Friday, 23 May 2025
NewsFeed

‘BYD’ เรียกคืน 'Dolphin-Yuan Plus' 97,000 คัน หลังพบปัญหาชุดควบคุมพวงมาลัย เสี่ยงการเกิดไฟไหม้

(30 ก.ย. 67) รอยเตอร์ รายงานว่า ‘บีวายดี’ ได้แจ้งต่อหน่วยงานกำกับดูแลของจีนว่า กำลังเรียกคืนรถยนต์ 97,000 คัน เนื่องจากพบข้อบกพร่องในการผลิต ซึ่งเกี่ยวกับชุดควบคุมพวงมาลัย ที่มีความเสี่ยงอาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้

แถลงการณ์จาก สำนักงานกำกับดูแลตลาดแห่งรัฐของจีน (SAMR) ระบุว่า ผู้ผลิตรถยนต์จีนรายนี้ กำลังเรียกคืนรถยนต์ไฟฟ้า Dolphin และ Yuan Plus ที่ผลิตในจีนระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2022 ถึงธันวาคม 2023 

ขณะที่ บีวายดี ยังไม่ได้ตอบสนองต่อข้อซักถามทันที โดยบริษัทจะขอให้ตัวแทนจำหน่าย ติดตั้งการแก้ไขทางกายภาพในรถยนต์ที่ถูกเรียกคืน ตามคำแถลงของ SAMR

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการระบุว่า ได้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวไปหรือไม่ 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศจีน Dolphin และ Yuan Plus เป็นสองรุ่นที่ขายดีที่สุดของบริษัท BYD ในปี 2023 ซึ่งคิดเป็น 26% จากจำนวนรถยนต์ 3 ล้านคันที่ขายได้ในปีนั้น

การเรียกคืนรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอิน ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เนื่องจากบริษัทจีนแห่งนี้เติบโตอย่างรวดเร็วและกลายมาเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์อีวีที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ในปี 2022 บีวายได้ ได้เรียกคืนรถยนต์ไฮบริดแบบปลั๊กอิน ang จำนวนเล็กน้อย เนื่องจากพบข้อบกพร่องในแบตเตอรี่ซึ่งอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้ 

‘GC-OR’ ลงนามความร่วมมือด้านเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ผสานองค์ความรู้ระหว่างกัน มุ่งเป้าปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

(30 ก.ย. 67) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC ลงนามบันทึกข้อตกลงในความร่วมมือกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อศึกษาโอกาสทางการตลาดและกลยุทธ์การขายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมการบินที่ยั่งยืนของประเทศไทย

GC มุ่งสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ ด้วยการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593 พร้อมผสานแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ควบคู่กับการพัฒนาธุรกิจ จึงเกิดการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ยั่งยืนด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) ผสานเทคโนโลยีการกลั่น ขั้นสูงสู่การผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF ซึ่งถือเป็นพลังงานหมุนเวียน หรือ Renewable & Sustainable Energy ที่มีวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 

OR กำหนดเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น Energy Solution Provider ด้วยแนวทางการพัฒนาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และขยายสู่อุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่สามารถผสมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ SAF เข้ากับน้ำมัน JET โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของเครื่องบิน เป็นหลักการเดียวกับการผสมเอทานอลกับน้ำมันเบนซิน หรือ การผสมไบโอดีเซลกับน้ำมันดีเซล ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมภาคการบินทั้งสายการบินในประเทศและสายการบินระหว่างประเทศได้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง SAF เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2608 

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GC กล่าวว่า GC ในฐานะผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ มีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานและความเชี่ยวชาญด้านโรงกลั่นน้ำมัน โดยเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพโรงกลั่นสู่การผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยั่งยืนหรือ SAF จากน้ำมันพืชใช้แล้ว การบุกเบิกผลิตภัณฑ์ SAF ในเชิงพาณิชย์ สู่อุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย มีทั้งโอกาสและความท้าทาย ซึ่งความร่วมมือระหว่าง GC และ OR ในฐานะผู้นำด้านการตลาดและการจำหน่ายน้ำมันอากาศยานของไทย จะเป็นแรงผลักดันในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นได้สำเร็จ 

นายดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร OR กล่าวว่า "ความร่วมมือระหว่าง OR และ GC ในครั้งนี้ OR ในฐานะผู้นำการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานของไทย มุ่งมั่นที่จะแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ร่วมกับ GC ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่มีการดำเนินงานด้านความยั่งยืนระดับสากล เพื่อศึกษาและนำน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) จากกระบวนการ Co-Processing ของ GC มาใช้ในอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้สายการบินทั้งในประเทศและสายการบินระหว่างประเทศได้ใช้ SAF เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง ยังสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ของประเทศไทยภายในปี พ.ศ.2608 และยังเป็นการปฏิบัติตามมาตรฐานของ ICAO และ IATA ในอนาคต นอกจากนี้ ความร่วมมือครั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายการเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านพลังงาน (Energy Solution Provider) ของ OR เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกันต่อไป   

GC และ OR ผนึกกำลังผสานจุดแข็งร่วมกันเพื่อยกระดับศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน ในกลุ่ม ปตท. และร่วมผลักดันให้เกิดการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ส่งผลให้ตอบสนองความต้องการของตลาดในด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

‘Scomadi Turismo Electronica’ สองล้อ EV วินเทจยุค 60 โฉม 'บริทิช โมเดิร์น คลาสสิก' เปิดราคาแสนต้น วิ่งไกลร้อยโล

(30 ก.ย. 67) ‘Scomadi Turismo Electronica’ รถสกู๊ตเตอร์รุ่นแรกและรุ่นเดียวในประเทศไทย ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ในสไตล์บริทิช โมเดิร์น คลาสสิก

ด้วยดีไซน์ รูปลักษณ์ยังคงรักษาเอกลักษณ์รถวินเทจยุค 60 คลาสสิกด้วยโคมไฟหน้าทรงกลมและเบาะนั่งแบบสโลป และเส้นสายโค้งมนของตัวรถ พร้อมโลโก้เสือดำสัญลักษณ์ของแบรนด์ น้ำหนักรถ 137 กิโลกรัม และความสูงเบาะที่นั่ง 800 มิลลิเมตร ออกแบบเพื่อรองรับสรีระของนักขับขี่ทุกเพศทุกวัย ผู้หญิงไทย ไซส์เล็ก ก็ขับขี่ คุมรถได้สบาย ๆ 

รถสกู๊ตเตอร์รุ่นนี้มีทั้งหมด 3 สี คือ สีเขียว Emerald Green, สีเทา Coal Pearl และสีดำ Panther Black

หน้าจอล้ำสมัย แสดงผลแบบ TFT ขนาด 5 นิ้ว บอกเวลา ความเร็ว ระยะแบตเตอรี่ และโหมดการขับ รองรับการเชื่อมต่อและสั่งการผ่านแอปพลิเคชันเพื่ออำนวยความสะดวก ส่วนชุดชาร์จแบตอยู่ตรงกลางของตัวรถ สามารถเสียบชาร์จไฟบ้านได้สะดวกสบาย ส่วนแบตเตอรี่แบบฝังอยู่ใต้เบาะ และมีสวิตซ์ตัดระบบไฟเพื่อความปลอดภัยติดตั้งมาให้ 

 

‘Scomadi Turismo Electronica’ ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 3,000 วัตต์ แบตเตอรีความจุ 72 โวลต์ 40 แอมแปร์ต่อชั่วโมง ให้การขับระยะทางไกลถึง 101 กิโลเมตร ในระยะเวลาชาร์จเต็มเพียง 3 ชั่วโมง ทำความเร็วสูงสุด 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผ่านโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ทั้ง Economy Sport และ Normal พร้อมด้วยเกียร์ถอยหลัง 

สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ารุ่นนี้ ขี่ง่ายมาก แม้จะเป็นรถไฟฟ้า แต่ก็ไม่ต้องปรับตัวเยอะ มีความคล่องตัวสูง และมีจุดเด่นที่ความเงียบ ช่วยลดมลพิษทางเสียง 

อุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งมาให้จากโรงงานนั้นประกอบด้วย โช้คคู่หน้า และ โช้คเดี่ยวหลัง OKD แบบไฮดรอลิกปรับพรีโหลดได้ ยางติดรถ เป็นของ Michelin power pure ขนาด 12 นิ้วทั้งหน้าและหลัง ส่วนระบบเบรก เป็นแบบ(CBS) Combi Brake System เน้นการกระจายแรงเบรกระหว่างล้อทั้งสองไม่ให้ลื่นหรือล้อล๊อค เพื่อความปลอดภัย 

ทั้งหมดที่ว่ามา กับราคาค่าตัว 129,740 บาท ของ Scomadi Turismo Electronica คันนี้ถือว่าคุ้มมาก

ผู้ที่สนใจ ‘Scomadi Turismo Electronica’  รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ในกลิ่นอายสไตล์วินเทจ ก็สามารถชมรถคันจริงพร้อมทดลองขับขี่ ในกิจกรรม Scomadi EV Your Ride Your Way ได้ที่ดีลเลอร์ 4 แห่ง ทั้ง สโกมาดิ อโศก มอเตอร์วิลล์ / สโกมาดิ เอ็มเพอเรอร์ กรุงเทพฯ /สโกมาดิ พัทยา (วัชรคอมเพลกซ์) / และ สโกมาดิ ลพบุรี (ศิริชัย มอเตอร์เซลส์) 

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมทาง www.scomadithailand.com Facebook:Scomadi Thailand LINE: @scomadithailand  หรือโทร 081 888 6066

(สุรินทร์) มณฑลทหารบกที่ 25 จัดพิธีรับ-ส่งหน้าที่ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25

เมื่อวันที่ (30 ก.ย. 67) ที่ 25 ตามคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 953/2567 เรื่องให้นายทหารออกจากราชการ เนื่องจากเกษียณอายุราชการ อาศัยอำนาจตามข้อบังคับ กระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการบรรจุ ปลด ย้าย เลื่อน และลดตำแหน่งข้าราการกลาโหม พ.ศ. 2502 จึงให้นายทหารชั้นนายพล สังกัด กองทัพบก ซึ่งรับราชการมาครบกำหนดเกษียณอายุราชการออกจากราชการ ลำดับที่ 58 พลตรี ชินวิช เจริญพิบูลย์ เป็นนายทหารนอกราชการ สังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สั่ง ณ วันที่ 28 สิงหาคม พุทธศักราช 2567 รับคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงชื่อ พลเอก สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องให้นายทหารรับราชการมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้นายทหารรับราชการ สนองพระเดช พระคุณ ดังต่อไปนี้ กองทัพบก ลำดับ 442 พันเอก ไชยนคร กิจคณะ  เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 (อัตรา พลตรี) ทั้งนี้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม พุทธศักราช 2567 เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 20 กันยายน พุทธศักราช 2567 ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ แพทองธาร ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ซึ่ง พิธีรับ-ส่งหน้าที่ ประกอบด้วย พิธีสักการะอนุสาวรีย์พลตรีหลวงวีรวัฒน์โยธิน ณ อนุสาวรีย์พลตรีหลวงวีรวัฒน์โยธิน พิธีลงนามในเอกสารการรับ – ส่ง หน้าที่ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ณ ห้องประชุม 2 กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 และ พิธีรับ – ส่งหน้าที่ (หน้าแถวทหาร) ณ ลานหน้า กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 โดยมีกำลังพลข้าราชการหน่วยขึ้นตรงมณฑลทหารบกที่ 25 และสมาคมแม่บ้าน ทหารบก สาขา มณฑลทหารบกที่ 25  รวมทั้งสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตสุรินทร์ ร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียง พันเอก ชัยนคร กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 (อัตรา พลตรี) กล่าวว่า ตามที่ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ในครั้งนี้ รู้สึกความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น จนหาที่สุดมิได้ และขอตั้งปณิธานอันแน่วแน่ ที่จะปฏิบัติราชการในตำแหน่งอันทรงเกียรติ และสำคัญยิ่งนี้ ให้ดีที่สุดอย่างเต็มขีดความสามารถ พร้อมที่จะปฏิบัติงานเคียงบ่าเคียงไหล่ กับบรรดาเพื่อนทหารที่รักทุกนายอย่างจริงจัง และจริงใจ เพื่อทำให้มณฑลทหารบกที่ 25 เป็นหน่วยที่มีศักยภาพในการปฏิบัติภารกิจในทุกรูปแบบ ให้ปรากฏผลสัมฤทธิ์ ในการสร้างคุณประโยชน์ต่อกองทัพบกและประเทศชาติ สืบไป

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ

ตำรวจ ปส. แถลงผลงานปิด Job “ปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย“ ในรอบ 1 ปี ยึดยาบ้ากว่า 380 ล้านเม็ด, ไอซ์ 13,170 กก. คีตามีน 2,388 กก. และยึดทรัพย์กว่า 4,100 ล้านบาท

เมื่อวันที่ (30 ก.ย. 67) ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นการใช้มาตรการทางกฎหมาย เพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ ขยายผลเครือข่ายเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่ ควบคู่ไปกับการทำชุมชนบำบัดเพื่อให้ผู้เสพกลับคืนสู่สังคม เลี้ยงตน เลี้ยงชีพได้อย่างมั่นคง

วันนี้ 30 ก.ย.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ /รรท. รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ ช่วยราชการ บช.ปส., พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และ พล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ได้ร่วมแถลงผลการสกัดกั้นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ 4 เครือข่าย ผู้ต้องหา 9 คน ยึดยาบ้า 6,600,000 เม็ด, ไอซ์ 565 กก. และเฮโรอีน 6.98 กก. ดังนี้

บก.ปส.3
คดีที่ 1
จากการขยายผลการตรวจยึดไอซ์ 7.58 กก. เมื่อวันที่ 16 ส.ค.67 ถูกซุกซ่อนในขวดโรออน ระงับกลิ่นกาย พยายามลักลอบส่งไปประเทศออสเตรเลีย และพบว่าผู้ส่งคือหญิงสาวสัญชาติลาว จากนั้นตำรวจชุดจับกุมจึงสืบสวน และติดตามพฤติการณ์เรื่อยมา กระทั่งพบว่าจะมีการส่งพัสดุในลักษณะเดิมอีกครั้ง โดยกลับเข้ามาพักอาศัยที่อพาร์ทเม้นท์เดิม ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติออกหมายจับ กระทั่ง วันที่ 17 ก.ย.67 หน่วยปราบปรามยาเสพติดสุวรรณภูมิ กก.1 บก.ปส.3 ร่วมกับ ป.ป.ส. และศุลกากร นำกำลังเข้าตรวจค้นที่ ห้องพัก 514 อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ถ.รัชดาภิเษก แขวง-เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร พบ น.ส.ติ่ง พันทะวง อายุ 31 ปี สัญชาติลาว ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลอาญา ที่ 506/2567 ลง 17 กันยายน 2567 ในข้อหา “พยายามส่งออกฯ” และพบกล่อง 2 กล่อง ภายในเป็น ขวดโรลออน และยาสีฟัน จากการตรวจสอบมี เฮโรอีน ซุกซ่อนอยู่ น้ำหนัก 6.98 กก.  นอกจากนี้ยัง ตรวจยึดทรัพย์สิน กระเป๋าแบรนเนม 1 ใบ ราคาประมาณ 70,000 บาท จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2
ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้สืบสวนขยายผลเครือข่ายที่ลักลอบลำเลียงยาเสพติด ส่งออกต่างประเทศ โดยอำพรางไปกับสินค้าประเภทเฟอร์นิเจอร์ จนทราบว่าจะนำยาเสพติดที่ซุกซ่อนไปกับเฟอร์นิเจอร์มาพักเก็บในพื้นที่ อ.แม่สาย   จ.เชียงราย ตำรวจจึงทำการวางแผนจับกุม กระทั่งวันที่ 19 ก.ย.67 เวลาประมาณ 10.00 น. พบว่าเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าวได้นำมาเก็บพักคอยที่บ้านเช่าเลขที่ 112/6 ม.2 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อเตรียมส่งต่างประเทศ จึงนำกำลังตำรวจเข้าตรวจสอบ ภายในบ้านพบเป็นโต๊ะ และเก้าอี้ ตรวจสอบภายใน พบยาเสพติดเป็นไอซ์ ลักษณะเป็นก้อนคล้าย ดินน้ำมันสีขาว และ สีชมพู คละกัน มีผงลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวใสผสมอยู่ ซุกซ่อนอำพรางในช่องลับภายในแผ่นรองนั่งของเก้าอี้ น้ำหนัก 325 กก. และ ซุกซ่อนอยู่ในช่องลับภายในแผ่นหน้าโต๊ะ น้ำหนัก 240 กก. รวมน้ำหนักทั้งสิ้น 565 กก. จากการสอบถามผู้ดูแลแจ้งว่าเป็นสินค้าที่มีลูกค้านำมาฝากไว้กับทางร้าน จากนั้นจึงนำของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย และ จะทำการสืบสวนขยายผลถึงกลุ่มเจ้าของยาเสพติดต่อไป

คดีที่ 3
ตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดเชียงราย กก.2 บก.ปส.3 ได้สืบสวนเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ จ.เชียงราย จนทราบว่า นายอาตี๋ ชนเผ่าอาข่า จะลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่ บ้านผาหมี อ.แม่สาย จ.เชียงราย กระทั่ง วันที่ 25 ก.ย. 67 เวลาประมาณ 21.30 น. ขณะตำรวจชุดสืบสวน ร่วมกับทหาร ออกสำรวจพื้นที่ ก็พบเข้ากับคารวานลำเลียงยาเสพติด ซึ่งเป็นกลุ่มชาย ฉกรรจ์ จำนวน 12 คนแบกสัมภาระเป็นกระเป๋าที่คาดว่ามียาเสพติดถูกบรรจุอยู่ด้านใน ขณะเดินลัดเลาะออกมาจากชายป่า ก่อนที่ทั้งหมดจะไปหยุดรวมตัวกันบริเวณริมถนนทางเข้าหมู่บ้านผาหมี หน้าศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตำรวจจึงนำกำลังแสดงตัวเข้าตรวจสอบและตรวจค้น สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 6 ราย 

ซึ่งทั้งหมดเป็นคนสัญชาติเมียนมาร์ ส่วนคนที่เหลือวิ่งหลบหนีไปได้ ตรวจค้นในกระเป๋าพบกระสอบ 11 กระสอบ ภายในบรรจุยาบ้ารวมทั้งสิ้น ประมาณ 1,600,000 เม็ด โดยตำรวจเตรียมขยายผลหาเพื่อนร่วมขวนการที่สามารถหลบหนีไปได้ ก่อนนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

บก.สกส.
คดีที่ 4
เมื่อวันที่ 6 ก.ย.67 เวลาประมาณ 20.00 น. – 23.50 น. ต่อเนื่องกัน ตำรวจ บก.สกส., ตำรวจด่านพยุหะคีรี บก.ปส.3 ตำรวจ สภ.วังทอง ภ.จว.พิษณุโลก และ หน่วยข่าวกรองทางทหาร กองกำลังนเรศวร ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหา 2 คน หลังตำรวจจับกุมผู้ต้องหาลักลอบลำเลียงยาเสพติดเมื่อวันที่ 31 มี.ค 60 ของกลางยาบ้า 500,000 เม็ด ก่อนจะขยายผลพบว่ายังมีเครือข่ายซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ รับจ้างลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ลงมาส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ ภาคกลาง  กระทั่ง พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จึงจัดชุดติดตามจนมาถึงพื้นที่ ต.วังทอง อ.วังทอง จ.พิษณุโลก พบว่า รถทั้ง 2 คัน คือ รถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 71 21xx เชียงใหม่ และ รถยนต์ หมายทะเบียน 8กข 31xx กรุงเทพฯ ขับเข้าไปในปั๊มน้ำมัน ปตท.วังทอง ตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจสอบ พบนายสมศักดิ์ และนายสุทธิศักดิ์ พี่น้องกัน จึงเชิญตัวทั้ง 2 คน และนำรถมายังด่านตรวจยาเสพติดพยุหะคีรี เพื่อเข้าเครื่อง X-Ray ตรวจค้นโดยละเอียด ปรากฏว่าพบวัตถุต้องสงสัยซุกซ่อนอยู่ในช่องลับผนังด้านข้างทั้ง 2 ข้าง ของรถบรรทุก  ตรวจสอบพบเป็นยาบ้า 2,500 มัด จำนวนรวมทั้งสิ้น 5,000,000 เม็ด เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ร่วมกัน จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือ เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน หรือ เป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี

นอกจากนี้ บช.ปส. ยังได้สรุปภาพรวมการปราบปรามยาเสพติดในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ภายใต้การขับเคลื่อนของ พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. ซึ่งได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด ที่ถูกกำหนดให้เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ทั้งแผนงานและภารกิจ ให้สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล รวมถึงการตัดต้นตอการผลิตและจำหน่าย ด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้น ควบคุมการลักลอบนำเข้าและ  ตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด การปราบปรามและการยึดทรัพย์ผู้ค้าอย่างเด็ดขาด ซี่งตลอดทั้งปีที่ผ่านมา บช.ปส. ได้ขับเคลื่อนการปราบปราม การสกัดกั้นการลำเลียง และการขยายผลจับกุมยึดทรัพย์เพื่อทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด  อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยกำหนด “แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” เพื่อสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ ตอนในและพื้นที่ปลายทาง และทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่เป้าหมาย ส่งผลให้ปีงบประมาณ พ.ศ.2567

สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดได้ถึง 1,322 คดี เพิ่มขึ้น 427 คดี มีผู้ต้องหา 1,729 คน เพิ่มขึ้น 518 คน  ตรวจยึดยาบ้าได้ 380,317,464 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 137,871,101 เม็ด คิดเป็น 56.87%  และคิดเป็น 41.05% ของ ตร., ไอซ์ 13,170 กก. คิดเป็น 58.34% ของ ตร. คีตามีน 2,388 กก. คิดเป็น 47.09% ของ ตร. ในส่วนการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดทั้งตามแนวชายแดน และพื้นที่ตอนใน โดยเฉพาะยาบ้า สามารถจับกุมผู้ค้ารายสำคัญรายใหญ่ ยาบ้า 500,000 เม็ดขึ้นไป จำนวน 90 คดี สกัดกั้นยาบ้าได้ 361,853,712 เม็ด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว คิดเป็น 87.24 %                 

โดยภารกิจสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ตอนใน และพื้นที่ปลายทาง รวมทั้งทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดรายสำคัญ ในพื้นที่เป้าหมาย ถือเป็นภารกิจสำคัญของ “แผนปฏิบัติการตามล่า 100 เครือข่าย” ในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 มีผลการดำเนินการที่น่าสนใจ ได้แก่ วันที่ 20 เม.ย.2567 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาบ้า 14,648,000 เม็ด  ขณะลักลอบลำเลียงจากแนวชายแดนเข้ามาส่งต่อให้เครือข่ายในพื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ นับเป็นการสกัดกั้นการขนลำเลียงยาบ้าที่มีปริมาณมากที่สุดของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดที่จับกุมได้ในปีนี้ และล่าสุดเมื่อ 23 ส.ค.2567 ยังจับกุมผู้ต้องหาขณะลำเลียงยาบ้า 14,000,000 เม็ด จากพื้นที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เข้าสู่พื้นที่ชั้นในได้อีกด้วย ปฏิบัติการ“ ตามล่าเครือข่าย VUITTON วิตตอง” เป็นปฏิบัติการสำคัญที่สามารถสืบสวนจับกุมเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่ตอนใน ได้อย่างต่อเนื่องถึง 11 คดี จับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายไปแล้วกว่า 50 ราย ยึดยาบ้า กว่า 46 ล้านเม็ด ไอซ์และ คีตามีนรวมกว่า 100 กิโลกรัม ยึดทรัพย์กว่า 26 ล้านบาท

ผลงานสำคัญในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดข้ามชาติ  ที่ใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านลำเลียงยาเสพติดไปต่างประเทศ วันที่ 4 ธ.ค.2566 ได้เปิดปฏิบัติการสยบไพรีปราบสมุทร “Operation Poseidon ” จับกุมผู้ต้องหา             พร้อมไอซ์และเคตามีนกว่า 2,200 กก. การขยายผลนำไปสู่การออกหมายจับนายชาญชัยหรือกัปตันตุ้ยฯ พร้อมยึดทรัพย์สินกว่า 150 ล้านบาท จากการแกะรอยไล่ล่ากลุ่มเครือข่ายดังกล่าว นำไปสู่การจับกุมผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดทางทะเลได้เพิ่มเติมอีก 2 คดี ได้แก่ วันที่ 8 ก.ย.67 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมไอซ์ 600 กก.ที่ท่าเรือริมแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร และ วันที่ 10 ส.ค.2567 จับกุมผู้ต้องหาพร้อมไอซ์ 1,500 กก. ที่ท่าเรือในพื้นที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ทั้ง 3 ปฏิบัติการสำคัญนี้สามารถสกัดกั้นการพยายามลักลอบลำเลียงไอซ์และคีตามีนข้ามชาติได้ถึง 4,300 กก. หรือ 4.3 ตัน

ผลงานสำคัญในการสกัดกั้นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด ที่มีการลักลอบนำเข้าและส่งออกไปยังแหล่งผลิตในประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อ 12 ก.ค.2567 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจยึดสารโทลูอีน (Toluene) 90 ตัน ลักลอบนำเข้าจากเกาหลีใต้มาที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี เตรียมส่งไปแหล่งผลิตยาเสพติดในประเทศเพื่อนบ้าน สารโทลูอีนที่ยึดได้ หากหลุดรอดไปถึงแหล่งผลิต จะใช้ผลิตยาบ้าได้จำนวนมหาศาลถึง 270 ล้านเม็ด ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เดินทางไปร่วมตรวจสอบและแถลงข่าวผลการตรวจยึดด้วยตนเอง ผลงานสำคัญในการยึดและอายัดทรัพย์สินปีงบประมาณ2567 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้ดำเนินการยึดและอายัดทรัพย์สิน จำนวน 4,096,626,323 ล้านบาท  หรือคิดเป็น 32.78% ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีปฏิบัติการที่สำคัญในการยึดทรัพย์สิน ได้แก่  ช่วงเดือน พ.ค.2567 เปิดปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่าย “ใหม่ Logistics” ของ บก.ปส.2 ที่ปูพรมตรวจค้นในพื้นที่ 8 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อจับกุมกลุ่มผู้ลำเลียงยาเสพติดผ่านบริษัทขนส่ง จากพื้น

มูลนิธิต้านทุจริต - สื่อต้านคอร์รัปชั่น ผนึก 24 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เดินหน้ายุทธศาสตร์ต้านโกง “วิชา” ตอกย้ำนิยาม“ป๋าเปรม” ทุจริต...คือการปล้นชาติ

(30 ก.ย. 67) ที่มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เมื่อวันที่ 30 ก.ย.67 มูลนิธิต่อต้านการทุจริต และสมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ) จัดแถลงข่าวการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ร่วมกับสถาบันอุดมศึกษา 24 แห่ง โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ ประธานกรรมการมูลนิธิต่อต้านการทุจริต เป็นประธาน ดร.เอก์ เหลืองสอาด นายกสมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย) และผศ.ดร.พิทักษ์ จันทร์เจริญ รักษาการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ในฐานะตัวแทนสถาบันอุดมศึกษาทั้ง 24 แห่ง ร่วมด้วย 

โดย ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา กล่าวตอนหนึ่งว่า รู้สึกปลาบปลื้มใจที่ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษามีเจตนารมณ์ร่วมกันในการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองอย่างใหญ่หลวง ที่ผ่านมาการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู กับสถาบันอุดมศึกษาครบวาระ 3 ปีแล้ว แม้ว่าที่ผ่านมาจะต้องเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การจัดกิจกรรมต่างๆ ดำเนินไปด้วยความล่าช้า มูลนิธิต่อต้านการทุจริต และสมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย) ยังมุ่งมั่นเดินหน้าจัดกิจกรรมเพื่อปลูกฝังค่านิยมเยาวชน นิสิต นักศึกษา ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล รู้เท่าทันการทุจริตคอร์รัปชั่น ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา กล่าวอีกว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ท่านได้นิยามเกี่ยวกับคอร์รัปชั่นว่า “การทุจริต...คือการปล้นชาติ” ซึ่งพล.อ.เปรมได้เคยปรารภเรื่องการต่อต้านการทุจริต เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน ดังนั้นการที่อธิการบดีและผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่แสดงเจตจำนงลงนามความร่วมมือวันนี้ จึงนับเป็นสิ่งที่งดงาม และมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่ง
ด้าน ดร.เอก์ กล่าวว่า ขอบคุณอธิการบดีและผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาทั้ง  24 แห่ง ที่ตอบรับคำเชิญเข้าร่วมโครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น  ซึ่งปัญหาการทุจริตเปรียบเสมือนมะเร็งร้ายทำลายชาติ โดยจะมีการจัดกิจกรรมผ่านเวทีเสวนา “นักศึกษาวัยใส ใจสุจริต” หรือกิจกรรมอื่นที่เป็นประโยชน์ในการป้องกันการทุจริต ที่จะทำร่วมกันในอนาคต

สำหรับสถาบันอุดมศึกษาที่เข้าร่วมลงนามในครั้งนี้ ได้แก่  1.มหาวิทยาลัยสวนดุสิต 2.มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 3.มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี 4.มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม 5.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร 6.มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด 7.มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 8.มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี 9.มหาวิทยาลัยเกริก 10.มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม 11.มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 12.มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ 13.มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ 14.มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ 15.มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ 16.มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ 17.มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี 18.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ 19.มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี 20.มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 21.มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี 22.มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช 23.มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา และ 24.มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย

โดยก่อนหน้านี้ มูลนิธิฯ และสมาคมฯ ได้ทำเอ็มโอยูกับมหาวิทยาลัย 15 แห่ง ได้แก่ 1.มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย 2.มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3.มหาวิทยาลัยบูรพา 4.มหาวิทยาลัยขอนแก่น 5.มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 6.มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร 7.มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย 8.มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี 9.มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 10.มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา 11.มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา 12.มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง 13.มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี 14.มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และ 15.มหาวิทยาลัยรังสิต “หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บันทึกข้อตกลงที่ทำขึ้นในวันนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในการบ่มเพาะเยาวชนต้นกล้า ให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ มีความประพฤติดี มีหน้าที่การงานดี ที่สำคัญมีความซื่อสัตย์ สุจริต รักชาติ รักแผ่นดิน ก็จะส่งผลให้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นลดน้อยลงได้ไม่มากก็น้อย” ดร.เอก์ กล่าว ขณะที่ ผศ.ดร.พิทักษ์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยสวนดุสิตขอเป็นตัวแทนผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาที่เข้าร่วมลงนามในครั้งนี้ ขอบคุณมูลนิธิต่อต้านการทุจริต และสมาคมผู้สื่อข่าวต้านคอร์รัปชั่น(ประเทศไทย) ที่จัดโครงการนี้ขึ้น เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ สร้างจิตสำนึก นิสิต นักศึกษา ไม่ทนต่อการทุจริต โดยมหาวิทยาลัยพร้อมดำเนินกิจกรรมร่วมกับมูลนิธิฯ และสมาคมฯ ตามบันทึกข้อตกลงนี้ ในโอกาสต่อไป

✨เกิดมาเพื่อเป็นดาว ‘หมูเด้ง’ ซูป’ตาร์สาว แห่งสวนสัตว์เปิดเขาเขียว

ความน่ารักของ ‘หมูเด้ง’ ฮิปโปแคระ เพศเมีย วัย 2 เดือน ตัวตึงประจำสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี ยังคงเป็นกระแสต่อเนื่องไม่หยุด แต่ละวันมีนักท่องเที่ยวแห่กันไปชมจนรถติดยาวเหยียด ไม่เว้นแม้แต่วันธรรมดา

ทำให้สวนสัตว์เปิดเขาเขียวมียอดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดย ‘เพจ ขาหมู แอนด์เดอะแก๊ง’ รายงานยอดนักท่องเที่ยวประจำเดือน ก.ย. 2567 รวม 162,811 คน 

เมื่อย้อนกลับไปดูยอดนักท่องเที่ยวตั้งแต่ช่วงเดือน มิ.ย. 2567 ก่อนที่หมูเด้งจะเกิด มีผู้เข้าชม จำนวน 70,510 คน ต่อมาเดือน ก.ค. 2567 ซึ่งเป็นเดือนที่ หมูเด้ง เกิด มียอดนักท่องเที่ยว จำนวน 84,849 คน เดือน ส.ค. 2567 จำนวน 98,046 คน นับว่ายอดนักท่องเที่ยวได้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเกินเท่าตัวจาก เดือน มิ.ย.

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธีรับ-ส่งมอบหน้าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และร่วมแสดงมุทิตาจิตแก่ข้าราชการตำรวจระดับสูงในโอกาสเกษียณอายุราชการ

เมื่อวานนี้ (30 ก.ย.67) สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดพิธีรับ-ส่งมอบหน้าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ณ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเวลา 15.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ขึ้นแท่นรับความเคารพและตรวจแถวกองเกียรติยศ , สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 4 และสักการะพระบรมรูปหล่อ รัชกาลที่ 9 ณ บริเวณหน้าอาคาร 1 จากนั้นเป็นพิธีรับ-ส่งมอบหน้าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ณ ห้องศรียานนท์ อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้แก่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งจะดำรงตำแหน่ง รรท.ผบ.ตร. ในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 โดยมี คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ข้าราชการตำรวจ และคณะแม่บ้านตำรวจ เข้าร่วมพิธีฯ อย่างพร้อมเพรียง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ฯ กล่าวว่า ตนมีความยินดีและภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอขอบคุณเพื่อนข้าราชการตำรวจทุกท่านที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถตลอดมา ด้วยความทุ่มเท เสียสละ แม้จะมีสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของอาชีพตำรวจ แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจกันทุกท่าน ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถปฏิบัติภารกิจในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับพี่น้องประชาชน จนเกิดความเรียบร้อยในสังคมได้ และในวันนี้ขอส่งมอบหน้าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากเกษียณอายุราชการในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 นี้ เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 15 การรับส่งงานในหน้าที่ราชการสำหรับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตนในฐานะรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอาวุโสสูงสุดในขณะนี้ เป็นผู้ทำหน้าที่รับมอบงานในหน้าที่ราชการตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งบัญชีรายการเอกสารที่เกี่ยวข้อง  เพื่อจะได้ดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบต่อไป

หลังพิธีต่างๆ เสร็จสิ้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. พร้อมด้วย คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ และข้าราชการตำรวจระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกษียณอายุราชการ ได้แก่ พล.ต.อ.สุรพงษ์ ชัยจันทร์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รับดอกไม้แสดงมุทิตาจิตจากข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มาร่วมอำลาในโอกาสเกษียณอายุราชการด้วยความขอบคุณและยินดี บริเวณหน้าห้องศรียานนท์ ชั้น 2 จนถึงบริเวณโถงชั้น 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

‘เท้ง-ณัฐพงษ์’ รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ‘ผู้นำฝ่ายค้านฯ’ ลั่น!! จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่

‘ณัฐพงษ์’ รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ‘ผู้นำฝ่ายค้านฯ’ ลั่น จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่-พร้อมสนับสนุนกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน แม้รัฐบาลเสนอก็ตาม

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 1 ตุลาคม ที่รัฐสภา มีพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 สส.พรรค ปชน. รวมถึงข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ร่วมพิธีดังกล่าว และร่วมแสดงความยินดี ทั้งนี้ นายภราดรได้มอบแจกันดอกไม้แสดงความยินดีให้กับนายณัฐพงษ์ 

ภายหลังพิธี นายณัฐพงษ์ แถลงว่า ขอบคุณที่ทุกคนให้ความไว้วางใจในการทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จากนี้ตนจะหารือกับพรรคฝ่ายค้านถึงการทำงานในสภาฯ และทำหน้าที่ในการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหาร ให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์กับรัฐบาลโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ยืนยันว่าจะทำหน้าที่ตรงนี้ตรงไปตรงมาที่สุดให้คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชน ให้สมกับที่ประชาชนเลือกมาไม่ว่าเราจะทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้านก็ตาม 

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เราพร้อมเดินหน้าเสนอกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกคน และร่วมพร้อมสนับสนุนกฎหมายที่เป็นประโยชน์แม้จะมาจากฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายไหนก็ตาม ตราบใดที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ พรรค ปชน. และพรรคร่วมฝ่ายค้านเราจะหารือกันภายในวิปฝ่ายค้านเพื่อสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว

”แม้จะเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่เชื่อว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตย หลังจากนี้การทำงานในสภาผู้แทนราษฎรจะครบถ้วนสมบูรณ์ ในฐานะที่วันนี้ผมได้รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการ ก็จะขอทำหน้าที่ต่อไปอย่างเต็มที่“ นายณัฐพงษ์ กล่าว

“คนไทย และชาวโลกชื่นชม และหวังหน่วยเราสูงมาก ถึงผมจะเกษียณ จิตวิญญาณผมอยู่ที่นี่ไม่มีทิ้งไป… ”

พล.ร.อ.อาภากร อยู่คงแก้ว ผู้บัญชาการ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ กองเรือยุทธการ
“ฮีโร่ 13 หมูป่า” กล่าวในวัน “อำลาหน่วยซีล”
วันที่ 30 ก.ย.67 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top