Friday, 27 June 2025
NewsFeed

‘สุริยะ’ มอบ ‘ทางหลวงชนบท’ พัฒนาถนนเลียบชายฝั่งอ่าวไทย รับนโยบายส่งเสริมท่องเที่ยว 'เมืองรอง' ช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน

(14 มิ.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า กระทรวงคมนาคมได้เตรียมพร้อมแผนรองรับนักท่องเที่ยวในทุกมิติ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด ตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมในทุกมิติให้มีความปลอดภัยในระดับสูงสุด เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย

ซึ่งนายสุริยะ ได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท (ทช.) พัฒนาและยกระดับมาตรฐานทางหลวงชนบท สำหรับการสนับสนุนการคมนาคมขนส่งและการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบัน ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทย (Thailand Riviera) ถนนทางหลวงชนบทสายแยก ทล.4002 (กม. ที่ 13+100) - บ้านแหลมสันติ (ตอนที่ 2) อำเภอหลังสวน และละแม จังหวัดชุมพร เสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดให้ประชาชนใช้สัญจรแล้ว โดยจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวเมืองรองอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประชาชนสามารถเดินทางสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ เช่น หาดตะวันฉาย หาดละแม ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายถนนเลียบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของอ่าวไทยอย่างยั่งยืน ประชาชนได้รับความสะดวกในการเดินทาง โดยมีจุดเริ่มต้น กม. ที่ 19+891 อยู่บนถนนทางหลวงชนบทสาย ชพ.4019 เชื่อมต่อกับ ทล.4002 (ช่วง กม. ที่ 13+100) ด้านขวาทาง ห่างจากปากน้ำหลังสวน 1.5 กิโลเมตร (กม.) ไปสิ้นสุด กม. ที่ 26+644 ห่างจากหาดละแม 1.5 กม. ผ่านมหาวิทยาลัยแม่โจ้ - ชุมพร บริเวณหมู่ที่ 5 บ้านแหลมสันติ ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร รวมระยะทาง 6.753 กม. ก่อสร้างเป็นถนนลาดยางแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต กว้าง 7 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.5 เมตร พร้อมติดตั้งระบบไฟฟ้าแสงสว่าง เครื่องหมายจราจร สิ่งอำนวยความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้เส้นทาง ใช้งบประมาณก่อสร้างรวม 105.440 ล้านบาท 

ทั้งนี้ กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้พัฒนาเส้นทางเพื่อสนับสนุนนโยบายและยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงถนนสายรองจากถนนสายหลักเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรม ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมเศรษฐกิจในเมืองรอง อำนวยความสะดวกให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเดินทางได้อย่างปลอดภัยในทุกเส้นทาง

'นายกฯ ผู้ดี' ปลื้ม!! G7 ไฟเขียวใช้ทรัพย์รัสเซีย 50 พันล้านดอลลาร์ 'ตัวเปลี่ยนเกม' ช่วยยูเครนในด้านการทหารและเศรษฐกิจ

(14 มิ.ย. 67) บีบีซีของอังกฤษรายงานว่า ที่ประชุมกลุ่มประเทศ G-7 ที่อิตาลี เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ได้เห็นชอบสามารถใช้ทรัพย์สินรัสเซียที่โดนแช่แข็งเพื่อช่วยเหลือในการต่อสู้ขัดขวางรัสเซีย

ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ที่มีฉากโมเมนต์เดินเหมือนมีท่าทีมึนงงออกไประหว่างการถ่ายภาพหมู่ ก่อนที่นายกรัฐมนตรีหญิงอิตาลี จอร์เจีย เมโลนี อ้างอิงจากเดลีเมลของอังกฤษ จะอาศัยไหวพริบรีบดึงตัวกลับมาร่วมการถ่ายภาพหมู่ที่เห็นปู่ไบเดนดึงแว่นกันแดดคู่ใจขึ้นสวมอย่างอารมณ์ดี นั้นกล่าวยืนยันว่า

เป็นอีกหนึ่งการเตือนใจต่อ “รัสเซีย” ว่า “พวกเราจะไม่ยอมอ่อนข้อให้”

เดลีเมลรายงานว่า การถ่ายภาพหมู่วันพฤหัสบดี (13 มิ.ย.) ของบรรดาผู้นำ G-7 นี้ถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ที่ บอร์โก อิกนาเซีย (Borgo Egnazia) ในบรินดิซี (Brindisi) โดยมีการแสดงการโดดร่มเวหาโดยหน่วยทหารพลร่มอิตาลีที่มีธงชาติสมาชิกปรากฏในการแสดงเป็นที่ประทับใจไปทั่ว และระหว่างที่ผู้นำทุกคนรวมประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปกำลังรวมกลุ่ม และปรบมือแก่ทหารหน่วยพลร่มที่ถึงพื้นต่อหน้า

แต่ทว่าปู่ไบเดน เหมือนเดินออกไปหันหน้าออกไปด้านนอกและชูมือให้กำลังใจแก่ทหาร และนายกรัฐมนตรีอิตาลีในขณะที่ยังคงพูดคุยกับผู้นำคนอื่น ๆ แต่เดินถอยห่างในเวลาเดียวกันเพื่อคว้าตัวไบเดนให้กลับมาร่วมการถ่ายภาพ และผู้นำสหรัฐฯ ได้เริ่มต้นดึงแว่นกันแดดสีดำคู่ใจเพื่อร่วมการถ่ายภาพหมู่ครั้งสำคัญ

บีบีซีชี้ว่า เงินจำนวน 50 พันล้านดอลลาร์เป็นเงินกู้ให้แก่ยูเครนนี้ไม่คาดว่าจะส่งไปได้เร็วก่อนสิ้นปี แต่ถูกมองว่าเป็นเหมือนการแก้ปัญหาในระยะยาวในการสนับสนุนยูเครนด้านการทหาร และเศรษฐกิจ

และภายในการประชุมข้างเคียงของที่ประชุม G-7 นั้น ประธานาธิบดีไบเดนได้พบประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี สำหรับการลงนามร่วมกันในข้อตกลงความมั่นคงระยะเวลา 10 ปี

ซึ่งเนื้อหาภายในข้อตกลงระดับทวิภาคีนี้วอชิงตันจะให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่ยูเครน รวมไปถึงการฝึก แต่ข้อตกลงไม่ได้มีเนื้อหาครอบคลุมถึงการส่งกำลังทหารอเมริกันเข้ายูเครน โดยทั้ง 2 ฝ่ายต่างออกมาแสดงความชื่นชมว่า เป็นข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์

บีบีซีรายงานว่า มูลค่าทรัพย์สินรัสเซียที่ถูก G-7 พร้อม EU แช่แข็งมีราว 325 พันล้านดอลลาร์ และเงินก้อนนี้เพิ่มดอกเบี้ยร่วม 3 พันล้านดอลลาร์/ปี

กลุ่ม G-7 ที่เป็นชาติอุตสาหกรรมร่ำรวยของโลก ประกอบไปด้วย แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น อังกฤษ และสหรัฐฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ริชี ซูแน็ก ที่กำลังตกที่นั่งลำบากในการเลือกตั้งล่วงหน้าที่จะมาถึงในวันที่ 4 ก.ค.นี้ ได้ออกมาแสดงความชื่นชมข้อตกลงอนุมัติใช้ทรัพย์สินรัสเซีย 50 พันล้านดอลลาร์เพื่อช่วยยูเครนนี้ว่า “เป็นตัวเปลี่ยนเกม”

ตำรวจ ปส. รวบคาด่าน เครือข่ายยาเสพติดหัวใส หลังลอบขนยาบ้า 12 ล้านเม็ด ซุกในกล่องเลี้ยงผึ้ง

สืบเนื่องจากการสืบสวนของตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 เกี่ยวกับกลุ่มเครือข่ายของ นายชาญณรงค์ พบว่ากลุ่มเครือข่ายดังกล่าวจะมีการเคลื่อนไหวในช่วงวันที่ 12-13 มิ.ย.67 โดยการลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ อ.ปาย จว.เชียงใหม่ เขามายังพื้นที่ กทม. ด้วยการใช้เส้นทางระหว่างหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้าน เพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจของตำรวจ จนเวลา 01.58 น. ของวันที่ 13 มิ.ย.67 ตำรวจพบรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ยจ 5143 เชียงใหม่ ซึ่งเป็นรถที่นายชาญณรงค์ ขับผ่านเส้นทางที่กำลังซุ่มอยู่ จึงติดตาม และพบว่ามีการขับรถยนต์ที่แปลกไปจากปกติ คือการจอดหยุดพักหลายครั้ง ลักษณะเหมือนขับรอใคร  จากนั้นตำรวจพบรถอีกคันคือ หมายเลขทะเบียน ผต 2508 นครปฐม ในเส้นทางเดียวกับรถของนายชาญณรงค์ จึงแบ่งกำลังติดตาม ต่อมา เวลาประมาณ 07.00 น. พบว่ารถทะเบียนนครปฐม ขับแซงขึ้นไปอยู่ด้านหน้า ส่วนรถของนายชาญณรงค์ ก็มีการลดความเร็วลงเพื่อจะตรวจสอบว่ามีรถตำรวจติดตามมาหรือไม่  กระทั่งใกล้ถึง ด่านตรวจวังดิน หมู่ 3 ต.ป่าไผ่ อ.ลี้ จว.ลำพูน รถยนต์ที่นายชาญณรงค์ เป็นผู้ขับขี่มาได้ทำการเร่งความเร็ว ก่อนจะแซงหน้ารถยนต์  ผต 2508 นครปฐม เพื่อจะนำทางเข้าด้านตรวจ ระหว่างนั้นตำรวจ ปส. ได้ประสานงานกับตำรวจด่านตรวจวังดิน เพื่อทำการหยุดรถยนต์ทั้ง 2 คัน จากการสกัดจับกุมรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ผต 2508 นครปฐม โดยมีนายศราวุธ เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นรถพบยาบ้า จำนวน 12,000,000 เม็ด ถูกซุกซ่อนมากับกล่องเลี้ยงผึ้งสีขาว ซึ่งถูกดัดแปลงเพื่อบรรจุยาเสพติดจำนวนมาก ส่วนรถหมายเลขทะเบียน ยจ 5143 เชียงใหม่ ที่มีนายชาญณรงค์ เป็นผู้ขับขี่ทำหน้าที่ขับนำทาง เพื่อตรวจสอบด่านตรวจ และคอยเฝ้าระวังการติดตามจากตำรวจ เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในหมู่ประชาชนอันเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” วันที่13มิ.ย.67 เวลา 14.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวชัย ผบช.ปส. ได้เดินทางไปร่วมตรวจดูของกลางและซักถามผู้ต้องหาด้วยตนเอง เปิดเผยว่า คดีนี้เป็นการขยายจากกลุ่มเครือข่ายผู้ค้าในจังหวัดสิงห์บุรี ที่ว่าจ้างกลุ่มนักบินมาลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่อ.ปาย จ.เชียงใหม่ เพื่อนำลงไปส่งกลุ่มผู้ค้าในพื้นที่กรุงเทพฯและภาคกลาง ขณะนี้ผู้ตัวผู้สั่งการแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดจับกุมจะได้ขยายผลรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับต่อไป

“มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ CEO คิงส์ แพ็ค อินดัสเตรียล สานฝัน มอบทุนการศึกษา เยาวชนนนทบุรี

วันที่ 14 มิถุนายน 2567  นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ พร้อมด้วย นายสมชาติ  สุภารี  ผู้ตรวจราชการกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ นายทวี จุลศักดิ์ศรีสกุล ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท คิงส์แพ็ค อินดัสเตรียล จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ถุงพลาสติกชนิดอ่อนแบรนด์ “ฮีโร่” ลงพื้นที่มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อ หลังจากการศึกษาภาคบังคับ และมีฐานะทางครอบครัวยากจน จ.นนทบุรี  โดยมีนายสัญชัย ภัทราวรากุล  ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 26 จ.นนทบุรี ให้การต้อนรับ นางเธียรรัตน์ กล่าวว่า ดิฉันในนามมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ รู้สึกยินดีและขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารบริษัท คิงส์แพ็ค อินดัสเตรียล จำกัด  ได้เห็นความสำคัญของการฝึกอาชีพของเยาวชนไทย โดยได้ร่วมมอบทุนการศึกษา ทุนละ 6,000 บาท จำนวน 5 ทุน  รวมเป็นเงิน 30,000บาท ให้กับ เยาวชนที่เป็นผู้เข้ารับการฝึกเตรียมเข้าทำงานโครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อ หลังจากการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ 2537 จำนวน 5 รายประกอบด้วย นายภาณุวัฒน์  คงราช  อายุ 15 ปี ฝึกอบรมสาขาช่างเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก  นายศุภโชค ทองเอี่ยม  อายุ 15 ปี  ฝึกอบรมสาขา ช่างเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก  นายวันเกิด  อยู่สุข  อายุ  17 ปี  ฝึกอบรมสาขา  ช่างเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก นายพิสิษฐ์  มงคลแก้ว  อายุ 25 ปี  ฝึกอบรมสาขา ช่างเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก  และนายณัฎฐกิตติ์  แตงประดิษฐ์  อายุ 16 ปี ซึ่งเยาวชนทั้ง5คน มีฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน แต่มีความตั้งใจที่จะฝึกทักษะฝีมือเพื่อนำไปใช้ประกอบอาชีพ เลี้ยงตนเองและครอบครัวต่อไป ซึ่ง กิจกรรมในวันนี้ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเด็กนักเรียนและเยาวชน ซึ่งเขาเหล่านี้จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป 

‘สาว’ โพสต์คลิปขณะกำลังซื้อ ‘ชาไทย’ รถเข็นแยกอโศก ช็อก!! แก้วละ 100 บาท ด้านชาวเน็ตโอดโดนเหมือนกัน

(14 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดคลิปไวรัลในโซเชียล ผู้ใช้ติ๊กต็อก @natty.waya โพสต์คลิปวิดีโอขณะซื้อชาไทยแก้วละ 100 บาท กับลุงที่กำลังชงชา ตามรถเข็นขายน้ำ กลางสี่แยกอโศก โดยระบุว่าข้อความว่า…

“ชานมข้างทาง แก้วละ 100 อืมมม #พูดไม่ออก #รสชาติ #เฮ้ยยยยยย #sukumvit #bangkokthailand”

พร้อมถามชาวเน็ตว่า “แก้วละร้อย แยกอโศก ทุกคนว่าไง” จนทำให้มีคนเข้าแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

โดยส่วนใหญ่ต่างบอกว่า… 

‘เคยไปซื้อเหมือนกัน 100 บาท แบบห๊ะอยู่ 2 รอบ สำคัญคือชาเย็นหวานล้วน TT' เศร้าสุด 60 ยังว่าแพงเลย’

‘ร้านเดียวกันเลยครับ คือเอาจริง ๆ ไม่คิดว่าราคามันจะแพงขนาดนั้น ตอนนั้นคืออยากกินอะไรหวานมาก ๆ พอเจอราคานี้ไปก็แอบอึ้ง แต่ก็ผิดเองที่ไม่ได้ถามราคาก่อน คิดว่าราคาปกติทั่วไป’

‘ค่าเช่าที่แพงอาจจะต่างชาติชงด้วยส่วนนึง’

‘ราคากรี๊ดมาก เคยซื้อแถวแบบเซ็นทรัลชิดลม หลังสวน เพลินจิต แก้วละ 25-30 บาท’

🔎ส่อง ‘ตะวันออกกลาง เอเชีย และโอเชียเนีย’ SPR ทำยังไง?

ด้วยปัจจุบันทุกวันนี้ น้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลก เป็นทรัพยากรสุดยอดปรารถนาของทุกประเทศบนโลกใบนี้ กระทั่งทุกการดำเนินกิจการและกิจกรรมต่าง ๆ แทบจะขาดพลังงานที่มาจากน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมไม่ได้ แม้จะมีการใช้พลังงานทดแทนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น พลังงานจากแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ ฯลฯ แต่ยังคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรถึงจะพัฒนาจนสามารถทดแทนพลังงานจากน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมได้

เมื่อน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมจึงมีความต่อเนื่องตามแต่ความต้องการของผู้บริโภคย่อมจะทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่สะดุดและหยุดนิ่ง แต่การณ์กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น น้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมของโลกมิได้มีเสถียรภาพทั้งด้านปริมาณและด้านราคา เมื่อปริมาณการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค แน่นอนว่า ย่อมทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมพุ่งสูงขึ้นจึงเป็นที่มาของวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียม

วิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมในปี 1973 ถือเป็นวิกฤตครั้งที่ใหญ่และส่งผลกระทบมากที่สุดเมื่อ OPEC เกิดความขัดแย้งกับอิสราเอลและประเทศที่สนับสนุนจึงทำให้ราคาของน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมสูงขึ้นถึงเกือบ 300% จึงทำให้เกิด ‘สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)’ และเป็นที่มาของ ‘การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve)’ ซึ่งเริ่มโดยสหรัฐอเมริกา และปัจจุบันเป็นผู้ถือครองน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมสำรอง SPR มากที่สุดในโลก 

การเกิดขึ้นของวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมมากมายหลายหน จึงทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องมีการสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR) เพื่อเป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาในระยะสั้น ทำให้ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้รวมทั้ง ตะวันออกกลาง เอเชีย และโอเชียเนีย ล้วนแล้วแต่มีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทั้งในรูปแบบ SPR และการสำรองเพื่อการพาณิชย์ทั้งสิ้น 

แม้แต่ประเทศในตะวันออกกลางซึ่งส่วนใหญ่แล้วต่างก็เป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันก็มี SPR เนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรองในประเทศเหล่านั้นแม้จะมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ยังคงเป็นน้ำมันดิบใต้พื้นดินที่ยังไม่ได้สูบขึ้นมาเพื่อกลั่นใช้แต่อย่างใด โดย ซาอุดีอาระเบีย มีน้ำมันดิบสำรอง 266.5 พันล้านบาร์เรล, คูเวต 102 พันล้านบาร์เรล, อิรัก 145 พันล้านบาร์เรล, ยูเออี 98 พันล้านบาร์เรล, กาตาร์ 25 พันล้านบาร์เรล, โอมาน 54 พันล้านบาร์เรล, ซีเรีย 2.5 พันล้านบาร์เรล, อิหร่านมีปริมาณน้ำมันดิบสำรอง 209 พันล้านบาร์เรล (SPR ของอิหร่านดำเนินการโดยบริษัทน้ำมันแห่งชาติอิหร่าน (NIOC) ได้สร้างถังเก็บน้ำมันดิบ 15 ถังที่มีความจุ 10,000,000 บาร์เรล ในปี 2023 อิหร่านได้นำน้ำมันสำรอง SPR จำนวน 7.55 ล้านบาร์เรลออกจำหน่ายเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ ทำให้มีน้ำมันสำรอง SPR เหลืออยู่เพียง 4.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งพอใช้บริโภคในประเทศได้ 4 วันเท่านั้น), อิสราเอล ตั้งแต่ปี 1975 มีปริมาณน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์เท่ากับ 270 วันของการบริโภค และจอร์แดนมีปริมาณสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เท่ากับ 60 วันของการบริโภค

เอเชีย หลายประเทศทั้งที่เป็นสมาชิกและไม่เป็นสมาชิกของ ‘สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA)’ ต่างก็มีการจัดเก็บน้ำมันสำรอง SPR 

• จีน ในปี 2007 มีการประกาศการขยายปริมาณน้ำมันดิบสำรองเป็นระบบสองส่วน เงินสำรองของจีนจะประกอบด้วยน้ำมันดิบสำรองทางยุทธศาสตร์ที่รัฐควบคุม (SPR) เสริมด้วยน้ำมันดิบสำรองเชิงพาณิชย์ตามที่ได้รับคำสั่งจากรัฐ ปริมาณน้ำมันดิบสำรอง SPR ของจีนอยู่ที่ 475.9 ล้านบาร์เรล เท่ากับ 90 วันของการบริโภค 

• อินเดีย ปัจจุบันปริมาณน้ำมันดิบสำรอง SPR ของอินเดียอยู่ที่ 36.9 ล้านบาร์เรล เพียงพอที่จะใช้บริโภคได้ 9.5 วัน แต่โรงกลั่นน้ำมันของอินเดียต้องจัดเก็บน้ำมันดิบไว้ 64.5 วัน ดังนั้นจึงมีปริมาณสำรองน้ำมันโดยรวมเท่ากับ 74 วันของการบริโภค

• ญี่ปุ่น ในปี 2010 ญี่ปุ่นมี SPR ดำเนินการโดยบริษัท Japan Oil, Gas and Metals National Corporationประกอบด้วยสำรองน้ำมันที่รัฐควบคุม ณ แหล่งต่าง ๆ 11 แห่ง รวม 324 ล้านบาร์เรล ปริมาณน้ำมันสำรองของเอกชนที่ถือครองตามกฎหมายการกักเก็บน้ำมัน 129 ล้านบาร์เรล และปริมาณน้ำมันสำรองผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมภาคเอกชนอื่น ๆ อีก 130 ล้านบาร์เรล ปริมาณน้ำมันสำรองทั้งหมดประมาณ 583 ล้านบาร์เรล เพียงพอที่จะบริโภคได้ 224 วัน

• เกาหลีใต้ ตามกฎหมายกำหนดให้ โรงกลั่น ผู้จัดจำหน่ายที่ระบุ และผู้นำเข้า มีหน้าที่ระงับการจำหน่ายหรือการผลิตที่กลั่นได้ในแต่ละวันเป็นเวลา 40-60 วัน โดยอิงจาก 12 เดือนที่ผ่านมา ปลายปี 2010 เกาหลีใต้มีปริมาณน้ำมันสำรอง 286 ล้านบาร์เรล ซึ่งประกอบด้วย 146 ล้านบาร์เรล ณ South Korea National Oil Corporation สำหรับคลัง SPR รัฐบาลและคลังน้ำมันร่วมระหว่างประเทศ (อาทิร่วมกับคูเวต) และน้ำมันสำรองอุตสาหกรรมและคลังน้ำมันอุตสาหกรรมบังคับ (เอกชน) อีก 140 ล้านบาร์เรล เพียงพอที่จะบริโภคได้ 240 วัน (SPR 124 วันและเอกชน 117 วัน) ณ มีนาคม 2014

• ไต้หวัน มี SPR โดยมีขนาดตามรายงานในปี 1999 อยู่ที่ 13,000,000 บาร์เรล ในปี 2005 มีการเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองเชิงพาณิชย์ที่รัฐสามารถควบคุมอีก 27,600,000 บาร์เรล รวมแล้วเพียงพอที่จะบริโภคได้ 60 วัน

• ปากีสถาน มีการประกาศแผนน้ำมันสำรองฉุกเฉินเพียงพอที่จะบริโภคได้ 20 วัน และกำลังเพิ่มขีดความสามารถในการจัดเก็บ SPR อันเนื่องมาจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

สำหรับประเทศโอเชียเนีย มีข้อมูล SPR ของ 2 ประเทศหลัก ๆ คือ

• ออสเตรเลีย ในปี 2008 ออสเตรเลียถือครองปิโตรเลียมไว้สามสัปดาห์ แทนที่จะเป็น 90 วันตามมาตรฐาน IEA ที่ได้ตกลงไว้ ปัจจุบันตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2023 รัฐบาลกำหนดให้ผู้นำเข้าน้ำมันต้องสำรองน้ำมัน : น้ำมันเบนซิน 27 วัน, น้ำมันดีเซล 32 วัน และน้ำมันเครื่องบิน 27 วัน

• นิวซีแลนด์ ในปี 2008 มีปริมาณสำรองทางยุทธศาสตร์อยู่ที่ 1,200,000 บาร์เรล น้ำมันสำรองส่วนใหญ่อิงตามสัญญาซื้อขายน้ำมันปิโตรเลียมกับออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นสัญญารับประกันการซื้อน้ำมันปิโตรเลียมของนิวซีแลนด์กับประเทศคู่สัญญาในกรณีฉุกเฉินหรือเกิดวิกฤตน้ำมันขึ้น

จะเห็นได้ว่า ทุกวันนี้แทบทุกประเทศในโลกมี ‘การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve)’ โดยรัฐเพื่อความมั่นคงและประชาชน และเสริมด้วยการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อการพาณิชย์ของเอกชน ในขณะนี้ไทยเรามีเพียงแต่การสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อการพาณิชย์โดยเอกชนผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เท่านั้น และหากเกิดกรณีฉุกเฉินหรือเกิดวิกฤตน้ำมันขึ้นไทยเราจะมีน้ำมันสำรองเพียงพอใช้เท่ากับ 25-36 วัน ดังนั้น SPR น้ำมันเชื้อเพลิงสำรองซึ่งอยู่ภายใต้ถือครองของรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานจะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจัดการแก้ไขปัญหากรณีฉุกเฉินหรือเกิดวิกฤตน้ำมันในระยะสั้นได้ในระดับหนึ่ง อันเป็นการบรรเทาเบาคลายปัญหาอีกมากมายจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและเป็นการป้องกันความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนคนไทยให้สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติสุขเช่นที่เป็นอยู่ได้ต่อไป

เปิดรายได้ 6 ปี 'สุทธิชัย หยุ่น' โกย 318 ล้าน กำไรกว่า 151 ล้าน พบ 20 สัญญากว่า 20 ล้าน มาจาก 'ไทยพีบีเอส' จ้าง 'บ.กาแฟดำ'

(14 มิ.ย. 67) จากกรณีที่นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข อดีตผู้ดำเนินรายการสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี กล่าวผ่านรายการประชาทอล์ค ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของสำนักข่าวประชาไท ชี้แจงกรณีที่อดีตผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวี ซึ่งปิดกิจการไปเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา เช่น นายธีรัตถ์ รัตนเสวี นางสาวลักขณา ปันวิชัย หรือคำ ผกา ไปผลิตรายการข่าวเช้าให้กับสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) กรมประชาสัมพันธ์ ในนามบริษัท คำดี จำกัด กล่าวว่า รายการดังกล่าวมีพิธีกร 3 คนดำเนินรายการ จ่ายค่าดำเนินรายการ 3 คน แล้วผู้ดำเนินรายการจ่ายค่าช่างแต่งหน้า และค่าโปรดิวเซอร์ที่มาช่วยทำข้อมูลให้ ต่างจากนายสุทธิชัย แซ่หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส และนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ จัดรายการให้สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสยังไง

"การเข้าข้างกัน เชียร์กัน มีสื่อเชียร์รัฐบาลไม่ใช่เรื่องผิด และการมีกลุ่มคนที่เห็นด้วยกับรัฐบาลก็ไม่ใช่เรื่องผิด เขาก็อยากจะอธิบายแทนรัฐบาล เพราะที่ผ่านมามีคนถล่มรัฐบาล กระทั่งรับปัญหามา ก็รู้สึกมีปมเรื่องนี้ว่าทำไมไม่พยายามอธิบายในสิ่งที่รัฐบาลทำบ้าง เมื่อสื่อส่วนใหญ่เข้าข้างฝ่ายค้าน ทำไมสื่อส่วนหนึ่งจะอธิบายสิ่งที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเหมือนกันไม่ได้" นายชูวัสกล่าว

ต่อมานายสุทธิชัยโพสต์ข้อความในแพลตฟอร์ม X บัญชี @suthichai ว่า "ขอใช้สิทธิพาดพิงครับ ความแตกต่างที่ชัดที่สุดคือ รัฐบาลสั่ง NBT ได้ แต่สั่ง ThaiPBS ไม่ได้ครับ (ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลลุงตู่หรือรัฐบาลนี้)"

ล่าสุดเฟซบุ๊ก ‘ซึ่งต้องพิสูจน์’ โพสต์อินโฟกราฟิก หัวข้อ ‘เว็บฯ ระบบข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ (ภาษีไปไหน)’ ระบุ ตั้งแต่ปี 62 ถึงปี 67 TPBS จ้าง ‘บริษัท กาแฟดำ’ (ที่มี ‘สุทธิชัย หยุ่น’ เป็น 1 ในกรรมการ) 20 โครงการ มูลค่า 20.86 ล้านบาท’ โดยเรียงลำดับตามมูลค่าโครงการดังนี้

1. วันที่ลงนามในสัญญา 14 ส.ค. 62 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผลิตและจัดหารายการ ฟังเสียงประเทศไทย คำตอบอยู่ในหมู่บ้าน ไตรมาส 3-4/2562 จำนวน 26 ตอน โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 3.25 ล้านบาท

2. วันที่ลงนามในสัญญา 6 พ.ย. 62 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผลิตรายการ ตั้งวงคุย กับสุทธิชัย หยุ่น โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 2.57 ล้านบาท

3. วันที่ลงนามในสัญญา 30 ธ.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการฟังเสียงประเทศไทย จำนวน 19 วัน โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.52 ล้านบาท

4. วันที่ลงนามในสัญญา 9 ก.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ ฟังเสียงประเทศไทย (จำนวน 17 วัน) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.36 ล้านบาท

5. วันที่ลงนามในสัญญา 10 มี.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ ฟังเสียงประเทศไทย (ไตรมาสที่ 1-2/2563) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.12 ล้านบาท

6. วันที่ลงนามในสัญญา 30 มิ.ย. 65 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ (วันศุกร์) ไตรมาสที่ 3-4/2565 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.11 ล้านบาท

7. วันที่ลงนามในสัญญา 28 ม.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ ไตรมาสที่ 1-2/2563 (จำนวน 26 ตอน) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.11 ล้านบาท

8. วันที่ลงนามในสัญญา 16 ก.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ (ไตรมาสที่ 3-4/2563) จำนวน 26 ตอน โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.11 ล้านบาท

9. วันที่ลงนามในสัญญา 30 มิ.ย. 66 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินการรายการตอบโจทย์ (วันศุกร์) ไตรมาสที่ 3-4/2566 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.11 ล้านบาท

10. วันที่ลงนามในสัญญา 27 ธ.ค. 64 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ (วันศุกร์) จำนวน 25 ตอน โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 1.07 ล้านบาท

11. วันที่ลงนามในสัญญา 31 ม.ค. 67 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการคุยนอกกรอบ กับ สุทธิชัย หยุ่น (เดือนกุมภาพันธ์-เดือนมิถุนายน 2567) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 941,600.00 บาท

12. วันที่ลงนามในสัญญา 30 ธ.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการตอบโจทย์ (จำนวน 21 ตอน) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 898,800.00 บาท

13. วันที่ลงนามในสัญญา 16 ก.ย. 64 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการคุยให้คิด โดยคุณสุทธิชัย หยุ่น จำนวน 15 ตอนความยาวตอนละ 50 นาที โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 600,000.00 บาท

14. วันที่ลงนามในสัญญา 26 ก.ย. 65 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างค่าผู้ดำเนินรายการ รายการ คุยให้คิด ไตรมาส 4/2565 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 520,000.00 บาท

15. วันที่ลงนามในสัญญา 2 มิ.ย. 64 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างค่าผู้ดำเนินรายการ คุยให้คิด ไตรมาส 2-3/2564 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 520,000.00 บาท

16. วันที่ลงนามในสัญญา 2 ก.ค. 66 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ คุยให้คิด (ไตรมาส 3/2566) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 520,000.00 บาท

17. วันที่ลงนามในสัญญา 2 ต.ค. 66 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ คุยให้คิด ไตรมาส 4/2566 โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 520,000.00 บาท

18. วันที่ลงนามในสัญญา 6 มิ.ย. 65 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ คุยให้คิด โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 480,000.00 บาท

19. วันที่ลงนามในสัญญา 31 มี.ค. 64 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผลิตหนังสือ ฟังเสียงประเทศไทย จำนวน 1,000 เล่ม โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 270,000.00 บาท

20. วันที่ลงนามในสัญญา 3 ธ.ค. 63 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) จ้างผู้ดำเนินรายการ ฟังเสียงประเทศไทย (จำนวน 3 วัน) โดยวิธีเฉพาะเจาะจง 240,750.00 บาท

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัท กาแฟดำ จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2561 ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ มีกรรมการบริษัท ประกอบด้วย นายสุทธิชัย แซ่หยุ่น นายปราบดา หยุ่น นางนันทวัน แซ่หยุ่น และนายธวัช ยวงตระกูล เมื่อตรวจสอบงบการเงิน พบว่าผลประกอบการตลอด 6 ปีที่ผ่านมามีดังนี้

-ปี 2561 มีรายได้รวม 36,915,808.69 บาท กำไรสุทธิ 15,323,028.29 บาท
-ปี 2562 มีรายได้รวม 60,815,894.44 บาท กำไรสุทธิ 31,155,133.00 บาท
-ปี 2563 มีรายได้รวม 54,988,606.30 บาท กำไรสุทธิ 26,936,460.39 บาท
-ปี 2564 มีรายได้รวม 59,608,001.44 บาท กำไรสุทธิ 31,570,541.86 บาท
-ปี 2565 มีรายได้รวม 55,033,712.89 บาท กำไรสุทธิ 23,615,549.80 บาท
-ปี 2566 มีรายได้รวม 51,281,671.04 บาท กำไรสุทธิ 22,773,065.39 บาท

รวม 6 ปีมีรายได้รวม 318,643,694.80 บาท กำไรสุทธิรวม 151,373,778.83 บาท

สำหรับนายสุทธิชัย แซ่หยุ่น ปัจจุบันอายุ 77 ปี เคยเป็นผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการอำนวยการสื่อเครือเนชั่น เจ้าของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น กรุงเทพธุรกิจ คมชัดลึก และสถานีโทรทัศน์เนชั่นทีวี ก่อนยุติบทบาทเมื่อเดือน มี.ค. 2561 หันมาเปิดบริษัทชื่อว่ากาแฟดำ จัดรายการผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดยใช้นามปากกา ‘กาแฟดำ’ ภายหลังจึงได้มาจัดรายการโทรทัศน์ผ่านสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ เช่น สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที กรมประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์พีพีทีวี สถานีโทรทัศน์เอ็มคอต เอชดี เป็นต้น

‘อาชีวะฯ’ ยกระดับเชิงรุกมาตรการ ‘สถานศึกษาปลอดภัย’ ขอความร่วมมือทุกฝ่าย เฝ้าระวังป้องกันเหตุความรุนแรง

(14 มิ.ย.67) นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มอบหมายให้ นายทวีศักดิ์ คิ้วทอง ผู้อำนวยการศูนย์ความปลอดภัย สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงาน สถานศึกษาปลอดภัย ของสถานศึกษาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประชุมผู้บริหารสถานศึกษา ครูปกครอง เครือข่ายเฝ้าระวังป้องกันเหตุ ใช้มาตรการเชิงรุกป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงของนักเรียนนักศึกษาตามนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ณ วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ และวิทยาลัยเทคโนโลยีช่างอุตสาหกรรมกรุงเทพ

นายทวีศักดิ์ กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มีความห่วงใยและมีนโยบายในการดูแลความปลอดภัยกำชับสถานศึกษาทุกแห่งทั้งภาครัฐและเอกชน เกี่ยวกับการดูแลความปลอดภัยสถานศึกษาให้แก่ผู้เรียน ครูและบุคลากร โดยมีการกำหนดมาตรการร่วมกับตำรวจ ผู้ปกครอง ศิษย์เก่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้สถานศึกษาทำแผนเฝ้าระวังเหตุปฏิทินการดำเนินงานวิธีการป้องกันการใช้ความรุนแรงของนักเรียน นักศึกษา คัดกรองเฝ้าระวังติดตามดูแลพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง

“และให้สถานศึกษากวดขันนักเรียนนักศึกษาให้ตั้งใจเรียน อยู่ในระเบียบวินัยของสถานศึกษา และปฏิบัติตนตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด มีการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด หากพบผู้กระทำผิดให้ดำเนินการตามกฎหมายขั้นสูงสุด และให้สถานศึกษา จัดประชุมผู้ปกครองนักเรียนนักศึกษาสร้างความเข้าใจเรื่องมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงร่วมกันสอดส่องดูแลบุตรหลานโดยเฉพาะเวลาเดินทางไป - กลับ หากมีการก่อเหตุความรุนแรงทั้งภายในภายนอกสถานศึกษา ให้ผู้บริหารร่วมกับหน่วยงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาพร้อมรายงานสถานศึกษาต้นสังกัดทราบทันที” นายทวีศักดิ์ กล่าว

ร.อ.ศิรส ฉายโอภาส (ซูม) นายทหารหนุ่มเลือดใหม่แห่งกองทัพอากาศ

​“ความมานะพยายามไม่เคยทำให้ใครต้องผิดหวัง” เหมือนนายทหารอากาศหนุ่มผู้นี้ “น้องซูม-ร.อ.ศิรส ฉายโอภาส” วัย 32 ปี ผู้มีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็น “รั้วของชาติ” มาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะมีแรงบันดาลใจจากการศึกษาที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย (รุ่นที่ 81) ซึ่งเป็นโรงเรียนชายล้วนและเป็นสถาบันที่ปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัยและความเป็นสุภาพบุรุษ อีกทั้งรุ่นพี่และคุณพ่อรุ่นพี่เป็นทหารกันหลายคนด้วย จึงมองว่าการเป็นทหารน่าจะตอบโจทย์กับการที่ผมถูกฝึกแบบสไตล์ทหารแต่ทว่าโอกาสยังมาไม่ถึง หลังจากที่พลาดการสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารแล้ว 

เขาจึงตัดสินใจเบนเข็มสอบเข้ามหาวิทยาลัยโดยสอบติดที่คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา (การวิจัยทางสังคม) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

​น้องซูม เปิดเผยว่า ระหว่างนั้นได้หาประสบการณ์จากการทำงานที่หลากหลาย อาทิ บริษัทเอเยนซี่ และ ธนาคาร จากนั้นได้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่คณะบริหารธุรกิจ (การตลาด) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ช่วงนั้นทางผมและครอบครัวได้ช่วยกันหาข้อมูลว่า มีสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการที่ไหนบ้าง ซึ่งเป้าหมายไม่เน้นที่ทหาร แต่เป็นอะไรก็ได้ ขอให้เป็นข้าราชการ เนื่องจากทุกคนมีความคิดเห็นตรงกันว่า เป็นอาชีพมั่นคงและมีสวัสดิการดี สามารถดูแลพ่อแม่และครอบครัวได้ แต่ด้วยความบังเอิญที่การสอบคัดเลือกราชการที่เราเจอคือ กองทัพบก เขาประกาศรับและสอบเลย จึงไม่ทันได้เตรียมตัวดีเท่าที่ควร ก็อกหักตามระเบียบ แต่ก็ทำให้ปลุกจิตวิญญาณการอยากเป็นทหารขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ต่อมากองทัพอากาศเปิดรับสมัคร คราวนี้มีเวลามากขึ้นจึงไปสมัครเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่ง สุดท้ายสมหวังดั่งตั้งใจได้เข้าไปทำงานเป็นทหารรับใช้ชาติในสังกัดกรมยุทธศึกษาทหารอากาศ และ กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ในตำแหน่งนายทหารสื่อสารมวลชน แผนกสื่อสารมวลชน กองประชาสัมพันธ์ สำนักกิจการพลเรือนและประชาสัมพันธ์ตามลำดับโดยได้ทำงานที่ใจรักเรื่อยมาถึงปัจจุบันก้าวเข้าสู่ปีที่ 7  

​น้องซูม กล่าวว่า จากการทำงานเป็นทหารอากาศนั้น ได้ใช้ความรู้ความวสามารถที่มีอยู่ โดยมีหน้าที่คือ การรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับกองทัพอากาศ บุคคลในกองทัพอากาศ หรือที่เห็นควร จัดทำข่าวสาร บทความ คำชี้แจง ดำเนินการประสานงาน ชี้แจงข้อเท็จจริง ให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวกสื่อมวลชนร่วมทำข่าวกิจการของกองทัพอากาศ กำกับและดูแล ในกรณีรับส่งบุคคลสำคัญ ณ ท่าอากาศยานทหาร รวมทั้งการจัดอีเว้นท์ออกไปช่วยเหลือประชาชนในด้านต่าง ๆ ซึ่งเราเข้าใจความรู้สึกของเขานะ เพราะตัวเราคิดอยู่เสมอว่า เราเป็นทั้งทหารที่ต้องให้ความช่วยเหลือประชาชน และเป็นทั้งประชาชนที่รู้ว่า มีความคาดหวังอยากให้ทหารช่วยเหลือเรื่องอะไรบ้าง ทำให้การสื่อสารออกไปได้ง่าย เขาเข้าใจทหาร

​“สำหรับความประทับใจในอาชีพทหารคือ เป็นหนึ่งในอาชีพที่มีเกียรติ ประชาชนให้การยอมรับ เพราะทุกครั้งที่มีเรื่องเดือดร้อนอะไร ทหารจะเป็นหน่วยงานและที่พึ่งแรก ๆ ที่เข้าไปถึงและช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที ส่วนในหลักการทำงานนั้น คุณพ่อสุนทร ฉายโอภาส จะสอนลูกอยู่เสมอว่า เวลาได้รับผิดชอบให้ทำงานอะไรไม่มีคำว่าเดี๋ยว ต้องลงมือทำทันที อย่าทำตัวเป็นดินพอกหางหมู ทั้งนี้เราจะได้มีเวลาทำงานมากขึ้นและรู้ว่าปัญหาอุปสรรคมีอะไรบ้าง ข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไร แล้วรีบนำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นก่อนที่จะส่งหรือนำเสนอผลงาน”

น้องซูมได้พูดถึงเป้าหมายในชีวิตว่า จะมีการวางแผนชีวิตการทำงาน หากเราอายุในช่วงนี้ควรจะทำอะไรเพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มในตำแหน่งและหน้าที่การงานให้กับตนเอง โดยเฉพาะความรู้ทางด้านกองทัพอากาศ เคยผ่านหลักสูตรการอบรม อาทิ หลักสูตรนายทหารชั้นผู้บังคับหมวด รุ่นที่ 78, หลักสูตรนายทหารประชาสัมพันธ์ รุ่น 37 โรงเรียนกิจการพลเรือน กรมกิจการพลเรือนทหารบก, หลักสูตรพัฒนาการสื่อสารยุคดิจิทัล รุ่นที่ 7 สถาบันการประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ และ หลักสูตรนายทหารกิจการพลเรือนและประชาสัมพันธ์ รุ่นที่ 7 กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ ทั้งนี้เราต้องเตรียมความตัวและตื่นตัวอยู่ตัวเวลา พร้อมที่จะรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายอย่างสุดความสามารถ ตอนนี้ผมสมัครเข้าเรียนโรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูง (ระดับนายพัน) และเรียนต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงโรงเรียนเสนาธิการทหาร

​“สิ่งอยากจะฝากกับน้อง ๆ ที่สนใจอยากจะเป็นทหารคือ ให้วางแผนและเตรียมความพร้อมไว้เนิ่น ๆ เอาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ๆ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เวลาไม่เคยรอใคร  ให้เลือกโรงเรียนทหารที่อยากจะสอบเข้าซึ่งมีหลายแห่ง อาจมีที่สำรองไว้เผื่อกันพลาด สำหรับมุมมองต่อคนรุ่นใหม่นั้นเก่งกว่าคนรุ่นก่อน ๆเยอะมาก โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีและความคิดความอ่านแบบก้าวกระโดด ปรับตัวได้ดี อยากเรียนอยากรู้อะไรในอินเทอร์เน็ตมีให้ค้นหาหมด ผมอยากให้รุ่นใหม่ได้นำความรู้มาใช้อย่างสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าครับ”

จากมุมมองและวิสัยทัศน์ของนายทหารหนุ่มผู้นี้สะท้อนให้เห็น่วา อนาคตไกลเป็นดาวประดับวงการทหารอากาศอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน!!

‘มาริโอ บาโลเตลลี’ อดีตกองหน้าทีมชาติอิตาลี เดินทางมาฝึกซ้อมมวยไทย เจ้าของค่ายมวย ‘กมลา มวยไทย ยิม’ จ.ภูเก็ต ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี

(15 มิ.ย.67) เพจของ Kamala Muay Thai Gym ได้โพสต์ต้อนรับการมาเยือนของ บาโลเตลลี ที่จะมาร่วมซ้อมมวยไทย เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยเจ้าตัวได้มอบเสื้อแข่งของทีม ลิเวอร์พูล พร้อมลายเซ็นเป็นที่ระลึกให้กับทางค่ายมวยอีกด้วย

สำหรับ มาริโอ บาโลเตลลี วัย 33 ปี ถือว่าเป็นกองหน้าระดับตำนานของความเกรียนและอินดี้คนหนึ่งในโลกลูกหนัง เคยค้าแข้งกับสโมสรดังอย่าง อินเตอร์ มิลาน, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เอซี มิลาน, ลิเวอร์พูล, นีซ รวมถึงอีกหลาย ๆ ทีมในยุโรป 

ปัจจุบัน บาโลเตลลี ค้าแข้งกับ อดานา เดมีร์สปอร์ ในฤดูกาลปัจจุบัน โดยทำไปได้ 7 ประตูกับ 1 แอสซิสต์จาก 16 เกมในลีก โดยอนาคตก้าวต่อไปของเจ้าตัวยังไม่แน่นอนกับต้นสังกัด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top