Tuesday, 10 June 2025
NewsFeed

‘พีระพันธุ์’ แจ้ง!! ร่างกฎหมายโครงสร้างพลังงานใหม่เสร็จแล้ว ชี้!! ผ่านบันไดขั้นที่ 3 เตรียมมุ่งสู่บันไดขั้นสุดท้าย

เมื่อวานนี้ (21 ส.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแจ้งข่าวสำคัญ ไว้ดังนี้...

สวัสดีครับ วันนี้ผมได้มีการประชุมคณะทำงานพิเศษ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายและพลังงาน เพื่อจะให้พิจารณาร่างกฎหมายที่ผมได้พูดไว้ว่า “ผมร่างมาตลอดทุกวัน” ตอนนี้ร่างเสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ ร่างกฎหมายนี้ถือเป็นร่างแรก ซึ่งผมร่างขึ้นมาอย่างเต็มที่ มีทั้งหมด 95 หน้า 180 มาตรา และกำลังให้คณะผู้เชี่ยวชาญนำไปตรวจสอบในรายละเอียดและปรับปรุงต่อไป

ในระหว่างรอการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ผมอยากให้พี่น้องประชาชนสบายใจและมั่นใจว่าผมไม่ได้ทิ้งงานนะครับ ระหว่างนี้ผมยังทำงานเต็มที่ให้กับพี่น้องประชาชนทุกเรื่อง และทุกเรื่องที่บอกไว้ ผมยังทำอยู่ ทำต่อ เรื่องนี้เป็นบันไดขั้นที่ 3 ที่ผมเคยบอกไว้ว่า ผมจะมีบันได 5 ขั้น ก่อนหน้านี้เสร็จไปแล้ว 2 ขั้น วันนี้ขั้นที่ 3 เสร็จแล้วครับ และกำลังจะเดินหน้าสู่ขั้นที่ 5 ซึ่งเป็นขั้นสุดท้ายเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และความเป็นธรรมในการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซให้กับพี่น้องประชาชนต่อไปในอนาคตครับ

ขอให้มั่นใจว่า ผมจะทำงานทุ่มเทสติปัญญาและกำลังความสามารถทุกอย่าง เพื่อพี่น้องประชาชนในประเทศไทยของเรา ตลอดไปครับ

‘นายกฯ จีน’ ส่งสารยินดี 'อุ๊งอิ๊ง' รับตำแหน่งนายกฯ คนใหม่ ลั่น!! พร้อมทำงานสานต่อมิตรภาพดั้งเดิมที่มีอนาคตร่วมกัน

เมื่อวันที่ 19 ส.ค.67 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘หลี่เฉียง’ นายกรัฐมนตรีจีน ส่งสารแสดงความยินดีกับ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ สำหรับการเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทย

โดย หลี่เฉียง ระบุว่า จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านฉันมิตรที่ใกล้ชิดและประชาคมที่มีอนาคตร่วมกัน โดยตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษก่อน ความสัมพันธ์จีน-ไทย ยังคงพัฒนาอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ไม่ว่าภูมิทัศน์ระหว่างประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ หลี่เฉียง เผยความพร้อมทำงานร่วมกับแพทองธาร เพื่อสานต่อมิตรภาพดั้งเดิม ‘จีนไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน’ และผลักดันผลสำเร็จในการสร้างประชาคมจีน-ไทย ที่มีอนาคตร่วมกัน เพื่อนำพาผลประโยชน์มาสู่ประชาชนของทั้งสองประเทศยิ่งขึ้น ขณะปี 2025 จะตรงกับวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนกับไทย

‘คนขอนแก่น’ หนุนแจกเงินสด แทน ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ เชื่อ!! ตอบโจทย์ความต้องการ - ใช้จ่ายสะดวกกว่า

(22 ส.ค. 67) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ภายในตลาดสดเทศบาล1 เขตเทศบาลนครขอนแก่น เพื่อสำรวจความคิดเห็นประชาชนชาวขอนแก่น หลังจากมีกระแสข่าวมาว่ารัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะเปลี่ยนจากเงินดิจิทัลเป็นเงินสด 10,000 บาท

นางตุ๊กตา สรีอภัย อายุ 57 ปี แม่ค้าขายปลา กล่าวว่า ถ้าได้เป็นเงินสดจริง ๆ จะดีมากเพราะเงินส่วนนี้จะได้เอาไปเสียค่าน้ำค่าไฟ ให้ลูกไปโรงเรียน เพราะเมื่อดูตามข้อเท็จจริงแล้วถ้าได้เป็นเงินดิจิทัล 10,000 บาทน่าจะใช้ได้ยาก แต่ถ้าเป็นเงินสดจะใช้ง่ายและจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีขึ้นด้วยเพราะจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง ๆ สามารถใช้เติมน้ำมันได้ ให้ลูกไปโรงเรียนได้

"เดี๋ยวนี้ประชาชนกำลังเดือดร้อนเศรษฐกิจไม่ดีทุกคนต้องการเงินสด ถ้าได้เงินส่วนนี้มาจะนำไปเสียค่าน้ำ ค่าไฟ เพราะติดมา 2 เดือนแล้วเพราะขาดสภาพคล่องที่จะนำเงินไปใช้จ่าย ขายของก็ยากลำบากคนซื้อก็ซื้อยากพฤติกรรมคนซื้อเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อน ตอนนี้ยังไม่ค่อยเชื่อมั่นว่าจะได้เงิน 10,000 บาท ถ้าทำสำเร็จและได้เงินจริง ๆ ตอนนั้นถึงจะเชื่อมั่นในตัวรัฐบาลจริง ๆ ตราบใดที่ยังไม่เห็นเงินก็ไม่มีทางเชื่อ ถ้าได้เงินสดอยากจะได้เป็นงวดเดียวไม่ต้องแบ่งจ่าย ค่าน้ำก็แพง ค่าไฟก็แพง ค่าน้ำมันรถ ให้ลูกไปโรงเรียน เงิน 10,000 บาท ใช้ได้ไม่กี่วันก็หมด"

ขณะที่นางเพ็ชรัตน์ กองพล 58 ปี แม่ค้าขายไส้กรอก กล่าวว่า เงินสดที่รัฐบาลจะให้ ตนเองคิดว่าดีเพราะทุกคนมีรายจ่ายครอบครัวตนเองคนแก่อยู่บ้านก็ถามมาว่าจะได้จริงไหม ตนเองก็ได้แต่บอกให้ใจเย็น ๆ จะพาทำ และเชื่อว่าจะต้องได้อย่างแน่นอน เพราะรายจ่ายก็มีมาก ถ้าได้เงินตัวนี้เข้ามาจะสามารถช่วยเหลือคนเฒ่าคนแก่เหล่านี้ได้อย่างมาก ความหวังตอนนี้เชื่อว่าทำได้

"ที่ผ่านมาในรัฐบาลลุงตู่สามารถทำได้มาแล้ว ไม่ว่าใครเข้ามาเป็นรัฐบาลก็น่าจะทำได้ เพราะมีทีมงานของตัวเองทุกอย่างสามารถจัดการได้หมด ขนาด 30 บาทรักษาทุกโรคก็ยังสามารถทำได้ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคณะรัฐบาลที่จะช่วยกันผลักดันไม่ขัดแย้งกันก็จะสามารถทำได้อย่างแน่นอน"

นางเพ็ชรัตน์ กล่าวต่ออีกว่า หากได้เงินจริงอันดับแรกจะนำไปซื้อข้าวสารไว้ในครัวเรือน รวมทั้งของใช้จำเป็น เพราะเงินที่ได้มาแม้ว่ามีข้อแม้ก็จะไปซื้อของใช้จำเป็นเหล่านี้ เงินอื่น ๆ ที่เราหาเองก็ค่อยไปซื้อสิ่งของอื่น ๆ แทน เพราะเงินที่ให้มาเป็นเงินที่ทางรัฐบาลให้มาใช้จ่ายในการดำรงชีพ อาจจะจ่ายแบบรายงวดก็ได้ ถ้าเป็น 2 งวดก็จะดี ถ้าได้ก้อนเดียวลูกหลานก็จะมาขอไปหมดทำให้ไม่ได้ใช้

ด้านนาง ทิวารัตน์ สร้อยสุวรรณ์ อายุ 42 ปี แม่ค้าขายผลไม้ กล่าวว่า ตนเองไม่ได้ลงทะเบียนไว้ตอนที่จะแจกเป็นเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เพราะกลัวว่าไม่มีสิทธิ์ไปซื้อร้านค้าที่ต้องการซื้อ เพราะอาศัยอยู่ในเมืองแต่ทะเบียนบ้านอยู่นอกเมือง ก็ต้องกลับบ้านไปซื้อของ มันทำให้เกิดความลำบากในการซื้อของ ไม่เหมือนเงินประชารัฐ แม้ซื้อของข้ามจังหวัดขอแค่มีธงฟ้าติดอยู่ก็จะสามารถซื้อได้ทุกร้าน และสามารถซื้อเป็นของฝากหรือซื้อขนมให้ลูกหลานได้ในแต่ละที่

"พอมีกระแสข่าวว่าจะมีการแจกเป็นเงินสด ก็จะลงทะเบียนด้วย ถ้าได้เป็นเงินสดจะมีมาก จะดีทั้งคนซื้อ คนขาย เป็นอิสระในการซื้อของ ไม่จำกัดขอบเขต ไม่จำกัดระยะทาง ไม่จำกัดสถานที่ซื้อ ถ้าคนใช้เงินเป็นก็จะถูกวัตถุประสงค์ แต่ถ้าคนใช้ไม่ถูกหลักก็คงนำไปซื้อของที่ไม่จำเป็น เช่นซื้อหุ้น ซื้อหวย ถ้าตนเองได้เงินมาก็จะนำไปซื้อของเข้าร้านมาค้าขาย เพราะตอนนี้เงินไม่มีหมุน อย่างไรก็ดีส่วนตัวก็ยังมองว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเป็นจำนวนเงินที่เยอะ แต่ถ้าได้จริงก็อยากให้แจกจ่ายเป็นงวด งวดละ 2,000 บาท เพราะคนไทยใช้เงินไม่เป็น ขนาดคนถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่ 1 ก็ยังกลับมาจนเหมือนเดิมได้ ถ้าได้เป็นก้อนก็คงแปปเดียวหมด"

เปิด 5 เหตุผล!! ทำไม ‘คนไทย’ ย้ายมาอยู่อเมริกาแล้วไม่อยากกลับบ้าน พบ!! 'งาน-เงิน-สวัสดิการ' ดี แต่ต้องแลกด้วยการจ่ายภาษีในอัตราสูง

เมื่อไม่นานมานี้ จากช่องยูทูบ 'Jason in USA' ช่องรีวิววิถีชีวิตในสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับข้อสงสัยว่า 'ทําไมคนไทยหลายคนเมื่อย้ายมาอยู่ที่อเมริกาแล้วนั้น จึงไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตที่ไทย' โดยมีคนไทยจํานวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าการใช้ชีวิตที่อเมริกานั้นมันดีกว่าที่ไทย ซึ่ง Jason in USA ก็ได้ยกเหตุผลมา 5 ข้อ ดังนี้…

ข้อที่ 1 เรื่องโอกาสในการหางานและการทํางานสูงกว่า ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทําให้หลายคนนั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเมื่อใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา
ข้อที่ 2 เรื่องการศึกษา ซึ่งการศึกษาที่อเมริกาสามารถเข้าถึงได้กับทุกคน และที่สําคัญคือสามารถเอาไปต่อยอดในอนาคตได้อีกด้วย
ข้อที่ 3 เรื่องกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งหลายคนชอบของที่อเมริกามาก ๆ
ข้อที่ 4 เรื่องคุณภาพอากาศ ที่หลายคนมองว่าที่อเมริกาดีกว่าที่ไทยมาก โดยเฉพาะตามชานเมืองหรือชนบทที่ไม่ค่อยเจอมลพิษ
ข้อที่ 5 เรื่องสวัสดิการของรัฐในด้านต่าง ๆ ที่ดีกว่าที่ไทยมาก

ทั้งนี้ หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ต่างมีชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยเข้ามาแสดงความคิดเห็น ในมุมต่างๆ ทั้งแง่บวกและลบ โดยมีหลายความเห็นที่อยากคว้าโอกาสที่นี่ก่อน แล้วค่อยกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองไทย เช่น…

- "สวัสดิการที่ต้องแลกมากับภาษีราคาแพง"

- ยอมรับภาษีที่นี่หนักมากจริงๆ

- "ด้านสวัสดิการในการรักษาพยาบาล ของไทยยังไงก็ยังดีกว่า"

- "ชอบเมกานะ แต่เกษียณวางแผนกลับไทย เพราะเบื่อการบริการของร้านอาหารและตามห้างต่าง ๆ บริการแย่มาก แถมบังคับทิป เอามาให้คนไทยดีกว่า น้ำใจบวกรอยยิ้ม มีความสุข"

- "ยังไม่อยากกลับไทย เพราะมันยังไม่ถึงเวลา ช่วงที่โอกาสมาถึงให้รีบกอบโกยก่อน"

- สำหรับคนที่บอกอเมริกาแพงไม่ดีอย่างนู้นอย่างงี้ ต้องบอกเลยว่าบางรัฐก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด

สคอ.-สสส. และเครือข่าย ยื่นข้อเสนอต่อสมาชิกวุฒิสภา ช่วยเร่งจัดการความเสี่ยงลดเจ็บ-ตายจากอุบัติเหตุทางถนน ชี้ประเทศไทยควรมีนโยบายและปฏิบัติตามแผนต่อเนื่อง เชื่อมโยงข้อมูลเป็นระบบ-วางรากฐานวินัยจราจรตั้งแต่เด็ก

โดยสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนไทย พบอุบัติเหตุทางถนนกว่าร้อยละ 80 เกิดในผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และสวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 45 ส่งผลต่อการเจ็บและตาย หากเข้มข้นจริงจังให้มีการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้น จะช่วยลดความสูญเสียและเพิ่ม GDP ของประเทศในระยะยาว 

วันที่ 22 ส.ค.67 - ณ โรงแรม ทีเค.พาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น ถ.แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ- ในการประชุมบูรณการความร่วมมือสื่อและเครือข่ายเพื่อความปลอดภัยทางถนน ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ  ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย ได้มีเวทีเสวนา “พลังสื่อและเครือข่าย จะร่วมผลักดันนโยบายเพื่อความปลอดภัยทางถนนได้อย่างไร?” เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาแนวทางหนุนเสริมการทำงานสร้างความปลอดภัยทางถนนร่วมกัน ผู้ร่วมเสนา ได้แก่ นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส.นายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา นายสุทนต์ กล้าการขาย สมาชิกวุฒิสภา นางสาวประสพสุข จุรุทา นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด ผู้แทนสมาคมเครือข่ายหมออนามัยวิชาการ และนายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) พร้อมได้ยื่นข้อเสนอต่อสมาชิกวุฒิสภาเพื่อช่วยนำข้อเสนอไปขับเคลื่อนและเร่งผลักดันให้นโยบาย เรื่องความปลอดภัยทางถนนเกิดขึ้นจริงในวุฒิสภาและรัฐบาลต่อไป โดยมี นายสุทนต์ กล้าการขาย และนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล สมาชิกวุฒิสภา เป็นผู้รับมอบข้อเสนอดังกล่าว  

นางก่องกาญจน์ ทักษ์หิรัญฤทธิ์  ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสังคม สสส.
กล่าวว่า การสร้างความปลอดภัยทางถนนต้องอาศัยความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน และบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ-เอกชน รวมถึงภาคประชาชน ที่จะช่วยให้เกิดความปลอดภัยทางถนนและลดความสูญเสียลงทั้งชีวิต-ทรัพย์สิน-จิตใจ รวมไปถึงภาระค่าใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลที่รัฐต้องจ่ายในแต่ละปีมากกว่า 4 พันล้านบาท และมี 2 ประเด็นสำคัญที่ควรขับเคลื่อนพร้อมกันทั้งประเทศ คือ 1) สื่อสารประชาสัมพันธ์ต่อเนื่องเป็นระบบและสร้างความรอบรู้ด้านความปลอดภัยทางถนน รวมถึงวินัยจราจรตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงผู้ใหญ่ โดยเน้นส่งเสริมให้ระดับพื้นที่และอำเภอค้นหาแนวทางและนวัตกรรมการสื่อสารเพื่อทำให้ผู้ขับขี่สวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้น เน้นแข่งขันกันในเชิงบวกและสนับสนุนโล่ห์รางวัลและให้กำลังผู้ปฏิบัติงานในระดับอำเภอ และรายงานผลการสวมหมวกนิรภัยมายัง ศปถ. และ 

2) ส่งเสริมให้มีการใช้ระบบเทคโนโลยีที่ช่วยส่งเสริมการสวมหมวก อาทิ การติดตามการสวมหมวกนิรภัยจากกล้องวงจรปิดและคืนข้อมูลต่อประชาชนและหน่วยงานในพื้นที่ ซึ่งเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมและทำให้เกิดการบังคับใช้เชิงบวกเสริมไปกับการบังคับใช้กฎหมายจราจร เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่รถจักยานยนต์โดยตรง 

นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) กล่าวว่า ในการยื่นข้อเสนอครั้งนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนยังไม่สามารถขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร อาจเพราะติดขัดในหลายด้านที่ไม่สามารถขยับได้ และการแก้ปัญหาอุบัติเหตุก็เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานองค์กร รวมถึงรัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน 

ซึ่งในวันนี้ทางเครือข่ายได้จัดทำข้อเสนอเพื่อยื่นให้กับสมาชิกวุฒิสภา นำไปขับเคลื่อนสร้างความปลอดภัยทางถนนและเสนอต่อไปยังรัฐบาลต่อไป ได้แก่ 1. ระดับนโยบาย : ควรออกกฎหมายและนโยบายเรื่องความปลอดภัยทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม มีการติดตามประเมินผลและรายงานต่อคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) อย่างต่อเนื่อง 

ระดับอำนวยการ : ควรมีการประสานการดำเนินงานกลไก 5 เสาหลัก ให้สอดคล้องกับแผนแม่บทความปลอดภัยทางถนน

ระดับปฏิบัติการ  : ควรมีการจัดเวทีสังเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยง ส่งต่อและบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการแก้ไข 

2. ควรใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงข้อมูลแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ 

3. ส่งเสริมให้องค์ปกครองท้องถิ่นทุกระดับเป็นเจ้าภาพหลักในการปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อมด้านความปลอดภัยทางถนนของแหล่งท่องเที่ยว ชุมชน ให้เกิดความปลอดภัย 

4. วางรากฐานความมีระเบียบวินัยจราจรอย่างเป็นระบบที่ต่อเนื่อง และเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพหลักในการจัดหลักสูตรการเรียนการสอน และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นพัฒนาศูนย์เด็กเล็กให้เป็นต้นแบบความปลอดภัยทางถนน

นายสุทนต์ กล้าการขาย สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ยินดีที่จะรับข้อเสนอที่ทางเครือข่ายได้ยื่นมาในวันนี้ เพราะตนเองเป็นผู้ที่เคยทำงานร่วมกับเครือข่ายความปลอดภัยทางถนนมาอย่างยาวนาน จึงรับรู้ปัญหาและผลกระทบจากการความสูญเสียอันเกิดจากอุบัติเหตุทางถนนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในวันอังคารหน้าที่จะถึงนี้ ตนจะนำเรียนต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้รับทราบและร่วมขับเคลื่อนผลักดันนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยทางถนนได้อย่างแท้จริงต่อไป

'คมนาคม' ยัน!! 'เรือขนตู้สารพิษ' ไม่ได้เข้าไทยแล้ว หลังรัฐบาลเข้ม!! 'ตรึงกำลัง-เฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง'

(22 ส.ค.67) นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่มีกระแสข่าวของสื่อต่างประเทศจะมีเรือบรรทุกสารพิษ จำนวน 2 ลำ ขนสารพิษประเภทฝุ่นเกิดจากกระบวนการผลิตเหล็กด้วยเตาอิเล็กทริกอาร์กเฟอร์เนซ กว่า 100 ตู้ จากประเทศแอลเบเนีย มุ่งหน้าเข้าท่าเรือแหลมฉบังเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมนั้น

ล่าสุด การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้รับการยืนยันจากตัวแทนสายเรือว่า เรือบรรทุกสารพิษดังกล่าว ได้พ้นเขตน่านน้ำไทยไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้ท่าเรือแหลมฉบังร่วมมือกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ยังคงตรึงกำลัง และเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการลักลอบการนำสารพิษเข้ามายังประเทศไทยในทุกช่องทาง อีกทั้ง ได้กำชับให้ กทท. ดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัย และความมั่นคงของประเทศชาติ

ด้าน นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การท่าเรือฯ ได้ติดตามเรื่องเรือบรรทุกสารพิษดังกล่าว และดำเนินการตามข้อสั่งการของท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมอย่างเข้มงวด โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานราชการต่าง ๆ อาทิ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) สภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมศุลกากร ฯลฯ อย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ได้รับการยืนยันจากตัวแทนสายเรือว่า เรือในเครือของ Maersk จะไม่มีเส้นทางการเดินเรือประจำในประเทศไทย และขณะนี้เรือลำดังกล่าวได้พ้นเขตน่านน้ำไทยไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เพื่อความไม่ประมาทจึงสั่งการให้ท่าเรือแหลมฉบังยังคงเฝ้าระวังต่อเนื่องตามระเบียบการท่าเรือฯ ว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับสินค้าอันตรายของท่าเรือแหลมฉบัง พ.ศ.2559 และตามมาตรฐานความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศชาติ

ปิดฉากงดงาม!! งานแสดงพันธุ์ไม้ 'งามล้ำค่า บุปผาราชินี สมเด็จพระพันปีหลวง' 9 วัน โกยยอดเข้าชม 55,498 คน กระตุ้นท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ลำปางคึกคัก

(22 ส.ค.67) นางสาวตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง เปิดเผยถึงการจัดงานนิทรรศการแสดงดอกกล้วยไม้และพันธุ์ไม้สวยงาม ‘Lampang Orchid Festival 2024 :งามล้ำค่า บุปผาราชินี สมเด็จพระพันปีหลวง' เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบ 92 พรรษา 12 สิงหาคม 2567 โดยระบุว่า...

การจัดงานในครั้งนี้ กล่าวได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งในแง่การแสดงออกถึงความจงรักภักดีและเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระพันปีหลวง รวมทั้งในแง่ของผู้เข้าร่วมชมงาน ซึ่งระบบตรวจนับคนเข้างาน AI ได้เก็บข้อมูลตลอด 9 วัน ตั้งแต่วันที่ 10-18 สิงหาคม 2567 พบว่ามียอดรวมทั้งสิ้นถึง 55,498 คน

ขณะเดียวกัน การจัดงานในครั้งนี้ ยังมีส่วนส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดลำปาง พร้อมกับสร้างการตระหนักถึงความสำคัญของกล้วยไม้ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของจังหวัดลำปาง ตามแผนยุทธศาสตร์จังหวัดลำปาง รวมถึงส่งเสริมและอนุรักษ์กล้วยไม้โดยการประกวดกล้วยไม้ให้กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกล้วยไม้และประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจในการเลี้ยงกล้วยไม้ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องของความสวยงามและความหลากหลายของกล้วยไม้พันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทยอีกด้วย

สำหรับ ผลการประกวดกล้วยไม้ ประเภทเจริญทางข้างและเจริญทางยอด อันดับหนึ่งได้แก่ คุณชัยภัทร ศรีรักษา จากกลุ่มกล้วยไม้นครปฐม ส่วนการประกวด กล้วยไม้แคทลียาควีนสิริกิติ์ อันดับหนึ่ง ได้แก่ คุณสุพันสา ขำทอง จากสวนกัปตันออร์คิดส์

“การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของจังหวัดลำปาง และเขตจังหวัดภาคเหนือ ที่มีการรวบรวมพันธุ์กล้วยไม้หายาก และพันธุ์ไม้นามพระราชทาน นำมาจัดแสดงให้กับประชาชนได้สัมผัสความงดงาม ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก และทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง จะพยายามจัดงานอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะถือว่าเป็นโครงการดี ๆ เรามีความตั้งใจจัดขึ้น ซึ่งสร้างประโยชน์หลากหลายด้าน ทั้งในด้านส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่สำคัญคือได้สร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจสู่จังหวัดลำปางนั่นเอง”

'ดร.สันติธาร' วิเคราะห์!! '6 แม่น้ำ + 1 ต้นน้ำ' ชนวนปัญหาสินค้าจีนราคาถูกทะลักไทย

(22 ส.ค.67) ดร.สันติธาร เสถียรไทย หรือ ต้นสน นักเศรษฐศาสตร์ การเงิน ผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซชื่อดัง บุตรชาย นายสุรเกียรติ เสถียรไทย อดีตรองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงเหตุผลที่สินค้าจีนราคาถูกทะลักเข้าไทยในปัจจุบัน ว่า...

หากเปรียบปัญหาสินค้านำเข้าราคาถูกทะลักเข้าไทยเสมือน ‘ปัญหาน้ำท่วม’ การจะแก้ปัญหาอาจต้องเริ่มจากการเข้าใจว่าทำไม ‘น้ำ’ (สินค้าจากจีน) ถึงล้นและ น้ำเหล่านี้ไหลผ่าน ‘แม่น้ำ’ (ช่องทางการขาย) สายไหนบ้างมาที่ไทย 

ในฐานะคนที่เคยทำงานในธุรกิจแพลตฟอร์มและวิเคราะห์การค้า-การลงทุนระหว่างประเทศมานาน วันนี้ อยากชวนแกะประเด็นใหญ่ของประเทศนี้ที่ผมคิดว่ามีความซับซ้อนสูง เพราะมีหลายปัญหาถูกมัดรวมอยู่ด้วยกัน 

เริ่มจาก 6 แม่น้ำที่เป็นเส้นทางสำคัญที่สินค้าไหลเข้าประเทศ...

1) Trader คนไทย (Offline/Online) - ผู้ขายไทยนำเข้าสินค้าจากจีนเพื่อขายในร้านค้าทั่วไปในไทยหรือ ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Shopee Lazada และ Tiktok เพื่อขายให้ผู้บริโภคไทย

ผลกระทบ: อาจมีผลเสียต่อผู้ผลิตในประเทศ เพราะต้องแข่งกับสินค้านำเข้าราคาถูก แต่อย่างน้อยรายได้ยังอยู่กับคนไทยที่นำสินค้าเข้ามาขาย 

2) Crossborder sellers - ผู้ขายในต่างประเทศใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ เพื่อขายตรงให้กับผู้บริโภคไทยโดยไม่ต้องจดทะเบียนในประเทศ

ผลกระทบ: เพราะผู้ขายไม่ได้อยู่ในประเทศอาจสามารถหลีกเลี่ยงกฎหมายและภาษีไทย ทำให้ได้เปรียบผู้ขายในประเทศ

3) Trader ต่างชาติแปลงตัวเป็นไทย - ผู้ขายต่างชาติ เปิดธุรกิจและร้านค้าออนไลน์ในไทย แต่ส่วนใหญ่ขายสินค้านำเข้าจากจีน 

ผลกระทบ: ผู้ขายต่างชาติในร่างไทยเหล่านี้ใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายและมักหลีกเลี่ยงภาษี ทำให้เกิดความได้เปรียบเหนือธุรกิจในท้องถิ่นในหลายมิติ (และปัญหานี้ก็ไม่ได้อยู่แต่ในภาคการค้าเท่านั้น แต่กระทบหลายอุตสาหกรรมเลย)

4) Factory2consumer โมเดล - แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเช่น Temu อาจช่วยให้โรงงานในจีนสามารถ bypass ร้านค้า ขายตรงให้กับผู้บริโภคไทย ถือเป็นรูปแบบใหม่ล่าสุด

ผลกระทบ: เพราะผู้ขายไม่ได้อยู่ในประเทศ อาจสามารถหลีกเลี่ยงกฎหมายและภาษีไทย ทำให้ได้เปรียบผู้ขายในประเทศ และสามารถขายได้ในราคาถูกมาก นอกจากนี้การควบคุมคุณภาพสินค้าและบริการอาจยากยิ่งขึ้นเพราะไม่มี 'ผู้ขาย' ชัดเจน 

โจทย์สำคัญ: จะสังเกตได้ว่าปัญหาสำคัญของช่องทาง 2-4 คือการไม่บังคับใช้กฎกติกาที่มีของไทย ทั้งเรื่องมาตรฐานสินค้า ภาษีต่าง ๆ ฯลฯ กับคนขายต่างชาติ ทั้งที่อยู่ในประเทศและนอกประเทศ (Crossborder) กลายเป็นว่าทำให้กฎกติกาของไทยทำให้คนไทยเสียเปรียบเสียเอง 

หัวใจคือ อย่างน้อยควรสร้าง Level playing field ทางกฎกติกา ด้วยการบังคับใช้กฎหมายของไทยที่มีอยู่แล้วกับธุรกิจและคนขายต่างชาติที่อยู่ในและนอกประเทศทั้งการคุ้มครองผู้บริโภค, ภาษี และพรบ.ธุรกิจต่างด้าว 

เท่าที่ผมเข้าใจบางส่วนเป็นปัญหาเรื่องช่องโหว่ทางกฎหมายที่ต้องมีการอุดรอยรั่ว แต่บางส่วนเป็นแค่เรื่องการบังคับใช้กฎที่มีอยู่แล้ว แต่ขอยังไม่ลงรายละเอียดตรงนี้

5) China +1 โมเดล - สงครามการค้า ทำให้บริษัทข้ามชาติเปลี่ยนยุทธศาสตร์จากที่เคยส่งออกจากโรงงานในจีนไปอเมริกาตรง เปลี่ยนเป็นส่งจากจีนมาไทยก่อนแล้วค่อยไปอเมริกา ในกรณีนี้ไทยนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้ากึ่งสำเร็จรูปจากจีน เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ 

ผลกระทบ: การนำเข้าประเภทนี้ ส่งผลให้เกิดการขาดดุลการค้ากับจีนก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยกระตุ้นการส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ อาจทำให้เกินดุลกับประเทศอื่น ๆ มากขึ้น (เช่น สหรัฐฯ) จึงไม่ควรดูแต่ดุลการค้าไทย-จีนเท่านั้น อาจได้ภาพไม่ครบ และหากกีดกันสินค้าประเภทนี้ อาจมีต้นทุนกับผู้ผลิตในประเทศไทยสูง

โจทย์สำคัญ: ในอนาคตต้องพยายามดึงการผลิตให้มาอยู่ในประเทศให้มากที่สุดและพัฒนาศักยภาพแรงงาน ให้สร้าง Value added ได้มากขึ้น จะได้ลดการนำเข้า, เพิ่มมูลค่าให้การส่งออก, สร้างงาน-รายได้ในประเทศ (เช่น อุตสาหกรรมนิกเกิลในอินโดนีเซีย) 

6) แพลตฟอร์มต่างชาติ - แพลตฟอร์มเป็นของคนสัญชาติใด จดทะเบียนในไทยหรือไม่?

เรื่องนี้ชอบถูกผสมเข้าไปกับประเด็นที่ว่าคนขายเป็นคนไทยหรือเปล่า และ ผู้ผลิตสินค้าอยู่ในไทยหรือเปล่า ซึ่งล้วนแต่เป็นคนละประเด็นกัน 

โจทย์สำคัญ: ความจริงประเด็นอาจไม่ได้อยู่ที่แพลตฟอร์มเป็นสัญชาติไหน เพราะแพลตฟอร์มไทยก็อาจนำสินค้าเข้าจากจีนหากต้นทุนถูกกว่าผลิตเอง และแพลตฟอร์มต่างชาติก็มีคนขายสัญชาติไทย 

หัวใจ คือไม่ว่าเป็นแพลตฟอร์มสัญชาติไหนหากมีธุรกิจในไทยก็ควร

- ปฏิบัติตามกฎหมายไทย
- จ่ายภาษีในไทย 
- และจะให้ดีต้องช่วยพัฒนา SME ไทยด้วย 

โดยเราควรเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ใช้แพลตฟอร์มต่างชาติที่มีสาขาในหลายประเทศเป็นช่องทางช่วยส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทย พัฒนา SME ให้กลายเป็น Exporter ได้เจาะตลาดใหม่ ๆ อย่างที่หลายประเทศก็ทำมาแล้ว 

แต่ประเด็นที่แก้ยากที่สุดและเป็น 'ต้นน้ำ' ของปัญหาก็คือ สภาวะกำลังผลิตเกินในประเทศจีน (Oversupply/Overcapacity) - ทำให้ต้องระบายส่งออกสินค้าในราคาถูกสู่โลก ซึ่งทำให้ไปแข่งกับสินค้าส่งออกไทยในตลาดอื่นอีกด้วย

เสมือนน้ำที่ล้นเขื่อน ต่อให้เราพยายามกั้นแม่น้ำต่างๆ สุดท้ายน้ำก็จะไหลมาอยู่ดีในช่องทางใหม่ ๆ ต่อให้ปิดรูรั่วทางกฎหมายที่ไม่เท่าเทียม ก็ต้องยอมรับว่าหลายสินค้าจากจีน ก็อาจจะต้นทุนถูกกว่าไทยอยู่ดี

เรื่องนี้เป็นปัญหาระดับโลกที่ไม่ได้แก้ได้ง่าย ๆ หลายธุรกิจหาตลาดส่งออกใหม่, สร้างแบรนด์, และ ขยับขึ้น Value Chain เพื่อไม่ต้องแข่งกับสินค้าราคาถูกโดยตรง แต่แน่นอนไม่ใช่ทุกคนทำได้ ส่วนบางประเทศเลือกใช้กำแพงภาษีหรือมาตรการป้องกันการทุ่มตลาดในบางสินค้า แต่ก็ต้องระวัง เพราะหากทำผิดพลาดอาจเป็นการเพิ่มต้นทุนให้ธุรกิจในประเทศและทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นอีก

ขอส่งท้ายว่าในบทความสั้น ๆ คงไม่สามารถพูดถึงการแก้ปัญหาอย่างลงลึก แต่ที่แน่ ๆ นี่คงไม่ใช่ปัญหาที่กระทรวงใดกระทรวงหนึ่งจะแก้ได้ แต่ต้องร่วมมือกันหลายหน่วยงานและมียุทธศาสตร์ระดับประเทศที่ชัดเจน

ปล.บทความนี้ไม่ได้ต้องการจะกล่าวโทษประเทศใดเป็นพิเศษเพราะปัญหานี้อาจมาจากประเทศไหนก็ได้ และหลายข้อก็เป็นปัญหาที่ประเทศเราต้องรีบแก้ไขที่ตัวเราเอง

‘เทศบาลเมืองน่าน’ ประกาศเตือนภัยน้ำท่วม ย้ำ!! ชุมชนไหนเคยท่วมหนักปี 54 เก็บของขึ้นที่สูง

(22 ส.ค.67) ความคืบหน้าสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ จ.น่าน ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ทำให้เกิดมวลน้ำสะสมเป็นจำนวนมาก น้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของประชาชนหลายแห่งได้รับความเสียหาย

ทั้งนี้ เทศบาลเมืองน่าน ได้เผยแพร่ประกาศเตือนภัยจากเทศบาลเมืองน่าน วันที่ 21 สิงหาคม 2567 เวลา 18.10 น. ระบุว่า เนื่องด้วยมีฝนตกสะสม ปริมาณน้ำในแม่น้ำน่าน ลำน้ำสาขา ลำน้ำห้วยลี่ เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง เครื่องสูบน้ำ ณ คลองเจ้าฟ้า อาจจะระบายน้ำปริมาณมากในตัวเมืองไม่ทัน ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วมในที่ลุ่มต่ำ

ขอให้ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองน่านที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะชุมชนที่เคยประสบภัยน้ำท่วมเมื่อปี พ.ศ. 2554 เก็บข้าวของเครื่องใช้ขึ้นบนที่สูง และเตรียมอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค ให้พร้อม

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วน โทร.199, 0-5471-0508/0-5471-1014 Facebook เทศบาลเมืองน่าน

'อลงกรณ์' ตอบโจทย์วันนี้ประชาธิปัตย์ยังไม่มีมติร่วมรัฐบาล แจงยุทธศาสตร์ใหม่ปชป. ปลดแอกจากทุนการเมืองพร้อมเปิดพรรคกว้างสร้างพื้นที่ประชาชน

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับประเด็นปมสมาชิกบางคนวิจารณ์พรรคในทางลบว่าไม่พัฒนาและไม่เห็นด้วยที่พรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลซึ่งกำลังเป็นที่จับตาช่วงการฟอร์มรัฐบาลในขณะนี้ โดยมีข้อความว่า

“….ผมอ่านข่าวสมาชิกพรรคและอดีตสมาชิกพรรค 4-5 คนแสดงความเห็นไม่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย บางท่านวิจารณ์พรรคว่าไม่ได้พัฒนาตัวเองย่ำเท้าอยู่กับที่ ซึ่งในด้านหนึ่งผมดีใจที่แต่ละท่านยังสนใจและมีความห่วงใยในพรรคประชาธิปัตย์ แต่อีกด้านก็ไม่สบายใจที่มีการใช้ถ้อยคำด้อยค่าพรรคประชาธิปัตย์ทั้งที่ไม่เคยมาช่วยพรรคทำงานในยามที่พรรคตกต่ำจึงขอทำความเข้าใจในส่วนการพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับอุดมการณ์ การพัฒนาพรรคและการร่วมรัฐบาล ดังนี้

1.พรรคประชาธิปัตย์ยังคงยึดมั่นปฐมอุดมการณ์ของพรรคและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2.พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการปรับปรุงสำนักงานใหญ่ ระบบบริหารจัดการและสถานที่ทำงานให้ทันสมัยมากขึ้น
โดยเฉพาะการพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการบริหารพรรคและการบริการประชาชน เช่น การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่อการสื่อสาร การรับสมัครสมาชิกพรรคแบบออนไลน์ การยกระดับการสื่อสารทุกโซเชียลแพลตฟอร์ม 

3.มีการจัดทำยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์เป็นครั้งแรกโดยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ขณะนี้ยกร่างยุทธศาสตร์ฯ.เสร็จแล้ว
4.ลดอิทธิพลของนายทุนการเมืองและการทุจริตในระบบการเมืองฉ้อฉลโดย
หัวหน้าพรรคแต่งตั้งคณะกรรมการ001ทำหน้าที่รณรงค์ให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอุดหนุนเงินภาษีให้พรรคประชาธิปัตย์เพื่อเป็นพรรคการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง

5.เปิดพรรคกว้างสร้างพื้นที่ของประชาชนตามนโยบายโอเพ่นเฮ้าส์(Open House)โดยเปิดพรรคจัดกิจกรรม“ลานพระแม่ ฟอรั่ม”และ“เดโมแครต ฟอรั่ม”ที่พรรคประชาธิปัตย์และในภูมิภาคด้วยระบบออนไลน์และอินไซท์
6.ยกระดับความเป็นสถาบันทางการเมืองด้วยการจัดตั้ง“เดโมแครต อะคาเดมี่”(Democrat Academy)โดยเริ่มโครงการหลักสูตรผู้บริหารการเมืองเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสู่การเมืองที่สุจริตมีประสิทธิภาพและก้าวหน้าทันสมัยจะเริ่มต้นรุ่นแรกในเดือนตุลาคมนี้

สุดท้ายเป็นประเด็นเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลมีการวิเคราะห์คาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเข้าร่วมรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน

คำตอบอยู่ที่มติของที่ประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการบริหารพรรคและสส.พรรค จนถึงวันนี้ยังไม่มีการประชุมใด ๆ สำหรับวันข้างหน้าไม่ว่าพรรคจะมีมติอย่างไร ผมและสมาชิกพรรคถือปฏิบัติเช่นเดียวกับท่านชวนคือเคารพมติพรรคไม่ว่าจะมีความเห็นพ้องหรือเห็นต่างเมื่อมีมติพรรคก็จบ นี่คือความเป็นประชาธิปไตยในพรรคของเรา

อลงกรณ์ พลบุตร
รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์
22 สิงหาคม 2567“


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top