Thursday, 8 May 2025
NewsFeed

ผวา เจอแก๊งเงินกู้ขู่ทวงดอกเบี้ยโหด ล่าสุดรถซาเล้งเครื่องมือทำกินหาย สงสัยถูกตามมายึด หวันไม่ปลอดภัย โร่แจ้งความ ตร.

โควิด-19 เชื้อโรคร้ายทำลายเศรษฐกิจ พ่นพิษหนักทุกหย่อมหญ้า แม่ค้ากาแฟได้รับผลกระทบ หันหน้ากู้เงินด่วนนอกระบบ จากนายทุนหลายเจ้า ด้วยอัตราดอกเบี้ยสุดหฤโหด ก้มหน้าชงกาแฟหาเงินใช้หนี้ไม่พอชำระ เจอตามทวงไม่กล้าออกทำมาหากิน สุดท้ายซาเล้ง เครื่องมือหาเลี้ยงชีพหาย สงสัยเจ้าหนี้ยกพวกยึด รีบแจ้งความเป็นหลักฐาน หวังได้ซาเล้งขายกาแฟคืน

เมื่อเวลา 01.30 น.วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 นางกาญจน์ธิดา รชตพงศ์วิทย์ อายุ 43 ปี แม่ค้ากาแฟ ได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.ท.รัชพล แสงสี รองสว.สอบสวน สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี หลังรถจักรยานยนต์ซาเล้งสูญหายไป จากบ้านเช่า ภายในซอยวัดบุญกัญจนาราม ม.11 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งตนเองสงสัยว่าจะเป็นการกระทำของเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ ที่เอารถซาเล้งที่ใช้ทำมาหากินเลี้ยงชีพของตนเองไป

นางกาญจน์ธิดา ได้เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ตนเอง ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เมืองพัทยาซึ่งเป็นแหล่งทำมาหากิน ไม่มีนักท่องเที่ยว เศรษฐกิจจึงอยู่ในสภาวะวิกฤต เมื่อรายได้ไม่พอจุลเจือครอบครัว จึงได้ตัดสินใจกู้เงินจากแก๊งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งตนเองตกลงกู้เงินนอกระบบไปหลายเจ้า เมื่อประสบปัญหาหนัก รายได้ที่ขายของแต่ละวันไม่เพียงพอที่จะส่งดอกให้กับเหล่าเจ้าของเงินทั้งหลาย จึงทำให้ตนเองต้องคอยหลบซ่อนตัวจากแก๊งทวงเงิน เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตราย

ซึ่งก่อนหน้านี้ตนเองก็ได้เจรจาขอลดค่าดอกเบี้ย จนเหลือวันละ 100 บาท แต่มีบางเจ้าที่ไม่ยินยอมตามคำขอ ทั้งยังทวงและด่าทออย่างรุนแรง พร้อมยื่นคำขาดจะต้องส่งวันละ 500 เท่านั้น หากไม่ส่งก็จะต้องตามมายึดทรัพย์สิน แต่ตนเองก็ไม่สามารถหาเงินมาส่งดอกเบี้ยสุดหฤโหดได้ตามที่ตกลง จึงต้องหนีไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่อื่น ไม่กล้าออกไปขายของตามปกติ และจะต้องรอให้สามีมารับถึงจะกล้ากลับเข้าห้องพัก

กระทั่งช่วงดึกที่ผ่านมาเมื่อกลับถึงห้องพัก ได้ตรวจสอบก็พบว่ารถซาเล้งขายกาแฟ เป็นรถจยย.ยี่ห้อเวฟ 125 ไอ สีขาว หมายเลขทะเบียน 1 กญ 362 ชลบุรี  ได้สูญหายไป จึงพากันมาแจ้งความร้องทุกข์ โดยตั้งขอสงสัยว่าต้องเป็นฝีมือของแก๊งเงินกู้อย่างแน่นอน เพราะแก๊งเงินกู้ได้ส่งไลน์ มาข่มขู่ไว้ก่อนหน้านี้ ตนเองไม่รู้จะไปพึ่งใคร จึงต้องรีบพากันมาแจ้งความ หวังว่าจะได้ซาเล้งขายกาแฟเลี้ยงชีพคืน นอกจากนี้ยังสร้างหวาดกลัว เพราะเกรงว่าจะได้รับอันตรายหากเจอกับแก๊งเงินกู้ จึงต้องเดินทางมาแจ้งความร้องทุกข์ไว้เป็นหลักฐานดังกล่าว


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

พท.ปูด พณ.ปล่อยสมาคมผู้ส่งออกข้าวเก็บค่าบริหารจัดการ 150 บาทต่อตัน ส่วนต่างถึง 255 ล.ส่อทุจริตหรือไม่ ใครได้ประโยชน์ บี้ พณ.แจง

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย มีหนังสือด่วนมากแจ้งผลการจัดสรรปริมาณข้าว เพื่อส่งมอบให้รัฐวิสาหกิจจีน (COFCO) ลงวันที่ 18 พ.ค.64 โดยเนื้อหาระบุเรียกเก็บค่าการบริหารจัดการจากสมาชิกในอัตราตันละ 150 บาท และต้องจ่ายค่าดำเนินการดังกล่าวภายในวันที่ 25 พ.ค.นี้ว่า กรมการค้าต่างประเทศ ผู้รับผิดชอบการค้าข้าวแบบรัฐต่อรัฐ และเป็นผู้จัดโอนโควต้าข้าวให้สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เหตุใดจึงปล่อยให้สมาคมฯ เรียกเก็บค่าดำเนินการดังกล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกต 4 ข้อดังนี้

1.) กรมการค้าต่างประเทศ ใช้วิธีการมอบโอนข้าวปริมาณ 20,000 ตันให้สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยดำเนินการจัดหา เพื่อส่งออกขายให้รัฐในต่างประเทศแต่เพียงผู้เดียว และสมาคมฯ จำกัดเพียงสมาชิกเท่านั้นที่จะมีสิทธิจัดส่งข้าวตามปริมาณที่สมาคมฯ จัดสรรให้ใช่หรือไม่

2.) จดหมายมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยระบุเนื้อหาการส่งมอบข้าวที่กำลังจะเกิดขึ้นช่วงเดือนมิ.ย.-ก.ค.นี้ COFCO สั่งซื้อข้าวขาว 5% จัดส่งแบบ FOB (ราคาส่งที่ท่าเรือ) ที่ราคาตันละ 520 เหรียญสหรัฐ แต่ข้อมูลที่ทราบมาข้าวชนิดเดียวกันนี้ ราคาตลาดอยู่ที่ตันละ 480 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ดังนั้นส่วนต่างตันละ 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันต่อปริมาณข้าว 20,000 ตัน จะเกิดส่วนต่างสูงถึง 8 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือ 25 ล้านบาท  จึงอยากให้กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงข้อมูลดังกล่าวว่าเป็นจริงหรือไม่ 

3.) การโอนข้าวแบบรัฐต่อรัฐ จำนวน 20,000 ตัน ซึ่งถือเป็นสิทธิและเป็นผลประโยชน์ของประเทศไทยให้แก่สมาคมผู้ส่งออกข้าวโดยไม่มีการประมูล เป็นการทำผิดกฎหมาย พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พ.ศ.2560 หรือไม่

4.) การดำเนินการของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย มีการเรียกเก็บเงินเพื่อการบริหารจัดการตันละ 150 บาทนั้น เงินจำนวนนี้ได้ถูกนำไปใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ตามจุดประสงค์ของการค้าข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือไม่ อย่างไร นำไปใช้อะไร เพราะมีผลต่อการผลิตข้าวของชาวนา 
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2558-ปัจจุบัน มีการซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐระหว่าง COFCO กับกรมการค้าต่างประเทศรวม 1.7 ล้านตัน หากมีการคิดส่วนต่างจากราคาส่งออกตามโควต้านี้จริง คงจะประเมินมูลค่าไม่ได้ และหากมีการเก็บค่าดำเนินการ 150 บาทต่อตันจริง อาจคิดเป็นมูลค่าเงินกว่า 255 ล้านบาท เงินเหล่านี้ใครได้ประโยชน์และใครเสียประโยชน์ ทั้งนี้ พรรค พท.จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด


 

พท.จวกกรมปศุสัตว์ปล่อยลัมปีสกินระบาดในหมู วัว ควายซ้ำเติมเกษตรกรไทย หวั่นเสียหายหลายพันล้านบาท จี้จัดหาวัคซีน

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564  นายวิสุทธิ์ ​ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ได้เกิดโรคระบาดลัมปีสกินในโค กระบือ ล่าสุดได้ลุกลามมายังสุกรในพื้นที่กว่า 40 จังหวัด โดยได้เกิดการระบาดมาตั้งแต่เดือนม.ค. จนถึงขณะนี้ผ่านมา 5 เดือน กรมปศุสัตว์ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ แม้เคยออกระเบียบการเคลื่อนย้ายสัตว์ข้ามจังหวัด แต่ไม่สามารถระงับการระบาดของโรคได้ทันท่วงที เกษตรกรบางรายยอมจ่ายค่าผ่านทาง เพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายสัตว์เพื่อไปจำหน่าย หารายได้ในช่วงที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำในตอนนี้ หากรัฐบาลปล่อยให้การระบาดของโรคลุกลามไปมากกว่านี้ อาจสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ และสุกร ที่ปัจจุบันมีรายได้จากการจำหน่ายเนื้อสัตว์ในประเทศ และยังส่งออกไปต่างประเทศ เช่น เวียดนาม และจีน รวมมูลค่าความเสียหายหลายพันล้านบาท 

นายวิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า การที่กรมปศุสัตว์สั่งซื้อวัคซีนระงับการระบาด แต่เพิ่งดำเนินการสั่งซื้อเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งดำเนินการล้าช้าไม่ทันการณ์ต่อการระบาดของโรค และยังสั่งซื้อไม่เพียงพอที่ 80,000 โดส ขณะที่ปริมาณสัตว์ที่ติดเชื้อกว่าล้านตัว ทั้งนี้ อยากเรียกร้องให้ น.สพ.สรวิทย์ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ในฐานะของฝ่ายราชการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะฝ่ายบริหาร ออกมาเปิดเผยข้อมูลการระบาด การรับมือและการจัดการป้องกันการระบาดของโรค และแสดงความรับผิดชอบที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดโรคระบาดในสัตว์จนลุกลามบานปลายสร้างความเสียหายให้กับประเทศ รัฐบาลล้มเหลวซ้ำซากไม่สามารถควบคุมทั้งโรคระบาดในคน และในสัตว์  สิ่งที่เกิดขึ้นได้เหยียบย่ำซ้ำเติมความหวังการหารายได้ของประชาชนและเกษตรกรที่กำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากโควิด-19  พวกท่านต้องรับผิดชอบ

“บิ๊กป้อม” เรียกประชุมเร่งปิดช่องว่างชายแดน บูรณาการงานเชิงรุก เข้มจนท.ทุกฝ่ายดำเนินการจับกุมหลบหนีเข้าเมืองจริงจังตามกม. วอนผู้ประกอบการหยุดใช้แรงงานเถื่อน 

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด โดยมี รมว.มหาดไทย รมว.แรงงาน รมช.กลาโหม ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมประชุม ที่ห้องประชุม 301 ทำเนียบรัฐบาล และ มีผวจ.จังหวัดชายแดน ประกอบด้วย จ.แม่ฮ่องสอน, จ.กาญจนบุรี, จ.อุบลราชธานี, จ.สระแก้ว และ จ.นราธิวาส ร่วมประชุมด้วย ผ่านระบบ VTC เพื่อมอบนโยบายแนวทางบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนในห้วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

สำหรับภาพรวมสถานการณ์ ยังพบความต้องการแรงงานและขบวนการลักลอบนำพาผู้หลบหนีเข้าเมืองข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติและขนย้ายส่งต่อเข้าพื้นที่ชั้นในไปยังสถานประกอบการในหลายจังหวัด โดยตั้งแต่ ก.ค. 62 ถึงปัจจุบัน ทหาร ตำรวจได้ร่วมจัดตั้งจุดตรวจร่วม 1,086 จุด สามารถจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้ถึง 3,2812 คน โดยจับได้ในพื้นที่ชายแดน 23,258 คน พื้นที่ชั้นใน 9554 คน เป็นผู้นำพา 264 คน ทำลายเครือข่ายไปแล้ว 105 เครือข่าย 

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำสั่งการ ขอให้ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และ กระทรวงแรงงาน ประสานการทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน ภายใต้กลไก “ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัด” ร่วมกันคุมเข้มเฝ้าระวังป้องกันและปราบปรามการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบขนส่งยาเสพติด และสินค้าผิดกฎหมาย ควบคู่ไปกับการคุมเข้มมาตรการป้องกันควบคุมโรค ตั้งแต่พื้นที่ชายแดน ต่อเนื่องเข้ามาพื้นที่ชั้นในและเขตเมืองอย่างเป็นระบบ โดยกำชับ เน้นงานข่าวย้อนกลับจากผลสอบสวนและต้องปิดช่องว่างที่เกิดขึ้นให้ได้ ตามสืบจับขยายผลทำลายเส้นทางและโครงสร้างขบวนการลักลอบนำพาแรงงาน ตั้งแต่ต้นทางชายแดน ถึงปลายทางสถานประกอบการ พร้อมย้ำกับทุกส่วนราชการ หากมีการปล่อยปละละเลย หรือบกพร่องต่อหน้าที่ ต้องมีผู้รับผิดชอบ และจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดทั้งวินัยและอาญากับเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องสมประโยชน์ทุกระดับไม่มียกเว้น

โดยพล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับกระทรวงมหาดไทย ย้ำกับ ผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัดชายแดน ต้องใช้กลไก “ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านของจังหวัด” และให้เพิ่มความถี่ลงกำกับขับเคลื่อนงานกับหน่วยงานความมั่นคงในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่อย่างต่อเนื่องและจริงจังถึงระดับหมู่บ้าน ตำบลติดชายแดน คู่ไปกับกลไก กอ.รมน.จว. โดยให้วางเครือข่ายเฝ้าระวังดึงประชาชนในพื้นที่ร่วมเป็นหูเป็นตา ไม่ให้มีผู้ลักลอบหลบหนีเข้ามาในทุกช่องทาง โดยเฉพาะต้องหยุดการเคลื่อนไหวของผู้นำพาในพื้นที่ และประชาสัมพันธ์ขยายผลความร่วมมือประชาชนไปด้วยกัน 

ส่วนกระทรวงแรงงาน พล.อ.ประวิตร ได้ย้ำสั่งการให้เร่งเข้าไปตรวจสอบความเชื่อมโยงจากผลการสอบสวนถึงผู้ประกอบการที่สั่งนำแรงงานเถื่อนเข้าและให้ประสานกับฝ่ายความมั่นคง ทำลายเครือข่ายการลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเดิมและที่พบใหม่ให้หมดสิ้นโดยเร็ว พร้อมกับให้เร่งรัดการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติที่ยังตกค้างให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดโดยเร็ว พร้อมกันนี้ขอให้ดำรงความต่อเนื่องเชิงรุก ตรวจคัดกรองแค้มป์คนงานและสถานประกอบการ รวมทั้งกำกับติดตามการเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นกลุ่มก้อนที่อาจนำพาโรคโดยไม่รู้ตัว ทั้งนี้ขอให้เน้นงานเชิงรุกให้มากขึ้น กำหนดมาตรการป้องกันและบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด กับสถานประกอบการที่ยังใช้แรงงานผิดกฎหมาย ร่วมไปกับขอความร่วมมือสถานประกอบการระงับการใช้แรงงานผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด

“รองนายกฯ ขอให้ ตำรวจประสานแก้ปัญหาการลักลอบเข้าเมืองกับประเทศเพื่อนบ้าน และกำชับการทำงานของหน่วยงาน ตชด. ตม.และตำรวจภูธรทุกพื้นที่ สนับสนุนการทำงานของ ศูนย์สั่งการชายแดนฯ และกวดขันเพิ่มจุดตรวจทั้งเส้นทางหลักและรอง สกัดกั้นการลักลอบเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาในพื้นที่ชั้น และควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นกลุ่มก้อน ทั้งนี้ยังให้คงความต่อเนื่องเปิดปฏิบัติการ กวาดล้างจับกุมการค้ามนุษย์ ยาเสพติด แหล่งมั่วสุมในทุกพื้นที่ชุมชน โดยให้ขยายผลยึดทรัพย์ผู้เกี่ยวข้องทุกราย เพื่อร่วมกันควบคุมโรคและการกระทำที่ผิดกฎหมายควบคู่กันไป พร้อมขอให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท เพื่อความปลอดภัยของทุกคน”พล.ท.ควชีพ กล่าว

“ไทยไม่ทน” บุกปชป. ยื่นหนังสืงจี้ “จุรินทร์” ถอนตัวร่วมรัฐบาล ออกมายืนเคียงข้างปชช. เปิดทางให้ทุกฝ่ายนำร่วมกันหาผู้นำคนใหม่ ชี้ ”ระบอบประยุทธ์” เป็นภัยคุมคามปชต.-สถาบัน

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ที่พรรคประชาธิปัตย์ คณะไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย นำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ นายวีระ สมความคิด พร้อมคณะ เข้ายื่นหนังสือถึงนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านนายแทนคุณ จิตต์อิสระ คณะทำงานของ รมว.พาณิชย์ ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อเห็นแก่ชาติและประชาชน

ในหนังสือดังกล่าว มีสาระสำคัญระบุว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์บ้านเมือง ภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สืบทอดอำนาจมาถึง 7 ปี แม้จะอ้างว่า ในช่วง 2 ปีหลังเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่วิญญูชนย่อมรู้ดีว่า นับแต่รัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์และเครือข่ายก็วางโรดแมปเพื่อสืบทอดอำนาจนับแต่นั้นเป็นต้นมา จนสามารถสถาปนา “ระบอบประยุทธ์” ที่สร้างความทุกข์ยากแสนสาหัสให้กับผู้คนในประเทศ ความเลวร้ายของระบอบประยุทธ์ไม่สามารถสาธยายได้หมด แต่ข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ที่ประชาชนกำลังเผชิญไม่ว่าจะเป็นวิกฤติโควิด-19 ที่ประชาชนเสียชีวิตเป็นใบไม้ร่วงทุกวัน ๆ ปัญหาเศรษฐกิจทั้งในระดับครัวเรือนและมหภาค การทุจริตคอรัปชั่นที่นำอำนาจผลประโยชน์ไปหล่อเลี้ยงความสามานย์ของระบอบประยุทธ์ การเติบโตขยายอำนาจของรัฐระบบราชการ ที่ไม่เห็นหัวประชาชน ด้อยค่า ลดทอนอำนาจฝ่ายการเมืองที่เป็นตัวแทนประชาชนลงทุกขณะ ที่สำคัญคือ การแอบอ้างสถาบันแสวงหาประโยชน์ แบ่งแยกประชาชน จนสถาบันเกิดความมัวหมอง

เวลานี้ประชาชนที่ไม่ยอมจำนนและไม่ทนกับความชั่วร้ายของระบอบประยุทธ์ กำลังเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้ประเทศได้มีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่เป็นคนดีมีความรู้ความสามารถนำพาประเทศให้หลุดพ้นปากเหวแห่งหายนะ เสียงเรียกร้องและความเคลื่อนไหวนี้ค่อย ๆ พัฒนา ยกระดับขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ และคนในเครือข่ายระบอบประยุทธ์ก็พยายามโต้กลับ กำราบปราบปรามทุกวิถีทางและมีแนวโน้มว่าถึงที่สุดก็จะใช้ความรุนแรงปราบปราม เข่นฆ่าประชาชน ซึ่งนั่นหมายความว่า ประเทศก็จะยิ่งวิกฤติและเป็นบาดแผลครั้งใหญ่มากกว่าเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ชาติไทย 

ด้วยความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเก่าแก่ที่สุดอยู่คู่กับประเทศมาถึง 75 ปี ย่อมมองเห็นแนวโน้มของวิกฤตภายใต้ระบอบประยุทธ์ ไม่ต่างไปจากความเคลื่อนไหวเรียกร้องของภาคประชาชน สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ดำรงอยู่ได้ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพราะมีประชาชนให้การสนับสนุน วาทะที่นายชวน หลีกภัย แกนนำคนสำคัญของพรรค กล่าวอยู่เสมอว่า “เชื่อมั่นในระบบรัฐสภา” หรือ “ถึงที่สุดแล้วประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน” นั้น สะท้อนให้เห็นถึงจิตสำนึกประชาธิปไตยที่มองประชาชนเป็นใหญ่ ซึ่งเหล่านี้คือบทบาทของพรรคที่นับได้ว่ามีส่วนและคุณูปการช่วยธำรงรักษาระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภามาไม่น้อย 

ดังนั้น เมื่อระบอบประยุทธ์ คือ ภัยคุกคามของระบอบประชาธิปไตย ภัยคุกคามต่อสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของประชาชน ภัยคุกคามความเจริญก้าวหน้าในทุกมิติของประเทศที่จะต้องส่งมอบต่ออนาคตให้คนรุ่นลูกหลานได้ดำรงอยู่ จึงขอให้พรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อเปิดทางเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันหาผู้นำประเทศคนใหม่ตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป ขอพรรคประชาธิปัตย์ก้าวมาอยู่เคียงข้างประชาชน หยุดความชั่วร้ายสามานย์ของระบอบประยุทธ์


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

จับตาหนี้ครัวเรือนไทยพุ่งกระทบกำลังซื้อ-แรงงานรายได้หาย

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยภาวะสังคมไทยไตรมาสแรก ปี 64 ว่า แนวโน้มหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของไทยในปี 64 จะยังคงอยู่ในระดับสูง หลังได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างหนักตั้งแต่ต้นปี โดยตลาดแรงงานจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้นจนทำให้รายได้ลดลง และส่งผลให้ครัวเรือนขาดสภาพคล่อง โดยเฉพาะครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจากนี้ประเมินว่า ครัวเรือนจะมีการกู้เงินมาใช้ประคองชีวิตตัวเองมากขึ้น ทั้งสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล และสินเชื่อบัตรเครดิต  

ทั้งนี้เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นต้องดูดัชนีมูลค่าเงินฝากต่อบัญชีที่ต่ำกว่า 100,000 บาท ปัจจุบันนี้มีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนให้เห็นว่าคนเอาเงินฝากมาใช้จ่ายมากขึ้น หลังจากครัวเรือนประสบปัญหาสภาพคล่อง ซึ่งแนวทางการช่วยเหลือดูแลในช่วงต่อไป สภาบันการเงินต่าง ๆ ควรช่วยเหลือผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ยืดระยะเวลาชำระหนี้ หรือลดดอกเบี้ย เพื่อให้ครัวเรือนที่เดือดร้อนได้มีเงินไปใช้จ่ายรายเดือนมากขึ้น ขณะเดียวกันยังต้องเฝ้าระวังเรื่องหนี้นอกระบบที่อาจเพิ่มขึ้นมาด้วย เพราะครัวเรือนรายได้น้อยอาจหันไปกู้หนี้นอกระบบจนซ้ำเติมปัญหาหนี้เดิมที่มีอยู่ 

สำหรับสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส 4 ปี 63 พบว่า มีมูลค่า 14.02 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน คิดเป็นสัดส่วน 89.3% ต่อจีดีพี ซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว

‘แอน จักรพงษ์’ งัดหลักฐานโชว์ Miss Universe ติดต่อเรื่องซื้อกิจการจริง รอการติดต่อกลับ พร้อมปิดดีลทันที เงินสดพร้อมจ่าย แต่ต้องให้ถือหุ้น 51% ขึ้นไป

เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ ‘แอน จักรพงษ์’ ได้ออกมาเปิดเผยว่าทาง บริษัท Miss Universe Organization ได้ติดต่อเข้ามาเพื่อขายหุ้นกิจการและลิขสิทธิ์ ของ MUO ซึ่งทางบริษัทได้ติดต่อเธอเข้ามาตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งในตอนนั้นยังไม่ได้สนใจ

แต่ตอนนี้เธอได้ติดต่อ 'พอลล่า ชูการ์ต' เจ้าของเวที Miss Universe คนปัจจุบัน กลับไปแล้ว และกำลังรอการยืนยันตอบกลับ ซึ่งถ้าหาก MU จะขายลิขสิทธิ์ เธอก็พร้อมเคลม เพราะเงินพร้อมมาก แน่นอนว่าเหล่าแฟน ๆ นางงามก็ต่างเข้ามาสนับสนุนให้เธอซื้อกิจการและลิขสิทธิ์ของ Miss Universe แต่บางคนก็บอกว่าถ้าเป็นคำพูดจากเธอนั้นเป็นเรื่องที่ต้องหาร อาจจะไม่เป็นจริงทั้งหมด

ทำให้เมื่อคืนเธอจึงได้ออกมาไลฟ์สดเปิดเผยว่า เธอนั้นสนใจดีลการเข้าถือหุ้นเป็นเจ้าของ Miss Universe จากบริษัท Endeavor โดยเธอได้เล่าว่าตัวเธอนั้นเคยได้รับการทาบทามตั้งแต่ปี 2018 แต่ในตอนนั้นเธอยังไม่ได้สนใจในแวดวงนางงาม จนกระทั่งได้รับแรงบันดาลใจจากสาวมิสยูนิเวิร์สไทยคนล่าสุดอย่าง ‘อแมนด้า ออบดัม’ และจากผลการประกวดทำให้เธอไม่พอใจกับผลการประกวด

พร้อมทั้งออกมาแฉเบา ๆ ว่าการที่นางงามจาก ‘เม็กซิโก’ ได้ครองมงกุฎครั้งนี้ไปนั้น นั่นก็เป็นเรื่องของ ‘ธุรกิจ-ผลประโยชน์’ เพราะทาง 'เทเลมอนโด' เจ้าของลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอด Miss Universe ทั่วทวีปอเมริกาใต้ได้ทำสัญญาถ่ายทอดการประกวดไว้กับ MUO ถึง 5 ปี ลงทุนไปหลักพันล้าน ทั้งยังต้องการจะได้ทุนคืน โดยการเอานางงามที่ได้มงกุฎมาทำงานเป็นนักแสดงในช่อง หรือพูดง่าย ๆ ว่า ไทยจะยังไม่มงอีก 5 ปี เพราะต้องรอให้เทเลมอนโดได้ทุนคืนก่อนนั่นเอง

แอนยังกล่าวอีกว่า ตัวเธอกับทางเทเลมอนโดนั้นรู้จักกันมานานกว่า 10 ปีแล้ว หลังจากมีการชักชวนให้เธอซื้อละคร ภาพยนตร์จากละตินเข้ามาฉายในเอเซีย พร้อมทั้งงัดหลักฐานออกมาโชว์ว่าสิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง เธอมีหลักฐานทุกอย่าง เพราะถ้าเธอไม่มีเอกสาร เธอก็คงไม่มานั่งพูดลอย ๆ เป็นแน่

อย่างไรก็ตาม แอน กล่าวว่า ตัวเธอนั้นจะต้องได้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 51% เพราะโดยปกติแล้วทาง MUO จะเสนอให้แค่ 20% และเธอนั้นต้องสามารถออกสิทธิ์ออกเสียง กำหนดทิศทางองค์กรได้ เพราะก่อนหน้านี้เธอเคยกล่าวว่า "อยากทำการสังคายนาเวที Miss Universe" อยากได้การพัฒนา เธอต้องการจะเห็นความยุติธรรม จะมาเอาเงินอย่างเดียวเธอไม่ยอม

ทั้งนี้ แอน ยังได้ทิ้งท้ายถามแฟนนางงามอีกว่า ถ้าเธอทำแฟนนางงามพร้อมที่จะสนับสนุนเธอหรือไม่ เพราะเธอนั้นมีเงินสดพร้อมจ่ายจริง หากปิดดีลได้สำเร็จ

 

ที่มา : https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_6413747

https://fb.watch/5GMzqPuOTd/


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สศช.เปิดสถิติสังคม ไตรมาส1/2574 คนว่างงานพุ่ง 7.6 แสนคน

เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 1/2564 ว่า ภาวะการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้น 0.4% จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในภาคเกษตรตามภาวะราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวยังหดตัวเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ส่วนการว่างงานเพิ่มขึ้นสูง โดยผู้ว่างงานมีจำนวน 0.76 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.96%สูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากโควิด ที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามขณะจำนวนชั่วโมงการทำงานรวมอยู่ที่ 40.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลดลง 1.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 การทำงานต่ำระดับเพิ่มขึ้นถึง 129.1% เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ทั้งนี้ จากภาพรวมที่ผู้มีงานทำเพิ่มขึ้นแต่ชั่วโมงการทำงานลดลง สะท้อนการจ้างงานและการทำงานที่ไม่เต็มเวลา ซึ่งจะทำให้แรงงานมีรายได้ลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน

ทั้งนี้มีสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังคือ ถ้าโควิดยังไม่จบลงง่าย ๆ จะส่งผลกระทบต่อแรงงานในกลุ่มเอสเอ็มอีตกงานมากขึ้น หรือถูกลดชั่วโมงการทำงาน เช่นเดียวกับแรงงานในภาคการท่องเที่ยวกว่า 7 ล้านคน อาจถูกเลิกจ้างมากขึ้น และต้องหาอาชีพใหม่ และยังพบว่าตำแหน่งงานอาจไม่เพียงพอจะรองรับนักศึกษาจบใหม่ในปี 64 ที่จะมีอีกประมาณ 4.9 แสนคน อีกทั้งยังมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของแรงงาน โดยเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ชั่วโมงการทำงานที่ลดลง 6 ไตรมาส ติดต่อกัน และการว่างงานเพิ่มขึ้น สะท้อนว่าแรงงานมีรายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง 

ขณะที่ผู้ว่างงานจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 มีแนวโน้มเป็นผู้ว่างงานระยะยาวมากขึ้น หรือว่างงานมากกว่า 12 เดือน โดยการว่างงานเป็นเวลานานจะส่งผลกระทบต่อรายได้ และทำให้ทักษะแรงงานลดลง อีกทั้งแรงงานในระบบที่ถูกเลิกจ้างจำนวนมากได้กลายเป็นแรงงานนอกระบบ ตั้งแต่การระบาดรุนแรงในปี 63 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง และขาดหลักประกันทางสังคมด้วย

สำหรับแนวโน้มการก่อหนี้ของครัวเรือนในปี 64 คาดว่าสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP จะยังคงอยู่ในระดับสูง จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับไปในระดับก่อน COVID-19 ประกอบกับตลาดแรงงานอาจได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อรายได้ของแรงงานและทำให้ครัวเรือนประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องมากขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อย ทำให้ปี 64 ครัวเรือนจะระมัดระวังการใช้จ่าย โดยเฉพาะการชะลอการซื้อสินค้าในกลุ่มสินค้าคงทน ทำให้ความต้องการสินเชื่อที่อยู่อาศัยและรถยนต์ชะลอตัวลง

ขณะที่ความต้องการสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลอาจปรับตัวเพิ่มขึ้น จากปัญหาการขาดสภาพคล่อง รวมทั้งมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับประชาชนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ อาทิ ธนาคารออมสิน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างเหมาะสม ควบคุมดูแลการให้สินเชื่อให้สอดคล้องกับระดับรายได้ รวมทั้งเฝ้าระวังการก่อหนี้นอกระบบโดยเฉพาะกับครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการจ้างงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครัวเรือนมีรายได้ และสามารถรักษาระดับการบริโภคไว้ในระดับเดิม

ทั้งนี้ไตรมาส 1/64 การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังลดลง 65.4% เป็นการลดลงในเกือบทุกโรค โดยผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ลดลง 94.3% ผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกลดลง 74.0% และผู้ป่วยโรคปอดอักเสบลดลง 41.4%แต่ยังต้องเฝ้าระวังโรคมือ เท้า ปาก ในกลุ่มเด็กเล็ก เนื่องจากมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 และพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสมซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว อาทิ การบริโภคผักและผลไม้น้อย การบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งมีพฤติกรรมเสี่ยงกว่ากลุ่มอื่น

รัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างมาก หลังรัฐบาลเบลารุสส่งเครื่องบินเจ็ตเข้าประกบเครื่องบินของสายการบินไรอันแอร์ที่บินจากกรุงเอเธนส์ไปยังกรุงวิลนีอุสผ่านน่านฟ้าเบลารุส

รัฐบาลสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างมาก หลังรัฐบาลเบลารุสส่งเครื่องบินเจ็ตเข้าประกบเครื่องบินของสายการบินไรอันแอร์ที่บินจากกรุงเอเธนส์ไปยังกรุงวิลนีอุสผ่านน่านฟ้าเบลารุส

โดยทางการเบลารุสได้บังคับให้เครื่องบินสายการบินไรอันแอร์ร่อนลงจอดในกรุงมินสก์ ก่อนจะเข้าจับกุมนายรามาน ปราตาเซวิช ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวที่โดยสารมาในเครื่อง ทั้งนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบการเดินทางทางเครื่องบินของยุโรปอย่างร้ายแรงและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ด้านโฆษกของสายการบินไรอันแอร์ระบุว่า ลูกเรือของเที่ยวบินดังกล่าวได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่เบลารุสว่ามีบุคคลที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงโดยสารมาในเครื่อง และเมื่อเครื่องลงจอดที่กรุงมินสก์ เจ้าหน้าที่เบลารุสก็ได้ทำการจับกุมนายปราตาเซวิช ซึ่งเป็นอดีตบรรณาธิการบริหารของหนึ่งในช่องทางข่าวสารบนแอปพลิเคชันเทเลแกรมที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในเบลารุส รวมถึงเป็นผู้สื่อข่าวที่ทำหน้าที่รายงานข่าวการประท้วงต่อต้านประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูกาเชนโก ซึ่งชนะการเลือกตั้งในปี 2563 โดยมีข้อครหาจากหลายฝ่ายทั่วโลก

นายแอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐกล่าวว่า “สหรัฐฯ ขอประนามการบังคับให้เครื่องบินที่เดินทางระหว่างประเทศสมาชิก EU ต้องลงจอดนอกจุดหมาย รวมถึงการควบคุมตัวและจับกุมผู้สื่อข่าวอย่างนายโรมัน ปราตาเซวิชด้วย”

“รายงานเบื้องต้นระบุว่า มีหน่วยงานความมั่นคงของเบลารุสเข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ และมีการใช้เครื่องบินของกองทัพอากาศเบลารุสเพื่อบังคับเครื่องบินให้ลงจอด ซึ่งน่ากังวลอย่างยิ่ง และจำเป็นต้องมีการสอบสวนโดยละเอียดต่อไป” นายบลินเคนระบุ

การบังคับให้เครื่องบินลงจอดครั้งนี้ ทำให้ประเทศสมาชิก EU เช่น ฝรั่งเศส, กรีซ, โปแลนด์ และเยอรมนีต่างพากันประณามการตัดสินใจดังกล่าว พร้อมแสดงท่าทีโกรธเคืองอย่างยิ่ง ทั้งนี้ คาดว่า EU อาจมีการใช้มาตรการคว่ำบาตรกับรัฐบาลเบลารุส โดยผู้นำของประเทศสมาชิก EU จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดในกรุงบรัสเซลส์ในวันนี้และวันพรุ่งนี้ เพื่อพิจารณาแนวทางการตอบโต้การกระทำของรัฐบาลเบลารุส ซึ่งนางเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กล่าวว่าเป็นเรื่องยอมรับไม่ได้เด็ดขาด

ด้านนายเจนส์ สโตลเตนเบิร์ก เลขาธิการชาติสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) กล่าวว่า “เรื่องนี้นับว่ามีความร้ายแรงและอันตรายอย่างยิ่ง จึงควรมีการสอบสวนในระดับนานาชาติ”

 

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/89938


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

"อรรถวิชช์" เสนอรัฐบาล เร่งส่งวัคซีนฉีดให้เจ้าหน้าที่ไทยในต่างประเทศ ชี้ นายกฯ ได้ครบ 2 เข็มพร้อมสู้ แต่ทูต-เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานยังเสี่ยง 

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวเสนอให้รัฐบาลส่งวัคซีนที่มีอยู่ ฉีดให้กับเจ้าหน้าที่ไทยที่ปฏิบัติงานดูแลคนไทยในต่างประเทศ เพราะมีข้อร้องเรียนมาว่า เจ้าหน้าที่ที่ประจำการหลายประเทศยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน แต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ดูแลคนไทย ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ระบาดหนักในหลายประเทศ มีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่ได้รับการฉีดวัคซีน โดยประเทศปลายทางเป็นผู้ให้บริการ

"ทูตและผู้แทนไทย เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตร กองทัพบก กองทัพอากาศ กองทัพเรือ ตำรวจ ธนาคารแห่งประเทศไทย BOI การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ปปส. หน่วยงานเหล่านี้ล้วนมีเจ้าหน้าที่อยู่ต่างประเทศ แต่หลายคนยังไม่ได้รับวัคซีน ทั้งที่มีหน้าที่เป็นด่านหน้าในการดูแลคนไทยในต่างประเทศสู่ภัยกับโรคระบาดครั้งนี้ จนปัจจุบันมีหลายท่านที่ป่วยและไม่สามารถปฏิบัติงานได้" นายอรรถวิชช์กล่าว 

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้รับวัคซีน Astrazeneca เข็มที่ 2 แล้วในวันนี้ ก็คงสามารถทำงานได้ดีขึ้น เสี่ยงน้อยลง แต่เจ้าหน้าที่ของไทยในต่างแดนยังต้องเสี่ยงอยู่ ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเหมือนที่ท่านนายกฯ เคยกล่าว โดยขอให้เทียบเคียงกรณีสหรัฐฯ ส่งวัคซีน Pfizer มาฉีดให้เจ้าหน้าที่สหรัฐในไทยเมื่อต้นเดือนนี้ หรือจีนที่ส่งวัคซีน Sinovac มาให้คนจีนในไทยฉีดในช่วงเวลาที่ผ่านมา 

นายอรรถวิชช์ ย้ำด้วยว่า เรื่องนี้สะท้อนระบบราชการที่ล้าหลัง ในการดูแลคนทำงานหน้าด่านในต่างประเทศ การส่งวัคซีนข้ามประเทศโดยใช้เอกสิทธิ์ทางการทูตน่าจะไม่จากเกินกำลังของรัฐบาลไทย  ความเร็ว เป็นหัวใจในการแก้วิกฤติ เป็นกำลังใจให้คนทำงาน


แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
LINK : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top