19 นี้เป็นไปตามนโยบายและเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชาในทุกระดับ รวมทั้งการทุ่มเทเสียสละของกำลังพลในภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ภายใต้การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ มุ่งหวังให้ประชาชนได้บรรเทาความเดือดร้อนและลดผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งนี้กองทัพบกจะได้นำผลสรุปความคิดเห็นประชาชนดังกล่าวไปปรับเพิ่มแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อใช้สนับสนุนการคลี่คลายสถานการณ์ COVID-19 ในระยะต่อไป

อย่างไรก็ตาม การใช้ศักยภาพของกองทัพบกในการดูแลช่วยเหลือประชาชนและสนับสนุนทุกภาคส่วนในสถานการณ์ COVID-19 ได้ดำเนินการในทุกมิติ ทั้งด้านการรักษาพยาบาล การป้องกันและควบคุมโรค การบรรเทาผลกระทบที่เกิดกับประชาชน เกษตรกร การมอบเครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อการดำรงชีวิต และการมอบอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อ และล่าสุดคือการรณรงค์ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนเรื่องการฉีดวัคซีน สิ่งสำคัญที่จะทำให้ทุกภารกิจดังกล่าวมีประสิทธิภาพคือ ความเข้มงวดและดูแลให้กำลังพลให้มีสภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีการติดเชื้อ ภายใต้มาตรการพิทักษ์พลเพื่อดำรง ความพร้อมในการดูแลช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ COVID-19 ได้โดยต่อเนื่อง จนกว่าจะกลับสู่ภาวะปกติ


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘บิ๊กตู่’ สั่งปรับเกณฑ์ระเบียบ เชื่อมข้อมูลหนุนรัฐบาลดิจิทัล

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ทราบถึงความก้าวหน้าของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ โดย สศช. เสนอให้เร่งรัดการบริหารจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ บิ๊กดาต้าของภาครัฐต่อเนื่อง ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนราชการและหน่วยงานรัฐ ไปปรับปรุงข้อกฎหมายและระเบียบโดยเร็วเพื่อสนับสนุนการเป็นรัฐบาลดิจิทัลให้เป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ สศช. ได้รายงานว่าจากการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ของรัฐในระยะที่ผ่าน เช่น กรณีการพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (ทีพีแม็ป) พบว่าการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐยังมีข้อจำกัด เป็นอุปสรรคสำคัญของการขับเคลื่อนรัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล โดยประเด็นปัญหาหลักคือ แม้ว่าจะมีกฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการข้อมูลและพัฒนารัฐบาลดิจิทัลแล้ว เช่น พ.ร.บ.การพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ.2560 พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 แต่กฎหมายและระเบียบภายในของหน่วยงานต่างๆ ยังเป็นข้อจำกัดในการเชื่อมโยงและเผยแพร่ข้อมูลระหว่างหน่วยงาน

ดังนั้น สศช. จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบภายในหน่วยงานให้รองรับและสนับสนุนการเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่น ให้สอดคล้องกับกฎหมายหลักด้านการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล รวมทั้งสนับสนุนให้บุคลากรทุกหน่วยงานให้มีทัศนคติที่เอื้อต่อการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานอื่น โดยชี้ให้เห็นความสำคัญและความจำเป็นในการบูรณาการข้อมูลเพื่อพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการพัฒนานโยบายและการปฏิบัติงานด้วยข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์ในสภาพแวดล้อมของประเทศที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 จับยาไอซ์ มูลค่า 135 ล้านบาท พร้อมผู้ต้องหา 4 คน ขณะกำลังมาส่งให้กับผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่อำเภอตากใบ จ.นราธิวาส

วันนี้ ที่ 10 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 10.00 น. ที่หอประชุมพนมไพร กองบังคับการตำรวจตะเวนชายแดนภาค 4 อ.เมือง จ.สงขลา พันตำรวจเอกพหล เกตุแก้ว รองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค4 และ พันตำรวจเอกกวินศักดิ์ พีรยศธนนนท์ รองผู้บังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมยาไอซ์ 135 กิโลกรัม มูลค่า 135 ล้านบาท พร้อมผู้ต้องหา 4 คน ประกอบด้วย นายวิฑูรย์ วิเชียรพงษ์ อายุ 23 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี นายอัครวินท์ สวัสดิ์อักษรชื่น อายุ 22 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี  นายภาณุพงศ์ เพิ่มเจริญ อายุ 32 ปี เป็นคนจ.สมุทรสาครและนางสาวอรวรรณ เถื่อนบำรุง อายุ 24 ปี เป็นคนกรุงเทพมหานคร

พร้อมด้วยรถยนต์ จำนวน 2 คัน เป็นรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นแจ๊สสีขาว ฝากระโปรงหน้า-หลังสีดำ หมายเลขทะเบียน ขว 2597 ชลบุรี และ รถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีออส สีขาวป้าย หมายเลขทะเบียน 2กฬ1109 กรุงเทพฯ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ จำนวน 4 เครื่อง

สถานที่เกิดเหตุ ที่เก้าเส้งรีสอร์ท 8/23ถ.เก้าแสน ซ.1 ม.3 ต.เขารูปช้าง อ.เมือง จ.สงขลาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2564 เวลาประมาณ 15.30 น.โดยเจ้าหน้าที่ชุดจับกลุ่มได้สืบสวนกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดจนพบว่ามีขบวนการค้ายาเสพติดรายใหญ่ลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้ตรวจพบรถต้องสงสัยจึงได้ติดตามรถคันดังกล่าวจนทราบว่าได้เข้าพักที่เก้าเส้งรีสอร์ท

เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจค้นห้องพักที่ผู้ต้องหาได้เปิดไว้ ผลการตรวจค้นพบยาไอซ์บรรจุในถุงพลาสติกสีเขียวเหลืองใส่กระสอบปุ๋ยจำนวน 135 กิโลกรัมอยู่ภายในห้องพัก แต่ไม่พบผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม จึงได้ออกตรวจสอบรถต้องสงสัยที่เข้าพักในเก้าเส้งรีสอร์ท พบรถต้องสงสัยจำนวน 2 คันจึงได้ติดตามรถต้องสงสัยจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาคนที่1 คือ นายวิฑูรย์ วิเชียรพงษ์ อายุ 23 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี โดยจับได้ที่บริเวณสามแยกสำโรง ถนนกาญจนวนิช ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ในเวลาต่อมาได้จับกุมผู้ต้องหาคนที่ 2 คือ นายอัครวินท์ สวัสดิ์อักษรชื่น อายุ 22 ปี เป็นคน จ.ชลบุรี ได้ที่บริเวณหลังเซเว่นอีเลฟเว่น หนองข้อง อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา

ส่วนผู้ต้องหาคนที่ 3 คือ นายภาณุพงศ์ เพิ่มเจริญ อายุ 32 ปี เป็นคน จ.สมุทรสาคร และคนที่ 4 คือ นางสาวอรวรรณ เถื่อนบำรุง อายุ 24 ปี เป็นคนกรุงเทพมหานคร  ได้หลบหนีไปยังสถานีขนส่งหาดใหญ่โดยอาศัยรถตู้เพื่อหลบหนี เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจความมั่นคงจุฬาภรณ์ อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อสกัดจับรถตู้คันดังกล่าวและสามารถจับกุมผู้ต้องหาคนที่ 3 และ 4 ได้เมื่อเวลาประมาณ 22:20 น.วันเดียวกัน และนำตัวกลับมาที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 4 เพื่อดำเนินการสืบสวนและขยายผล

จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างจากนายบอย หรือตี๋ (ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง) อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีให้นำยาไอซ์ดังกล่าวมาส่งให้กับผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่อำเภอตากใบจังหวัดนราธิวาส โดยได้รับค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท

จึงได้จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ในข้อกล่าวหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน/ไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจาหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตพร้อมตรวจยึดยาเสพติดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองสงขลาเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์

โควิดทุบความเชื่อมั่นเอกชนหดตัว 2 เดือนติด

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ประจำเดือนพ.ค. 2564 ว่า ดัชนีฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 มาอยู่ที่ระดับ 24.7 หลังจากภาคธุรกิจยังคงมีความวิตกกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ รวมถึงได้รับผลกระทบจากการที่ภาครัฐออกมาตรการควบคุมการระบาดของโรค ทำให้มีการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สั่งปิดกิจการหลายประเภท ธุรกิจเริ่มขาดสภาพคล่องและปิดกิจการ ส่งผลให้มีการปลดคนงานเพิ่มขึ้นหรือมีการลดเงินเดือน 

ส่วนดัชนีวัดความสุขในการดำรงชีวิตปัจจุบันมีค่าดัชนี 27.7 ลดลงจากเดือนเม.ย. อยู่ที่ 30.6  ต่ำที่สุดในประวัติการณ์นับตั้งแต่สำรวจมาเดือน พ.ค. 49 หรือ 193 เดือน หรือ 16 ปี 1 เดือน สอดคล้องกับความคาดหวังความสุขในการดำเนินชีวิตในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (มิ.ย. – ส.ค.) ต่ำเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคมีความกังวลความไม่แน่นอนในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด -19 

“ภาคธุรกิจอยากเห็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องของการกระจายวัคซีนในทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงเพื่อให้มีเพียงพอกับจำนวนผู้ที่ลงทะเบียนไว้ ทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชนกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง รวมถึงเร่งการหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในคลัสเตอร์ต่างๆหลายพื้นที่ให้ได้โดยเร็ว และเร่งขับเคลื่อนการส่งออกของประเทศเพื่อเพิ่มระดับการใช้กำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ฟื้นฟูการท่องเที่ยวของไทยให้กลับมามีรายได้ทันทีเมื่อประชาชนได้รับวัคซีนและมีภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ”

ก.แรงงาน ปล่อยกู้สูงสุด 1 ล้านบาทปลอดดอกเบี้ย เพิ่มทักษะแรงงานช่วยสถานประกอบกิจการ สู้วิกฤตโควิด-19 ระลอก 3

กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) ปล่อยกู้ปลอดดอกเบี้ยต่อเนื่องถึงสิงหาคม 64 ช่วยสถานประกอบกิจการใช้หมุนเวียนในการพัฒนาทักษะฝีมือลูกจ้าง สู้วิกฤตโควิด-19 ระลอก 3 นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงาน โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ กพร.ขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ เยียวยาความเดือดร้อนของกำลังแรงงานในประเทศที่กำลังเผชิญอยู่ โดยให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการที่ต้องการพัฒนาทักษะฝีมือลูกจ้างเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานสามารถกู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ปลอดดอกเบี้ย (ดอกเบี้ย 0%) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม หรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน

อธิบดี กพร. กล่าวต่อไปว่า กพร.ได้จัดสรรงบประมาณจากเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานให้แก่สถานประกอบกิจการกู้ยืมแบบไม่มีดอกเบี้ยต่อเนื่องจนถึง 31 สิงหาคม 2564 ในวงเงินกู้ยืมสูงสุดไม่เกิน 1,000,000 บาท ในปี 2564 กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดสรรเงินจำนวน 30 ล้านบาท จากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน สำหรับให้สถานประกอบกิจการกู้ยืมไปใช้ในการพัฒนาทักษะ หรือนำไปใช้ในการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติให้แก่พนักงาน แบบไม่มีดอกเบี้ย ตั้งแต่ 16 กรกฎาคม 2563-31 สิงหาคม 2564 ซึ่งปัจจุบัน ณ 31 พฤษภาคม 2564 ได้อนุมัติให้เงินกู้ยืมไปแล้ว 28 บริษัท เป็นเงินกว่า 17 ล้านบาท และมอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด ได้แก่ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน (สพร.) สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน (สนพ.) ทั้ง 76 จังหวัดและกรุงเทพมหานคร ให้บริการรับคำขอกู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน

ด้าน คุณอัชฌารี บัวมี Training & Audit Manager บริษัท กรีน ลาเท็กซ์ จำกัด เป็นสถานประกอบกิจการที่ผลิตที่นอนยางพารา หมอน เบาะ ตุ๊กตา และเครื่องนอน กล่าวถึงเงินกู้ดังกล่าวว่า การให้เงินกู้ยืมเป็นประโยชน์มาก ต่อสถานประกอบกิจการ เป็นเงินก้อนช่วยเหลือ รักษาการจ้างงาน ทำให้สถานประกอบกิจการดำเนินการจัดอบรมต่อไปได้ตามแผนประจำปีอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพพนักงานได้รับการพัฒนาและมีความพร้อม กลับมาช่วยบริษัทสู้กับวิกฤตโควิด-19

ส่วน คุณธิดาทิพย์ จำปาแดง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เนเชอรัลเอ็นเนอร์ยีเทค จำกัด ในนามศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานเนเชอรัล เป็นศูนย์ทดสอบฯ เอกชนในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี สาขาช่างไฟฟ้าภายในอาคาร ระดับ 1 ได้กล่าวขอบคุณกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ที่ให้กู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อนำมาปรับปรุงสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นที่ยอมรับ และรักษามาตรฐานให้เป็นไปตามที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานกำหนด และเป็นประโยชน์ต่อผู้เข้ารับการทดสอบด้วย

“การให้กู้ยืมดังกล่าวเป็นมาตรการจูงใจเพื่อให้สถานประกอบกิจการมีส่วนร่วมในการพัฒนาทักษะฝีมือให้แก่แรงงานที่เป็นลูกจ้างของตนเองเพื่อให้มีทักษะฝีมือเพิ่มสูงขึ้น สถานประกอบกิจการที่สนใจสามารถยื่นคำขอกู้ยืมได้ที่ สพร. และ สนพ. ทุกแห่งทั่วประเทศ โดยสามารถยื่นคำขอกู้พร้อมหลักฐานได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 15 กรกฎาคม 2564 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สพร. และ สนพ.ทุกจังหวัด หรือกองส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน 0 2643 6039” อธิบดี กพร. กล่าวทิ้งท้าย
 

“สมศักดิ์-อนุชา” รุดขึ้นตึกไทย ท่ามกลางกระแสปรับโครงสร้างพปชร.ปรับเลขาฯ พรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ที่ตึกไทยคู่ฟ้าท่ามกลางกระแสข่าวการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค โดยเฉพาะตำแหน่งเลขาธิการพรรคในการประชุมสามัญประจำปีวันที่ 18 พ.ค.นี้ ที่จ.ขอนแก่น โดยนายสมศักดิ์ กล่าวเพียงสั้นๆ อย่างอารมณ์ดีระหว่างเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าว่า​ “ไปร่วมบันทึกเทปเรื่องยาเสพติด ไม่ใช่ข่าวการประชุมพรรคนะ” 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของนายอนุชา เข้าพบนายกฯเพื่อรายงานความคืบหน้ากรณี สถานีวิทยุโทรทัศแห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) กรมประชาสัมพันธ์ุได้รับลิขสิทธิการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 หรือ ยูโร 2020 ที่จะมีขึ้นเวลา 02.00 น. วันที่ 12 มิ.ย. 

อนุชา ชี้ ประชุมใหญ่ที่ขอนแก่นไร้วาระเปลี่ยนเลขาพรรค โยน แล้วแต่บิ๊กป้อม-ยืนยัน รัฐบาลอยู่ครบวาระ ไม่มียุบสภา

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคพลังประชารัฐที่จังหวัดขอนแก่นในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ ว่า สำหรับตน ยังไม่มีข่าวใดๆ ในเรื่องนี้ ส่วนที่มีข่าวอย่างนั้นอย่างนี้ก็ถือเป็นข่าวที่ถูกนำเสนอไปข้างนอก ส่วนจะมีวาระการประชุมใดบ้างนั้นขึ้นอยู่กับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค เป็นหลัก 

ผู้สื่อข่าวถาม ถึงวาระการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ นายอนุชา กล่าวว่า สำหรับตนยังไม่ได้ยินเรื่องนั้น ก็เพียงได้ยินจากข่าว ทุกอย่างอยู่ที่หัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว หัวหน้าพรรคจะเป็นคนสั่งการทุกอย่าง ซึ่งก็คงเรียบร้อย 

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะเดินทางไปร่วมประชุมพรรคพลังประชารัฐที่ขอนแก่นด้วยตัวเองใช่หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า ไปร่วมด้วยอย่างแน่นอน แต่ยังไม่ทราบโปรแกรมโดยละเอียด ซึ่งตามหมายกำหนดการของพรรคพลังประชารัฐเป็นการประชุมเพื่อรับรองงบประมาณของพรรคตามระเบียบที่พรรคการเมืองจะต้องประชุมใหญ่สามัญเพื่อรับรอง

เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรต่อกรณีที่มีเสียงสนับสนุนให้นายอนุชาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐต่อไป นายอนุชา กล่าวว่า ก็ต้องขอบคุณ ส่วนการที่ใครจะสนับสนุนใครอย่างไร หรือไม่นั้นตนคิดว่าทางพรรคเป็นสำคัญ เพราะตนไม่ได้มองว่า ใครจะเลือกที่รักมักที่ชังอย่างไร เพราะถึงอย่างไรก็แล้วแต่พรรคจะต้องเป็นสิ่งสำคัญ ใครจะคิดอ่านอย่างไรขอให้คิดถึงประโยชน์ของพรรคเป็นหลักเป็นสำคัญ ตนคิดว่าหัวหน้าพรรคเป็นผู้ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจสุดท้ายเหนืออื่นใด เพราะฉะนั้นเราต้องเคารพการตัดสินใจของหัวหน้าพรรค

ผู้สื่อข่าวถามว่าภายในพรรคพลังประชารัฐมีการประเมินถึงกรณีที่มีกระแสข่าวการยุบสภาหรือไม่อย่างไร นายอนุชา กล่าวว่า เรื่องยุบสภาไม่มี ตน ยืนยันได้ ตนทำงานเต็มที่ ในคณะรัฐมนตรีทั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีก็ทำงานอย่างเต็มที่ ทุกคนช่วยกัน เรื่องของปัญหาอะไรเล็กๆน้อยๆมันย่อมมีเป็นธรรมดาอยู่แล้วของการทำงาน แต่ในเรื่องจะถึงขั้นยุบสภานั้น ไม่มีรับรองได้ ผมคิดว่ารัฐบาลคงอยู่ครบวาระ

“อนุทิน” เผยแผนรับเปิดเทอม ต้องระดมฉีดวัคซีนโควิด-19 ครู

จากกรณีการกำหนดเปิดภาคเรียนในวันที่ 14 มิถุนายน 2564 โดยแต่ละพื้นที่ มีมาตรการแตกต่างกันออกไป ซึ่งมีความกังวลว่าอาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ล่าสุด  11 มิถุนายน 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า เมื่อมีการกำหนดอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติกันไปเช่นนั้น สำหรับทางกระทรวงสาธารณสุข จากที่เคยให้บริการวัคซีนโควิด-19 แก่บุคลากรด้านการคมนาคมขนส่ง จากนี้จะเร่งให้บริการครู และบุคลากรด้านการศึกษาด้วย นอกจากนั้น ยังต้องร่วมมือกัน ฝึกให้เด็กคุ้นชินกับการใช้หน้ากากป้องกันโรค แน่นอน ว่าเป็นเรื่องยาก หากจะหวังให้เด็กรู้จักการเว้นระยะห่าง แต่ถ้าเด็กมีหน้ากาก ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก  สำหรับการให้บริการวัคซีนแก่เด็ก ปัจจุบันนี้ กำลังดำเนินการนำเข้าวัคซีนของไฟเซอร์ ซึ่งทางผู้ผลิต ยืนยันว่าใช้กับเด็กได้ และไทยมีแผนฉีดให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ขณะเดียวกัน ยังรอพิจารณาผลการทดสอบวัคซีน Sinovac กับเด็ก 3 ขวบ หากมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ไทยก็ต้องนำมาพิจารณาปฏิบัติ เพื่อให้บริการนั้นครอบคลุมทุกช่วงอายุมากที่สุด 

นายอนุทิน ยังกล่าวย้ำด้วยว่า การนำเข้าวัคซีนของแอสตราเซนเนกา ยังยึดถือตามสัญญา และปัจจุบัน ได้หารือทำสัญญาระยะยาวกับผู้ผลิตเจ้าอื่น เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการบริหารจัดการ และปัจจุบัน ได้มองไปถึงการฉีด เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ให้กับผู้ที่เคยรับบริการวัคซีนเมื่อช่วงต้นปี ซึ่งอาจจะได้รับวัคซีนในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากการ ให้บริการ ต้องเป็นไปด้วยความต่อเนื่องเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และรักษาระดับภูมิคุ้มกันในประชาชน ชัดเจนว่า เรื่องวัคซีนต้องวางแผนระยะยาว เช่นนี้ จึงให้ความสำคัญกับการให้ไทยได้เป็นฐานการผลิตวัคซีน ไปจนถึงการมีวัคซีนเป็นของตัวเอง

ปัจจุบันวัคซีนที่ผลิตในไทย ได้ให้บริการไปแล้วนับล้านโดส ก็ยังไม่มีปัจจัยที่บ่งบอกว่าด้อยคุณภาพ ไม่มีความปลอดภัย ตรงนั้นสะท้อนความสามารถของคนไทย ระบบสาธารณสุขของไทยอยู่ในมาตรฐานที่สูง การรักษา เรายังยึดหลักว่าทุกคน ต้องได้รับการดูแลจากทีมแพทย์ ขณะที่เรื่องวัคซีน มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าไทยเริ่มต้นช้า ทั้งที่ไทยหารือกับผู้ผลิตมาตั้งแต่กลางปี 2563 ประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวให้ผู้ผลิตเลือกไทยเป็นฐาน ในวันนี้ เราได้มีการจองวัคซีนเป็นจำนวนมาก และได้ทยอยฉีดไปกว่า 5 ล้านโดสแล้ว

นายอนุทิน กล่าวด้วยว่า การทำงานกับหน่วยงานอื่น อาจมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง แต่ทุกฝ่ายมองการทำงานเป็นสำคัญ มองประชาชนเป็นสำคัญ ย่อมคุยกันรู้เรื่อง ยิ่งกับท่านนายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอย้ำว่าตนเคารพท่านในฐานะผู้บังคับบัญชา จึงไม่เคยมีเรื่องให้ขุ่นข้องหมองใจกัน ส่วนการอภิปรายที่ผ่านมา สังเกตได้ว่าสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่ได้มุ่งวิจารณ์ท่านนายกฯ หรือรัฐบาล แต่สงสัยในการทำงานของสำนักงบประมาณ และสภาพัฒน์ ซึ่งท่านเอางบวัคซีนไปไว้ในงบกลาง และงบเงินกู้ แต่ไม่ปรากฏในเอกสารร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ ซึ่งเป็นเอกสารหลัก แต่กลับไม่มีเรื่องของวัคซีนปรากฏอยู่ ย่อมถูกวิจารณ์ได้ง่าย แต่เมื่ออธิบายแล้ว เข้าใจข้อเท็จจริง ก็ทำงานกันต่อ 

“ตนไม่เคยกังวลเรื่องยุบสภา เพราะที่ผ่านมา เมื่อตัดสินใจเข้ามาทำงานการเมือง จะกลัวการเลือกตั้งไม่ได้ กลับกัน ต้องพร้อมตลอด ถ้าต้องเลือก ก็พร้อมลงสนาม ทั้งนี้ อยู่ในถนนสายการเมืองมาตั้งแต่ปี 2535 เข้าใจธรรมชาติการเมืองดี และที่ผ่านมา ทั้งตน และพรรคก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ หลักการทำงานของเราคือการลงมือทำให้สมกับได้ชื่อว่าเป็นพรรคปฏิบัติการเท่านั้นเอง” 

“สมศักดิ์” ไม่พูดชัด ตำแหน่งเลขาฯ พปชร. ยังต้องอยู่กับสามมิตร เตือน นักการเมือง อย่าคิดถึงแต่ตัวเอง ให้พึงสังวรไว้ ทำงานวันนี้ ผลจะสะท้อนตอนเลือกตั้ง

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมพรรคพลังประชารัฐที่มีกระแสข่าวเรื่องการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค ว่า ตอนประชุมกรรมการบริหารเพื่อกำหนดวันประชุมใหญ่นั้นตนไม่ได้ร่วมประชุม เรื่องการปรับกรรมการบริหารพรรคมีข่าวออกมาเรื่อยๆ ตนก็คิดในทางที่ดี ว่าอาจจะดีก็ได้ เรื่องการปรับโครงสร้างนั้นตนยังไม่ทราบรายละเอียด จึงไม่กล้าคิดอะไร ส่วนตนจะไปร่วมประชุมด้วยหรือไม่นั้น ขอดูก่อน 

ผู้สื่อข่าวถามว่าตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐยังต้องอยู่ กลับกลุ่มสามมิตรหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ อยู่ที่ทุกคนต้องเข้าใจ ต้องคุยกัน เมื่อถามว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ในการปรับเปลี่ยนเลขาธิการพรรค นายสมศักดิ์ กล่าวว่า คนที่จะตอบเรื่องนี้หากไม่ถามเลขาธิการพรรค ก็ต้องถามหัวหน้าพรรค 

เมื่อถามว่า เราจะแก้ปัญหา อย่างไรในกรณีที่เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในพรรคแล้วเลขาธิการพรรคไม่ทราบเรื่อง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของเขา อย่าไปวิจารณ์เขา เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ นายสมศักดิ์เองเคยพูดทีเล่นทีจริงว่าหากมีการเปลี่ยนเลขาธิการพรรคก็จะเข้าไปเป็นเลขาพรรคเสียเอง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เวลามันข้ามมาหลายเดือนแล้วจากตอนนั้นที่พูด เมื่อถามย้ำว่า ตอนนี้ยังคิดเช่นนั้นอยู่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่คิด 

ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดข่าวการปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรค จึงออกมาในช่วงนี้หนาหู นายสมศักดิ์ กล่าวว่าตนมองว่ามีคนพยายามทำให้เกิดข่าว  ส่วนจะเป็นคนในพรรคหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ เพราะตนอาจจะให้ความสนใจเรื่องพรรคน้อยไป เนื่องจากส่วนตัวคิดว่าการทำงานต่างๆ ถ้าเราพยายามทำให้ได้งานออกมา ทั้งที่มีสถานการณ์โควิด-19 ก็น่าจะเป็นเรื่องดี ตนมุ่งเน้นเรื่องงานต่างๆ ของกระทรวงที่ออกมา ตนอยากจะทำมากที่สุด เช่น กฎหมายให้ผู้หญิงและเด็กเกิดความปลอดภัยจากอาชญากรต่อเนื่อง คิดว่าตนจะเสนอ ครม.ได้ในสิ้นเดือนนี้ 

"ถ้าเรามายุ่งเรื่องส่วนตัวมาก เช่น เรื่องในพรรคมากไป อยากเป็นโน่นเป็นนี่ อาจเสียงานในภาพรวม ผมจึงอยากให้นักการเมืองสังวรไว้ว่าประชาชนมองเราอยู่ อย่าคิดว่าวันนี้เราเดินได้สบายอยู่กับสิ่งที่เป็นอำนาจ แล้วทำให้ท่านสบาย แต่เวลาเลือกตั้งขอเรียนว่าสิ่งที่ทำไว้ในวันนี้มันจะสะท้อนในวันเลือกตั้ง ฝ่ายที่เป็นคู่แข่งเรา เขาจะเอามาโจมตีเราไม่ยั้ง แค่ภาพเดียวหรือสองภาพก็แทบตายแล้วในการเลือกตั้ง จึงอยากบอกว่าให้พึงสังวรตัวเองไว้ วันนี้อาจอยู่สบาย แต่วันเลือกตั้งมันยาก ผมก็เตือนตัวเองตลอด ต้องสร้างงาน” 

เมื่อถามว่ามองว่า ขณะนี้ปี่กลองเลือกตั้งเริ่มดังขึ้นแล้วใช่หรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนมองว่ายังไปได้อยู่เพราะมีปัจจัยอื่นที่จำเป็นต้องให้รัฐบาลทำงาน ขอให้ใจเย็นๆ ส่วนจะเป็น 1 ปีเหมือนที่นายกฯพูดหรือไม่นั้น มันอาจจะช้าไปกว่านั้น ก็ได้เพราะเป็นช่วงที่เรามองเห็นปัญหาที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่ตั้งต้นเดินหน้า ทุกกระทรวงต้องรีบทำเพราะรู้ว่าต้องแข่งผลงานกันเพื่อให้ชาวบ้านรู้สึกว่าช่วงปลายรัฐบาลดีจริงๆ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top