Monday, 12 May 2025
NewsFeed

กระทรวงอุตสาหกรรม ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ฝ่าวิกฤต COVID-19 ระลอกใหม่ ผ่านกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โดยการพักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด ไม่เกิน 6 เดือนและไม่เกินสิ้นปี 2564 ผ่าน SME D BANK เริ่มตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2564

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนพัฒนา เอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ ได้เข้ามาซ้ำเติมผลกระทบ จากสถานการณ์ในรอบแรกที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) ส่วนใหญ่ของประเทศ ยังไม่สามารถพลิกฟื้นธุรกิจ ให้กลับสู่ภาวะปกติได้ และสร้างความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้น กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี ตามแนวประชารัฐ กระทรวงอุตสาหกรรม เล็งเห็นถึงสถานการณ์ดังกล่าวจึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยแล้งและสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ไปแล้ว 2 ครั้งด้วยการพักชำระหนี้ และให้บริการความช่วยเหลือผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีในเรื่องการตลาด การเงิน และระบบบัญชี ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2563 โดยมีผู้เข้าร่วมในโครงการดังกล่าว จำนวนทั้งสิ้น 3,300 ราย

แต่เนื่องจากสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ยังคงส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจของเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาภาระการชำระหนี้ของลูกหนี้ให้มีสภาพคล่อง และสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในช่วงภาววะวิกฤต รวมทั้งยังเป็นการลดแนวโน้มการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ จึงมีมติในคราวประชุม เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯ ที่ยังไม่ด้อยคุณภาพ (Non NPL) หรือไม่อยู่ในระหว่างที่ถูกกองทุนดำเนินคดี ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ให้สามารถยื่นความประสงค์ขอพักชำระหนี้เงินต้นกับทางธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) โดยสามารถพักชำระหนี้ได้สูงสุด ไม่เกิน 6 เดือน และไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม 2564

“จากภาระที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ทางกองทุนฯ มองเห็นความพยายามช่วยเหลือตัวเองอย่างสุดกำลังของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมาโดยตลอด จึงต้องการเป็นอีกพลังช่วยสนับสนุนให้เอสเอ็มอีสามารถก้าวผ่านวิกฤตไปได้อีกครั้ง โดยออกมาตรการช่วยเหลือระยะที่ 3 นี้ เป็นมาตรการต่อเนื่องจากการให้ความช่วยเหลือก่อนหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเอสเอ็มอี โดยเฉพาะรายเล็กที่ประสบปัญหาจากการขายสินค้าหรือการให้บริการในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) และคาดว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาการว่างงานได้ไปจนถึงสิ้นปีนี้” นายกอบชัยฯ กล่าว

ทั้งนี้ ลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯ สามารถแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการพักชำระเงินต้น พร้อมขอรับการส่งเสริมพัฒนาในด้านต่างๆ อาทิ การตลาด การผลิต การเงินและบัญชี ได้ที่ SME D BANK ทุกสาขาทั่วประเทศในเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ได้ตั้งแต่วันที่ วันที่ 1 มิถุนายน 2564 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564 และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center โทร 1357


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ดรุณวรรณ รองโฆษก ปชป. แนะ “รัฐ” คุยกันให้จบก่อนสื่อสาร หยุดสร้างความสับสน

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่าจากกรณีที่เมื่อวานนี้ (31 พฤษภาคม 2564) คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครได้มีประกาศครั้งที่ 15/2564 มีมติให้ผ่อนปรนมาตรการสำหรับสถานประกอบการ 5 ประเภท มีผลวันที่ 1 มิ.ย. เป็นต้นไป ในส่วนของสถานประกอบการบางประเภทไม่พบคลัสเตอร์การระบาดแต่อย่างใด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของภาคธุรกิจ และให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพได้ ภายใต้มาตรการของรัฐที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในช่วงเย็นของเมื่อวานนี้

แต่ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน ศบค. ได้ออกมาประกาศให้ใช้ประกาศกรุงเทพมหานครขยายการปิดกิจการและกิจกรรมที่มีความเสี่ยงทั้งหมด ตามประกาศฉบับที่ 29 ออกไปอีก 14 วัน ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.64 เป็นต้นไป จากกรณีดังกล่าวได้สร้างความสับสนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก เกิดการตรวจสอบและพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นการให้ข่าวในประเด็นเดียวกันแต่สื่อสารกันคนละเรื่อง 

นางดรุณวรรณ กล่าวต่อด้วยว่า ทุกวันนี้วิกฤตสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมก็มากพออยู่แล้ว จึงไม่ควรทำให้เกิดวิกฤตการสื่อสารขึ้นมาอีก โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่การสื่อสารของภาครัฐในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกัน พูดเรื่องเดียวกัน แต่ไปคนละทิศคนละทาง สร้างความสับสนให้ประชาชน และส่งผลต่อการดำเนินชีวิต รวมถึงการวางแผนในการประกอบธุรกิจด้วยเช่นกัน เพราะบางธุรกิจต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้งคนและของ การให้ข้อมูลที่ขัดแย้งกันยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการหลายคนที่ได้รับความเดือดร้อนอยู่แล้วจากสถานการณ์โควิด-19

การสื่อสารในภาะวิกฤต ด้วยการใช้ Single Message คือใช้ข้อความชุดเดียวกันในการแจ้งข้อมูลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  ในกรณที่ต้องสื่อสารหลายหน่วยงานร่วมกัน ในประเด็นเดียวกัน เพื่อให้สื่อสารไปในทิศทางเดียวกัน

“อยากให้ผู้เกี่ยวข้อง คุยกันมากขึ้น สื่อสารกันภายในมากขึ้น ก่อนสื่อสารออกมายังสาธารณะ เพราะการสื่อสารบางประเด็นส่งผลกระทบต่อคนในวงกว้าง ต้องพิจารณาและทบทวนให้ดีก่อนสื่อสาร โดยเฉพาะในยุคโซเชียลมีเดียที่สามารถเผยแพร่ออกไปได้รวดเร็ว การรีบสื่อสารในขณะที่ข้อมูลยังไม่ชัดเจน เพียงต้องการให้ได้พื้นทื่สื่อ แต่ไม่คุ้มกับความเสียหายที่จะตามมา”

นางดรุณวรรณ กล่าวเสริมในตอนท้ายด้วยว่า ในฐานะที่ตนเองเป็นนักสื่อสาร การออกมานำเสนอความเห็นในครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น ส่วนตัวเอาใจช่วยทุกฝ่ายมาโดยตลอด และเป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังทำงานอย่างหนัก ซึ่งก็มีโอกาสที่จะพบกับความผิดพลาดได้บ้าง แต่ไม่ควรเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะการสื่อสารเป็นสิ่งที่สามารถบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพได้

"วิษณุ" ยืนยันไม่วาระขยายสัมปทานสายสีเขียวเข้าครม.วันนี้​ แจง​ ปมอปท.ซื้อวัคซีนเอง​ ต้องให้ศบค.เคาะ เผย รัฐบาลส่งพรก.กู้5แสนล้านให้สภาแล้ว รอสภาบรรจุวันอภิปราย

ที่ทำเนียบรัฐบาล​ นายวิษณุ​ เครืองาม​ รองนายกรัฐมนตรี​ ให้สัมภาษณ์​ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี​ (ครม.)​ ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าในที่ประชุมครม. วันนี้จะมีการพิจารณาวาระการขอขยายสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า เรื่องดังกล่าวไม่มีการบรรจุในวาระครม. ตั้งแต่แรก

เมื่อถามว่า​ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเข้าเป็นวาระจร นายวิษณุ​ กล่าวว่า​ เป็นไปไม่ได้​ ถ้าจะเข้าต้องเข้าเป็นวาระปกติ เมื่อถามถึงความคืบหน้าในการตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว และมีทางออกแล้วหรือไม่​ นายวิษณุ​ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ต้องไปถามเจ้าของเรื่อง และไม่มีรายงานมาถึงตนแต่อย่างใด

เมื่อถามถึงความชัดเจนถึงกรณีที่รัฐบาลส่ง​ พ.ร.ก. กู้เงิน​ 5​ แสนล้านบาทไปให้สภาพิจารณา​ จะเข้าสู่การพิจารณาเมื่อใด นายวิษณุกล่าวว่า ตนไม่ทราบ​ แต่ได้ส่งให้สภาไปแล้ว คงต้องแล้วแต่ทางสภาเป็นผู้บรรจุวาระ

เมื่อถามถึงกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น​ (อปท.) ​หลายแห่งแสดงความประสงค์ต้องการจัดซื้อวัคซีนซิโนฟาร์ม​ ที่ขณะนี้ยังสับสนกันอยู่ว่าทำได้หรือไม่ นายวิษณุ​ กล่าวว่า ไม่สับสนแล้ว​ ให้ไปถามกระทรวงมหาดไทย เมื่อถามย้ำว่า​ คำตอบจากกระทรวงมหาดไทยยิ่งทำให้สับสน นายวิษณุ​ กล่าวว่า​ ก็รอศบค.​ เพราะสุดท้ายกระทรวงมหาดไทยก็ต้องถามศบค.

“เสี่ยแฮ้งค์” ยัน พปชร. ไม่ถูกโดดเดี่ยว 

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนาสยกฯ ในฐานะเลขจาธิการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ กรณีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่พรรคร่วมรัฐบาลทั้งประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย อภิปนายโจมตีการจัดทำงบประมาณเหมือนพรรคพลังประชารัฐถูกโดดเดี่ยวหรือไม่ว่า ไม่มีอะไรหรอกก็ธรรมดา พรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นอยู่แล้ว ส่วนการอภิปรายนั้นมองว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้ถล่มก็พูดกันถึงเรื่องที่ต้องทำร่วมกันไม่มีอะไรขัดแย้ง เมื่อถามย้ำกรณี นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อภิปรายบอกหัวหน้าพรรคถ้าเขาไม่รักกลับบ้านดีกว่า นายอนุชา หัวเราะ แต่ไม่ตอบคำถามก่อนโบกมือให้สื่อ

ครม.เตรียมเคาะมาตรการฟื้นเศรษฐกิจ 1.4 แสนล้าน

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบ Video Conference วันที่ 1 มิถุนายน 2564 มีวาระน่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับทางด้านเศรษฐกิจเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา โดยกระทรวงการคลังเสนอมาตรการเพื่อดูแลประชาชนจากผลกระทบของโควิด-19 ระยะที่ 2 รวมทั้งหมด 4 มาตรการ ภายใต้กรอบวงเงินประมาณ 1.4 แสนล้านบาท โดยจะเริ่มใช้ในเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2564 ซึ่งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ยอมรับก่อนหน้านี้ว่า ด้วยมาตรการทั้งหมด จะช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยปีนี้ให้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ 1.5-2.5%

สำหรับมาตรการทั้ง 4 ประกอบด้วย

1.) มาตรการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 วงเงิน 9.3 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย 31 ล้านคน ให้สิทธิ์ใช้จ่ายไม่เกิน 150 บาท วงเงิน 3,000 บาทต่อคน 

2.) โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ โดยโครงการนี้รัฐบาลคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการ 4 ล้านคน (จากกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อประมาณ 6 ล้านคน) โดยภาครัฐจะสนับสนุนบัตรกำนัลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Voucher) สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคน โดยผู้เข้าโครงการจะได้รับการสนับสนุน E-Voucher จากภาครัฐในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. 2564 เพื่อไปใช้จ่ายในเดือน ส.ค.-ธ.ค.2564 โดยใช้เงินในโครงการนี้ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท 

3.) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 โดยให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ธ.ค.2564 ครอบคลุมประชาชนประมาณ 13.6 ล้านคน โดยให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน วงเงินประมาณ 1.64 หมื่นล้านบาท 

4.) โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ รวมทั้งกลุ่มผู้พิการและผู้สูงอายุด้วย จำนวน 2.5 ล้านคน เดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน วงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาท 

‘เลขาฯ สมช.’ รับ ‘บิ๊กตู่’ เบรก กทม.คลาย 5 กิจการ ชี้ รอฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยงก่อน เผย เตรียมชง นายกฯ วางแนวก่อนให้อปท.ซื้อวัคซีน

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฏฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฎิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (ศปก.ศบค.) กล่าวกรณีที่ศบค.ให้ชะลอการเปิด 5 สถานที่ของกทม.ไว้ก่อน ว่า ไม่มีอะไร คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกรุงเทพมหานคร ได้พิจารณาผ่อนคลายมาตรการตามที่ภาพเอกชนขอมา ซึ่งคณะกรรมการฯพิจารณาแล้วไม่ขัดแย้งกับข้อกำหนดของศบค.ชุดใหญ่ แต่ทุกเรื่องพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมในฐานะผอ.ศบค.มีนโยบายหรือข้อกำหนดที่แตกต่างออกไปได้ ซึ่งมองในภาพรวมถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร โดยกรณีดังกล่าวคณะกรรมการฯ หารือในชั้นต้นยังไม่มีประกาศอะไรออกมา

ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่ากทม. เสนอ แต่ทางศบค.เบรกไว้ใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฏฐพล กล่าวว่า ไม่ใช่ ยังไม่มีการเสนออะไรมา ข่าวที่ออกมาเป็นเพียงแค่การประชุม ยังไม่มีประกาศออกมาแต่ให้ข่าวออกมาก่อน เมื่อนายกฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อในกทม.ยังสูงและมีการแพร่ระบาดอยู่จำนวนมาก ก็เป็นห่วงในภาพรวมจึงให้ชะลอไว้ก่อน ทั้งนี้นายกฯ เข้าใจ กทม.และผู้ประกอบการ จึงสั่งการให้ตนไปคุยกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อเร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มอาชีพที่กทม.ก่อนผ่อนคลายอาทิ พนักงานนวดแผนโบราณ พนักงานเสริ์ฟอาหาร ช่างตัดผม ให้เตรียมการไว้ให้เรียบร้อยเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นก็จะผ่อนคลายต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามถึงการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดซื้อวัคซีนทางเลือกได้เอง มีแนวโน้มอย่างไร พล.อ.ณัฏฐพล กล่าวว่า วันนี้ตนจะรับข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุข และหารือกับนพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร ประธานกรรมการในการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม จากนั้นจะเสนอแนวทางให้นายกฯพิจารณาต่อไป อยากทำความเข้าใจว่าการจัดซื้อวัคซีนมี 2 รูปแบบ คือ การสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร และการซื้อภายในจากหน่วยงาน ซึ่งประชาชนเกิดความสับสนว่าอปท.จัดซื้อจากภายนอกได้เองซึ่งไม่ใช่อย่างนั้น 

เมื่อถามว่าอปท.จะต้องซื้อจากหน่วยงานภายในของรัฐ มีแนวโน้มอย่างไร เลขาฯสมช.กล่าวว่า ก็ต้องดูอีกที เพราะตอนนี้มีเงื่อนไขทางกฎหมาย และทางนโยบาย ที่ต้องรอนโยบายจากนายกฯ ขณะที่ศบค.ต้องคุยกับหน่วยงานเกี่ยวข้องและเสนอเรื่องมาให้นายกฯพิจารณา

“บิ๊กตู่” ถก ครม.จับตาพิจารณามาตรการลดค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิดวงเงิน 1.4 แสนล้านบาท มีผู้เข้าข่าย 51 ล้านคน

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งยังคงเป็นการประชุมผ่านระบบ Video Conference จากห้องประชุมชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ส่วนรัฐมนตรีคนอื่น ยังคงใช้ห้องทำงานของกระทรวง บางส่วนใช้ห้องประชุม สลค.และบางส่วน ใช้ห้องประชุมที่อาคารรัฐสภาเนื่องจากจะต้องชี้แจง เกี่ยวกับการใช้งบประมาณของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่มีการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวันเดียวกันนี้

ส่วนวาระการประชุมที่สำคัญ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะเสนอ ครม.อนุมัติมาตรการลดค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิดของ 4 มาตรการ วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท โดยมีผู้เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือจากมาตรการกว่า 51 ล้านคน เช่น โครงการเติมเงินให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ เป็นต้น และมีรายงานว่า ครม.วันนี้ อาจจะมีการเสนอเรื่องการต่อสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานครออกไปอีก 30 ปี โดยอัตราราคาค่าโดยสารอยู่ที่ 65 บาทตลอดสาย 

"สุทิน" พอใจฝ่ายค้านอภิปรายพ.ร.บ.งบ 65 ราบรื่นไร้คนประท้วงหนัก ชี้รัฐบาลประเมินสถานการณ์ผิด ฟังครม.ตอบเหมือนยอมสารภาพผิด พร้อมรับไม่ได้แน่ถ้ารบ.ใช้วิธีซิกแซกกู้เงิน

เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงการอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ว่า วันนี้จะเป็นไปตามที่วางแผนไว้ ด้านจะได้ใช้เวลาเร็วขึ้นกว่านี้ เพราะจากเดิมคิดว่าวันสุดท้ายจะเสร็จประมาณเวลา 00.00 น. ส่วนเมื่อวานนี้มีบรรยากาศที่น่าชื่นชม คือในการประท้วง การขัดจังหวะไม่ค่อยมี ทำให้ทุกฝ่ายทำงานได้ราบรื่น จนใช้เวลาได้อย่างมีคุณภาพ วันนี้ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน มั่นใจว่าบรรยากาศก็จะดี ส่วนเนื้อหาสาระทางฝ่ายค้านเราพอใจเป็นการอภิปรายโดยภาพรวมที่ชี้ให้เห็นถึงสภาวะสถานการณ์ของประเทศ ซึ่งรัฐบาลประเมินผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ การประเมินสถานการณ์โควิดที่ระบุว่าจะหมดไปและปี 65 จะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวทั้งหมดนี้ก็เป็นการแสดงภาพรวมงบประมาณที่ประเมินผิดพลาด 

นายสุทิน กล่าวต่อว่า ในส่วนของวันนี้จะเป็นการอภิปรายถึงกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงกลาโหม ซึ่งจะมีนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคพท. อภิปรายเป็นตัวหลักพ้อมสมาชิกท่านอื่นที่จะสร้างสีสัน

เมื่อถามว่าประเมินการชี้แจงของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไว้อย่างไรบ้าง นายสุทิน กล่าวว่าฟังดูเป็นการจำนน นายกฯ เองก็ไม่ได้ตอบคำถามแต่เป็นการอ่านญัตติ ส่วนตอบคำถามก็โยนให้รัฐมนตรีตอบซึ่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลังที่ตอบคำถามนั้น ก็เป็นการยอมรับตามสมมติฐานของฝ่ายค้าน การจัดงบในปีนี้เขาจำนน 2 ประเด็น คือ

1.) รายได้ที่เก็บไม่ได้

2.) กู้เงินไม่ได้ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ว่าเงินก็หาไม่ได้และกู้ก็กู้ไม่ได้ ที่รัฐมนตรีตอบว่าที่จัดงบน้อยลงนั้นเป็นเพราะ 2 เหตุนี้ นี่ถือเป็นการรับสารภาพ อีกส่วนหนึ่งที่ตอบเชิงไม่ยอมรับคือเมื่อรู้ว่างบน้อย กู้ไม่ได้ และไปลดงบแม้ว่าจะลดได้แต่ดันผิดที่ผิดทาง ดังนั้นเท่าที่ฟังมาฝ่ายค้านยังรับไม่ได้ ไม่มีอะไที่เป็นความหวังเลย อีกทั้งวันนี้ พรุ่งนี้ เรายังต้องหาคำตอบว่าทำไมเมื่อเก็บรายได้ไม่ได้และยังประเมินผิด กู้ไม่ได้จะใช้เงินอย่างไรหรือถ้าจะใช้วิธีซิกแซกแต่งบัญชีแอบมากู้ข้างนอกเหมือนออกพ.ร.ก. เราจะไม่ยอมเด็ดขาด เพราะถ้าไม่พอจริงๆ ก็ทำพ.ร.บ.งบกลางปีเข้าสภาฯ แล้วพิจารณาร่วมกัน 

‘แรมโบ้’ เหน็บ ‘วิโรจน์-ประเสริฐ’ เซียนข่าวปลอม อ่านตามที่คนร่างมาให้ ไม่ตรวจสอบข้อมูล ก่อนอภิปราย

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภาพรวมการอภิปราย ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระแรก ของฝ่ายค้านที่ทั้งมีการเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลาออก เนื่องจากจัดสรรงบประมาณผิดพลาด ไม่ลำดับความสำคัญ รวมถึงการบริหารจัดการโควิด-19 ล้มเหลว โดยตนย้ำว่าการบริหารงานของพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลที่ผ่านมาได้แก้ไขปัญหาในหลายอย่าง พัฒนาประเทศในหลายด้าน ซึ่งก็มีผลงานที่ฝ่ายค้านก็เห็น รวมถึงการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ไม่ได้นิ่งนอนใจในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้สถานการณ์ได้คลี่คลายให้เร็วที่สุด ขณะเดียวกันจะมีวัคซีนทยอยเข้ามาอีก ซึ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้

นายเสกสกล กล่าวว่า การจัดสรรงบประมาณของกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงสาธารณสุข ต้องพิจารณาในภาพรวมและแนวทางการดำเนินงานในระยะยาว โดยงบประมาณกระทรวงกลาโหมถูกปรับลดลงทุกปีต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 โดยปี 2565 กระทรวงกลาโหมเสนอขอตั้งงบประมาณ จำนวน 203,282.0 ล้านบาท ลดลงจากปี 2564 จำนวน 11,248.7 ล้านบาท ด้านงบประมาณสาธารณสุข รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ และเสนอขอตั้งงบประมาณ พ.ศ.2565 ไว้ที่หลายหน่วยงาน เพื่อสวัสดิการประชาชนอย่างครอบคลุมและทั่วถึงในทุกมิติด้านสุขภาพ โดยกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 9 กรม 153,940.5 ล้านบาท ลดลงจากปี 2564 จำนวน 4,338.1 ล้านบาท เรื่องเงินกู้ ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลได้มีการลงทุน ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไปกว่า 2.1 ล้านล้านบาท จำนวน 162 โครงการ ซึ่งกว่า 70 เปอร์เซ็นต์เป็นการกู้เพื่อใช้ในการลงทุน วงเงินประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท หากพรรคฝ่ายค้านไม่หูหนวก ตาบอด ใจมืดมัวจนเกินไปคงต้องรู้บ้าง

นายเสกสกล กล่าวว่า ส่วนที่พรรคเพื่อไทยแกล้งลืมก็คือ รัฐบาลปัจจุบันนี้ต้องใช้หนี้จำนำข้าว ที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้สร้างความเสียหายเกือบ 10 ปีแล้ว โดยรัฐต้องตั้งงบประมาณชดเชย ขาดทุนจำนำข้าวไปแล้ว 705,000 ล้านบาท ปัจจุบันยังเหลือหนี้จำนำข้าวอยู่อีกประมาณ 280,000 ล้านบาท ประมาณ 12 ปี จึงจะหมด สำหรับการกู้ตาม พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ก็มีแผนการใช้จ่ายครบถ้วนแล้ว และเบิกจ่ายไปแล้วกว่าร้อยละ 79.88 เกิดการจ้างงาน 163,628 คน ฝึกอบรมทักษะเกษตรกรไปแล้วอย่างน้อย 90,000 กว่าราย เบิกจ่ายงบประมาณที่ได้อนุมัติโครงการไปแล้ว 817,000 ล้านบาท ช่วยพยุงเศรษฐกิจและส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ 2 ของ GDP

นายเสกสกล กล่าวว่า ฟังการอภิปรายฝ่ายค้าน มองว่า นายวิโรจน์ ลักษณาอดิศร พรรคก้าวไกลใครก็รู้ว่าเป็น ‘เซียนข่าวปลอม’ หลอกพวกเดียวกันเองไม่พอ ปล่อยข่าวบิดเบือนหลอกชาวบ้านให้เข้าใจผิดไปด้วย แบบนี้นอกจากจะ ‘ปั้นน้ำเป็นตัว’ ยัง ‘เอาเท้าราน้ำ’ ล่าสุดก็เต้าข่าวเรื่องวัคซีนซิโนฟาร์มของนายหน้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ประชาชนคอการเมืองฝากบอกมาเห็นหน้าตาเวลาอภิปรายแล้วระวังลูกตาจะถลนออกจากเบ้าตา เพราะท่าทางดูขึงขังเอาจริงจังเกินไป แต่พอฟังข้อมูลบิดเบือนตลอด ไม่ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนที่จะพูด

นายเสกสกล กล่าวว่า นายประเสริฐ จันทรรวงทอง พรรคเพื่อไทยก็ไม่ต่างกัน อ่านตามที่คนร่างมาให้ ไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งหลายเรื่องตนอธิบายพรรคเพื่อไทยไปหลายคนและก็ได้ตอบคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้ก่อตั้งพรรคไทยสร้างไทย และนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ไปแล้ว ก็ยังมาพูด ผิดๆ เพี้ยนๆ เป็นแผ่นเสียงตกร่อง แล้วบ้านเมืองจะเดินหน้าไปได้อย่างไร ข้อมูลบิดเบือนจนทำให้ประชาชนสับสน

“ซึ่งการจัดสรรงบประมาณ นายกฯ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับทุกกระทรวงฯ เพื่อนำงบประมาณไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับประชาชนให้ได้มากที่สุด ดังนั้นพรรคฝ่ายค้านควรนำข้อมูลทั้งหมดออกมาพูดด้วย ไม่ใช่นำแต่ข้อมูลในด้านของตัวเองมาอภิปรายให้ประชาชนได้รับทราบ และทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดต่อรัฐบาล ประเดี๋ยวประชาชนจะขนานนามฝ่ายค้านว่าเป็นพวกเด็กเลี้ยงแกะ ประเภทคอยพูดจาเอาข้อมูลเท็จ หลอกลวงต้มตุ๋นประชาชนรายวัน” นายเสกสกล กล่าว


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“รังสิมันต์ โรม” ยื่นตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีผู้พิพากษาไทยเอี่ยวรับสินบนโตโยต้า ชี้ต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชน

เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 รังสิมันต์​ โรม​ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยื่นหนังสือต่อประธาน กมธ.ป.ป.ช.​ ให้พิจารณาสืบสอบหาข้อเท็จจริงกรณีรายงานข่าวว่า​ บริษัทโตโยต้าให้สินบน​ผู้พิพากษาระดับสูงของศาลยุติธรรมไทย​

รังสิมันต์ กล่าวว่าในวันนี้ตนได้ยื่นเรื่องต่อพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันปราบปรามทุจริตเเละประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ในประเด็นที่เกี่ยวกับการรับสินบนซึ่งเกี่ยวพันกับผู้พิพากษาจำนวน 3 ราย ซึ่งเป็นกรณีที่เราทราบจากสำนักข่าวจากสหรัฐอเมริกาโดยตนหวังว่าจะมีการตรวจสอบในประเด็นต่างๆ ต่อไป โดยหนังสือที่ตนส่งมานั้นมีรายละเอียดทั้งภาษาไทยเเละภาษาอังกฤษโดยเป็นประเด็นที่หลายท่านคงทราบเเล้ว

“ความยุติธรรมกระบวนการยุติธรรมของประเทศเราท้ายที่สุดเเล้วจะเป็นมรรคเป็นผลหรือไม่ กรณีนี้จะเป็นเครื่องชี้วัดที่สำคัญ เรามาทราบว่ามีการทุจริตคอร์รัปชัน เรามาทราบว่าอาจมีการรับสินที่เกี่ยวกับผู้พิพากษาจากต่างประเทศ ดังนั้นตนจึงขอให้ช่วยตรวจสอบเรื่องนี้คู่ขนานต่อไป เเละขยายผลให้ได้มากที่สุด เพื่อเป็นหลักประกันให้กับกระบวนการทางยุติธรรมของไทยต่อไป”

ด้านพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธิ์ ประธานคณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่าตนเพิ่งได้รับเรื่องในวันนี้ ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติในการที่จะตรวจสอบฝ่ายบริหารหรือฝ่ายตุลาการ เเต่ว่าตามรัฐธรรมนูญ 129 วรรค 4 ได้ยกเว้นในการพิจารณาพิพากษาคดีของตุลาการ ละการบริหารงานบุคคลของศาล ซึ่งตนได้ฟังจากเรื่องดังกล่าวเเล้ว กรณีนี้ไม่เข้าข่าย เพราะเป็นการดำเนินการตรวจสอบคู่ขนาน แม้ตนยังไม่ทราบรายละเอียด แต่จะดำเนินการต่อไป เเละจะมอบให้ ส.ส. ธีรัจชัย พันธุมาศ ในฐานะกรรมาธิการเป็นผู้ดูเเลเรื่องดังกล่าว

ขณะที่ ธีรัจชัย พันธุมาศ ในฐานะกรรมาธิการ กล่าวว่า ในเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ทำให้ประชาชนนั้นรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้นเราจะต้องหาความจริงร่วมกันกับสำนักงานศาลยุติธรรม หากเป็นเรื่องจริงตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมประกาศว่าได้ตั้งคณะทำงานอยู่ 2 ชุด ชุดเเรกคือ สำนักงานเลขาธิการศาลยุติธรรม ชุดที่ 2 เกี่ยวกับผู้พิพากษศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ที่ตรวจสอบ กรณีเเบบนี้เป็นเรื่องดี เเต่ตนคิดว่าอยากใหัเป็นชุดที่ใหญ่กว่านี้ นั่นคือ ประธานศาลฎีกา จะต้องเป็นประธานในการดำเนินการตรวจสอบเอง ถ้าเป็นเช่นนั้นจะเป็นเรืองที่ดี

และหากกรณีที่โฆษกศาลยุติธรรมได้เเถลงว่า มีการดำเนินทางวินัย ตนขอตั้งขอสังเกตว่าการดำเนินการเพียงเท่านี้จะเพียงพอหรือไม่ ซึ่งถ้าเรื่องดังกล่าวพิสูจน์เเล้วว่าเป็นเรื่องจริง สถาบันทางตุลาการของไทยจะมีปัญหาว่าสามารถถูกเเทรกเเซงได้หรือไม่ เเละจะมีการตรวจสอบถ่วงดุลภายในองค์กรอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่จะต้องชี้เเจงต่อประชาชน

“ผมคิดว่าถ้าทำเเบบนี้ได้ จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นกลับมา แต่ก่อนหน้านี้เคยมีคดีบอสกระทิงเเดงขับรถชนตำรวจ เเละคดีคุณสมบัติของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสูง มันบ่งบอกว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยจะต้องมีข้อที่ให้โต้เเย้ง

ดังนั้น ผมคิดว่าหากเราตรวจสอบในเรื่องนี้ ในฐานะ กมธ.ป.ป.ช. ที่เป็นองค์กรตรวจสอบเดียวที่มาจากประชาชน เราก็ทำหน้าที่ตรวจสอบ โดยรัฐธรรมูญมาตรา 129 ที่ระบุไว้ห้ามตรวจสอบการพิจารณาพิพากษาคดีของตุลาการ และการบริหารงานบุคคลของศาล เเต่ในกรณีนี้กรรมาธิการจะดำเนินการตรวจสอบว่าทุจริตเเละประพฤติมิชอบต่อกระบวนการทางยุติธรรมหรือไม่ ดังนั้นการตรวจสอบคู่ขนานกับศาลยุติธรรมจำเป็นต้องมี 

เเละอีกส่วนคือฝ่ายบริหาร โดยผมขอเรียกร้องพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตรวจสอบด้วย โดยให้หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี คือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ก็ควรต้องมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของคนรอบข้างก็สามารถดำเนินคดีได้เหมือนที่ผ่านมา”

โดยธีรัจชัยกล่าวทิ้งท้ายว่า ตนไม่ได้มองถึงเรื่องตัวบุคคล เเต่มองถึงโครงสร้างความยุติธรรมในเชิงหลักการ โดยตนจะดำเนินภารกิจอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีความลำเอียงและอคติในการปฏิบัติหน้าหน้าที่หาความจริง เพื่อวางระบบยุติธรรมของประเทศให้น่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะหากปล่อยกรณีนี้ไปย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศ และโดยเฉพาะหากพบว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง เราก็จะยืนยันโต้แย้งข้อมูลของหน่วยงานองค์กรต่างประเทศที่มาทำให้เราเสียหาย แต่ถ้าพบว่าเป็นความจริง ศาลยุติธรรมก็ต้องทำให้เป็นตัวอย่างด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top