Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ ปชช. ไม่เชื่อสินค้าที่ ‘ดารา-อินฟลูฯ’ รีวิว ชี้!! ร้องเรียนกับสื่อ ได้รับความเป็นธรรม รวดเร็วกว่าไปหา ‘สคบ.’

(20 ต.ค. 67)  ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘ใครจะคุ้มครองผู้บริโภค’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-16 ตุลาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการโฆษณาสินค้าของดารา และอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คนดัง การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงการโฆษณาสินค้าของดารา อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.21 ระบุว่า ไม่ส่งผลเลย รองลงมา ร้อยละ 22.98 ระบุว่า ส่งผลมาก ร้อยละ 19.01 ระบุว่า ค่อนข้างส่งผล และร้อยละ 15.80 ระบุว่า ไม่ค่อยส่งผล

ด้านความเชื่อของประชาชนที่มีต่อดารา อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) ใช้สินค้าจากการโฆษณาจริง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.29 ระบุว่า ไม่เชื่อว่าใช้สินค้านั้นจริง รองลงมา ร้อยละ 22.98 ระบุว่า เชื่อว่าใช้สินค้านั้นเป็นบางครั้ง ร้อยละ 20.53 ระบุว่า เชื่อว่าใช้สินค้านั้นเฉพาะตอนโฆษณา ร้อยละ 3.89 ระบุว่า เชื่อว่าใช้สินค้านั้นจริง และร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านความรู้สึกของประชาชนต่อการโฆษณาสินค้าที่มีของแถมจำนวนมาก และ/หรือ ลดราคาเยอะ ๆ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.12 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า คุณภาพสินค้าอาจไม่ดี รองลงมา ร้อยละ 30.23 ระบุว่า เป็นแค่วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ร้อยละ 23.89 ระบุว่า ไม่คิดจะซื้อสินค้าที่โฆษณาแบบนี้ ร้อยละ 19.47 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า มีเงื่อนไขอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า ร้อยละ 19.24 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า ต้นทุนสินค้าน่าจะถูกมาก ร้อยละ 17.94 ระบุว่า จะตั้งข้อสงสัยว่า สินค้านั้นอาจใกล้หมดอายุการใช้งาน ร้อยละ 8.63 ระบุว่า จะขอเปรียบเทียบคุณภาพกับสินค้าที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงก่อนตัดสินใจ ร้อยละ 8.17 ระบุว่า จะขอเปรียบเทียบราคากับสินค้าที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงก่อนตัดสินใจ ร้อยละ 7.02 ระบุว่า จะลองสั่งมาใช้ดู ร้อยละ 4.27 ระบุว่า ถ้าเป็นสินค้าที่ใช้เป็นประจำ จะซื้อสินค้านั้นทันที ร้อยละ 2.14 ระบุว่า สนใจที่จะซื้อสินค้านั้นทันที (แม้ว่าจะไม่เคยใช้ก็ตาม) และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับการร้องเรียนจากการถูกเอาเปรียบหรือหลอกลวงให้ซื้อสินค้าหรือลงทุน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.22 ระบุว่า ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ รองลงมา ร้อยละ 30.08 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร้อยละ 25.19 ระบุว่า ไม่ร้องเรียนใด ๆ ร้อยละ 15.50 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสื่อ ร้อยละ 12.06 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับศิลปิน ดารา หรือจิตอาสาคนดัง เช่น หนุ่ม กรรชัย กัน จอมพลัง บุ๋ม ปนัดดา เป็นต้น ร้อยละ 5.57 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง (ไม่รวม สคบ.) ร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับทนายคนดัง ร้อยละ 1.68 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่เกี่ยวข้อง เช่น มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับนักการเมือง

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการร้องเรียนที่ได้รับความเป็นธรรมเร็วที่สุดจากการถูกเอาเปรียบหรือหลอกลวงให้ซื้อสินค้าหรือลงทุน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 24.81 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสื่อ รองลงมา ร้อยละ 23.05 ระบุว่า ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ ร้อยละ 15.88 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับศิลปิน ดารา หรือจิตอาสาคนดัง เช่น หนุ่ม กรรชัย กัน จอมพลัง บุ๋ม ปนัดดา เป็นต้น ร้อยละ 15.80 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และไม่ร้องเรียนใด ๆ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 1.91 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับทนายคนดัง ร้อยละ 1.45 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง (ไม่รวม สคบ.) ร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่เกี่ยวข้อง เช่น มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ร้อยละ 0.07 ระบุว่า ไปร้องเรียนกับนักการเมือง และร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ไรเดอร์มาส่งอาหาร แต่ลูกค้าอยู่บนเครน สูงเท่าตึกหลายชั้น เลยรับของกันแบบใหม่ ไม่ธรรมดา ฮากัน!! สนั่นโซเชียล

(20 ต.ค. 67) ส่งอาหารธรรมดาโลกไม่จำ!! ไรเดอร์มาส่งอาหาร แต่ลูกค้าอยู่บนเครน สูงเท่าตึกหลายชั้น เลยรับของกันแบบใหม่ ทำชาวเน็ตแห่แซว ไม่ได้ 5 ดาว เพราะส่งไม่ถึงมือ

ผู้ใช้ติ๊กต็อกบัญชี pramot.007.mcfly ซึ่งเป็นไรเดอร์ ได้โพสต์คลิปวิดีโอขณะไปส่งอาหารให้ลูกค้ารายหนึ่ง ทำเอาชาวเน็ตถูกใจ จนคลิปกลายเป็นไวรัล

โดยคุณปราโมทย์ได้ไปส่งอาหารที่บริเวณอาคารก่อสร้างแห่งหนึ่ง ซึ่งลูกค้าที่สั่งไม่ใช่คนทั่วไป แต่เป็นช่างที่กำลังนั่งอยู่บนเครนสูงเทียบเท่าตึกหลายชั้น เมื่อไปถึง ลูกค้ารายนี้ก็ทำการปล่อยสายเกี่ยวลงมาให้คุณปราโมทย์ผูกอาหารส่งขึ้นไป

คลิปวิดีโอนี้มีคนเข้ามาดูมากกว่า 500,000 ครั้ง พร้อมเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม หลายคนบอกว่า ‘นี่แหละวิถีคนไทย อะไรก็ได้’

มีไรเดอร์คนอื่นมาเล่าถึงประสบการณ์การส่งอาหารแปลกๆที่เคยเจอ คนหนึ่งบอกว่า “ของผมลูกค้าขับแม็คโครเอาบุ้งกี๋กวักเรียก ผมกลั้นขำแทบแย่” บ้างก็เข้ามาแซวว่า “นี่ไง ลูกค้าระดับสูง” หรือ “จริงๆเขาให้มัดตัวเองแล้วส่งขึ้นไปรึเปล่า”

เจ้าของช่องดังในTikTok โพสต์คลิป กรณี มีสาวอินโดฯ เดือด หลังถูกหนุ่มเกาหลี เหยียด!! แต่คนไทย กลับใจดี ให้อภัย

(20 ต.ค. 67) David William เจ้าของช่อง TikTok ที่ชื่อว่า ‘davidwilliamdw’ ได้โพสต์คลิป ถึงกรณีที่ ‘คนเกาหลี’ ชอบเหยียด ‘คนไทย’ โดยมีใจความว่า …

คนเกาหลีเป็นไร!!   อยากรู้จริงๆ เลย  ถ้าสังเกตดีๆ เวลาเราดูคลิปคนเกาหลี มันมีแต่คนเกาหลีดูถูกประเทศอื่นไปเรื่อยเปื่อย โดยไร้เหตุผล

คุณบอกว่าคุณดีกว่าคนอื่น คุณรวยกว่าคนอื่น คือ
ถ้ามันไม่ได้เป็นเพราะบุญคุณของ ‘ชาวอเมริกัน’ และ ‘คนไทย’ และอีกหลายประเทศที่ไปช่วยคุณเนี่ยในช่วงสงครามเกาหลี พวกคุณทั้งหลายเนี่ย คงจะได้เป็นลูกน้องของ ‘คิม จ็อง-อึน’ กันหมดแล้ว

ที่คุณอยู่กันมาได้แบบมีอิสระ เสรี มันเป็นเพราะประเทศอื่นมากมาย รวมถึงประเทศไทยด้วย ไปช่วยพวกคุณเอาไว้

สิ่งที่ไม่เข้าใจก็คือ 
ในเมื่อประเทศคุณอยู่ได้เพราะบุญคุณของประเทศอื่นทั่วโลก คุณก็ยังสามารถที่จะไปดูถูกคนอื่นได้ ทั้งๆที่ถ้าไม่มีเค้า คุณก็ไม่มีวันนี้อย่างแน่นอน

มีกระทู้หนึ่ง เค้าได้เขียนว่าเป็นการจุดกระแสแบนเกาหลีที่โคตรโง่มาก เพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศเนี่ย เราพึ่งเค้ามากกว่าเท่าตัว 

ถ้าถึงวันนึงที่คนเกาหลีจุดกระแสแบนไทยบ้าง ก็คือนักท่องเที่ยวที่ในครึ่งปีแรกเลยนะ
มาประเทศไทยประมาณล้านกว่าคน มาเที่ยวไทย เค้าก็จะบอกว่า เดี๋ยวเค้าหายไปแล้วเงินก็จะหยุดไหลเข้าประเทศไทยเลยนะ

อันนี้ขออนุญาตด้วยความเคารพเลยนะ พูดตรงตรงเลยว่า บางทีก็ไม่เข้าใจคนไทยบางคน ที่ไม่ว่าชาวต่างชาติเนี่ยจะดูถูกบ้านเราแค่ไหนก็ตามแต่ หรือดูถูกคนไทยแค่ไหนก็ตามแต่ เรายังอุตส่าห์ยกย่องเค้าอยู่ดี หาข้ออ้างให้เค้าอยู่ดี 

สําหรับใครก็ตามแต่ ที่อาจจะกังวลเรื่องนี้ว่า ถ้าเรามีศักดิ์ศรีมากขึ้น  เดี๋ยวเค้าจะไม่มาเที่ยวประเทศไทย คือขออนุญาตเลยนะ

ของดียังไงก็เป็นของดี ประเทศไทยเนี่ยมีอาหารที่อร่อยมาก สถานที่ท่องเที่ยวดีมาก ค่าครองชีพก็ไม่ได้แพง เพราะฉะนั้นสุดท้ายเนี่ย ก็จะมีคนมาเที่ยวอยู่ดี

นักข่าวไทยในอังกฤษ ชี้!! หากบอสดิไอคอน โอนเงินหนี 8 พันล้านบาท เผย!! สามารถตามแกะรอยได้ เพราะสุดท้ายก็ต้องนำมาแลกเงินจริง

(20 ต.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Pui Vijitphan’ ซึ่งเป็นคนไทยที่ทำงานด้านสื่อมวลชนอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้โพสต์ข้อความในฐานะ ‘ผู้เสียหายโดยตรง’ จากกรณีดิไอคอน โดยได้ระบุว่า ...

‘เอก สายไหมต้องรอด’ แฉว่าพบความผิดปกติ ก่อนที่ บอสดิไอคอนคนสุดท้ายจะถูกจับ มีการโอนเงินหนี 8 พันล้านบาท หรือ 247,911,936 USDT 

ถ้าให้เรามอง ในรูปนี้จะเห็นการโอน USDT (Tether) ผ่านสองเครือข่ายบล็อกเชน คือ Ethereum (ETH) และ TRON แบบตรงๆ เลย ซึ่งแปลว่าการโอนเงินครั้งนี้มันเป็น wallet-to-wallet หรือพูดง่ายๆ คือ โยกเงินจากกระเป๋านึงไปอีกกระเป๋านึงโดยตรง ไม่ได้ผ่านเว็บแลกเปลี่ยนแบบที่เราคุ้นเคยทั่วไป เช่น ผ่าน Bitkub อะไรพวกนี้

1. สองรายการแรกเป็นการโอน USDT ที่ใช้เครือข่าย Ethereum ผ่านมาตรฐาน ERC-20 แบบตรงๆ บนบล็อกเชนของ ETH
2. สองรายการหลังเป็นการโอน USDT ผ่านเครือข่าย TRON ใช้มาตรฐาน TRC-20 ทำให้เห็นว่ามีการย้ายเงินไปบนบล็อกเชนของ TRON โดยตรง

ถ้าจะให้เราสรุปคร่าวๆ คือ การโอนแบบนี้บ่งบอกได้ว่า เจ้าของกระเป๋าน่าจะเป็นคนโยกเอง หรือไม่ก็มีกระเป๋าของตัวเองที่ควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นการโยกจากกระเป๋าประเภทซอฟต์แวร์อย่าง MetaMask หรือ Trust Wallet กระเป๋าฮาร์ดแวร์แบบ Ledger หรือ Trezor หรือแม้แต่กระเป๋าเก็บออฟไลน์แบบ Cold Storage ก็ได้ทั้งนั้น

ถ้าดูจากช่วงเวลาการโอนแล้ว ก็อาจจะโยกเงินหนีกันก่อนที่จะมีการดำเนินคดีหรือการจับกุม อย่างในกรณีของ The ICON Group

ถ้าถามว่าตำรวจจะตามรอยเงินจากกระเป๋าคริปโตได้มั้ย บอกเลยว่าทำได้ แต่ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะ เพราะถึงแม้ว่าเราจะเห็นธุรกรรมทั้งหมดบนบล็อกเชนได้แบบเปิดเผย แต่กระเป๋าคริปโตมันไม่ได้บอกชื่อจริงใครตรงๆ ไง มันจะมีแค่ที่อยู่ (address) เป็นรหัสยาวๆ เท่านั้น ซึ่งทำให้ตามไปถึงตัวคนจริงๆ

อีกเรื่องที่ต้องพูดถึงคือการโอนเงินข้ามเครือข่าย (cross-chain) แบบโอนจาก Ethereum ไป TRON หรือเครือข่ายอื่นๆ ซึ่งทำให้เส้นทางเงินดูซับซ้อนขึ้น เพราะเงินมันอาจจะถูกแปลงเป็นคริปโตเหรียญอื่น หรือโทเค็นอื่นระหว่างทาง พวกนี้จะทำให้การตามรอยยากขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะตามไม่ได้ ถ้ามีเทคนิคและเครื่องมือที่ดี

ถึงจะซับซ้อนยังไง ถ้ามีจุดที่เงินไปแสดงตัวตนหรือลิงก์เข้ากับข้อมูลที่ระบุตัวคน (KYC) เช่น เบอร์โทร อีเมล หรือชื่อที่ใช้บนเว็บแลกเปลี่ยน ตำรวจก็มีโอกาสตามเจอจนได้ เพราะสุดท้ายแล้ว เงินต้องไปจบที่ไหนสักแห่งที่มีการแลกเป็นเงินจริง หรือเอามาใช้จริง

สรุปสั้นๆ ก็คือ ถ้าตำรวจจะตามจริงๆ ก็มีหนทาง แต่ต้องใช้เวลา ความพยายาม และข้อมูลมากหน่อย ที่สำคัญคือ ต้องเจอจุดเชื่อมที่ชี้ไปหาเจ้าของกระเป๋าที่แท้จริงให้ได้ก่อน ไม่งั้นก็คงจะตามเงินไปเรื่อยๆ แบบงงๆ ได้เหมือนกัน

#ที่เขียนยาวๆนี่ เพราะตรูเป็นผู้เสียหายโดยตรง แม้ไม่ได้โดนหลอกโดยตรง แต่เครือข่ายอีบอสมันมาเข้าทางคนใกล้ตัวให้หลงเชื่อ เจ็บใจมานานมากก และสะใจมากที่มีวันนี้ ที่ได้เห็น คุณบอสพอลเข้าคุก ค่ะ

‘อดีตสว.วันชัย’ ออกโรงป้อง ‘ท่าน ว.วชิรเมธี’ เชื่อ!! ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับ ‘ดิไอคอน’

(20 ต.ค. 67) นายวันชัย สอนศิริ อดีตสว. โพสต์ข้อความหัวข้อ ‘ท่าน ว. … ธรรมะย่อมชนะอธรรม’ ในเพจ เฟซบุ๊กทนายวันชัย สอนศิริ กรณี ท่าน ว. วชิรเมธี ถูกกล่าวหาเข้าไปสนับสนุนธุรกิจ ดิ ไอคอน กรุ๊ป ระบุว่า …

ใครจะเล่นกับเทวดาตนใดอย่างไรก็ว่ากันไป แต่สำหรับท่าน ว. เท่าที่ผมเห็นวัตรปฏิบัติของท่านตลอดมา เป็นพระนักเทศน์สอนตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขายธรรมะอย่างเดียวเพียวๆ เฉกเช่น หลวงพ่อปัญญา หลวงพ่อพุทธทาส ไม่ใช่พระอมน้ำมนต์พ่นน้ำหมากปลุกเสกเลขยันต์ ถือว่า เป็นพระน้ำดีในยุคสมัย อาจจะผิดพลาดบกพร่องก็เป็นวิสัยของมนุษย์โดยทั่วไป

นายวันชัย ระบุต่อว่า ด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ผมเชื่อว่าท่าน ว. ไม่ได้ผิดอะไร คนที่เป็นพระมาถึงระดับนี้ ถ้ารู้ว่าขบวนการของดิไอคอนเป็นขบวนการต้มตุ๋นหลอกลวงฉ้อโกง หรือเป็นแก๊งทุจริตผิดกฎหมาย ท่านคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่ และคงไม่เข้าไปซ่องเสพกับทุรชน

แต่ที่รับนิมนต์ไปเทศน์ไปบรรยายก็ตามวิสัยของพระโดยทั่วไป ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการต้มตุ๋นของเขาหรอก ไปเทศน์แล้วก็อาจจะอวยบ้าง พาดพิงถึงเขาบ้าง แตะโน่นแตะนี่ถึงบริษัทเขาบ้าง ก็เป็นธรรมดาของ นักเทศน์ นักบรรยาย หาได้มีจิตใจที่ไปสนับสนุนขบวนการของเขา และการถวายเงินเพื่อกิจกรรมของท่าน ก็เป็นเรื่องปกติเหมือนเศรษฐีคนมีเงินมีทองทั่วไป

“ใครจะล่อ ดิไอคอน ล่อบอส คนไหนก็ว่ากันไป ไม่ได้หมายความว่าคนไปเกี่ยวข้อง จะต้องผิดและเลวทรามต่ำช้าไปทุกคน ทนายความของบอส ก็ออกมาชี้แจงตอบโต้กันโครมๆ เขาต้องผิดด้วยหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ ใครจะกร่าง จะหาเรื่อง จะหิว ก็ดูหน่อยว่า แสงมันมืด หรือบอด หรือจะเอามันส์ตามกระแส เล่นเทวดาไม่พอ ล่อพระสงฆ์องค์เจ้าด้วย จะได้ดังระเบิดระเบ้อ คับบ้านคับเมือง ชี้เป็นชี้ตาย ว่าไอ้โน่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด ยิ่งกว่าศาลเสียอีก โอ้ยใหญ่โตกันเหลือเกิน กัมมุนา วัตตติ โลโก” นายวันชัย ระบุทิ้งท้าย

เปิด!! สนธิสัญญาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม ข้อตกลงความร่วมมือของ ‘รัสเซีย - เกาหลีเหนือ’

(20 ต.ค. 67) ข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซีย

เป็นข่าวสะเทือนวงการการเมืองระหว่างประเทศอีกครั้งเมื่อวันจันทร์ที่ 14 ตุลาคมที่ผ่านมาประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินได้ยื่นข้อตกลงทางทหารฉบับใหม่กับเกาหลีเหนือเพื่อขอการรับรองต่อรัฐสภารัสเซียโดยผลักดันให้มีการยอมรับอย่างเป็นทางการต่อข้อตกลงป้องกันร่วมกันที่เขาได้จัดทำกับผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน เมื่อเดือนมิถุนายน 2024 เมื่อครั้งไปเยือนเกาหลีเหนือปูติน ซึ่งถือเป็นการเยือนเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบ 24 ปี ซึ่งข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อทั้งสองประเทศแลกเปลี่ยนเอกสารการให้สัตยาบัน

แม้ว่าข้อตกลงนี้จะเรียกว่า ‘สนธิสัญญาหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม’ ( ‘Treaty on Comprehensive Strategic Partnership’) แต่เงื่อนไขของสนธิสัญญานี้ที่ให้ความช่วยเหลือทางทหารซึ่งกันและกันระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือนั้นโดยพื้นฐานแล้วถือเป็นสนธิสัญญาพันธมิตรทางการทหารและการเมือง โดยข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิรัฐศาสตร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและสถานการณ์โลกในปัจจุบันโดยเฉพาะสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ข้อตกลงยืนยันว่าทั้งสองประเทศมี ‘ความปรารถนาที่จะปกป้องความยุติธรรมระหว่างประเทศจากความทะเยอทะยานที่จะมีอำนาจเหนือผู้อื่นและความพยายามที่จะกำหนดระเบียบโลกขั้วเดียว’ และ ‘เพื่อสร้างระบบระหว่างประเทศหลายขั้วบนพื้นฐานของความร่วมมือโดยสุจริตของรัฐ การเคารพซึ่งกันและกันในผลประโยชน์ การแก้ไขปัญหาในระดับนานาชาติร่วมกัน ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอารยธรรม อำนาจสูงสุดของกฎหมายระหว่างประเทศในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และความพยายามร่วมกันเพื่อต่อต้านความท้าทายใดๆ ที่คุกคามการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ’

แม้ว่าสนธิสัญญามีเนื้อหาไม่มากเพียงแค่ 23 มาตราเท่านั้นแต่มีข้อกำหนดที่น่าสนใจประการหนึ่ง โดยระบุว่า ในกรณีที่มีภัยคุกคามจากการโจมตีโดยอำนาจที่สาม ผู้ลงนาม ‘จะตกลงกันเกี่ยวกับมาตรการความร่วมมือตามคำขอของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และรับรองความร่วมมือในการกำจัดภัยคุกคามนั้น’ ส่วนอื่นระบุว่า ‘หากฝ่ายหนึ่งพบว่าตนเองอยู่ในภาวะสงครามอันเนื่องมาจากการโจมตีด้วยอาวุธโดยประเทศหนึ่งหรือหลายประเทศ อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ฝ่ายนั้นทันทีด้วยวิธีการทั้งหมดที่มี’

ซึ่งระบุเอาไว้ในมาตรา 4 ของข้อตกลงระบุว่า หากรัสเซียหรือเกาหลีเหนือถูกโจมตีและเข้าสู่ภาวะสงคราม อีกฝ่ายจะให้ความช่วยเหลือทางทหารและความช่วยเหลืออื่น ๆ โดยใช้ทุกวิถีทางที่มีอยู่ ตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมายของทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ สนธิสัญญายังกำหนดให้ทั้งสองประเทศ “สร้างกลไกสำหรับกิจกรรมร่วมกันเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการป้องกันประเทศเพื่อประโยชน์ในการป้องกันสงครามและรับรองสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคและระหว่างประเทศ” และโต้ตอบกันเพื่อ “ร่วมกันเผชิญหน้ากับความท้าทายและภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ รวมถึงความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การดูแลสุขภาพและห่วงโซ่อุปทาน” รวมถึงการก่อการร้าย อาชญากรรมที่เป็นองค์กร การค้ามนุษย์ และการอพยพที่ผิดกฎหมาย

ในด้านเศรษฐกิจ ข้อตกลงหุ้นส่วนเรียกร้องให้มีการ ‘ขยายและพัฒนาความร่วมมือในด้านการค้า เศรษฐกิจ การลงทุน วิทยาศาสตร์และเทคนิค” ตั้งแต่ความพยายามในการเร่งความร่วมมือด้านการค้าและเทคโนโลยี และการส่งเสริม “การวิจัยร่วมกันในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมถึงสาขาต่างๆ เช่น อวกาศ ชีววิทยา พลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติภาพ ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่นๆ’

ข้อตกลงความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือจัดทำขึ้นเป็นพิเศษและสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือ เพราะสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวที่อยู่นอกอดีตสหภาพโซเวียตที่รัสเซียได้ร่างข้อตกลงดังกล่าวด้วย (จนถึงขณะนี้มีเพียงเบลารุส ซึ่งเป็นพันธมิตรของรัฐสหภาพของรัสเซียและสมาชิกองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO) เท่านั้นที่ได้รับการรับประกันความมั่นคงในลักษณะเดียวกัน) 

ในสถานการณ์ความขัดแย้งในปัจจุบัน ข้อตกลงดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญมากระหว่างทั้ง 2 ประเทศ เพราะทั้ง 2 ประเทศมีภาระผูกพันซึ่งกันและกัน โดยรัสเซียจะมีภาระผูกพันในการปกป้องพันธมิตรใหม่ของตนอย่างเกาหลีเหนือ หากมีการรุกรานเกิดขึ้น และในทางกลับกันเกาหลีเหนือจะมีภาระผูกพันที่จะให้การสนับสนุนเราทุกรูปแบบ รวมถึงการสนับสนุนทางทหาร หากมีการรุกรานรัสเซีย

ข้อตกลงดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและช่วยลดความเสี่ยงของสงครามบนคาบสมุทรเกาหลี 

ซึ่งปัจจุบันเราเห็นได้จากการใช้ถ้อยคำและการกระทำที่ยั่วยุมากขึ้นของโซล ประกอบกับความพยายามที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ด้านการป้องกันของเกาหลีใต้กับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซ้อมรบร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ซี่งอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหม่ได้

รัสเซียซึ่งเคยเป็นและยังคงเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางการทหารชั้นนำของโลกและเป็นมหาอำนาจด้านนิวเคลียร์ นั่นหมายความว่า หากเกาหลีเหนือถูกโจมตีจากเกาหลีใต้ รัสเซียจะถูกร้องขอให้ปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญานี้และเข้ามาช่วยเหลือเกาหลีเหนือต่อต้านเกาหลีใต้ (เพราะสถานการณ์ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือความขัดแย้งด้วยอาวุธระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้) โซลและพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ จะต้องไม่เพียงแค่จัดการกับเกาหลีเหนือเท่านั้นแต่ยังรวมถึงเกาหลีเหนือและรัสเซียด้วย 

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่สงครามระหว่างเปียงยางและโซลมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเนื่องมาจากการยั่วยุของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้มาอย่างยาวนาน ความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างรัสเซียและเกาหลีเหนือจึงถือเป็น "ก้าวหนึ่งสู่การรักษาเสถียรภาพและการรักษาสันติภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ" เนื่องจากสร้างสมดุลทางทหารซึ่งจะช่วยแก้ไข "ความไม่สมดุลของกองกำลังทหาร" ที่เพิ่มมากขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลีระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้และพันธมิตร 

ในสายตาของเกาหลีเหนือสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) กำลังกลายเป็นมหาอำนาจทางทหารที่แข็งแกร่ง สามารถผลิตอาวุธสมัยใหม่ทุกประเภท ตั้งแต่อาวุธขนาดเล็กไปจนถึงเรือดำน้ำและเครื่องบินขับไล่ ปล่อยดาวเทียมตรวจการณ์ของตนเอง แต่สิ่งเดียวที่เกาหลีใต้ไม่มีคืออาวุธนิวเคลียร์ แต่การได้มาซึ่งอาวุธดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องของการตัดสินใจทางการเมืองและอาจใช้เวลาไม่มากนัก ศักยภาพทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของเกาหลีเหนือเพียงลำพังไม่อาจแข่งขันกับเพื่อนบ้านที่ติดอาวุธครบครันและเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ทรงพลังที่สุดในโลก ร่วมกับญี่ปุ่นได้ ซึ่งหากเกาหลีเหนือยืนหยัดต่อสู้กับภัยคุกคามเหล่านี้เพียงลำพัง ก็มีความเสี่ยงที่จะตกเป็นเหยื่อของการรุกรานของเกาหลีใต้และพันธมิตร

ในขณะเดียวกันในฝั่งของรัสเซียข้อตกลงดังกล่าวสามารถสร้างความชอบธรรมให้แก่เกาหลีเหนือในการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์และทหารเพื่อทำสงครามกับยูเครนอย่างเปิดเผยและต้องคิดถึงการสนับสนุนจากพันธมิตรของรัสเซีย ซึ่งจะเป็นการสร้างความกังวลใจให้กับยูเครนและพันธมิตรนาโต้ในความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนในปัจจุบัน 

ดังนั้นข้อตกลงหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซียจึงเป็นข้อตกลงที่เราควรให้ความสำคัญ และจับตามองว่าจะช่วยป้องปรามและลดความขัดแย้งในพื้นที่สำคัญของโลกได้หรือไม่

‘พีระพันธุ์’ มอบ ‘ดร.หิมาลัย’ ลงพื้นที่น้ำท่วม มอบถุงยังชีพ ช่วยประชาชน พร้อมสำรวจความเสียหาย เพื่อนำไปประสานงาน บรรเทาทุกข์ให้ชาวบ้าน

เมื่อวานนี้ (19 ต.ค. 67) เวลา 13.00น. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มีความห่วงใยชาวนครสวรรค์ จึงได้มอบหมายให้ ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษาฯ และ สส.สัญญา นิลสุพรรณ มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม จังหวัด นครสวรรค์  จำนวน 1,000 ครัวเรือน

-ณ.วัดบางเคียน ต.บางเคียน
-ณ.วัดดงขุย ต.หนองกระเจา
-ณ.อบต.พันลาน ต.พันลาน

พร้อมด้วย คุณพิมพ์ปวีณ์ นิลสุพรรณ เลขานุการนายก อบจ.นครสวรรค์ ว่าที่ร้อยโท อุทิศ คงรอด นายอำเภอชุมแสง พ.ต.อ.สมศักดิ์ เขียวอ่อน ผกก.สภ.ชุมแสง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายก อบต. ให้การต้อนรับและร่วมมอบถุงยังชีพแจกให้กับพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนจากอุทกภัยเมื่อ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา 

ในพื้นที่ตอนนี้ ยังคงมีน้ำท่วมขังบ้านเรือน และพื้นที่การเกษตรอีกหลายตำบล ในการนี้จะได้มีการนำปัญหาดังกล่าว เข้าไปประสานหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางเพื่อแก้ไขความเดือดร้อน และบรรเทาทุกข์ให้ชาวบ้านต่อไป

‘ซูเบียนโต ปราโบโว’ สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ลั่น!! แก้คอร์รัปชัน ย้ำ!! ประชาธิปไตยต้องสุภาพ

(20 ต.ค. 67) อดีตรัฐมนตรีกลาโหม ‘ซูเบียนโต ปราโบโว’ เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซียแล้วในวัน นี้ โดยให้คำมั่นว่าจะต่อสู้กับปัญหาภายในต่างๆ เช่น การทุจริตคอร์รัปชันที่กัดกินประเทศ และจะทำให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น

ปราโบโววัย 73 ปีผู้นี้เคยผ่านการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จากอดีตผู้บัญชาการทหารที่เผชิญข้อกล่าวหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ กลายมาเป็นผู้กวาดชัยชนะในการเลือกตั้งประเทศที่มีประชากร 280 ล้านคน เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา

ในพิธีสาบานตนวันนี้ ปราโบโวสวมหมวกสีดำแบบดั้งเดิมและสูทสีน้ำเงินกรมท่า พร้อมโสร่งผ้าทอสีทองและแดงเลือดหมู มาในรถยนต์สีขาวคันโตที่เปิดช่วงหลังคาซันรูฟยืนขึ้นโบกมือทักทายประชาชนสองข้างทาง ก่อนจะเข้ารัฐสภาอินโดนีเซียและกล่าวสุนทรพจน์ที่เร่าร้อนต่อสมาชิกรัฐสภาว่า เขาจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเพื่อชาวอินโดนีเซียทุกคน และกระตุ้นให้คนในชาติช่วยเขาจัดการกับปัญหาของประเทศ

“เราต้องตระหนักเสมอว่าประเทศที่เสรี คือประเทศที่ประชาชนมีอิสระ พวกเขาต้องปราศจากความกลัว ความยากจน ความหิวโหย ความไม่รู้ การกดขี่ และความทุกข์ทรมาน” ปราโบโวกล่าว

ในสุนทรพจน์ที่ครอบคลุมหลายประเด็นและกินเวลานานประมาณหนึ่งชั่วโมง ปราโบโวกล่าวว่าการพึ่งตนเองด้านอาหารจะเป็นไปได้ภายใน 5 ปี ขณะเดียวกันก็ให้คำมั่นว่าจะกลายเป็นประเทศที่พึ่งพาตนเอง

ประธานาธิบดีคนใหม่ให้คำมั่นว่าจะขจัดการทุจริตคอร์รัปชัน และย้ำด้วยว่า แม้ว่าว่าตนจะต้องการดำรงอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ต้องเป็นไปอย่าง ‘สุภาพ’

ด้านสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของจีนรายงานว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ส่งสาส์นแสดงความยินดีต่อประธานาธิบดีปราโบโว และระบุว่า จีนจะรักษา ‘การสื่อสารเชิงกลยุทธ์อย่างใกล้ชิด’ กับประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย 

"จีนและอินโดนีเซียเป็นเพื่อนบ้านที่เป็นมิตรกันมาโดยตลอด และความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุมของทั้งสองประเทศยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่องและได้เข้าสู่ขั้นตอนใหม่ของการสร้างอนาคตร่วมกัน" ผู้นำจีนระบุ

ชายมาเก๊า วัย 70 ปี ผู้เสียหายกรณี ‘ดิไอคอน’ แจ้งความตำรวจ ปคบ. จ่ายไป!! 2.5 แสน ได้กาแฟมาแค่ 20 ซอง แม่ข่ายบอก ของขาดตลาด

(20 ต.ค. 67) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอิทธิเดช ธเนศวัฒนะ ตัวแทนผู้เสียหายชาวต่างชาติพา มิสเตอร์เค (สงวนนามสกุล) อายุ 70 ปี ผู้เสียหายชาวมาเก๊า เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. กรณีร่วมลงทุนกับบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป

นายอิทธิเดช เปิดเผยว่า ผู้เสียหายรายนี้คือผู้ที่ได้รับผลกระทบที่ไปร่วมลงทุนในกลุ่มธุรกิจดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด โดยลงทุนเปิดบิลดีลเลอร์ 2 บิล เป็นจำนวนเงินทั้งหมดประมาณ 250,000 บาท โดยผู้เสียหายรายนี้ได้รับการชักชวนจากผู้เสียหายชาวไทยที่อาศัยอยู่ในฮ่องกง เชิญชวนว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ได้กำไร

จึงตกลงตัดสินใจร่วมลงทุนและมีโอกาสได้เดินทางมาอบรมการขายออนไลน์ที่ส่วนกลาง ในประเทศไทย ช่วงปลายปี 2566 และได้มีโอกาสเจอกับ นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล และได้เจอกับบอสที่เป็นดารา ซึ่งปกติแล้วผู้เสียหายก็รู้จักอยู่บ้างผ่านทางโทรทัศน์

โดยผู้เสียหายรายนี้บอกกับตนว่า หลังจากลงทุนเปิดบิลกับดิไอคอนกรุ๊ปแล้วได้สินค้าไม่ครบ อาทิ กาแฟ ที่ปกติแล้วจะได้ประมาณ 100 ซอง แต่กลับได้เพียง 20 ซอง ซึ่งได้ทักท้วงไปกับแม่ข่ายที่ดูแลผู้ลงทุนแถบทวีปเอเชีย กลับได้คำตอบว่าสินค้าขาดตลาด

จนมาพบข่าวที่ปรากฏขึ้น ก็รู้สึกตกใจจึงได้ประสานกับเพื่อนคนไทยในฮ่องกงเพื่อที่จะเดินทางจากมาเก๊ามาแจ้งความที่ประเทศไทยในวันนี้

นายอิทธิเดช กล่าวอีกว่า ขณะที่ผู้เสียหายตัดสินใจลงทุนกับธุรกิจไอคอนกรุ๊ป ก็มีคนพยายามพูดหว่านล้อมให้หาสมาชิกเพิ่ม แต่ตัวผู้เสียหายรายนี้เองเน้นขายสินค้า เพราะชาวต่างชาติ ทั้งฮ่องกงและมาเก๊ารวมถึงประเทศในแถบเอเชียต้องการอยากจะลองสินค้าของประเทศไทย

ทั้งนี้ในวันพุธที่ 23 ต.ค. นี้ ตนเตรียมที่จะประสานพาผู้เสียหายจากต่างประเทศเดินทางทยอยเข้าแจ้งความเพิ่มอีก ซึ่งมีทั้งผู้เสียหายชาวไทยและชาวต่างชาติ

พี่เลี้ยง หมูเด้ง โพสต์ป้อง!! ลูกฮิปโป ที่ศรีสะเกษ หลังโดนชาวเน็ตรุมบูลลี่!! ไม่น่ารัก ไม่ออร่า

(20 ต.ค. 67) สวนสัตว์ภายในสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ศรีสะเกษ ได้โพสต์ต้อนรับ ลูกฮิปโปโปเตมัสเกิดใหม่ ลูกตัวแรกของแม่เกดสิริน กับพ่อสมศรี ยังไม่ทราบเพศ เพราะจะต้องรอการเข้าตรวจสอบของเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ก่อน

อีกทั้งทางสวนสัตว์ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้กับน้อง เพราะอยากจะเชิญชวนให้ประชาชน นักท่องเที่ยว มาร่วมกันตั้งชื่อให้

โพสต์ของลูกฮิปโปเกิดใหม่นี้กลายเป็นไวรัล มียอดไลก์ ยอดแชร์ พุ่งกระฉูด แต่ก็มาพร้อมคอมเมนต์ที่ไม่น่ารัก บางรายบอกว่า ลูกฮิปโปตัวนี้ดูธรรมดา ไม่มีออร่าเหมือนหมูเด้ง บ้างก็บอกว่าน่าเกลียดทำเอาหลายคนงงใจ ว่าทำไมคนเราถึงไปบูลลี่ลูกฮิปโปที่เพิ่งเกิดได้ไม่กี่วัน

บ้างก็ว่ารอให้น้องโตกว่านี้หน่อย เดี๋ยวก็กลม เด้ง น่ารักมากขึ้น บ้างก็ชี้ว่าน้องเป็นคนละสายพันธุ์กับหมูเด้ง ไม่น่าเอามาเทียบกันแบบนี้

ก่อนที่ล่าสุด (18 ต.ค. 67) ผู้ดูแล หมูเด้ง จะแชร์โพสต์เรื่องที่ชาวเน็ตปกป้องลูกฮิปโปศรีสะเกษที่โดนบูลลี่ลงในเพจ ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง พร้อมข้อความว่า “โอ้ยย น้องพึ่งเกิด เดี๋ยวกินนมตัวบวมก็น่ารักเหมือนกัน หมูเด้งเกิดมาวันเเรกน่ากลัวกว่านี้อีก 555 เเล้วคือเป็นฮิปโปคนละสายพันธุ์กันด้วย”

อีกทั้งยังบอกด้วยว่า “สำหรับผม ลูกฮิปโปใหญ่น่าฟัดกว่าฮิปโปแคระ โตช้าด้วยเล่นกันสนุกมาก 555” และ “อีกหน่อยน้องจะเป็นแบบพี่ขาหมู แล้วจะหลงไม่ไหวน้า”

ชาวเน็ตยังจับสังเกตได้ว่า หลังจากที่มีดราม่าลูกฮิปโปศรีสะเกษโดนบูลลี่ พี่เบนซ์ ผู้ดูแล หมูเด้ง และเป็นคนทำเพจ ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง ก็กลับมาลงคลิปวิดีโอ ขาหมู ถี่ขึ้น โดยชาวเน็ตมองว่า พี่เบนซ์ พยายามให้คนเห็นว่า ฮิปโปโปเตมัส สายพันธุ์นี้น่ารักอย่างไร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top