Friday, 23 May 2025
NewsFeed

จากนายก อบจ. สู่โทษจำคุก 6 ปี ศาลทุจริตสั่งฟัน ‘ชาญ พวงเพ็ชร์’

(24 ต.ค. 67) ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 พิพากษาจำคุก 6 ปี 18 เดือน นายชาญ พวงเพ็ชร์ และพวกรวม 7 คน คดีทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพ ในโครงการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุทกภัยใน จ.ปทุมธานี

เนื่องจากเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 นัดอ่านคำพิพากษา คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายชาญ พวงเพ็ชร์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี กับพวกรวม 7 คนเป็นจำเลย

ในคดีหมายเลขดำที่ อท5/67 ในข้อหาความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 กรณีทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพในโครงการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาอุทกภัยใน จ.ปทุมธานี จำนวน 2 ครั้ง เมื่อปี 2554 มูลค่าหลักล้านบาท แต่ถูกเลื่อนเรื่อยมา

จนวันนี้ศาลอ่านคำพิพากษาจำคุกนายชาญ กับพวก 2 กระทง กระทงละ 5 ปี รวม 10 ปี แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ จึงลดโทษหนึ่งในสาม เหลือกระทงละ 3 ปี 9 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 18 เดือน

‘ดีอี’ ล้างบาง SMS แนบลิงก์หลอกลวง-ดูดเงินประชาชน วางมาตรการจัดระเบียบ สั่งลงทะเบียน ‘Sender Name’ ทั้งระบบ พร้อมกำหนด ‘ผู้ให้บริการ’ ตรวจสอบลิงก์ก่อน หากพบผิดปกติแจ้ง ‘ตำรวจ’ เอาผิดตามกฎหมาย 

เมื่อวานนี้ (23 ต.ค.67) 67 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า กระทรวงดีอี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งมาตรการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะกรณีของ SMS แนบลิงก์หลอกลวงจากการก่ออาชญากรรมออนไลน์ของมิจฉาชีพ ที่ผ่านมา พบว่ามีการใช้ช่องทางของ SMS หรือข้อความแนบลิงก์ ในโทรศัพท์มือถือของประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยลิงก์ดังกล่าว อาจเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้ในการติดตั้งระบบดึงข้อมูลส่วนบุคคล หรือดูดเงินในบัญชีของประชาชน ซึ่งสร้างผลกระทบและความเสียหายให้กับประชาชน กระทรวงดีอี จึงร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรคมนาคม เร่งดำเนินมาตรการป้องกันการส่ง SMS แนบลิงก์หลอกลวง ดังนี้

1. การลงทะเบียน Sender Name ใหม่ทั้งระบบ ภายในปี 2567 นี้ และต้องมีการลงทะเบียนทุกๆ ปี เพื่อให้สามารถระบุว่า ผู้ให้บริการ และ ผู้ส่ง SMS คือใคร , 2. มาตรการความปลอดภัยสำหรับการส่ง SMS แนบลิงค์ ดังนี้ 2.1 ผู้ส่งข้อความ (Sender Name) SMS แนบลิงก์ จะต้องลงทะเบียนกับผู้ให้บริการเครือข่ายทุกครั้ง , 2.2 สำหรับการลงทะเบียนการส่ง SMS แนบลิงก์ จะต้องระบุรายละเอียดของข้อความ และลิงก์ เพื่อให้ ผู้ให้บริการเครือข่าย ตรวจสอบลิงก์ ก่อนที่จะส่ง SMS ไปยังผู้ใช้บริการ (End user) และ 2.3 หากกรณีที่มีการตรวจพบ ข้อความแนบลิงก์หลอกลวง ข้อความแนบลิงก์ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน หรือ ข้อความอื่นที่สามารถใช้เป็นช่องทางในการติดต่อถึงบุคคลอื่น เช่น ไอดี Line ทั้งนี้มอบหมายให้ตำรวจดำเนินการ โดยใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 โดยให้ดำเนินการแจ้งผู้ให้บริการเครือข่ายยกเลิกสัญญาบริการกับผู้ส่งข้อความ (Sender Name) และผู้ให้บริการต้องแจ้งข้อมูลการลงทะเบียนของผู้ส่งข้อความให้กับทางตำรวจเพื่อดำเนินคดีตากฎหมายกับผู้ส่งข้อความต่อไป

“สำหรับมาตรการ Cleansing Sender Name ดังกล่าวจะเป็นการป้องกันและปราบปรามมิจฉาชีพในการส่งข้อความ SMS แนบลิงก์หลอกลวงเพื่อใช้ในการติดตั้งระบบดูดเงิน หรือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้เป็นจำนวนมาก โดยกำหนดลงทะเบียนให้ผู้ส่งข้อความจบภายในปี 2567 นี้” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าว 

นายประเสริฐ ย้ำว่า กระทรวงดีอีห่วงใยพี่น้องประชาชน โดยขอให้ตรวจสอบอย่างละเอียด หากมีการส่ง SMS แนบลิงก์ เข้ามาจากผู้ส่งข้อความ (เบอร์โทร) ที่น่าสงสัย หากมีการแอบอ้างในข้อความว่าเป็นหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ หรือธนาคาร ขอให้ตั้งข้อสังเกตว่าหน่วยงานราชการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ ไม่มีนโยบายในการให้ ข้าราชการ พนักงานหรือเจ้าหน้าที่ ส่ง SMS ผ่านเบอร์โทรส่วนตัวถึงประชาชน โดยหากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามผ่านสายด่วน 1111 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกันนี้ขอให้ประชาชน ยึด ‘หลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน’

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร จัดพิธีทิ้งกระจาด แจกเครื่องอุปโภคบริโภคและชุดยาสามัญประจำบ้านแก่ผู้ยากไร้ รวม 1,388 ชุด 

วันนี้ (24 ต.ค.67) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการฯ พร้อมด้วย นายสุหัทย์ ไพรสานฑ์กุล กรรมการฯ นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ  นายวันชิด ศิรสีห์ รองผู้จัดการใหญ่ และ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ร่วมกับวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร นำโดย พระธรรมวชิรปาโมกข์ และ พระศรีวชิรธรรมถาวร รองอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส จัดชุดเครื่องอุปโภคบริโภค อาทิ ข้าวสาร บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำตาล ซอสปรุงรส (ซอสถั่วเหลือง) นมกล่อง น้ำดื่ม ขนม ชุดยาสำเร็จรูป ฯลฯ รวมจำนวน 1,388 ชุด เพื่อประกอบพิธีทิ้งกระจาด (ซิโกว) นำแจกจ่ายให้แก่ผู้ยากไร้ ในการนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้จัดทีมเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัย และอาสาสมัคร อำนวยความสะดวกแก่วัดและประชาชนที่มาร่วมงาน ณ บริเวณเมรุด้านใต้ (สุสานหลวง) วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง www.facebook.com/pohtecktungofficial

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี สถาบันปลูกป่า และระบบนิเวศ ปตท. ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม

ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี สถาบันปลูกป่า และระบบนิเวศ ปตท. รับประกาศเกียรติคุณ 'โครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme: LESS)' จาก การจัดการของเสีย 2 กิจกรรม

1. การขยายผลองค์ความรู้การใช้ชุดอุปกรณ์ย่อยสลายขยะอินทรีย์แบบใช้อากาศ (Biodegradation Bin) นวัตกรรมที่คิดค้น และพัฒนาโดยศูนย์ฯ สิรินาถราชินี
2. การคัดแยกขยะรีไซเคิล ภายในร้านอาหารชิกเก้น แอนด์ บี (Chicken and Bee) ซึ่งเป็นร้านอาหารเครือข่ายชุมชนโดยรอบ

ผลลัพธ์
➢ ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้จำนวน 6.878 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
(ช่วงการประเมินระหว่าง 1 ม.ค. 65 – 31 ก.ค. 66)

CLICK ON CLEAR
โครงการดังกล่าวจัดโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม เป็นการขยายผลองค์ความรู้ของศูนย์เรียนรู้ ปตท. ต่อยอดในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้จริง พร้อมร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม

ปทุมธานี ปิดโครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43  พร้อมส่งเยาวชนกลับภูมิลำเนา ให้นำทักษะประสบการณ์ความรู้ กลับไปพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างความสุขสมานฉันท์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

(24 ต.ค.67) เวลา 10.30 น พล.เอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกมูลนิธิ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' เป็นประธานในพิธีปิดโครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43 ณ ห้องแสงเดือน อาคารพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ แห่งชาติ เทคโนธานี ตำบลคลองห้า อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมี นายองครักษ์ ทองนิรมล  รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี  เข้าร่วมพิธี

โอกาสนี้ พลเอกสุรยุทธ์  จุลานนท์  ได้กล่าวให้โอวาทแก่เยาวชนว่า การที่เยาวชนได้มาร่วมกิจกรรมโครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะมีโอกาสได้เรียนรู้ ทักษะประสบการณ์ในกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้มีโอกาสพำนักกับครอบครัวอุปถัมภ์ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อนำไปเสริมสร้างทัศนคติของตน ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 เดือน อย่างไรก็ตามเมื่อเยาวชน กลับสู่ภูมิลำเนาแล้ว ขอให้นำทักษะ ประสบการณ์ความรู้ที่ได้รับ กลับไปพัฒนาครอบครัว ชุมชนและสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น สร้างความสุขสมานฉันท์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

สำหรับ โครงการ 'สานใจไทย สู่ใจใต้' รุ่นที่ 43 ได้นำเยาวชนจากพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และสงขลา จำนวน 320 คน มาร่วมกิจกรรมเรียนรู้ เสริมสร้างทักษะประสบการณ์การอยู่ร่วมกันในพหุวัฒนธรรม ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียง ระหว่างวันที่ 24 กันยายน – 26 ตุลาคม 2567

เปิดข้อมูล ‘แกนนำม็อบปี 63’ โดน 112 ไปแล้วอย่างน้อย 12 คน ลี้ภัย 2 ราย เพนกวิน-ไมค์ ระยอง จับตา หลังรายงานนิรโทษล่มในสภา

(24 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากข้อมูลในฐานข้อมูลของ 'ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน' ที่รับทำคดีให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม ผู้เสียหาย หรือเหยื่อทางการเมือง เผยแพร่ข้อมูลสถิติว่า นับตั้งแต่ 24 พ.ย. 2563 เป็นต้นมา ถึง 20 ต.ค. 2567 มีบุคคลถูกจับกุมข้อหาตามมาตรา 112 แล้วอย่างน้อย 275 คน ใน 307 คดี โดยสรุปมีคดีที่สิ้นสุดแล้ว จำนวน 77 คดี คดีที่อยู่ในชั้นศาลจำนวน 163 คดี

โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็น ประชาชนไปร้องทุกข์กล่าวโทษ 162 คดี กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร้องทุกข์ 11 คดี คดีที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไปร้องทุกข์ 9 คดี คดีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร้องทุกข์ 1 คดี ส่วนที่เหลือคือคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวหา

โดยพฤติการณ์ส่วนใหญ่ที่ถูกตั้งข้อหามาจาก การปราศรัยในที่ชุมนุม 59 คดี การแสดงออกอื่น ๆ เช่น การติดป้าย พิมพ์หนังสือ แปะสติ๊กเกอร์ เป็นต้น 72 คดี คดีเกี่ยวกับการแสดงความเห็นบนโลกออนไลน์ 169 คดี และยังไม่ทราบสาเหตุ 7 คดี

สำหรับบรรดาแกนนำมวลชนเมื่อปี 2563 นั้นถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 มีอย่างน้อย 12 คน เช่น 'อานนท์ นำภา' มี 25 คดี ปัจจุบันศาลตัดสินไปแล้ว 4 คดี รวมโทษจำคุก 14 ปี 20 วัน 'พริษฐ์ ชิวารักษ์' หรือ 'เพนกวิน' มี 14 คดี โดยศาลตัดสินแล้ว 1 คดี โทษจำคุก 2 ปี แต่เจ้าตัวได้หลบหนี และลี้ภัยอยู่ต่างประเทศในขณะนี้ เช่นเดียวกัน 'ไมค์' ภาณุพงศ์ จาดนอก ที่มีคดีติดตัว 9 คดี ตัดสินแล้ว 1 คดีโทษจำคุก 4 ปี แต่เจ้าตัวหลบหนีลี้ภัยไปแล้วเช่นกัน

ขณะที่ 'รุ้ง' ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล มี 10 คดี เบนจา อะปัญ 8 คดี ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา 6 คดี พรหมศร วีระธรรมจารี 6 คดี ชูเกียรติ แสงวงค์ วรรณวลี ธรรมสัตยา เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ 4 คดี ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล 3 คดี ส่วน 'ไบรท์' ชินวัตร จันทร์กระจ่าง อดีตแกนนำม็อบช่วงปี 2563-2564 แต่ปัจจุบันเขาอ้างว่ากลับตัวกลับใจ และยอมรับคำสารภาพทุกข้อหา มีคดีติดตัว 8 คดี

นี่ยังไม่นับบรรดา 'มวลชน' ที่ติดสอยห้อยตาม 'ม็อบราษฎร' อีกหลายคนที่ต้องโทษติดคุกในคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง และคดีตามมาตรา 112 อีกหลายคดีเช่นเดียวกัน

ทั้งหมดคือบุคคลที่ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 โดยคดีทั้งหมดอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีแม้แต่คดีเดียวที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องคดี ดังนั้นกลุ่มคนข้างต้น จะได้รับอานิสงส์ในการ 'นิรโทษกรรม' หรือไม่ 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ซึ่งมีการศึกษาเกี่ยวกับการนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิด ม.112 แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น

ผลการพิจารณาปรากฏว่าสภาผู้แทนราษฎร มีมติไม่เห็นด้วยกับข้อสังเกตในรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม โดยมีผู้ลงมติ 428 คน ลงมติเห็นด้วย 152 คน ไม่เห็นด้วย 270 คน งดออกเสียง 5 คน และไม่ลงคะแนนเสียง 1 คน

26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

ห้วงเวลาแห่งความทรงจำ!! ครบรอบ 7 ปี พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวง รัชกาลที่ 9 

พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระราชพิธีที่รัฐบาลไทยจัดขึ้นเพื่อแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จัดขึ้น ณ พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ระหว่างวันที่ 25 – 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560 

โดยวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เป็นวันถวายพระเพลิง ทางคณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ประชาชนร่วมน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน

'มาริษ' ร่วมเฟรม 'ปูติน-สี จิ้นผิง' ระหว่างเข้าร่วมประชุม  BRICS Plus Summit ที่รัสเซีย 

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรงงการต่างประเทศ ในฐานะผู้แทนของนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำระหว่างกลุ่มประเทศ BRICS กับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา หรือ BRICS Plus Summit ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองคาซาน รัสเซีย

ก่อนเริ่ม นายมาริษ ได้ร่วมถ่ายภาพหมู่กับผู้นำ  BRICS นำโดย นายวลาดีมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย และ นายสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน  ซึ่งช่วงหนึ่ง ประธานาธิบดีรัสเซีย ในฐานะเจ้าภาพ ได้เดินเข้ามาจับมือทักทาย นายมาริษ ด้วย 

ทั้งนี้ นายมาริษ มีกำหนดกล่าวถ้อยแถลง ในการประชุม จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ 'BRICS and the Global South: Building a Better World Together' เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาความท้าทายในระดับภูมิภาคและระดับโลก และแนวทางการส่งเสริมระบบพหุภาคีเพื่อการสร้างระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น 

ผู้สื่อข่าวอาวุโส ‘โสภณ องค์การณ์’ เสียชีวิตวานนี้ รวมอายุ 75 ปี

(25 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้เฟซบุ๊กบัญชี ‘Sopon Onkgara’ ได้โพสต์แจ้งข่าวว่า

เรียนผู้ชมและ fc ของคุณโสภณ องค์การณ์

เมื่อช่วงค่ำของวันนี้ วันพฤหัสบดีที่ 24 ตค.2567 เวลา 22.29 น. คุณพ่อได้จากไปโดยสงบ 

คุณพ่อหลับสบายแล้วครับ ผมและคุณแม่ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ส่งกำลังใจมาให้คุณพ่อและครอบครัวตลอดมา

ผมจะแจ้งกำหนดการสวดพระอภิธรรมอีกครั้งเมื่อทราบรายละเอียดครบถ้วนแล้ว
ขอบพระคุณทุกท่านครับ

น้องบิ๊ก

สำหรับนายโสภณ องค์การณ์ เกิดเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2492 เป็นชาวตำบลแม่ข้าวต้ม อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนบพิตรพิมุข แผนกภาษาต่างประเทศ ปี 2511 เริ่มทำงานเป็นล่ามในปี 2512 ให้นักศึกษาชาวอเมริกันทำวิจัยที่จังหวัดลำปางและเชียงรายเป็นเวลา 1 ปี เพื่อทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่สถาบันเอ็มไอที

นายโสภณเข้าสู่วงการสื่อมวลชน โดยเริ่มงานกับหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ที่มีนายสุทธิชัย หยุ่น เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง ในตำแหน่งพนักงานพิสูจน์อักษร ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้สื่อข่าว นักเขียน และบรรณาธิการต่อมาเป็นผู้ดำเนินรายการ Face The Nation รายการสัมภาษณ์ภาคภาษาอังกฤษ ออกอากาศทางช่อง 9 อสมท. และเป็นผู้ดูแลแผนกโทรทัศน์ของเครือเนชั่น ได้รับทุน Nieman Fellowship ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอสตัน สหรัฐอเมริกา

ที่ผ่านมานายโสภณมีงานเขียนภาษาไทย ในนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ หนังสือพิมพ์คมชัดลึก รวมถึงการจัดรายการโทรทัศน์ทางสถานีโทรทัศน์เนชั่นแชนเนล ขณะออกอากาศทางเคเบิลทีวี ยูบีซี 8 และรายการวิทยุ พูดนอกสภา ทางสถานีวิทยุกรมการพลังงานทหาร วิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์การเมืองอย่างตรงไปตรงมา มีแฟนคลับที่สนใจการเมืองในยุคนั้นติดตามอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับ สุทธิชัย หยุ่น เทพชัย หย่อง สรยุทธ สุทัศนะจินดา กนก รัตน์วงศ์สกุล กฤษณะ ละไล ฯลฯ

ต่อมานายโสภณได้ร่วมงานกับเครือผู้จัดการ ปี 2552 เป็นผู้ดำเนินรายการผ่านสถานีโทรทัศน์เครือข่ายเอเอสทีวี เช่น รายการ News Hour สุดสัปดาห์ ทาง ASTV News 1 และรายการเคาะข่าวริมโขง ทาง ASTV 3 อีสานทีวี แต่ยังคงเขียนคอลัมน์ เล่นนอกสภา และ เกาที่คันวันเสาร์ ให้กับหนังสือพิมพ์คมชัดลึก 

อย่างไรก็ตาม นายโสภณได้หยุดเขียนคอลัมน์ให้กับสื่อในเครือเนชั่นมาตั้งแต่สิ้นปี 2553 หลังอยู่กับเครือเนชั่นมานานกว่า 30 ปี สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กรณีปราสาทพระวิหาร และเริ่มเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน มาตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 2554 เป็นต้นมา เริ่มจากคอลัมน์หน้ากระดานเรียงห้า ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น ป้อมพระอาทิตย์ และมีคอลัมน์ข่าวต่างประเทศ ชื่อว่า มองต่างแดน ส่วนนิตยสารผู้จัดการสุดสัปดาห์ มีคอลัมน์ โสภณ องค์การณ์ ตีพิมพ์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2554 พร้อมกับจัดรายการทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนิวส์วันหลายรายการ เช่น News Hour Weekend, ชวนคิดชวนคุย, เคาะไข่ใส่ข่าว ฯลฯ และรายการวิทยุ พูดนอกสภา ทางสถานีวิทยุ เอฟเอ็ม 90.5 MHz


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top