Thursday, 19 June 2025
NewsFeed

สมุทรปราการ-“รพ.เปาโล สมุทรปราการ”เปิดตัว”คลินิกเวชกรรมเปาโล” สาขาซอยมังกร 8.00-20.00 สิทธิประกันสังคมไม่ต้องสำรองจ่าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 9.00 น.วันที่ 26 กรกฎาคม 2567 โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ โดย นายแพทย์พิชัย แพร่ภัทร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเปาโล เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมทั้งตัดริบบิ้นเปิดตัวคลินิกเวชกรรมเปาโล สาขาซอยมังกร ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ พร้อมด้วย คุณทวีศักดิ์ หงษ์ทอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลเปาโล คุณสายพิณ ธรรมาสถิตกุล ผอ.ฝ่ายการพยาบาล ดร.มัทนิน พฤติธนาภัทร ผอ.ฝ่ายบริหาร คุณบุบผา ภู่ทอง ผอ.ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ และ นายแพทย์อาจ พรวรนันท์ แพทย์อายุรกรรมโรงพยาบาล สมุทรปราการ ตลอดจนคณะเจ้าหน้าที่ร่วมในพิธีเปิดครั้งนี้

โรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ เป็นสถานพยาบาลเอกชนในเครือข่าย BDMS มีศูนย์การแพทย์เฉพาะทางต่างๆ อาทิ ศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉิน, ศูนย์กุมารเวช 24 ชั่วโมง, ศูนย์ศัลยกรรมผ่าตัดส่องกล้อง ซึ่งมีนวัตกรรมการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก (MIS - Minimally Invasive Surgery) ที่ใช้ในการผ่าตัดรักษาโรคได้แทบทุกอวัยวะสำคัญ รวมทั้งมีเทคโนโลยีทางการแพทย์อันเป็นที่ยอมรับและมีมาตรฐาน สามารถวินิจฉัยและตรวจรักษาโรคได้อย่างตรงจุด เพื่อให้วางแผนการรักษาได้อย่างครอบคลุม อาทิ เครื่องมือ MRI และ CT Scan ดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทีมแพทย์ ทีมพยาบาลสหสาขาที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมให้บริการตรวจรักษาสำหรับประชาชนในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ

ด้านนายแพทย์ พิชัย แพร่ภัทร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ กล่าวว่า โรงพยาบาลเปาโลสมุทรปราการ ได้เล็งเห็นถึงสุขภาพของประชาชนในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ และมีความตั้งใจที่จะขยายบริการด้าน สุขภาพเพื่อเข้าถึงประชาชนในพื้นที่มากยิ่งขึ้น พร้อมเพิ่มศักยภาพทางการแพทย์ให้เติบโตเคียงข้างไปพร้อมกับประชาชน จึงได้มีการขยายมาตรฐานการรักษาด้วยการเปิดคลินิกเวชกรรมเปาโล สาขาซอยมังกร ซึ่งมีมาตรฐานบริการเดียวกันกับโรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ ที่มีความสะดวกต่อการเข้ารับการรักษา เข้าถึงบริการทางการแพทย์อย่างรวดเร็ว และให้ความสำคัญเสมือนคนในครอบครัว

อีกทั้งยังมุ่งหวังให้ผู้ที่มาเข้ารับบริการได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและได้มาตรฐาน ด้วยการ "รักษาอย่างเข้าถึง ดูแลอย่างเข้าใจ" สำหรับการเปิดตัวคลินิกเวชกรรมเปาโล สาขาซอยมังกร ยินดีให้บริการประชาชนในซอยมังกรและพื้นที่ใกล้เคียงภายไต้มาตรฐานการรักษาเดียวกับโรงพยาบาลเปาโล สมุทรปราการ ที่เพิ่มความสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้นโดยผู้ที่เข้ามารับบริการสามารถมาใช้บริการได้หลากหลาย อาทิ ตรวจรักษาอาการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยจากการเกิดอุบัติเหตุ, บริการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ, บริการด้านการฉีดวัคซีน, บริการออกใบรับรองแพทย์ต่างๆ เช่น Work Permit, ใบขับขี่ หรือเข้ารับอบรม เป็นต้น โดยคลินิกเวชกรรมเปาโล สาขาซอยมังกรจะเปิดให้บริการในทุกวัน เวลา 08.00 - 20.00 น. ในวาระสำคัญนี้ จึงถือเป็นโอกาสที่ดี ของการเปิดตัวคลินิกเวชกรรมเปาโล สาขาซอยมังกร และเพื่อตอบแทนทุกความไว้วางใจของประชาชนในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการทุกท่าน ด้วยกิจกรรมพิเศษต้อนรับการเปิดตัวคลินิกเวชกรรมเปาโลสาขาซอยมังกร กับกิจกรรม "ใกล้บ้าน ใกล้คุณ" ในวันที่ 27ก.ค. 67 เวลา 07.00 - 09.00 น. สามารถลงทะเบียนเข้ารับบริการตรวจสุขภาพ อาทิ ตรวจประเมินโรคอ้วน (BM), ตรวจสุขภาพสายตา (Eye Vision Test) , ตรวจระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด (FBS) , (Cholesterol) , ตรวจการทำงานของตับและไต (SGOT) (BUN) , ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)สำหรับผู้ที่มีอายุ 50 ปี ขึ้นไป และฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ สำหรับผู้ประกันตนอายุ 50 ปี ขึ้นไป โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหลายรายการ

ทั้งยังมีสิทธิพิเศษมากมายภายในงาน ที่จะมอบให้กับผู้ที่มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ แล้วมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับเรากับการเปิดตัว "คลินิกเวชกรรมเปาโล สาขาซอยมังกร"

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

รมว.ศธ. เป็นสักขีพยานในพิธีรับมอบพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง ระหว่างโรงเรียนสตรีวัดระฆังกับกองทัพเรือ

เมื่อ 25 ก.ค. 67 เวลา 08.10 น. พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เดินทางไปเป็นสักขีพยานในพิธีรับมอบพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง ระหว่าง โรงเรียนสตรีวัดระฆัง กับกองทัพเรือ โดยมี พลเรือโท วิจิตร ตันประภา รองเสนาธิการทหารเรือ สายงานกำลังพล ในฐานะประธานคณะกรรมการจัดเตรียมความพร้อมขบวนเรือพระราชพิธี (คตร.) พร้อมคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้รับมอบพวงมาลัยคล้องคอพระที่นั่ง พร้อมอุบะ เพื่อนำไปคล้องคอประดับตัวเรือสำหรับเรือพระที่นั่ง จำนวน 3 ลำ จาก ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ ติ่งอ่วม ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวัดระฆัง พร้อมคณะครูและนักเรียน ณ อู่ทหารเรือธนบุรี กรมอู่ทหารเรือ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้ นับเป็นความปลื้มปีติและความภาคภูมิใจของคณะครูและนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ที่ได้มีส่วนร่วมในการจัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่งขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ในวันที่ 27 ตุลาคม 2567 เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบ หรือ 72 พรรษา

โดยในปีนี้ กองทัพเรือได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการอัญเชิญเรือพระที่นั่งจำนวน 3 ลำ ประกอบด้วยเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เพื่อใช้สำหรับผูกทุ่นประกอบการแสดงเรือพระที่นั่งเฉลิมพระเกียรติ ในวันที่ 28 – 29 กรกฎาคม 2567 ณ บริเวณพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย (ข้างท่าราชวรดิฐ) และบริเวณอาคารราชนาวิกสภา ซึ่งถือเป็นมรดกสำคัญทางวัฒนธรรมของชาติที่ทรงคุณค่า และถือเป็นหนึ่งเดียวในโลก
สำหรับพิธีรับมอบพวงมาลัยคล้องคอพระที่นั่ง ระหว่างโรงเรียนสตรีวัดระฆัง กับกองทัพเรือ
ในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมในการแสดงเรือพระที่นั่งเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ในวันที่ 28 – 29 กรกฎาคม 2567 ณ บริเวณพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย (ข้างท่าราชวรดิฐ) และบริเวณอาคารราชนาวิกสภา โดยภายในสองวันข้างต้นมีการแสดงวันละ 2 รอบ รอบละ 30 นาที แบ่งเป็น วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 เวลา 15.00 น. และ 20.30 น. วันที่ 29 กรกฎาคม 2567 เวลา 17.00 น. และ 20.00 น.

จึงขอเชิญชวนประชาชนแต่งกายสุภาพโทนสีเหลืองร่วมงานเข้าชมการแสดงเรือพระที่นั่งฯ ในวัน เวลาและสถานที่ดังกล่าว โดยพร้อมเพรียงกัน

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645
กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกองทัพเรือ

รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ฯ โดยกองทันตสุขภาพ จัดกิจกรรมโครงการ “ผู้สูงอายุฟันดี”

กองทันตสุขภาพ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ นำโดย นาวาเอกหญิง พิมพ์โพธ สุทธิวรรณ ผอ.กองทันตสุขภาพ พร้อมด้วยทันตแพทย์ พยาบาลทันตกรรม ผู้ช่วยทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่ ให้บริการตรวจสุขภาพช่องปากและให้ความรู้ทาง ทันตกรรมกับผู้สูงอายุในชมรมผู้สูงอายุ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2567 ณ กิจการสโมสร โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

'อ.พงษ์ภาณุ' มอง!! รัฐคลอด Digital Wallet ในจังหวะ ศก.ตกต่ำ ถูกช่วง!! ห่วง!! อาจเกิดภาระการคลังเพิ่มเติม แต่ก็ต้องยอมในยามแบงก์ชาตินิ่งเฉย

(28 ก.ค. 67) ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ในมุมมองของ 'ความชัดเจนจากภาครัฐในโครงการ Digital Wallet' โดย อ.พงษ์ภาณุ กล่าวว่า...

ในที่สุดข่าวดีที่คนไทยรอคอยก็มาถึง ขณะนี้มาตรการ Digital Wallet มีความชัดเจนมากที่สุด ทั้งในเรื่องของหลักเกณฑ์ ขนาดวงเงิน คุณสมบัติของผู้ได้รับสิทธิและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ กำหนดการลงทะเบียน ตลอดจนแหล่งที่มาของเงินที่จะใช้ในโครงการ

แม้ว่าเม็ดเงินจริงจะยังไม่ออกมาจนกระทั่งเดือนธันวาคม แต่ผลจากการประกาศความชัดเจนก็ได้ก่อเกิด Announcement Effect ขึ้นมาแล้ว ประชาชนผู้บริโภคเริ่มมีความคาดหวังจากกำลังซื้อที่จะมีมากขึ้น ผู้ผลิต/ผู้ประกอบการเริ่มเตรียมแผนเพิ่มกำลังการผลิตและแผนโปรโมชันต่าง ๆ นักลงทุนเริ่มมีความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ/การลงทุนที่กำลังจะฟื้นตัวขึ้น แม้ว่าหน่วยงานสำคัญอย่างธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน แถมยังออกมาแย้งและค้านอยู่เนือง ๆ เข้าทำนองมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ

ในแง่จังหวะเวลา (Timing) Digital Wallet ออกมาในช่วงที่เศรษฐกิจไทยตกต่ำที่สุด แม้ว่าจะมีสัญญาณดีจากการท่องเที่ยวและการส่งออกที่เริ่มขยายตัวจากเศรษฐกิจโลกที่ยังดีอยู่ แต่อุปสงค์ในประเทศกลับหดตัวจากนโยบายการเงินที่ไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนคลายแต่อย่างใด

ในแง่เป้าหมาย (Target) Digital Wallet มุ่งส่งเสริมการบริโภคและการผลิตสินค้าภายในประเทศอย่างชัดเจน มีการกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายเงิน และมีการควบคุมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและ Blockchain ซึ่งป้องกันการรั่วไหล (Leakage) ออกจากการหมุนเวียนในประเทศ ซึ่งจะทำให้การใช้จ่ายของภาครัฐครั้งนี้มีพลังทวีคูณ (Multiplier) มากกว่าการใช้จ่ายทั่วไปของรัฐ

ในแง่ความโปร่งใส (Transparency) ต้องถือว่าการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ถูกควบคุมด้วยเทคโนโลยี Blockchain ข้อมูล/สถิติการใช้จ่ายเงินแผ่นดินสามารถติดตามตรวจสอบได้แบบ realtime และ online ไม่เพียงแต่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน แต่ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายของรัฐบาลได้ว่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือไม่

สุดท้าย ความห่วงใยเกี่ยวกับความคุ้มค่าและภาระทางการคลัง ก็ไม่น่าจะเป็นประเด็นอีกต่อไป ต้องยอมรับว่า การใช้จ่ายที่มี Impact ตรงต่อการผลิต/การจ้างงานสูงสุดคือ การลงทุนภาครัฐ แต่เมื่อคำนึงถึงความเร่งด่วนแล้ว คงไม่มีอะไรที่ทำได้เร็วกว่าการแจกเงินตรงถึงประชาชน แล้วให้ประชาชนเป็นผู้ใช้จ่ายเองตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนด นอกจากนี้ Application ที่สร้างขึ้นมาเพื่อโครงการนี้ ก็น่าจะถือเป็นนวัตกรรม ซึ่งสามารถนำไปใช้กับโครงการอื่นๆของรัฐในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

ในด้านภาระการคลัง ก็ต้องยอมรับว่ามาตรการนี้ก่อเกิดภาระการคลังเพิ่มเติมอยู่บ้าง รัฐบาลเองก็ยอมรับว่าหนี้สาธารณะจะกระเถิบสูงขึ้นบ้าง จาก 62% ของ GDP ในปัจจุบัน เป็นใกล้ ๆ 70% เมื่อจบโครงการ แต่ก็เป็นภาระที่คนไทยต้องยอมรับ ในภาวะที่ธนาคารกลางและนโยบายการเงินไม่ทำหน้าที่ของตนเองที่ควรจะทำ

ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ร่วมพิธีเปิดและตรวจเยี่ยมกิจกรรมฝึกอาชีพบริการประชาชน เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ โรงเรียนประเทืองทิพย์วิทยา

วันที่ 26 กรกฎาคม 2567 เวลา 10.30 น. นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นางมารศรี ใจรังษี ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน ร่วมพิธีเปิดและตรวจเยี่ยมกิจกรรมงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธานในพิธีเปิด ณ โรงเรียนประเทืองทิพย์วิทยา แขวงคลองถม เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.) กองทัพอากาศ หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน

นางมารศรี กล่าวว่า ในวันนี้ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านปลัดกระทรวงแรงงานเป็นผู้แทนร่วมพิธีเปิดและตรวจเยี่ยมกิจกรรมจิตอาสาออกหน่วยบริการแก่ประชาชนเฉลิมพระเกียรติฯ ของกระทรวงแรงงาน ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ร่วมกับศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน (ศอญ.) กองทัพอากาศ และหน่วยงานต่างๆ จัดขึ้น สำหรับที่โรงเรียนประเทืองทิพย์วิทยา เขตสายไหมแห่งนี้ ในส่วนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ร่วมสนับสนุนการจัดกิจกรรมการสาธิตและทดลองฝึกปฏิบัติอาชีพอิสระ การประดับและตกแต่งกระเป๋าผ้า ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย กระทรวงแรงงาน จึงขอเชิญชวนประชาชน เข้าร่วมงานและรับบริการฝึกอาชีพได้ตั้งแต่เวลา 08.30 – 16.30 น. โดยให้บริการฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย

Saudi Aramco บริษัทพลังงาน (มหาชน) อันดับหนึ่งของโลก วิสาหกิจของซาอุฯ ที่ ‘พีระพันธุ์’ นำคณะไปสานความสัมพันธ์

เมื่อวันที่ 15-17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ‘รองพีร์ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้นำคณะข้าราชการและผู้เกี่ยวข้องกับกิจการพลังงานของไทยไปเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เพื่อ...

(1) กระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ 

(2) หารือในประเด็นความร่วมมือต่างๆ ที่สำคัญ ตามที่มีความตกลงร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยโดยกระทรวงพลังและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุนด้านพลังงานเพื่ออนาคตคือ ก๊าซไฮโดรเจน ซึ่งปัจจุบันได้ริเริ่มความร่วมมือผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาโครงการไฮโดรเจนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Hydrogen) ในไทย รวมทั้งโครงการ Downstream partnership ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง ปตท. และ Saudi Aramco บริษัทด้านพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลกของซาอุดีอาระเบีย ที่ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ เพื่อสํารวจศักยภาพความร่วมมือด้านพลังงานและการลดคาร์บอน ซึ่งจะช่วยยกระดับภาคอุตสาหกรรมและปิโตรเคมีร่วมกันในภูมิภาค

นอกจากนั้นแล้ว ‘รองพีร์’ ยังได้หารือกับซาอุดีอาระเบียในเรื่องของราคาน้ำมัน โดยหลังจากระบบการสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR) ของไทยเกิดขึ้นแล้ว รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานจะสามารถจัดซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงราคามิตรภาพจากซาอุดีอาระเบีย เพื่อเก็บสำรองไว้ในคลัง SPR เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ 50-90 วันต่อไป 

ทั้งนี้ ฝ่ายซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนำโดยเจ้าชาย Abdulaziz bin Salman Al Saud รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ให้การต้อนรับคณะของ ‘รองพีร์’ เป็นอย่างดียิ่ง พร้อมทั้งจัดเครื่องบินพิเศษให้ ‘รองพีร์’ และคณะได้ไปเยี่ยมชมการทำงานของ ‘Saudi Aramco’ บริษัทพลังงาน (มหาชน) อันดับหนึ่งของโลก ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัทฯ เมือง Dhahran จังหวัดตะวันออก (Eastern Province) ซึ่งรัฐบาลซาอุดีอาระเบียเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ (90.19%) กองทุนการลงทุนมหาชน (Public Investment Fund) 4% และ Sanabil 4% 

Saudi Aramco มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Saudi Arabian Oil Group หรือเรียกสั้นๆ ว่า Aramco (ชื่อเดิมคือ Arabian-American Oil Company) เป็น บริษัทปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ ที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าของ ถือเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ในปี 2022 Saudi Aramco เป็นบริษัทที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกเมื่อวัดจากรายได้ โดย Saudi Aramco ถือครองน้ำมันดิบสำรองมากเป็นอันดับสองของโลก มีปริมาณมากกว่า 270 พันล้านบาร์เรล (43 พันล้านลูกบาศก์เมตร) และเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายวันที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาบริษัทผู้ผลิตน้ำมันทั้งโลก 

นอกจากนี้ Saudi Aramco ยังมีการดำเนินธุรกิจมากมายทั่วโลก ธุรกิจของบริษัทประกอบด้วย การสำรวจ การผลิต การกลั่น ปิโตรเคมีภัณฑ์ การจัดจำหน่าย และการตลาด ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงพลังงาน โดยกิจกรรมทั้งหมดของบริษัทจะถูกกำกับดูแลและตรวจสอบโดยกระทรวงพลังงานของซาอุดีอาระเบียร่วมกับสภาสูงสุดด้านปิโตรเลียมและเหมืองแร่ อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานของซาอุดีอาระเบีย ก็มีบทบาท อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบใน Saudi Aramco มากกว่าสภาฯ 

Saudi Aramco มีมูลค่าบริษัทกว่า 7.6 ล้านล้านริยาล (หรือประมาณ 73 ล้านล้านบาท) และติดอันดับ 4 บริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก เป็นรองเพียงบริษัทอเมริกันอย่าง Microsoft, Apple และ Nvidia ตามข้อมูลเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2024 เป็นหนึ่งในบริษัทพลังงานและเคมีภัณฑ์ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 90 ปี โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1933 ที่ซาอุดีอาระเบียเซ็นสัญญาให้สัมปทานบ่อน้ำมันกับบริษัทน้ำมันสหรัฐฯ Standard Oil Company of California (SOCAL) หรือ Chevron ในปัจจุบัน 

ด้วยต้นทุนการผลิตน้ำมัน 1 บาร์เรลของ Saudi Aramco นั้นอยู่ที่ประมาณ 5-6 USD ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนการผลิตในสหรัฐฯ ถึง 10 เท่า ในฐานะบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลกที่ส่งออกน้ำมันปริมาณมหาศาล จึงแตกต่างไปจากบริษัทน้ำมันส่วนใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องยึดราคาจำหน่ายที่อิงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก สามารถคุมราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ด้วยการเพิ่มหรือลดอุปทานอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างรวดเร็วเช่นกัน ในปี 2023 Saudi Aramco ได้รับการจัดอันดับจาก Forbes ว่าเป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรได้มากที่สุดในโลก

ในปี 2022 ยอดเงินในการลงทุน Saudi Aramco อยู่ที่ 3.7 หมื่นล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 18% จากปี 2021 โดยประมาณการลงทุนของบริษัทฯ ในปี 2023 อยู่ที่ราว 4.5-5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (หรือประมาณ 1.6-1.9 ล้านล้านบาท) รวมการลงทุนนอกประเทศแล้ว 

ด้วยความแข็งแกร่งและมั่งคั่ง รวมทั้ง Saudi Aramco เอง ก็มีความสนใจในการลงทุนนอกประเทศอยู่แล้ว โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กอปรกับมีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียจนกลับมาสู่สภาวะปกติ จึงทำให้ ‘รองพีร์ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ใช้ความพยายามโน้มน้าวและชักจูงอย่างเต็มที่เพื่อให้ Saudi Aramco ได้เพิ่มการลงทุนในบ้านเรา โดยเฉพาะการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมในด้านพลังงานใหม่ 

โดยการหารือพูดคุยระหว่าง ‘รองพีร์’ กับเจ้าชาย Abdulaziz bin Salman Al Saud รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของซาอุดีอาระเบียในครั้งนี้ ถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี ได้รับการสนองตอบด้วยท่าที และมิตรภาพอันดียิ่ง 

ดังนั้นการเยือนซาอุฯ ของ 'รองพีร์' ในครั้งนี้ จึงนับเป็นโอกาสที่ดีมากของไทย ทั้งในด้านความร่วมมือระหว่างกัน และด้านการลงทุนในไทยจากนักลงทุนจากซาอุดีอาระเบีย ซึ่งนับว่าเป็นข่าวที่ดีมากๆ สำหรับเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในอนาคต

‘ฌอน บูรณะหิรัญ’ เฮ!! ศาลนนทบุรี พิพากษา ‘ไม่มีความผิด’ เผย!! อดทนรอมา 4 ปี กรณีโดนกล่าวหาว่า อมเงินช่วยไฟป่า

เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.67) ‘ฌอน บูรณะหิรัญ’ พิธีกรและนักสร้างแรงบันดาลใจ ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับกรณีที่ถูกฟ้องร้องว่า ฉ้อโกงประชาชน ปมเงินบริจาคช่วยเหลือไฟป่าที่เชียงใหม่ โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้ที่ผมอดทนรอคอยมาตลอด4ปี ศาลนนทบุรีพิพากษายกฟ้อง 

จากความเป็นจริง คือ ผมได้นำเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้รับมาจากการบริจาคของทุกท่านไปช่วยเรื่องไฟป่าแล้วอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

ด้วยความเคารพต่อศาล 4 ปีที่ผ่านมาท้าทายมากๆสำหรับผม และ ครอบครัว

ขอบคุณทุกกำลังใจ ครอบครัว เพื่อน แฟน ๆ ที่ไม่แม้แต่สงสัยในตัวผม ทุกคนเชื่อมั่นในตัวผม อยู่เคียงข้างผมมาตลอด 
ขอบคุณทนาย และ ที่ปรึกษาทุกท่านที่เมตตาเอ็นดูผม 

ที่สุดคือคำพิพากษาของศาลว่า ผมไม่มีความผิด

ตื่นเต้นและรอคอยที่จะได้แชร์เรื่องราวให้ทุกคนฟังนะครับ

I’ve been fighting a silent battle for the last 4 years… today the court dismissed all charges and ruled “not guilty”. 

All the allegations and rumors have been proven wrong. The truth is, I did help with forest fire prevention in northern Thailand and I did help hospitals during covid 19. 

The last 4 years have been tough but as the saying goes “tough times don’t last, tough people do.” I can’t wait to tell you guys all about it.

‘การรถไฟ’ เตรียมเปิดอุโมงค์รถไฟทางคู่ สายอีสาน ผาเสด็จ-หินลับ เพื่อแก้ปัญหาความชัน อนาคตเปิดยกระดับมวกเหล็ก ร่นเวลากว่า 30 นาที

เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.67) เพจ ‘โครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ความคืบหน้าของโครงการรถไฟทางคู่สายอีสาน โดยได้ระบุว่า ...

28 กรกฎาคม นี้ เตรียมเปิดอุโมงค์รถไฟทางคู่ สายอีสาน ผาเสด็จ-หินลับ อุโมงค์ยาวกว่า 5.4 กิโลเมตร แก้ปัญหาความชัน อนาคตเปิดยกระดับมวกเหล็ก ร่นเวลากว่า 30 นาที

วันนี้เอาอีกหนึ่งข่าวสำคัญของ เนิร์ดระบบรางอย่างเรา ที่ติดตามการพัฒนาโครงการทางคู่กันมาตลอด 

ตอนนี้ถึงความคืบหน้าของโครงการรถไฟทางคู่สายอีสาน (มาบกะเบา-จิระ) ซึ่งเป็นหนึ่งในสายที่ติดขัดมากที่สุดเลย เพราะทั้งการปัญญาการเวนคืน ปัญหาคัดค้านช่วงเมืองโคราช (พึ่งเคลียร์ไป) 

ซึ่งทำให้หลายๆส่วนยังไม่สามารถก่อสร้างได้ แต่ส่วนไหนที่ทำได้ แล้วเสร็จก็ทยอยเปิดให้บริการกันก่อน

ตอนนี้ก็มาถึงคิวอุโมงค์ผาเสด็จ ซึ่งเป็นอุโมงค์ยาวที่สุดในไทย เพื่อตัดทางใหม่ในการข้ามเขาดงพญาเย็น ในเขตอำเภอมวกเหล็ก เพื่อมุ่งหน้าสู่ภาคอีสาน 
โดยจาก สถานีมาบกะเบา (บริเวณโรงปูนซิเมนต์ นครหลวง) ถึงสถานีมวกเหล็กใหม่ มีการวางเขตทางใหม่ เพื่อปรับโค้ง และไต่ระดับช่วงเขา ทดแทนเส้นทางเดิมที่ผ่านสถานีผาเสด็จ และสถานีหินลับ 

ซึ่งทางเดิมวิ่งลัดเลาะตามไหล่เขา และซอกเขาเพื่อไต่ระดับ ตามสภาพพื้นที่ และเทคโนโลยีการก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งดำริให้ก่อสร้างทางรถไฟสายอีสาน

รายละเอียดทางรถไฟใหม่ ช่วงมาบกะเบา-มวกเหล็กใหม่ ระยะทางช่วงที่จะเปิด : 13.20 กิโลเมตร
มีอุโมงค์ 2 แห่ง ได้แก่ 
- อุโมงค์ผาเสด็จ เป็นอุโมงค์คู่ทางเดี่ยว ระยะทาง 5.4 กิโลเมตร
- อุโมงค์หินลับ เป็นอุโมงค์เดี่ยวทางคู่ ระยะทาง 0.25 กิโลเมตร
กระบวนการขุดเจาะอุโมงค์ในโครงการทางคู่สายอีสานนี้ ใช้กระบวนการชื่อว่า The New Austrian tunneling method (NATM) 
รายละเอียดขั้นตอนการขุดเจาะอุโมงค์
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/964190120686134/?mibextid=tejx2t

ซึ่งมีความปลอดภัยในการใช้งาน และการอพยพในกรณีฉุกเฉิน พร้อมพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างอุโมงค์ เพื่อเคลื่อนย้ายผู้โดยสารทุก 500 เมตร 

ซึ่งส่วนที่เปิดเพิ่มเติมจะไปบรรจบกับทางรถไฟเดิมบริเวณก่อนถึงสถานีมวกเหล็กใหม่ ก่อนขึ้นทางยกระดับข้ามแอ่งมวกเหล็ก เพื่อให้กลับมาใช้ทางรถไฟเดิมช่วงมวกเหล็ก 

เนื่องจากฝั่งด้านเหนือของทางยกระดับติดปัญหาการเวนคืนที่ดินซึ่งหมดอายุ ต้องขอใหม่ เลยต้องใช้เวลาอีกพอสมควร

รายละเอียดของทางยกระดับมวกเหล็ก
https://www.facebook.com/share/1dBTJ2x5AoVAC5YL/?mibextid=JOZb8W

ถ้าเปิดอุโมงค์ และทางยกระดับอย่างเต็มรูปแบบ สามารถลดระยะเวลาการเดินทางได้กว่า 30 นาทีเลยทีเดียว!!! 

ซึ่งจะมีประโยชน์มาก ๆ กับรถไฟสินค้าที่จะใช้เส้นทางนี้เป็นหลักในการขนสินค้าเชื่อม ไทย-ลาว-จีน ในอนาคต!!!

แต่แน่นอนว่า การที่เปิดทางรถไฟใหม่ จำเป็นต้องมีการปิดสถานีเดิมที่รถไฟไม่ผ่านแล้ว คือ 
- สถานีผาเสด็จ
- สถานีหินลับ

ซึ่งจะเปิดให้บริการรถไฟโดยสารในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 นี้!!! หลังจากเปิดทางรถไฟใหม่ 

แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีรถไฟสินค้าคอนกรีตที่มีทางเชื่อมกับทางรถไฟสายหลักเลยอุโมงค์มาแล้ว ทำให้ต้องใช้ทางเก่าในการขนส่งสินค้าอยู่!!!

เปิดใจ 'รร.สตรีวัดระฆัง' ผู้ประดิษฐ์มาลัยคล้องคอเรือพระราชพิธีสำคัญแห่งสยาม ความปลาบปลื้มใจครั้งสำคัญ จากทุกผู้เกี่ยวข้องที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีนี้

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ ติ่งอ่วม ผู้อำนวยการโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ในโอกาสที่ได้จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่งในงานพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน เมื่อวันที่ 27 ก.ค.67 โดย ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ ได้กล่าวว่า...

สืบเนื่องจากกองทัพเรือ เป็นผู้ดำเนินการจัดขบวนเรือพระราชพิธี จึงได้มอบหมายให้ทางโรงเรียนสตรีวัดระฆัง จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง จำนวน 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์, เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9, เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และ เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ 

โดยจุดเริ่มต้นของการจัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2502 ซึ่ง นาวาโทสวัสดิ์ พูลสุข ผู้บังคับกองเรือเล็กในขณะนั้น ได้ติดต่อทางโรงเรียนสตรีวัดระฆังผ่านทาง ครูปราณี พูลสุข บุตรสาวของท่าน ซึ่งเป็นทั้งศิษย์เก่าและเป็นครูโรงเรียนสตรีวัดระฆังในขณะนั้น ให้ช่วยประดิษฐ์พวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง เนื่องจากเห็นว่าทางโรงเรียนมีชื่อเสียงในงานฝีมือด้านดอกไม้ใบตอง สามารถทำได้อย่างประณีตสวยงาม และชนะการประกวดอยู่เสมอ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางโรงเรียนจึงได้รับมอบหมายจากกองทัพเรือให้จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่งมาโดยตลอด จนเมื่อปี พ.ศ. 2539 ทางโรงเรียนได้จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งลำ คือ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 รวมเป็นจำนวน 4 ลำ จนถึงปัจจุบัน

ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ เผยต่อว่า และเมื่อเร็วๆ นี้ทางโรงเรียน จึงได้รับมอบหมายจากกองทัพเรือให้จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง จำนวน 3 ลำ เพื่อนำไปจัดแสดงเรือพระที่นั่งเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ระหว่างวันที่ 28-29 กรกฎาคม 2567 ณ ท่าราชวรดิฐ ซึ่งได้ดำเนินเสร็จสิ้นและส่งมอบให้กับกองทัพเรือเรียบร้อยแล้ว 

ส่วนในงานพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในวันที่ 27 ตุลาคม 2567 นอกจากทางโรงเรียนสตรีวัดระฆังจะได้รับมอบหมายให้จัดทำพวงมาลัยคล้องคอเรือพระที่นั่ง จำนวน 4 ลำแล้ว ยังได้มีโอกาสประดิษฐ์ดอกไม้สดตกแต่งบัลลังก์กัญญาในเรือพระที่นั่ง ซึ่งต้องอาศัยความละเอียดประณีตตามแบบแผนโบราณ 

ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ กล่าวว่า ในปัจจุบันทางโรงเรียนมีการสอนหลักสูตรเครื่องแขวนไทย ทำให้นักเรียนได้ฝึกซ้อมด้านเครื่องแขวนไทยมาอย่างยาวนาน เมื่อทางโรงเรียนได้รับมอบหมายก็พร้อมจัดทำได้ทันที ถึงแม้ในปัจจุบันทางโรงเรียนมีครูผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ไม่กี่ท่าน แต่ก็ได้รับความเมตตาจากครูอาวุโสมาช่วยสอนถ่ายทอดองค์ความรู้ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูและนักเรียนในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการส่งต่อภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อสืบสานภูมิปัญญาของชาติไทยให้คงอยู่ต่อไป ซึ่งทางโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ผู้บริหาร คณะครูอาจารย์ และนักเรียนรู้สึกภาคภูมิใจ ปลาบปลื้มใจ ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีสำคัญครั้งนี้

นอกจากนี้ทางโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ยังส่งเสริมให้นักเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะการประกวดสวดทำนองสรภัญญะ เนื่องจากโรงเรียนสตรีวัดระฆัง ได้รับการอุปถัมภ์จากวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหารมาอย่างยาวนาน 

"การที่โรงเรียนได้ก่อตั้งมาได้ เพราะพระอาจารย์ได้เห็นถึงความสำคัญของการศึกษาร่วมกับการนำธรรมะมากล่อมเกลาจิตใจนักเรียน การสวดทำนองสรภัญญะ จึงเป็นการนำธรรมะมาฝึกปฏิบัติตนของนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดระฆังเสมอมา ซึ่งทางโรงเรียนได้ส่งนักเรียนเข้าแข่งขันสวดทำนองสรภัญญะของกรมการศาสนาและได้รับโล่พระราชทานของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของโรงเรียนสตรีวัดระฆัง" ว่าที่ร้อยตรีเฉลิมรัฐ กล่าวปิดท้าย

อ่านเกม 'ทักษิณ' พยัคฆ์ติดเทอร์โบ บนผังอำนาจใหม่ ในวันที่ 'นายใหญ่' ไม่เหนือกว่า 'ครูใหญ่' อีกแล้ว

ต้องบันทึกไว้ในปฏิทินการเมืองว่าวันที่ 26 ก.ค.2567 วันคล้ายวันเกิด ครบรอบ 75 ปี ย่างสู่ปีที่ 76 ของทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 ของประเทศไทย หากย้อนคิดย้อนมองต้องบอกว่าเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจไม่น้อย...

ทักษิณถูกรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.2549 ขณะไปประชุมยูเอ็นที่สหรัฐฯ ข้ออ้างหลักของรัฐประหารคือ รัฐบาลทุจริต-คุกคามสถาบัน...แทรกแซงองค์กรอิสระ ทักษิณต้องระเหเร่ร่อนอยู่ร่วมปีครึ่ง กระทั่ง 28 ก.พ.2551 ได้กลับบ้านมากราบแผ่นดินช่วง สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่ ก.ค.2551 ก่อนศาลฎีกานักการเมืองจะตัดสินคดีที่ดินรัชดา 'ทักษิณ' รู้แกวว่าจะติดคุก ขอเดินทางไปต่างประเทศดูกีฬาโอลิมปิก 'ปักกิ่งเกมส์' แล้วไม่กลับมาอีกเลย ตะลอนร่อนเร่เป็นสัมภเวสีอยู่ร่วม 17 ปี ถูกตัดสินคดีทุจริตอีก 3 คดี กระทั่งได้เดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อ 22 ส.ค.2566 เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อรับโทษ แต่ตั้งแต่คืนแรกที่มาถึงก็อ้างป่วยหนักไปนอนพักที่ รพ.ตำรวจ จากนั้นทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยลดโทษจาก 8 ปี เหลือ 1 ปี...

นอนพักรักษาตัวจนได้รับฉายา 'นักโทษเทวดา' กระทั่ง 18 ก.พ.2567 ได้รับการพักโทษ ไม่ปรากฏอาการป่วยอีก กระทั่ง 26 ก.ค.2567 จัดงานฉลองวันเกิดครบรอบ 75 ปี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวชินวัตร (75 no place like home)

จากนี้นับถอยหลังไปวันที่ 22 ส.ค.จะถึงวันพ้นโทษ  ได้รับใบบริสุทธิ์ หรือใบสุทธิจากกรมราชทัณฑ์...คาดว่าทักษิณน่าจะเป็นพยัคฆ์ติดเทอร์โบ

ก่อนถึงวันคล้ายวันเกิด 26 ก.ค.ทักษิณไปพักผ่อนสังสรรค์และออกรอบที่รีสอร์ต-สนามกอล์ฟของ อนุทิน ชาญวีรกูล Rancho Charnvee Resort and Country Club ปากช่อง พร้อมนักการเมืองและเจ้าสัวพลังงานอย่าง สารัชถ์ รัตนาวดี เมื่อ19-20 ก.ค. 

หลังจากนั้นวันที่ 24 ก.ค.ซีอีโอของคิงส์ พาวเวอร์  อัยยวัฒน์ เปิดโรงแรมพูลแมน ย่านซอยรางน้ำ เลี้ยงวันเกิดล่วงหน้าให้อีกงาน ตามด้วยค่ำ 25 ก.ค.พบว่าบรรดาเจ้าสัว-นักการเมืองรัฐมนตรีไปร่วมกันจัดเลี้ยงล่วงหน้าให้อีกงานที่โรงแรมยูสาทร...มีเจ้าสัวพลังงานไปปรากฏตัวด้วย...

ทั้งหลายทั้งปวงก็เพียงต้องการบันทึกปรากฏการณ์นี้ไว้...

ที่จะวิเคราะห์ขีดเส้นใต้หมายเหตุไว้สั้น ๆ ณ โอกาสนี้มีเพียงว่า...ภายใต้ปรากฏการณ์นี้ดูเหมือนเส้นทางของ 'นายใหญ่' จะรื่นรมย์สมปรารถนาแทบทุกอย่าง แต่โดยแท้จริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่...

ด่านสำคัญยิ่งคือ ลุ้นระทึกว่า 14 ส.ค.ที่จะถึง 'เศรษฐา ทวีสิน' จะหลุดจากตำแหน่งหรือไม่...ถ้าหลุดว้าวุ่น...งานเข้าแน่นอน เพราะโอกาสที่เกมจะไหลไปถึงอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกฯ นั้นมีค่อนข้างสูง ด้วยเหตุข้อจำกัดของ 'อุ๊งอิ๊ง' แพทองธาร ชินวัตร...หรือแม้กระทั่ง ชัยเกษม นิติสิริ...สองแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย

การบุกถ้ำ 'หนู อนุทิน' เมื่อ 19-20 ก.ค. จึงเป็นเกมเหนือชั้นเผื่อเหลือเผื่อขาดของทักษิณ แสดงให้เห็นถึงความแนบแน่นกับอนุทิน 'ลูกน้องเก่า'...ไม่ว่าอนุทินจะขึ้นเป็นนายกฯ หรือไม่ ทักษิณก็โชว์ให้เห็นว่าเป็นหนึ่งเดียวกับอนุทิน...

แต่ลึกลงไป...ทักษิณรู้ดีว่า เหนืออนุทินยังมี เนวิน ชิดชอบ ครูใหญ่แห่งขั้วอำนาจสีน้ำเงิน ที่ว่ากันว่า...สามารถสถาปนาสภาสูงชุดใหม่ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด...ชนิดที่ 'ทักษิณ' เห็นแล้วแทบจะเป็นลม...

และอาจจะเป็นลมแบบไม่รู้ตัว หากได้ไปชมงานสุดสัปดาห์มหามงคลที่บุรีรัมย์ งานแสงสีเสียงอลังการ  บทบรรเลงของวงดนตรีซิมโฟนีออร์เคสตร้า กระหึ่ม...

ต้องฟันธงตั้งเอาไว้ตรงนี้เพื่อมาอธิบายขยายความในโอกาสต่อไปว่า...วันนี้ดุลอำนาจของขั้วน้ำเงินนั้นเริ่มเหนือกว่าขั้วแดงจันทร์ส่องหล้า ที่เหลือเพียงจำนวน สส.ที่มากกว่า และยังเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น เพราะหากกางผังอำนาจอย่างอื่น  รวมทั้งสภาสูงที่มีอำนาจพิเศษในการจัด วางองค์กรอิสระ...ต้องบอกว่าวันนี้ 'นายใหญ่' ไม่เหนือกว่า 'ครูใหญ่' อีกแล้ว...

นี่คือ ปฐมเหตุทำให้นายใหญ่...เล่นเกมถอย...ประนอมอำนาจกับขั้วน้ำเงิน...เพื่อซื้อเวลา ตั้งหลักแล้วรุกต่อบนกระดานอำนาจที่ไม่ง่ายอีกต่อไปแล้ว - ทราบแล้วเปลี่ยน!!


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top