Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

เปิด 6 เส้นทาง เตรียมเก็บค่ารถติด กลางเมืองกรุงฯ สานนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท-แก้ปัญหา PM2.5

(22 ต.ค. 67) จากที่กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการคลัง เตรียมร่วมกันศึกษาแนวทางการดำเนินการนโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งกระทรวงการคลังจะมีการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานขึ้นมา เพื่อซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าจากเอกชน คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 200,000 ล้านบาท ซึ่งการซื้อคืนนี้ เพื่อทำให้ภาครัฐ สามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ถูกลง และเป็นธรรม เข้าถึงได้ง่ายนั้นโดย เบื้องต้นกองทุนฯ จะกำหนดระยะเวลา 30 ปี แหล่งเงินของกองทุนฯ ส่วนหนึ่งเป็นการระดมทุน ซึ่งผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยหรือเงินปันผล เป็นต้น อีกส่วนจะเป็นรายได้จากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด(Congestion charge) เป็นรูปแบบที่ได้ดำเนินการในประเทศที่พัฒนาแล้ว และประสบผลสำเร็จ เช่น ประเทศอังกฤษซึ่งกระทรวงการคลังจะไปศึกษารูปแบบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยว่า การจัดตั้งกองทุน เพื่อเดินหน้านโยบายอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกสาย และการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้า ซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคม นั้น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้มีการศึกษาเบื้องต้น กรณีการเก็บจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจราจรคับคั่ง หรือพื้นที่รถติด (Congestion charge) โดยสนข.ความร่วมมือกับ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ)  ซึ่งมีสำรวจ ถนนอยู่ที่มีปริมาณจราจรหนาแน่น คาดว่าจะมีการจัดเก็บ Congestion charge พบว่า มีปริมาณจราจรรวมกันประมาณ 700,000 คัน/วัน ดังนั้นยกตัวอย่าง หากจัดเก็บค่าธรรมเนียมฯคันละ 50  บาท ประเมินเบื้องต้น จะมีรายได้ประมาณ 35 ล้านบาทต่อวัน หรือ 12,000 ล้านบาทต่อปี ที่สามารถสนับสนุนกองทุนฯซื้อคืนสัมปทานได้

นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการ สนข. กล่าวว่า จากที่สนข.ได้มีความร่วมมือกับสำนักงานองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) มีเป้าหมายเรื่องภาคขนส่งเพื่ออากาศสะอาด ซึ่งมีการศึกษาสำรวจปริมาณจราจรของโครงข่ายถนนที่คาดว่าจะมีการดำเนินการมาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรถติด (Congestion charge) จำนวน 6 เส้นทาง ได้แก่

1.ทางแยก เพชรบุรี-ทองหล่อ (ช่วงถนนเพชรบุรี และ ทองหล่อ) มีปริมาณจราจร 60,112 คัน/วัน 

2.ทางแยก สีลม-นคราธิวาส (ช่วงถนน นราธิวาสราชนครินทร์ และ ถนนสีสม) มีปริมาณจราจร 62,453 คัน/วัน

3.ทางแยก สาทร-นราธิวาส (ช่วงถนน นราธิวาสราชนครินทร์ และ ถนนสาธร) มีปริมาณจราจร 83,368 คัน/วัน 

4.ทางแยก ปทุมวัน (ช่วงถนนพญาไทและ ถนนพระรามที่ 1 ) มีปริมาณจราจร 62,453 คัน/วัน

5.ทางแยก ราชประสงค์ (ช่วงถนนราชดำริ ถนนพระราม 1 และถนนเพลินจิต) มีปริมาณจราจร 56,235 คัน/วัน

6.ทางแยกประตูน้ำ  (ช่วงถนนราชดำริ ถนนราชปรารถ และถนนเพชรบุรี) มีปริมาณจราจร 68,473 คัน/วัน) 

ทั้งนี้ ตัวเลขปริมาณจราจรดังกล่าว เป็นการเก็บสถิติการจราจร ในปี 2566 ซึ่งเก็บสถิติ ช่วงเวลา 07.00-19.00 น. โดยหากมีการจัดเก็บ Congestion charge คาดว่าปริมาณจราจรที่เข้าสู่ถนนดังกล่าว จะลดลงไปจากตัวเลขที่มีการสำรวจ 

นายปัญญากล่าวว่า ขณะนี้ สนข.เตรียมศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม โดยได้มีความร่วมมือกับ UKPact  กองทุนจากประเทศอังกฤษ โดยจะเริ่มการศึกษา ในเดือนธ.ค.2567  โดยสนข.จะหารือเพื่อให้เร่งสรุปในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง Congestion charge ภายในกลางปี 2568 เพื่อให้ทันกับนโยบายขยายมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรือง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

‘สุริยะ’ เผย 23 ต.ค. นี้ ฟรี!! ค่าทางด่วน 61 ด่าน ลดค่าครองชีพ-อำนวยความสะดวกให้ประชาชน

(22 ต.ค. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้สั่งการหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกความปลอดภัยในการเดินทางและเพื่อเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้พี่น้องประชาชน 

ตนได้มอบให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษในวันพุธที่ 23 ตุลาคม 2567 เนื่องในโอกาสวันปิยมหาราช จำนวน 1 วัน 3 สายทาง รวม 61 ด่าน ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1) 20 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2) 31 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน - ปากเกร็ด) 10 ด่าน

สำหรับยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคมที่ปรากฏในสัญญาสัมปทานฉบับแก้ไขใหม่ระหว่าง กทพ. บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) และบริษัททางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด (NECL) เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนในวันหยุดและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน รวมทั้งช่วยลดปัญหาจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษอีกด้วย

ทั้งนี้ กทพ. ขอเชิญชวนผู้ใช้บริการบัตร Easy Pass ลงทะเบียนเข้าระบบสะสมแต้ม EXAT Reward ผ่านทาง EXAT Portal Application หรือ www.thaieasypass.com เพื่อรับสิทธิพิเศษมากมาย รวมถึงแลกเงินคืนเข้าบัตร Easy Pass และลงทะเบียนปรับปรุงข้อมูลด้วยตนเองผ่านทางแอปฯ และเว็บไซต์ดังกล่าวเพื่อยกระดับบัตร Easy Pass เป็น Easy Pass Plus สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ (EXAT Call Center) โทร. 1543 ตลอด 24 ชั่วโมง

ส่องราคาน้ำมันเฉลี่ยในประเทศอาเซียน ราคา ณ วันที่ 22 ต.ค.67

รายงานราคาน้ำมันเฉลี่ยในอาเซียน ประจำวันที่ 21 ตุลาคม 2567 โดยราคาขายน้ำมันแต่ละประเทศ มีปัจจัยทางด้านราคา ดังนี้

1.แต่ละประเทศมีมาตรการภาษี และระบบการเก็บเงินเข้ากองทุนหรืออุดหนุนราคาพลังงานที่แตกต่างกัน

2.ในหลายประเทศเพื่อนบ้านยังมีการอุดหนุนราคากันอยู่

3. ประเทศไทยสนับสนุนการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ให้การอุดหนุนราคาโดยกองทุนน้ำมันฯ จึงทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าเบนซิน

หมายเหตุ : ราคา ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2567 อัตราแลกเปลี่ยน (อัตรากลาง) ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2567

*ประเทศไทย อ้างอิงราคาจาก ปตท. และ บางจาก และเป็นราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95E10 ซึ่งมีสัดส่วนการใช้มากที่สุด

สามารถดูราคาย้อนหลังได้ที่ EPPO - Energy Data Visualization
หรือคลิกที่ https://public.tableau.com/.../EPPO.../SUMMARYOILPRICING

จับตา ‘ละครสั้น’ Soft Power มาแรงจากดินแดนมังกร อุตสาหกรรมแสนล้าน ชง พัฒนาคุณภาพการถ่ายทำ-เนื้อเรื่อง

(22 ต.ค. 67) ทุกวันนี้น้อยคนที่จะหนีจาก ‘ละครสั้นจีน’ พ้น เพราะว่าละครสั้นจีนตามติดไปแทบจะทุก ๆ แพลตฟอร์มวิดีโอ

และด้วยทั้งพล็อตเรื่องและโครงเรื่องที่เรียบง่าย แต่สั้น-กระชับ น่าติดตามจึงทำให้มีแฟนคลับละครสั้นจีนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว 

โดยละครสั้นจากประเทศจีนได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดต่างประเทศ ตามข้อมูลจาก iiMedia Research ระบุว่า ในปี 2566 ขนาดตลาดละครสั้นออนไลน์ในจีนอยู่ที่ 37,390 ล้านหยวน เพิ่มขึ้นถึง 267.65% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รวมทั้งคาดการณ์ว่าภายในปี 2570 อัตราการเติบโตจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 100,680 ล้านหยวน

และจากข้อมูลพบว่าเมื่อปี 2566 การถ่ายทำละครสั้นและขนาดเล็กของจีนที่ได้ขึ้นทะเบียนกับหน่วยงานทางการที่เกี่ยวข้องของจีน มีจำนวน 3,574 เรื่อง และจำนวน 97,327 ตอน 

โดยลักษณะของละครสั้นจีน หรือที่มีอีกหลายชื่อ เช่น Micro-Drama, Short Play นั้นจะมีความยาวต่อตอนสั้นมาก คือไม่เกิน 2 นาที โดย 1 เรื่องมีไม่เกิน 100 ตอน สามารถรับชมจนจบเรื่องในเวลาเพียงประมาณ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น 

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ละครสั้นและขนาดเล็กเป็นกระแสที่มาแรงในสื่อออนไลน์จีน เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของผู้คนในปัจจุบันเปลี่ยนไปตามความเร่งรีบของสังคม ละครสั้นและขนาดเล็กจึงตอบโจทย์ของผู้ชมละครยุคใหม่ 

ประกอบกับผู้จัดทำละครสามารถผลิตละครออกมาในตลาดได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับผู้ชม เนื่องจากต้นทุนการถ่ายทำไม่สูง เนื้อหาสั้นกระชับ แต่ทั้งนี้เนื้อหาของละครและคุณภาพของละครต้องถูกใจผู้ชมถึงจะสามารถแข่งขันได้ โดยปัจจุบันเนื้อเรื่องละครสั้นมีการสอดแทรกเรื่องการท่องเที่ยว ด้านศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนด้านธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ ซึ่งนำประโยชน์การต่อยอดไปยังธุรกิจสาขาอื่นๆ 

ทั้งนี้ ละครสั้นคือถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการพัฒนาธุรกิจละครไทย และเป็นอีกหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรม การท่องเที่ยว การค้าและการลงทุนสู่ต่างประเทศ รวมถึงเป็นโอกาสในการประชาสัมพันธ์สินค้าไทยไปสู่ต่างประเทศอีกช่องทางหนึ่งด้วย

ไม่ใช่แค่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นโอกาสในกระแส ‘ละครสั้น’ เท่านั้น โดยในประเทศจีนเองเริ่มลงทุนและทำการตลาดในต่างประเทศมากขึ้น ทำให้กระแสละครสั้นจีนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วไปทั่วทุกมุมโลก

จากการสำรวจพบว่า ละครสั้นที่ได้รับความนิยม มักจะเป็นพล็อตเรื่องมักมีการหักมุม รวมไปถึงเนื้อหาแฟนตาซีเกินจริง ความแค้น และความรัก นอกจากนี้ยังมีการปรับเนื้อหาให้เข้ากับรสนิยมและวัฒนธรรมของผู้ชมในแต่ละประเทศ

ในระยะต่อไปนั้นเพื่อพัฒนาคุณภาพของละครสั้นจีนให้เป็นหนึ่งใน Soft Power ที่ทรงพลังของประเทศ ทางการจีนได้วางแผนให้ผู้ผลิตละคร ทำการซื้อลิขสิทธิ์ของทั้งนวนิยาย มานฮวา ยอดนิยมของจีนมาทำเป็นละครสั้นเพื่อส่งออกวัฒนธรรมไปยังต่างประเทศอย่างจริงจัง 

และจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่าลักษณะการจ่ายเงินเพื่อดูในปัจจุบันของละครสั้น ยังเป็นการจ่ายแบบรายตอนในราคาตอนละประมาณ 10 บาท หรือ 2 หยวน หากในอนาคตทางแพลตฟอร์มมีการปรับรูปแบบเป็นแบบ Subscription รายเดือน โอกาสในการทำการตลาดในไทยมีแนวโน้มสดใสมากกว่าในปัจจุบัน 

พระดัง พิธีกร นางฟ้า เทวดา ดารา รัฐมนตรี ใครร่วมทำผิดล้วนต้องติดคุก..ไม่มีข้อยกเว้น!!

(22 ต.ค. 67) มหากาพย์แชร์ลูกโซ่ “ดิไอคอน” ที่ “กลุ่มบอสโจร” สุมหัวกันหลอกปล้นผู้เสียหายไปนั้น กำลังเปลือยให้เห็นถึง “ความเน่าเหม็นของสังคมไทย” ชนิดหมดไส้หมดพุง 

ใครก็ตามทั้งพระดัง พิธีกร นางฟ้า เทวดา ดารา หรือรัฐมนตรีที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ทั้งที่ละเอียดรอบคอบมาดีมากพอแล้ว หรือไม่เคยศึกษาลงลึกให้ถ้วนถี่ใด ๆ เลย เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “แชร์นรกแสนล้าน” ทางใดก็ตาม บัดนี้ก็ได้เวลาแล้วที่ “เงาบาป” กำลังไล่ล่าให้ต้องร่วมรับผิดชอบชีวิตน้อย ๆ ของผู้เสียหาย

บาปที่เกิดจากการร่วมเสพสุขบนความทุกข์ระทมใจของผู้บริสุทธิ์นั้น ไม่ต่างจากการจุดไฟเผาให้เขาต้องดิ้นตายทั้งเป็นต่อหน้าต่อตา กรรมรูปแบบนี้ไม่ต้องรอชาติอื่นมาลงทัณฑ์ ทำกับใครเขาไว้ในชาติใด ก็ชดใช้โดยเร็วในชาติชีวิตนั้นทันที 

ส่วนใครเป็นมวย และมีบารมีมาก ก็อาจจะดึงเกมให้ตัวเองอยู่นอกคุกได้นานหน่อย แต่ค่อนข้างแน่ใจว่างานนี้ไม่ช้าก็เร็วใครที่เคยมีเอี่ยวในการโฆษณาชวนเชื่อ คอยพูดชม เชียร์ หรือช่วยชักจูงให้ผู้คนมาเป็น “ทาสแชร์” จนหมดเนื้อหมดตัว ย่อมจะมีปัญหากับชีวิตไม่มากก็น้อยแน่นอน  

บางคนที่เคยตีกินจากความมั่งคั่งของ “บอสนักต้มตุ๋น” เหล่านี้ เงินบาปเหล่านั้นกำลังย้อนศรชีวิตตนเอง หันมาทิ่มแทงให้แต่ละวันต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ หลายคนที่คิดว่าตัวเองอาจจะโดนแน่ ๆ จึงคิดหาวิธีตีตัวออกห่างในสารพัดรูปแบบ บ้างก็เก็บตัวเงียบ บ้างทำไม่รู้ไม่ชี้ บ้างก็ไปซ่อนตัวต่างประเทศ แม้สื่อจะไล่ขุดเอาหลักฐานเก่า ๆ มาโปรยให้สังคมเห็นรายวัน แต่คนที่เก๋าเกมก็ยังไม่หลงกลสื่อง่าย ๆ หลายรายจึงยังต้องไล่บี้ในข้อกฎหมายต่อไป 

แต่ไม่ว่าจะมีใครเข้าปิ้งตาม “บอสอวดรวย” ที่ไปนอนรับกรรมในตะรางแล้วหรือไม่ อย่างไร คดีนี้ก็เปลือยให้เห็นล่อนจ้อนถึง “ความเบาปัญญา” ของสังคมไทยอีกครั้ง 

คนดัง คนมีชื่อเสียงแทบจะทุกวงการ ต่างกระโจนเข้าหาเงินก้อนโต ช่วยกันพูดเชียร์ สนับสนุน ส่งเสริม ผลักดัน ให้เหล่ามหาโจรซึ่งก็ไม่ได้ดูฉลาด กลายเป็นกลุ่มคนที่ดูน่าเชื่อถือในสังคม จนเกิดเหยื่อผู้น่าสงสารเต็มบ้านเต็มเมือง อย่าลืมว่าเหยื่อจำนวนมากไม่ได้มาเพราะ “บอสโนเนม” แต่มาหมดตัวเพราะมีคนที่น่าเชื่อถือทำให้ “บอสมหาโจร” เหล่านี้มันโด่งดัง

แล้วเวลานี้จะบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวได้อย่างไร?

BMW Brilliance เปิดตัวโครงการ 'พลังงานความร้อนใต้พิภพ' บนแผ่นดินจีน มลพิษเป็น 0 ลดการปล่อยคาร์บอน 1.8 หมื่นตันต่อปี

(22 ต.ค. 67) บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู บริลเลียนส์ ออโตโมทีฟ หรือบีบีเอ (BBA) กิจการร่วมค้าของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปในจีน เปิดตัวโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพที่มุ่งเป้าผลิตความร้อนจากพลังงานที่ไม่ใช่ฟอสซิลร้อยละ 100 สำหรับกลุ่มโรงงานของบริษัทฯ ในนครเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิงทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน

รายงานระบุว่าบีบีเอจะเจาะบ่อความร้อนใต้พิภพระดับกลาง-ลึก จำนวน 28 บ่อ ซึ่งจะสร้างแล้วเสร็จภายในช่วงฤดูการจ่ายพลังงานเพื่อให้ความร้อนปี 2025 พร้อมด้วยพื้นที่การทำความร้อนราว 5.8 แสนตารางเมตร

ไต้เฮ่อเซวียน ประธานและซีอีโอของบีบีเอ กล่าวว่าเราเชื่อว่าการลงทุนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนคือการลงทุนเพื่ออนาคต และบริษัทจะเริ่มเข้าสู่บทใหม่ของการสำรวจพลังงานความร้อนใต้พิภพนับแต่วันนี้เป็นต้นไป
อนึ่ง พลังงานความร้อนใต้พิภพเป็นพลังงานหมุนเวียนที่มีเสถียรภาพและปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยมีปริมาณสำรองมหาศาลและกระจายตัวอยู่ทั่วจีน

บีบีเอคาดการณ์ว่าจะประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชั้นนำของอุตสาหกรรมเพื่อเก็บสะสมพลังงาน ณ ความลึกประมาณ 2,900 เมตรใต้ดินแบบไม่ก่อมลพิษและปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ อีกทั้งจะดำเนินการสำรวจพลังงานด้วยกระบวนการแบบปิด โดยคาดว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอน 18,000 ตันต่อปี

ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยูเดินหน้าเพิ่มการลงทุนในเสิ่นหยางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ โดยในเดือนพฤศจิกายน 2023 บีบีเอได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารหลักของโรงงานผลิตแบตเตอรี่แห่งใหม่แล้วเสร็จ ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 4.7 หมื่นล้านบาท) ซึ่งพลังงานความร้อนใต้พิภพจะถูกนำมาใช้จ่ายความร้อนให้กับโรงงานและโรงประกอบของบริษัทฯ ในช่วงฤดูหนาวเป็นหลัก

‘ดีอี’ เปิดผลงานปราบมิจฉาชีพออนไลน์ ลุย ‘ปิดบัญชีม้า’ แล้วกว่า 1.1 ล้านบัญชี -  กวาดล้าง ‘ซิมผี’ กว่า 2.7 ล้านหมายเลข เผยเดือน ‘ก.ย.67’ ความเสียหายลดลงแล้วกว่า 1,500 ล้านบาท 

เมื่อวานนี้ (21 ต.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยถึงการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมาซึ่งมีศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี เป็นรองประธานกรรมการฯ , นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดีอี เป็นเลขานุการคณะกรรมการฯ และผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) , สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) , ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) , สมาคมธนาคารไทย , 

สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) , กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) , สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) , สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อหารือการดำเนินงานการตามนโยบายปราบปรามภัยออนไลน์ของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาผลดำเนินการและมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์  9 เรื่องที่สำคัญ โดยสรุปได้ดังนี้ 1. การปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ ในเดือนกันยายน 2567 (ข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) 

ประกอบด้วย การจับกุมคดีออนไลน์รวมทุกประเภท กันยายน 2567 มีจำนวน 2,860 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือน สิงหาคม 2567 ที่มีจำนวน 1,945 ราย ,  การจับกุมคดีเว็บพนันออนไลน์ กันยายน 2567 มีจำนวน 972 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือน สิงหาคม 2567 ที่มีจำนวน 732 ราย และการจับกุมคดีซิมม้า บัญชีม้า กันยายน 2567 มีจำนวน 497 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือน สิงหาคม 2567 ที่มีจำนวน 122 ราย 

2. การปิดโซเชียลมีเดีย เว็บผิดกฎหมาย และเว็บพนัน โดยกระทรวงดีอี ปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ/URLs ที่ไม่เหมาะสม ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 – 30 กันยายน 2567  (ระยะเวลา 12 เดือน ประกอบด้วย 1) ดำเนินการปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เพจ/URLs ผิดกฎหมายโดยรวมทุกประเภท จำนวน 150,425 รายการ เพิ่มขึ้น 8.51 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบ 2566 ,  2) ปิดกั้นเพจ/URLs ที่เกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ จำนวน 62,213 รายการ เพิ่มขึ้น 30.22 เท่า จากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบ 2566 และ 3) ปิดกั้น Line ID ที่เกี่ยวข้องกับการพนันแล้ว จำนวน 2,898 รายการ

3. การแก้ปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด ตัดตอนการโอนเงิน ซึ่งผลการดำเนินงานถึง 17 ตุลาคม 2567 มีการระงับบัญชีม้ารวมกว่า 1,100,000 บัญชี แบ่งเป็น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ปิด 559,843 บัญชี ธนาคาร 300,000 บัญชี และศูนย์ AOC 1441 ระงับ 324,192 บัญชี

4. การแก้ปัญหาบัญชีม้านิติบุคคล ซึ่งจากการเร่งปิดบัญชี และจับกุมบัญชีม้าอย่างเข้มข้น คนร้ายจึงใช้วิธีจดทะเบียนนิติบุคคลและทำการเปิดบัญชีเพื่อใช้ทำผิดกฎหมาย โดยคณะกรรมการฯ ได้ขอให้ กระทรวงพาณิชย์ ช่วยเร่งเพิ่มมาตรการในการตรวจสอบกรรมการที่มีชื่อในนิติบุคคลว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมหรือไม่ 

5.การแก้ไขปัญหาซิมม้า และ ซิมม้าที่ผูกกับ mobile banking  มีผลการดำเนินงานที่สำคัญถึง 15 ตุลาคม 2567 มีดังนี้ การกวาดล้างซิมม้าและซิมต้องสงสัย โดย สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการโทรคมนาคมได้ระงับซิมม้าแล้ว จำนวนกว่า 2.7 ล้านเลขหมาย ,  การระงับหมายเลขโทรออกเกิน 100 ครั้ง/วัน แล้ว 101,117 เลขหมาย มีผู้มายืนยันตัวตน 418 เลขหมาย ไม่มายืนยันตัวตน 100,699 เลขหมาย , มาตรการคัดกรองผู้ใช้งาน Mobile Banking โดยดำเนินการตรวจสอบข้อมูล Cleansing Mobile Banking จำนวน 120.3 ล้านบัญชี มีรายละเอียด ดังนี้ กลุ่มหมายเลขบัตรประชาชน ตรงกันกับเบอร์มือถือและบัญชี Mobile Banking มีจำนวน 70.0 ล้านบัญชี คิดเป็นร้อยละ 58 , กลุ่มหมายเลขบัตรประชาชน ไม่ตรงกันกับเบอร์มือถือและบัญชี Mobile Banking มีจำนวน 28.6 ล้านบัญชี คิดเป็นร้อยละ 24 , กลุ่มที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากไม่พบฐานข้อมูล มีจำนวน 21.7 ล้านบัญชี คิดเป็นร้อยละ18  

6. การดำเนินการเรื่องเสาโทรคมนาคม สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสายโทรศัพท์ที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยสำนักงาน กสทช. แจ้งดำเนินการรื้อถอนเสาสัญญาณ (สถานี) ในพื้นที่ 7 จังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ จังหวัดเชียงราย ตาก สระแก้ว จันทบุรี ระนอง บุรีรัมย์ สุรินทร์ รวม 393 สถานี คิดเป็น 100 % นอกจากนี้ยังมีการกำหนดมาตรการความปลอดภัยสำหรับการส่ง SMS แนบลิงก์ โดยใช้แนวทางการ Cleansing Sender Name โดย Sender Name ที่ประสงค์ SMS แนบลิงก์ จะต้องลงทะเบียนกับผู้ให้บริการทุกครั้ง โดยต้องระบุรายละเอียดของข้อความและลิงก์ก่อนส่ง SMS และผู้ให้บริการต้องตรวจสอบข้อความและลิงก์ทุกครั้ง ก่อนส่ง SMS ให้กับผู้รับ

7. มาตรการการป้องกันการโทรหลอกลวง ภายใต้โครงการ DE-fence platform 
เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากสายเรียกเข้า และ SMS ที่มีลักษณะก่อกวน หรือหลอกลวงของมิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนในมูลค่าที่สูงมาก พร้อมทั้งการที่คนร้ายใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ และปรับเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงไปอย่างรวดเร็ว กระทรวง ดีอี จึงได้มีการประชุมหารือแนวทางการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มป้องกันการโทรหลอกลวง เพื่อเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้ในการแจ้งเตือนประชาชนก่อนจะรับสาย ช่วยในการคัดกรองสายเรียกเข้าและข้อความสั้น ภายใต้โครงการพัฒนาแพลตฟอร์มป้องกันการโทรหลอกลวง “DE-fence platform” ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลว่า สายเรียกเข้าเป็นเบอร์คนร้ายโทร หรือ เบอร์ต้องสงสัย เป็นต้น เพื่อป้องกันปัญหาการโทรหลอกลวง

8.การแก้ปัญหาหลอกลวงขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ดำเนินการออก ‘ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการบริการขนส่งสินค้าโดยเรียกเก็บเงินปลายทางเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ.2567 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 นั้น พบว่าได้รับความร่วมมือและการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการขนส่งสินค้า และประชาชนผู้บริโภค โดยสามารถป้องกันปัญหาการได้รับสินค้าที่ไม่ตรงตามที่สั่ง หรือสินค้าที่ไม่มีคุณภาพได้ และพบว่ามีสถิติการร้องเรียนเรื่องได้รับสินค้าไม่ตรงตามที่สั่งลดลงร้อยละ 10 จากก่อนหน้านี้ 

9. การบูรณาการข้อมูล โดยศูนย์ AOC 1441นั้นเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ศูนย์ AOC 1441 เป็นแพลตฟอร์มรับและแลกเปลี่ยนข้อมูลบูรณาการข้อมูลหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการจัดการบัญชีม้า ซิมม้า และคนร้ายได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น โดยการแต่งตั้งคณะอนุกรรมด้านข้อมูลศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center : AOC) เพื่อทำหน้าที่ประสานงานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของศูนย์ AOC 1441 และการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมกับการบูรณาการ วิเคราะห์ เชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ จัดทำสถิติ และประมวลผลข้อมูลการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ในภาพรวมของประเทศ เพื่อให้เห็นแนวโน้มสถานการณ์ ผลสำเร็จการดำเนินการมาตรการ ปัญหา อุปสรรค และนำไปสู่การกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพเป็นไปตามคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์มอบหมาย 

“ในภาพรวม กระทรวงดีอี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้บูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ บัญชีม้าและซิมม้า และเร่งการอายัดบัญชีธนาคาร ตัดเส้นทางการเงิน การปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์เชิงรุกให้แก่ประชาชน ซึ่งส่งผลให้มูลค่าความเสียหายในเดือนกันยายน 2567 จากคดีออนไลน์ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเหลือจำนวน 1,974 ล้านบาท โดยแม้ตัวเลขจะยังสูงอยู่ แต่ก็ลดลงกว่า 1,500 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 44 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค. – มิ.ย.67) ที่มีความเสียหายเฉลี่ย 3,514 ล้านบาทต่อเดือน อย่างไรก็ตาม คกก. ได้หารือถึงการเร่งรัดการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง เพื่อลดปัญหาสำหรับประชาชนให้เป็นรูปธรรมตามนโยบายรัฐบาลของรัฐบาลต่อไป” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีกล่าว

‘ตลาดประกันภัยไทย’ ยังเติบโตต่อเนื่อง อานิสงส์คนตื่นตัวหลัง ‘โควิด-19’ ระบาด

ประกันชีวิตในยุคนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนแทบจะขาดไม่ได้ เพราะประกันชีวิตก็เป็นเหมือนการวางแผนทางการเงินรูปแบบหนึ่งที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าถ้ามีอะไรที่ไม่คาดเกิดขึ้นกับเรา คนที่เรารักก็จะไม่ต้องลำบากแถมยังมีเงินสำหรับใช้ในการรักษาพยาบาล ด้วยเหตุนี้เองตลาดประกันในไทยจึงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องค่ะ

โดยได้มีการคาดการณ์การเติบโตในปี 2024 ไว้ว่าตลาดประกันวินาศภัยจะเติบโตประมาณ 4.1% ในปีนี้ และมีเบี้ยประกันภัยรวมคาดว่าจะถึง 310.9 พันล้านบาท ส่วนตลาดประกันชีวิตก็มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 3.6% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ  

โดยการเติบโตนี้มาจาก
• Bancassurance หรือการขายผ่านธนาคารเป็นช่องทางที่มีการเติบโตสูงสุด คิดเป็น 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีสัดส่วนตลาดอยู่ที่ 44.5% 
• ช่องทาง Broker มีอัตราการเติบโตสูงสุดที่ 15.6% ส่วนหนึ่งมาจากการโยกย้ายกลุ่มประกันที่มีอยู่แล้วระหว่างบริษัทมากกว่าการได้ลูกค้าใหม่ 

ในส่วนของผลิตภัณฑ์มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจาก แผนการออม ไปสู่ ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ซึ่งมีการเติบโตของยอดขายที่ 48.5% ประกันสุขภาพ มีการเติบโตปานกลางที่ 4.1% ซึ่งอาจเกิดจากการตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพที่เพิ่มขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 

และจากข้อมูลเดือนตุลาคม 2024 ตลาดประกันชีวิตในประเทศไทยเองยังคงมีการกระจุกตัวสูง โดยมีบริษัทประกันชั้นนำที่ครองส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญจะประกอบไปด้วย

1. AIA เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งประมาณ 25.6% โดยคงตำแหน่งนี้ไว้ได้จากเครือข่ายตัวแทนที่กว้างขวางมากกว่า 50,000 คน การเป็นพันธมิตรด้าน Bancassurance ที่แข็งแกร่ง และการเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์สำคัญ เช่น ประกันสุขภาพ ประกันชีวิตแบบ Unit-Linked และการประกันภัยเสริม 

2. ไทยประกันชีวิต (TLI) ตามมาเป็นอันดับสองด้วยส่วนแบ่งตลาดอยู่ระหว่าง 20% ถึง 22% โดยจุดแข็งอยู่ที่ผลิตภัณฑ์การออมและการมีเครือข่ายตัวแทนที่มั่นคง รวมถึงการเป็นพันธมิตร Bancassurance ที่มีประสิทธิภาพ ความมั่นคงทางการเงินที่สูงของบริษัทช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขันในตลาด

3. เมืองไทยประกันชีวิต มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 10-15% โดยได้รับความนิยมในด้านประกันสุขภาพและประกันกลุ่ม ด้วยเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งและการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า

4. FWD ประกันชีวิต มีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกันที่ 10-15% โดยมุ่งเน้นการสร้างนวัตกรรมดิจิทัลและการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงลูกค้าเพื่อสร้างความแตกต่างจากผู้ให้บริการประกันภัยแบบดั้งเดิม 

5. กรุงไทย-แอกซ่าประกันชีวิต และ กรุงเทพประกันชีวิต เป็นคู่แข่งสำคัญที่มีส่วนแบ่งตลาดเล็กกว่าแต่กำลังเติบโต โดยขยายตลาดผ่านผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเป้าหมายและการใช้ช่องทาง Bancassurance เพื่อลูกค้าเข้าถึงได้มากขึ้น

และนอกจากประกันชีวิตแล้ว กลุ่มที่มีความโดดเด่นอื่นๆก็ประกอบไปด้วย
• ประกันภัยรถยนต์: เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุด โดยคิดเป็นประมาณ 53.8% ของตลาดประกันวินาศภัย การเติบโตในกลุ่มนี้ได้รับแรงหนุนจากการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น 

• ประกันสุขภาพ: การประกันภัยส่วนบุคคลและอุบัติเหตุซึ่งคิดเป็นประมาณ 17.3% ของตลาดกำลังเติบโตเนื่องจากการตระหนักถึงสุขภาพที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่สูงขึ้น คาดว่ากลุ่มนี้จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.2% ตั้งแต่ปี 2024 ถึง 2028 และ

• ประกันภัยทรัพย์สิน: โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 18.8% ประกันภัยทรัพย์สินกำลังเติบโต โดยได้รับการสนับสนุนจากการขยายตัวในโครงการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ คาดว่ากลุ่มนี้จะเติบโต 9.4% ในปี 2024  ค่ะ    

'เผ่าภูมิ' หารือทวิภาคีรัฐมนตรีคลังฮ่องกง เชื่อมศูนย์กลางการเงิน 2 เขต ศก. ชูจุดเด่น ไทยคือประตู CLMV

(21 ต.ค. 67) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายพอล ชาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ของฮ่องกงได้ประชุมทวิภาคีที่กรุงลิมา ประเทศเปรู ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีคลังเอเปค โดยรัฐมนตรีทั้งสองได้มุ่งสร้างความร่วมมือในภาคการเงินของสองเขตเศรฐกิจ

นายเผ่าภูมิได้แสดงท่าทีของไทยในการเป็นผู้เล่นที่บทบาทสำคัญในเวทีการเงินโลก พร้อมทั้งเชิญชวนฮ่องกงเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาศูนย์กลางทางการเงิน เนื่องจากไทยมีความโดดเด่นในฐานะประตูสู่ตลาดอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม หรือ CLMV ความร่วมมือทางการเงินของไทยและฮ่องกงจะก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันอย่างยิ่งเนื่องจากอาเซียนและฮ่องกง รวมทั้งจีนมีความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งการค้าและการลงทุน

ในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน กระทรวงการคลังมีนโยบายที่จะ 1) ปฏิรูปการกำกับดูแล การประกอบธุรกิจทางการเงินให้มีที่มีความยืดหยุ่น โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ 2) ให้สิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีและสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษี และ 3) พัฒนาระบบนิเวศน์และโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยเพื่อสนับสนุนธุรกิจและนวัตกรรมทางการเงิน

ทั้งสองฝ่ายยังได้ชื่นชมความสำเร็จของความร่วมมือในการพัฒนาระบบการชำระเงินข้ามพรมแดน (Cross-border Payment) ผ่านการเชื่อมโยงระบบพร้อมเพย์ของไทยกับระบบชำระเงินของฮ่องกง (FPS) ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในการชำระเงินที่สะดวกและรวดเร็วระหว่างสองเขตเศรษฐกิจ ทั้งภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป 

ภายหลังการหารือ ทั้งสองรัฐมนตรีได้แสดงความเชื่อมั่นในความสัมพันธ์และความร่วมมือทางการเงินระหว่างไทย และฮ่องกง และแลกเปลี่ยนโอกาสในการขยายความร่วมมือทางด้านการเงินเพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมทางการเงินร่วมกัน สร้างความเชื่อมโยงและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพในภูมิภาคอาเซียนและเอเปคต่อไป

'พิชัย' หารือ รัฐมนตรีเศรษฐกิจรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค เยอรมนี ชวนลงทุน Data Center - พลังงาน - อาหาร ในไทย พร้อมเร่งเครื่องเจรจา FTA ไทย – อียู ให้สัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว

(21 ต.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมการหารือทวิภาคีกับ ดร.นิโคล ฮอฟไมสเตอร์-เคราท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ แรงงาน และการท่องเที่ยวแห่งรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ณ กระทรวงพาณิชย์ โดยรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค เป็นรัฐสำคัญที่มีจำนวนประชากร และขนาด GDP ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเยอรมนี และมีมูลค่าการค้ากับไทย คิดเป็น 1 ใน 5 ของมูลค่าการค้ารวมระหว่างไทย–เยอรมนี โดยมีสินค้าศักยภาพ ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน อุปกรณ์ประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนแนวทางการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และวิศวกรรมขั้นสูง ซึ่งเยอรมนีมีความเชี่ยวชาญและมีความสนใจที่จะขยายฐานการผลิต รวมทั้ง กลุ่มอุตสาหกรรมหรือบริการเป้าหมายที่สองฝ่ายเห็นประโยชน์ร่วมกัน เช่น ยานยนต์ วิศวกรรมเครื่องจักรกล แผงวงจรไฟฟ้า ระบบจัดเก็บข้อมูล (Data Center) พลังงานทางเลือก และ Soft power โดยเฉพาะในสาขาอาหารและการท่องเที่ยว

โดยรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์คเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกซึ่งได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย เช่น Daimler (Mercedes-Benz) (ยานยนต์และชิ้นส่วน) Bosch (เทคโนโลยีการขับเคลื่อน ระบบขนส่งอัจฉริยะ อุปกรณ์ไฟฟ้า และเครื่องใช้ในครัวเรือน) Festo (ระบบอัตโนมัติในอุตสาหกรรม เช่น อุปกรณ์ยานยนต์และเซมิคอนดักเตอร์) SAP SE (บริการซอฟต์แวร์) และCarl Zeiss (เลนส์ อุปกรณ์ทัศนศาสตร์ และ MedTech) และมีมูลค่าการค้ากับไทยคิดเป็นร้อยละ 20 ของมูลค่าการค้ารวมไทย-เยอรมนี

นายพิชัย กล่าวเสริมว่า ได้ขอให้เยอรมนีช่วยสนับสนุนการเจรจา FTA ไทย - อียู ให้สามารถสรุปผลได้โดยเร็ว โดยสองฝ่ายเห็นพ้องว่า FTA ไทย - อียู จะเป็นประโยชน์ต่อการค้าและการลงทุนระหว่างไทย – เยอรมนี รวมถึงรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์คด้วย ซึ่ง FTA ฉบับนี้ จะช่วยขยายโอกาสและยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ สองฝ่ายมีแผนที่จะส่งคณะนักธุรกิจและผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างกัน โอกาสนี้ นายพิชัยยังได้เชิญชวนให้นักธุรกิจรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์คเข้ามาลงทุนในประเทศไทย พร้อมย้ำว่า ไทยยินดีให้การอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนจากรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค ที่ต้องการเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย

โดยในปี 2566 เยอรมนีถือเป็นคู่ค้าอันดับที่ 1 ของไทยในสหภาพยุโรป การค้าระหว่างไทย – เยอรมนี มีมูลค่า 10,737.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการส่งออกจากไทยไปเยอรมนี 4,555.82ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่แผงวงจรไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ขณะที่ไทยนำเข้าจากเยอรมนี 6,182.09 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้านำเข้าที่สำคัญ เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เคมีภัณฑ์ และเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top