Friday, 23 May 2025
NewsFeed

4 บิ๊กอสังหาหั่นเป้าปี 67 จากยอดปฏิเสธสินเชื่อพุ่ง!! REIC ชี้ กำลังซื้อซึบซม แต่มีแสงสว่างที่ภูเก็ต-สงขลา

(22 ต.ค. 67) จากกระแสข่าวถึงสภาวะตลาดของกลุ่มธุรกิจหมวดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มซบเซาอย่างต่อเนื่อง ย้อนไปไม่นานนี้ในการประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 มีธุรกิจผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างน้อย 4 เจ้าด้วยกันที่ได้ประกาศปรับลดเป้าต่าง ๆ ของบริษัทลง 

บริษัทแรก คือ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน)โดย ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ ได้เปิดเผยว่า ได้มีการปรับลดเป้าหมายการเปิดตัวของโครงการจาก 17 โครงการในปีนี้เหลือ 13 โครงการ เนื่องมาจากปัญหาอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่สูงมาก 

บริษัทต่อมา คือ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด(มหาชน) ที่นายอุเทน โลหพิชิตพิทักษ์ ประธษนเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ประกาศปรบลดโครงการใหม่จาก 30 โครงการเหลือ 29 โครงการ พร้อมทั้งปรับยอดขายในปีนี้จาก 27,000 ล้านบาทเหลือ 22,400 ล้านบาท

นอกจากนี้ทางพฤกษายังได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการเน้นทำตลาดอังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมมากขึ้น เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ 

บริษัทที่ 3 ได้แก่ บริษัท พร็อพ เพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด(มหาชน) โดยนายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาค กรรมการผู้จัดการ ได้แจ้งว่า จากสถานการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคาร จึงทำให้ทางบริษัทต้องปรับลดเป้าการเปิดตัวโครงการใหม่จาก 7 โครงการ เลือ 1 โครงการ สำหรับโครงการอื่น ๆ จะเลื่อนการเปิดตัวไปในปีหน้า 

บริษัทสุดท้าย คือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ที่ใช้เวที Opportnity Day เปิดเผยผ่าน นางสาวกนกไพลิน วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ว่า ทางบริษัทมีการปรับเป้าหมายรายได้ของปีนี้เหลือ 1.5 หมื่นล้านบาท จากที่เคยตั้งเป้าไว้ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท 

จากข้อมูลทั้งหมดสอดคล้องกับรายงาน ‘สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ไตรมาส 2 ปี 2567 และครึ่งแรกปี 2567’ ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่เปิดเผยว่า 

ภาวะของตลาดที่อยู่อาศัยทั้งด้านความต้องการซื้อ(อุปสงค์)ลดลงซึ่งส่งผลให้ด้านการเปิดตัวโครงการ(อุปทาน)ลดลงตามไปด้วย อันเป็นผลมาจากดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูง(รายงานฉบับนี้ออกก่อนที่ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย 

นอกจากนี้รายงานฉบับดังกล่าวยังเปิดเผยอีกว่า สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศในไตรมาสที่ 2 นั้นลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน คือ ไตรมาส 2 ของปี 2566 ถึง 10.1%

อย่างไรก็ดีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ในบางจังหวัด เช่น ภูเก็ต และสงขลา มีการขยายตัวทั้งจำนวนหน่วยอสังหาริมทรัพย์และมูลค่า

จากทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างแสดงข้อเรียกร้องผ่านสมาคมต่าง ๆ เพื่อให้ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนปรนมาตรการ LTV หรือมาตรการที่บังคับให้วางเงินดาวน์บ้าน กรณีซื้อบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ 

จากสถานการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ว่าเมื่อไหร่จะสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะจากที่เคยเป็นอสังหาริมทรัพย์ยุครุ่งเรืองกลับกลายเป็นอสังหาริมทรัพย์ยุคอัสดงไปเสียแล้ว 

รมว. กต. ส่งที่ปรึกษาเยือนกัมพูชา นำร่องเชื่อมโยงท่องเที่ยวไร้รอยต่อ "6 ประเทศ 1 เป้าหมาย" - ด้าน รมต.ท่องเที่ยวกัมพูชา เห็นพ้องสนับสนุนคิกออฟก่อน "แพทองธาร" เยือนกัมพูชา

(21 ต.ค. 67) นายดุสิต เมนะพันธุ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยนางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะฯ เข้าพบหารือทวิภาคีร่วมกับนายฮวด ฮะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ราชอาณาจักรกัมพูชา ในโอกาสการเดินทางเยือนราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อหารือถึงการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว ทั้งการข้ามแดน และการท่องเที่ยวแบบไร้รอยต่อ หลังรัฐบาลไทยได้เห็นชอบนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจผ่านนโยบาย "6 ประเทศ, 1 เป้าหมาย" หรือ "6 Countries, 1 Destination" ประกอบด้วย บรูไนฯ, กัมพูชา, สปป.ลาว, มาเลเซีย, เวียดนาม และไทย โดยจะนำร่องการเจรจานโยบายกับกัมพูชาก่อน ก่อนที่จะขยายความร่วมมือไปสู่ประเทศอื่นๆ ต่อไป ซึ่งในการหารือกับกัมพูชาครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศได้เห็นความสำคัญถึงการเดินหน้านโยบาย ทีมที่ปรึกษาจึงเร่งดำเนินการเสนอแผน และกำหนดการต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อแสดงความพร้อมในการรับ และนักท่องเที่ยว เชื่อมโยงไทย-กัมพูชาระหว่างกัน รวมถึงขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองต่าง ๆ โดยได้เสนอให้มีการจัดทำประเทศ และดินแดนเป้าหมาย ที่ทั้งไทยและกัมพูชา เห็นว่ามีศักยภาพ และจะได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตรา และใช้สิทธิ์ Visa on Arrival (VOA) ของทั้ง 2 ประเทศ รวมถึง Fast Lanes และความเป็นไปได้ ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคต่าง ๆ ผ่านนโยบายดังกล่าว

ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ กัมพูชา ถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกัน เพื่อสร้างอัตลักษณ์จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเดียวกัน (Single Tourism Destination) ระหว่าง 6 ประเทศ และร่วมกันพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และสร้างความเข้มแข็งแก่ภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน ผ่านการจัดทำเส้นทางการท่องเที่ยว ที่เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลก, การจัดทำปฏิทินท่องเที่ยวในภูมิภาคเพื่อเชื่อมโยงเทศกาลสำคัญระหว่างกัน อาทิ ปีใหม่ไทย-ลาว-ขแมร์ ตรุษจีน, การจัดกิจกรรมเพื่อนำเสนอสิทธิประโยชน์ อาทิ ส่วนลดค่าโรงแรม และช่องทางพิเศษในการเข้าเมือง เป็นต้น รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการจัดกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างเครือข่ายธุรกิจการท่องเที่ยวในภูมิภาค 

ขณะเดียวกัน ยังหารือถึงการพัฒนาความเชื่อมโยงด้านการคมนาคม เพื่อขยายความเชื่อมโยงด้านคมนาคม และการเพิ่มตัวเลือกในการเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศ อาทิ การเพิ่มเที่ยวบินระหว่าง 6 ประเทศ โดยขยายเส้นทางสู่เมืองที่น่าสนใจ ซึ่งเบื้องต้นการบินไทย มีโครงการเพิ่มเที่ยวบิน มายังกัมพูชา ที่จังหวัดเสียมราฐแล้ว รวมถึงการเสนอเส้นทางศักยภาพเชื่อมต่อการท่องเที่ยวทางน้ำ และทางราง อาทิ เส้นทางชลบุรี-ระยอง-จันทบุรี-ตราด-เกาะกง-สีหนุวิลล์-กัมปอต-แกบ โดยสามารถผลักดันการท่องเที่ยวทางน้ำจากตราด-สีหนุวิวล์-กัมปอต ให้มาทดแทนการท่องเที่ยวทางบกได้ 

ขณะที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว ราชอาณาจักรกัมพูชา ได้เห็นพ้อง นโยบาย "6 ประเทศ, 1 เป้าหมาย" ของไทยในครั้งนี้ และได้รับแผนนโยบาย และกำหนดการต่าง ๆ ของฝ่ายไทย ไปหารือและพิจารณาดำเนินการ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกัมพูชา อาทิ กระทรวงมหาดไทย กรมศุลกากรของกัมพูชา ก่อนที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีกัมพูชา พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป โดยสนับสนุนนให้นโยบายนี้ ประสบความสำเร็จ และสามารถเริ่มดำเนินการได้ก่อนที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ

'เผ่าภูมิ' บินเปรู ถกเวทีรัฐมนตรีคลัง APEC โชว์วิชั่น 4 นวัตกรรมการเงินไทย สร้างภูมิทัศน์ใหม่ ให้แรงงานนอกระบบ

(22 ต.ค. 67) ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ บนเวทีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคครั้งที่ 31 ณ กรุงลิมา เปรู โดยส่วนหนึ่งของคำกล่าวได้พูดถึงการยกระดับภาคการเงินไทย สร้างภูมิทัศน์ใหม่การเงินใหม่ ให้แรงงานนอกระบบ โดยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ดังนี้

1.นวัตกรรมด้านธนาคาร ผ่านการจัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual bank) โดยใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data)  ในการวิเคราะห์การปล่อยสินเชื่อ อาทิ พฤติกรรมการบริโภค การชำระหนี้ การใช้จ่าย ผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อวิเคราะห์สถานะทางการเงินประมวลผลเป็นค่าความเสี่ยงในการให้สินเชื่อ ตอบโจทย์ความต้องการแรงงานนอกระบบได้ดีขึ้น โดยเฉพาะรายย่อย และ SMEs กลุ่มที่ยังไม่ได้รับบริการทางการเงิน (Unserved) และกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการบริการทางการเงินอย่างเหมาะสม (Underserved)

2.นวัตกรรมการค้ำประกัน ผ่านการจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ หรือ (NaCGA) ซึ่งจะช่วยติดอาวุธแก่ผูัประกอบการ SME และ MSME โดยจะทำหน้าที่เป็นกลไกที่ประชาชนสามารถซื้อประกันความเสี่ยงด้านเครดิตของตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงของตนเอง ก่อนติดต่อสถาบันการเงินและ Non bank โดยค่าธรรมเนียมจะอิงตามระดับความเสี่ยงของลูกหนี้ (Risk-Based pricing) ซึ่งช่วยลดต้นทุนทางการเงิน และเพิ่มอำนาจต่อรองแก่ผู้ประกอบการ

3.นวัตกรรมการแก้ไขหนี้ประชาชน ผ่านการจัดทำอารีย์ สกอร์ (Ari Score) เพื่อช่วย SME เข้าถึงสินเชื่อ โดยอารีย์ สกอร์จะเป็นการจัดทำเครดิตสกอริ่งใหม่ จากข้อมูลที่กระทรวงการคลังมีอยู่ ประกอบกับการใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์ ชึ่งผู้ที่มีคะแนนที่ผ่านเกณฑ์ จะสามารถไปยื่นขอสินเชื่อได้เลยจากธนาคารรัฐ 4 แห่ง อันจะช่วยลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และให้โอกาสใหม่แก่ผู้ที่ไม่สามารถยื่นขอสินเชื่อได้ เพราะไม่ผ่านเครดิตบูโร

4.นวัตกรรมการออมแบบมีแรงจูงใจ ผ่านโครงการสลากเกษียณ (retirement lottery) ซึ่งเป็นโครงการของรัฐที่สร้างแรงจูงใจให้คนไทยออม และถูกจริตกับวิถีชีวิตคนไทยที่นิยมการซื้อสลาก เงินที่ผู้ซื้อได้ซื้อสลากทั้งหมดจะถูกเก็บเป็นเงินออมและคืนเป็นเงินออมเมื่อผู้ซื้อมีอายุ 60 ปี สลากเกษียณจะช่วยให้ผู้ซื้อใช้ชีวิตหลังเกษียณแบบมีคุณภาพ (Greater Quality of Life) และดำรงชีวติก่อนเกษียณแบบมีหลักประกันทางการเงิน (Financial security)

‘หมูเด้งเรซซิ่ง’ รันวงการมอเตอร์สปอร์ตบุก ‘โมโตจีพี’ กับรายการ ThaiGP x MOODENG ใครมีบัตรลุ้น 2 เด้ง

หมูเด้งรันทุกวงการ ล่าสุด 'โมโตจีพี' สนามประเทศไทย หรือ ThaiGP สร้างตำนานบทใหม่ จับมือสวนสัตว์เปิดเขาเขียว องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย คอลแลบ (Collab) 'หมูเด้ง' ซูเปอร์สตาร์ตัวกลม สู่ศึกกรังด์ปรีซ์ที่เร็วและแรงที่สุดในโลก ที่กำลังจะระเบิดศึกบนผืนแผ่นดินไทย จัดแคมเปญเอาใจแฟนความเร็วทั่วโลกที่มีใจรัก ลูกฮิปโปโปเตมัสแคระสุดน่ารัก เจ้าของมีมเกรี้ยวกราดแห่งปี โดยผู้ที่มีบัตรโมโตจีพี เตรียมลุ้นสิทธิ์ 2 เด้ง แบบลิมิเต็ด สนามเดียวในโลก

ข่าวดีรับโค้งสุดท้ายการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก หรือโมโตจีพี ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ภายใต้ชื่อรายการ 'PT Grand Prix of Thailand 2024' ศึกสองล้อที่เร็วที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ระหว่าง 25- 27 ตุลาคม 2567 ที่ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ การแข่งขันกีฬาระดับโลกรายการใหญ่ที่สุดที่มีการจัดในประเทศไทย มีผู้ติดตามชมมากกว่า 800 ล้านคนทั่วโลก จาก 220 ประเทศทั่วโลก

คณะกรรมการฝ่ายจัดการแข่งขัน โดยนายตนัยศิริ ชาญวิทยารมย์ กรรมการผู้อำนวยการ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เปิดเผยว่า การจัดการแข่งขันโมโตจีพี ถือเป็นศึกสองล้อที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก ในแต่ละปีจัดการแข่งขันมากกว่า 20 สนาม แต่ละประเทศที่เป็นเจ้าภาพจะถือโอกาสนี้นำแหล่งท่องเที่ยว เสน่ห์ทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์ท้องถิ่นมาโชว์ รวมถึงทำแคมเปญต่าง ๆ ร่วมกับดอร์น่า สปอร์ต เจ้าของลิขสิทธิ์ 

ในปีนี้ 'หมูเด้ง' ได้สร้างมีมและไวรัลไปแล้วทั่วโลก ด้วยความน่ารัก สดใส สามารถสร้างชื่อเสียงและผลักดันการท่องเที่ยวได้อย่างทรงพลัง จึงมีการนำหมูเด้งมาร่วมทำแคมเปญโมโตจีพี สนามประเทศไทยขึ้นมา ซึ่งดีลสุดพิเศษแห่งปีนี้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในการแข่งขันโมโตจีพี 

โดยฝ่ายจัดการแข่งขัน ร่วมกับดอร์น่า สปอร์ต และสวนสัตว์เปิดเขาเขียว องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย ตัดสินใจนำ 'หมูเด้ง' ซูเปอร์สตาร์แก้มชมพูสู่โลกมอเตอร์สปอร์ต คอลแลบกันภายใต้แคมเปญ ThaiGP x MOODENG โอกาสสุดพิเศษสำหรับแฟนความเร็วที่มีบัตรโมโตจีพี สนามประเทศไทยเท่านั้น

เด้งที่ 1 เพียงแสดงบัตรเข้าชมโมโตจีพี รายการ PT Grand Prix of Thailand 2024 (ยกเว้นบัตร Admission) รับไปเลยส่วนลด 50% สำหรับบัตรเข้าชมความน่ารัก เยี่ยมบ้าน 'หมูเด้ง' ที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว หมดเขตวันที่ 30 พ.ย. 67

เด้งที่ 2 ลุ้นรับเสื้อ MOODENG Limited Edition พิเศษ สำหรับแฟน ๆ โมโตจีพี เพียง 20 ตัว ในโลกเท่านั้น! ตัวเสื้อเป็นสีขาว เนื้อผ้าสวมใส่สบาย ด้านหน้าเป็นมีมใหม่สุดคิ้วท์ 'หมูเด้งเรซซิ่ง' พร้อมข้อความ Time to Race สร้างคาแร็กเตอร์ใหม่ให้ซูเปอร์สตาร์แห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว สวมบทบาทนักบิดตัวกลมควบรถแข่งโมโตจีพีแบบตะมุตะมิ ที่เชื่อว่าจะกลายเป็นของแรร์ ไอเท็ม มีค่าหายาก สำหรับคนรักหมูเด้งทั่วโลกแน่นอน จากผู้ชมโมโตจีพี สนามประเทศไทยมากกว่า 2 แสนคน จะมีผู้โชคดี เพียง 20 คนเท่านั้น โดย Random ผู้โชคดีจากเลขหลังบัตรในระบบ Allticket ประกาศผลวันที่ 4 พ.ย. 67 ทางเพจ Chang Circuit Buriram

รรท.รอง ผบ.ตร. ร่วมประชุม 'Open Heart' บูรณาการทุกภาคส่วน ยกระดับงานปราบปรามการค้ามนุษย์

วันนี้ (22 ตุลาคม 2567) เวลา 09.30 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค)/ผอ.ศพดส.ตร.) เข้าร่วมประชุมเปิดใจ “Open Heart” : ยกระดับงานต่อต้านการค้ามนุษย์ของประเทศไทย เพื่อรับฟังข้อเสนอจากภาคประชาสังคมและข้อเสนอแนะต่อการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยมี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , นายสมาสภ์ ปัทมะสุคนธ์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน , นางสาวอรนุช ภักดีวิสุทธิพร รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีค้ามนุษย์ , พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผู้บังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ และผู้แทนหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (พม., มท., รง., กต., ทท., กษ., ศย., อส., ศรชล., DSI, สตม., สถานแรกรับฯปากเกร็ด และสถานคุ้มครองฯ ภาครัฐ 8 แห่ง พร้อมหน่วยงานภาคเอกชนอื่นๆ NGOs) กว่า 21 หน่วยงาน เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมประชาบดี ชั้น 19 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 

ตามนโยบายรัฐบาลที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการกระทำผิดเกี่ยวกับเด็ก สตรี ครอบครัว การป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์และภาคประมง ซึ่งได้มีการกำหนดไว้ให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยมุ่งหวังให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. รรท.รอง ผบ.ตร.(มค)/ผอ.ศพดส.ตร. ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า ในห้วงที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้หารือและตรวจการลักลอบใช้แรงงานผิดกฎหมายในภาคประมง ในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร สร้างให้เป็น “สมุทรสาครโมเดล” ปราศจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานในภาคประมง เพื่อให้แนวโน้มการกระทำความผิดประเภทนี้ลดลง อีกทั้งยังร่วมกันรับฟังสภาพปัญหาของผู้ประกอบการและแรงงานภาคประมง ซึ่งได้เสนอความต้องการให้ทางราชการปรับลดขั้นตอนการตรวจอนุญาตให้มีการตรวจเอกสารเพียงฉบับเดียว ลดความยุ่งยาก สิ้นเปลืองและเอกสารสูญหาย นอกจากนี้ ยังได้จัดชุดปฏิบัติการ TICAC จับกุมการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต โดยในปี 2566 จับกุมได้ 541 คดี และในปี 2567 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 จับกุมได้ 314 คดี ซึ่งอาชญากรรมประเภทนี้ เปลี่ยนรูปแบบจากออนไลน์เป็นออฟไลน์มากขึ้น มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้รับฟังความคิดเห็น ปัญหา ข้อเสนอแนะ ร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคม (NGOs) กรณีการใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านไปยังประเทศที่ 3 หรือประเทศเพื่อนบ้าน ในการตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ และร่วมกระทำความผิดขบวนการแก๊ง Call Center พร้อมทั้งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจเข้า-ออกราชอาณาจักร และกำชับให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , ตำรวจภูธรภาค 2-9 และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งมีพื้นที่ติดแนวชายแดน กำหนดมาตรการคัดกรองคนต่างด้าวประเทศกลุ่มเสี่ยงในการเดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักร จัดทำแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนผู้เดินทางเข้า-ออกราชอาณาจักร 6 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ จีน เมียนมา ลาว มลายู และไทย โดยให้ติดตั้งบริเวณด่านตรวจคนเข้าเมืองชายแดน และท่าอากาศยานระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการถูกหลอกลวงไปค้ามนุษย์ในต่างประเทศ ดำเนินการตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ หรือ NRM อย่างเคร่งครัด พร้อมฝึกอบรมให้ความรู้ในจริธรรมและเทคนิคของล่ามแปลภาษา และเปิดศูนย์คัดแยกและส่งต่อผู้เสียหายระดับชาติ อย่างเป็นทางการ โดยยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง

สำหรับแนวทางในการขับเคลื่อน เพื่อยกระดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทยขึ้นสู่ Tier 1 ได้กำหนดนโยบายเน้นหนัก ได้แก่ การอบรมให้ความรู้แก่ข้าราชการตำรวจด้าน NRM เพื่อให้มีการขับเคลื่อนตามกลไก NRM เต็มรูปแบบ อบรมเพิ่มทักษะในการเก็บพยานหลักฐานทางดิจิทัล เพื่อมุ่งเน้นการปราบปรามผู้กระทำผิดออนไลน์ บังคับใช้กฎหมายในคดีค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ มุ่งเน้นให้มีการสืบสวนขยายผลไปยังตัวการ ผู้ซื้อบริการ หรือดำเนินการในการปิด Website หรือ Application ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ยกระดับการให้บริการล่ามแปลภาษาแก่ผู้เสียหาย ตลอดจนเพิ่มความเข้มในการตรวจเข้า-ออกราชอาณาจักร และประชาสัมพันธ์ผู้เดินทาง เพื่อมิให้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ ดำเนินการทางวินัยและอาญากับข้าราชการตำรวจที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์อย่างเด็ดขาด และเพิ่มการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) ในการร่วมกันในการแก้ไขปัญหา

‘เต้ อาชีวะ’ ตอกกลับ ‘ธนาธร’ โลกสวยป้องพม่าเถื่อน ตรรกะสุดป่วย

เพจวันนี้พรรคส้มโกหกอะไรแฉยับ นายธนาธร แห่งค่ายส้ม โชว์วิสัยทัศน์เรื่องแรงงานพม่า ระหว่างเดินหาเสียง อบจ. อุดรธานี โดยมีใจความว่า คนพม่ามาเมืองไทยเหมือนกับที่ลูกหลานเราไปทำงานที่เกาหลีใต้ แล้วถูกเหยียบย่ำ เราชอบมั๊ย ดังนั้นเอาใจเขามาใส่ใจเรา ในฐานะเจ้าบ้าน 

ส่วนทางด้านชาวอุดร รู้สึกคับข้องใจ จึงถามต่อว่า ช่วงหลังแรงงานพวกนี้กําเริบเสิบสาน อันธพาลไปทั่ว แล้วพรรคคุณเชียร์หรือ 

นายธนาธร กลับบอกว่า เราไม่ได้เชียร์ แต่เราต้องให้เกียรติเขา เราอยากเป็นเจ้าบ้านที่ดี โอบอ้อมอารี เพราะเขาจน เขามาดิ้นรน

ด้านเพจเชียร์ลุง ระบุถึงเรื่องนี้ว่า โคตรพ่อพระเลยครับ!!!เอาเถอะครับ เอ็นดูกันเข้าไป แรงงานต่างด้าวมาทำงานที่บ้านเราหนึ่งคน แต่รับเข้าประเทศมากันทั้งครอบครัว พ่อ แม่ เมีย รวมแม่ยาย แถมอยู่แล้วสบายใจ จนมีแรงผลิตลูก เกิดที่ประเทศเราอีกรายละ 3-4 คน ใช้สวัสดิการทั้ง โรงพยาบาล โรงเรียน สิ่งของช่วยเหลือ จนฉ่ำปอดไม่พอ พรรคส้มผู้เมตตาสูง ยังจะอ้อนวอนให้คนไทยเพิ่มความเอ็นดูให้เป็นพิเศษ เพิ่มเข้าไปอีก

ล่าสุด ทีมข่าว TOP NEWS ได้สอบถามเรื่องนี้ไปยัง อัครวุธ ไกรศรีสมบัติ (เต้ อาชีวะ) ประธานกลุ่มอาชีวะราชภักดีซึ่งเป็นแกนนำหลักในการเคลื่อนไหวกวาดล้างแรงงานเถื่อนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าตัวระบุว่า เห็นคลิปนี้ของนายธนาธร แล้วเหนื่อยใจ เมื่อไหร่จะเลิกบิดเบือน ทำไมถึงไม่โฟกัสกลุ่มคนที่เข้ามาสร้างความเดือดร้อน

“ทำตัวเป็นอันธพาล อั้งยี่ซ่องโจร แล้วอย่าได้เอาแรงงานไทย ที่ไปทำงานในต่างชาติ เพราะคนไทยไม่เคยไปเรียกร้องสิทธิอะไร ที่เหนือพลเมืองของประเทศนั้น ๆ หยุดโลกสวย แล้วอยู่กับความเป็นจริง หันมาปกป้องสิทธิ์ให้คนไทยบ้าง”

ที่มา : https://www.topnews.co.th/news/1097781
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=122182326686203337&id=61556100132514&rdid=3qSGpcPNhV08FbwV
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=984382520396200&id=100064733827563&rdid=iSchem5NG2t3ENij

‘แบงก์ชาติอินโดนีเซีย’ โดดอุ้ม ‘ค่าเงินรูเปียห์’ จากปัจจัย ‘ทรัมป์’ มีโอกาสเข้าวิน ปธน.สหรัฐ

(22 ต.ค. 67) สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย เข้า “แทรกแซง” ตลาดเงินตราต่างประเทศเพื่อพยุง ค่าเงินรูเปียห์ ท่ามกลางการคาดการณ์ของเหล่านักลงทุนว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีโอกาสชนะการเลือกตั้งสหรัฐมากขึ้น และ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มชะลอการลดอัตราดอกเบี้ย

การเข้าแทรกแซงครั้งนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียดำเนินการทั้งในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแบบสปอตและตลาดอนุพันธ์ เพื่อบรรเทาความผันผวนของค่าเงินรูเปียห์ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องในวันอังคารนี้ (22 ต.ค.) ตามที่เอดี ซูเซียนโต ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารการเงินของธนาคารกลางได้เปิดเผย

เงินรูเปียห์ อ่อนค่าลงมากถึง 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 15,568 ต่อดอลลาร์ในการซื้อขายช่วงเช้าของวันนี้ (22 ต.ค.) ซึ่งเป็นการอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม โดยธนาคารกลางอินโดนีเซียต้องเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อพยุง ค่าเงินรูเปียห์

ซูเซียนโตระบุว่า การอ่อนค่าของเงินรูเปียห์ในครั้งนี้มีสาเหตุมาจากถ้อยแถลงล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟดที่แสดงท่าทีไม่เอื้ออำนวยต่อการผ่อนคลายนโยบายการเงิน และความไม่แน่นอนที่เกิดจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 

อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการบริหารท่านนี้ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ค่าเงินรูเปียห์ ยังคงอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากคาดว่าผู้ประกอบการส่งออกจะยังคงมีการนำเงินดอลลาร์เข้ามาในตลาด ซึ่งจะช่วยพยุงค่าเงินรูเปียห์ได้ในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ ค่าเงินในเอเชียอ่อนค่าลงในช่วงเปิดตลาดวันอังคารนี้ท่ามกลางการแข็งค่าของดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากนักลงทุนต่างจับตาผลการเลือกตั้งสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดที่บ่งชี้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น

ความผันผวนของค่าเงินรูเปียห์ อาจทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมโดยธนาคารกลางต้องล่าช้าออกไปในปีนี้ โดยเพอร์รี วาร์จิโย ผู้ว่าการธนาคารกลางกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า

“ยังมีพื้นที่สำหรับการผ่อนคลายเพิ่มเติม แต่ในขณะนี้ ธนาคารกลางให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์มากกว่า” ซึ่งธนาคารอินโดนีเซียคงอัตราดอกเบี้ยสำคัญไว้ที่ 6% ในเดือนนี้

ธนาคารกลางอินโดนีเซียมีความพร้อมในการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียห์ เนื่องจากมีปริมาณสำรองเงินตราต่างประเทศอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับสถิติสูงสุดในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ศรชล. นำกำลังพลร่วมกิจกรรมจิตอาสา วันปิยมหาราช 23 ตุลาคม

น.อ.โกวิท สิงห์ทอง รอง ผอ.ศรชล.จว.จบ.พร้อมด้วย กำลังพล ศรชล.จว.จบ. ร่วมกิจกรรมจิตอาสาเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( วันปิยมหาราช) 23 ตุลาคม ณ วัดสุวรรณรังษี ม.4 ต.ตะปอน อ.ขลุง จว.จันทบุรี ซึ่งเป็นกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาศาสนสถาน โดยมี นายสันติ รังษีรุจิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นประธานในพิธี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

‘โฆษกสธ.' สรุปอาการ 3 นักเรียนหญิงเหยื่อไฟไหม้รสบัสล่าสุดพบ อาการดีขึ้น อยู่ในขั้นปลอดภัย มี 1 รายเตรียมความพร้อมกลับบ้าน อีก 2 ราย จักษุแพทย์ดูแลรักษาดวงตาอย่างเต็มที่

(22 ต.ค. 67) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า ได้รับรายงานผู้ป่วยเด็กหญิงโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีรถบัสเกิดเพลิงไหม้ บริเวณถนนวิภาวดีขาเข้า หน้าอนุสรณ์สถาน ตำบลคูคน อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา จำนวน 3 คน ล่าสุด ทุกคนโดยรวมมีอาการดีขึ้น ถือเป็นข่าวดีที่เด็กเหล่านี้ได้พ้นขีดอันตราย เมื่อแรกเข้ารับการรักษาอยู่ในสภาวะที่น่าห่วงอย่างมาก ตลอด 20-21 วัน แพทย์ได้ดูแลรักษาอย่างดีที่สุด มีรายละเอียด ดังนี้

คนแรก เป็นเด็กหญิงวัย 14 ปี เข้ารับการรักษาที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ สถาบันฯออกแถลงการณ์เวลา 9.00 น. วันที่  21 ตุลาคม สรุปว่า “อาการดีขึ้น บาดแผลไฟไหม้โดยรวมดีขึ้นมาก ไม่พบการติดเชื้อ ไม่พบปัญหาข้อติดยึด สามารถทำกายบริหาร ยืดเหยียดข้อไหล่ ข้อศอกและข้อนิ้วมือ เพื่อป้องกันข้อติดได้ดี ด้านจิตใจ ผู้ป่วยมีอารมณ์คงที่ นอนหลับได้ปกติ ผลการรักษาเป็นที่พึงพอใจของทีมแพทย์  แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาและฟื้นฟูทั้่งร่างกายและจิตใจเพื่อเตรียมความพร้อมในการกลับบ้านต่อไป..”

คนที่สอง เป็นเด็กหญิง อายุ 9 ปี รักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิพระเกียรติ มีอาการไฟไหม้ใบหน้า คอ แขนและมือทั้ง 2 ข้าง แผลไหม้ระดับที่สองและทางเดินอากาศบาดเจ็บจากการสูดดมควันไฟ แพทย์รักษาด้วยการปรับยาแก้ปวดและยานอนหลับต่อเนื่อง ให้อาหารผ่านสายทางจมูก ให้ยาลดความดันโลหิต ประเมินดวงตาทางจักษุแพทย์ อาการล่าสุด ผู้ป่วยหายใจได้เองโดยไม่ต้องให้ออกซิเจน สามารถพูดสื่อสารความต้องการได้ ให้ยาแก้ปวดเป็นครั้งคราว เริ่มกินอาหารทางปากได้เพิ่มมากขึ้น ใช้อุปกรณ์บีบคลายขาทั้ง 2 ข้างเพื่อป้องกันลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำส่วนลึกอุดตัน ทางทีมจักษุแพทย์ได้ดูแลรักษาดวงตาอย่างเต็มที่

คนที่สาม เป็นเด็กหญิงอายุ 7 ปี รักษาที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ไฟไหม้ใบหน้าลำตัว และมือทั้ง 2 ข้าง แผลไหม้ระดับที่สอง อาการล่าสุด สามารถหายใจได้เอง ไม่ต้องใช้ออกซิเจน พูดสื่อสารความต้องการได้ รับประทานอาหารทางปากได้มากขึ้น ใช้อุปกรณ์บีบคลายขาทั้ง 2 ข้างเพื่อป้องกันลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำอุดตัน ไม่พบตำแหน่งติดเชื้อชัดเจน เฝ้าระวังอาการและเฝ้าระวังการติดเชื้อแทรกซ้อน ทีมจักษุแพทย์มีแผนเปิดแผลเช้าวันที่ 22 ตุลาคม โดยแผนการรักษา เข้าห้องผ่าตัดเพื่อประเมินเยื่อตาและกระจกตา

น.ส.ตรีชฎากล่าวว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้แสดงความขอบคุณทีมแพทย์ที่ดูแลรักษาผู้ป่วยทั้ง 3 คนอย่างดียิ่ง มีความสบายใจที่ได้รับทราบข่าวว่าอาการของนักเรียนดีขึ้นตามลำดับ พร้อมกันนี้ได้ส่งกำลังใจมาถึงพ่อแม่ผู้ปกครองของน้องนักเรียน 3 คนนี้ รวมทั้งประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจติดตามข่าว ก็ขอให้คลายความกังวล กระทรวงสาธารณสุขจะดูแลและติดตามการดูแลรักษาอย่างใกล้ชิดและอย่างดีที่สุด

‘สมศักดิ์’ สั่งจัดการเพจปลอม แอบอ้างชื่อ-ภาพ ขายยาปลุกเซ็กซ์ เพิ่มสมรรถนะเพศชาย หลอกลวงผู้บริโภค สั่งอ.ย.แจ้งกองปราบฯ เอาโทษถึงที่สุด เข้าข่ายผิดกฎหมาย 2 ฉบับ

น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองเปิดเผยว่า  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ถูกมิจฉาชีพมีพฤติการณ์ไม่เกรงกลัวกฎหมาย บังอาจทำเพจ เฟซบุคปลอมระบุ “รับรองจากกระทรวงสาธารณสุข - ยาโป๊ปลุกอารมณ์ของผู้ชาย แก้ปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศษของผู้ชาย…” ลงภาพตราสัญลักษณ์พร้อมชื่อกระทรวงสาธารณสุข ที่สำคัญ ได้ลงภาพครึ่งตัวและชื่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และข้อความโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับสมรรถภาพทางของชาย เช่น ทำให้อึดทน ใหญ่ขึ้น แข็งขึ้น ฯลฯ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชื่อเสียงของนายสมศักดิ์และกระทรวงสาธารณสุข อีกทั้งทำให้ผู้ที่เห็นสื่อตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงให้เข้าใจผิด สั่งซื้อยามากินโดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาจทำให้ได้รับอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

น.ส.ตรีชฎากล่าว่า นายสมศักดิ์ได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อ.ย.) ดำเนินการโดยเร่งด่วน โดยหลังจากพบเพจเฟซบุคปลอมดังกล่าวเผยแพร่เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยนายวีระชัย นลวชัย รองเลขาธิการปฏิบัติราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ได้มีหนังสือถึงผู้กำกับการ 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ให้สืบหาข้อมูลและบุคคลผู้กระทำผิดที่สร้างเพจปลอมแอบอ้างผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข 

โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมืองกล่าวต่อไปว่า เพจปลอมที่แอบอ้างชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นการกระทำที่เลวร้ายมาก หากไม่ระงับยับยั้งพฤติการณ์จะนำไปสู่การลักลอบขายยาที่ไม่ได้รับอนุญาตทางเวบไซต์ต่างประเทศ หรือทางสื่อออนไลน์ ไม่เพียงแต่เข้าข่ายผิดกฎหมายว่าด้วยการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ยังอาจเข้าข่ายโฆษณาขายยาฝ่าฝืนพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 อีกด้วย

“วอนประชาชนอย่าหลงเชื่อ จะตกเป็นเหยื่อการกระทำความผิดด้วยการแอบอ้าง ชื่อและภาพของนาย สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ครั้งนี้เจตนาให้ผู้บริโภคเชื่อว่าสินค้าตัวดังกล่าวได้รับการรับรองหรือรับประกันการโฆษณาขายยาปลุกเซ็กซ์ผู้ชาย เป็นการหากินบนความเดือดร้อนของคนอื่น ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้หลงเชื่อเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดให้สิ้นซาก ทางอ.ย.ได้แจ้งไปยังตำรวจที่ีรับผิดชอบให้เร่งสืบหาผู้กระทำความผิด งานนี้หวังว่าทางตำรวจจะเร่งดำเนินการหาผู้กระทำความผิด น่าจะใช้เวลาไม่มากก็สามารถตามจับกุมตัวคนทำเพจปลอมมาดำเนินคดีได้ ก่อนความเสียหายจะบานปลายไปมากกว่านี้” น.ส.ตรีชฎากล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top