Sunday, 30 June 2024
NewsFeed

‘เศรษฐา’ พอใจหลังผลสอบตัวอย่าง ‘ข้าว 10 ปี’ ไม่มีสารก่อมะเร็ง เชื่อ!! น่าจะขายได้ในราคาที่เหมาะสม ตามกลไกของตลาด

(19 พ.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังผลตรวจสอบตัวอย่างข้าว 10 ปีที่ส่งตรวจจากห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไม่พบสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง(อะฟลาท๋อกซิน) และไม่มีสารปนเปื้อนที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อการบริโภค ว่า อย่างที่เคยบอกไว้ว่า รัฐบาลต้องการให้หน่วยงานที่เป็นกลาง ซึ่งสามารถเข้ามา ตรวจสอบได้ ในส่วนของข้าว เหมาะสมที่จะมีการขายหรือเปล่า และเรื่องการตรวจสอบก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในฐานะที่เราเป็นผู้ขาย และหากผู้ซื้อต้องการจะตรวจสอบเราก็พร้อม ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ข้าวยังไม่เสียและไม่มีสารปนเปื้อนจะสามารถทำราคาขึ้นได้ เป็นเรื่องที่น่ายินดี

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ผลวิจัยออกมาเช่นนี้ถือเป็นการขจัดข้อสงสัยจากหลายๆฝ่ายได้ใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็หวังจะเป็นเช่นนั้นถ้าไม่มีอคติ เมื่อคนกลางเข้ามาพิสูจน์ทราบแล้วว่าไม่มีเชื้ออะฟลาท็อกซิน ก็น่าจะขายได้ในราคาที่เหมาะสม ตามกลไกของตลาด 

เมื่อถามว่านายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานหรือไม่ว่าจะเปิดประมูลได้เมื่อไหร่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับขั้นตอน ผึ้งขั้นแรกจะต้องมีการพิสูจน์ก่อน ว่าไม่มีสารอะฟลาท็อกซินและเชื่อว่ากระทรวงพาณิชย์เร่งขายอยู่แล้ว

มีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้รายการข่าว 3 มิติ เผยผลการทดสอบตัวอย่างข้าวสาร 2 โกดังในโครงการรับจำนำข้าว จังหวัดสุรินทร์ดังกล่าวแล้วว่า ไม่พบสารพิษจากเชื้อราที่ทำให้เป็นมะเร็ง หรือสารอะฟลาท็อกซิน และไม่พบสารตกค้างจากการใช้ยารมควัน

ขณะที่นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ผ่านแอพพลิเคชั่น X โดยนำผลที่ข่าว 3 มิติรายงาน เทียบกับข่าวจากช่อง ONE  พร้อมระบุว่า “รอดูผลการตรวจอย่างเป็นทางการจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อีกครั้งครับ คาดว่าจะออกมาในวันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคมนี้”

‘นิด้าโพล’ ชี้ ปชช. หนุนกัญชาเป็น ‘ยาเสพติด’ ย้ำ!! ควรใช้เพื่อ ‘การแพทย์-รักษาโรค’ เท่านั้น

(19 พ.ค.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “กัญชาเป็นยาเสพติด?” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-15 พฤษภาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดของรัฐบาล การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับกัญชาเป็นยาเสพติด พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 53.74 ระบุว่า เป็นยาเสพติดแต่ก็มีประโยชน์ รองลงมา ร้อยละ 33.59 ระบุว่า เป็นยาเสพติดและไม่มีประโยชน์ใด ๆ ร้อยละ 11.60 ระบุว่า ไม่เป็นยาเสพติด และร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่แน่ใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการกำหนดนโยบายกัญชาของรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 74.58 ระบุว่า เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการรักษาโรค รองลงมา ร้อยละ 19.39 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรออกนโยบายใด ๆ เพื่อสนับสนุนกัญชา/ผลิตภัณฑ์กัญชา ร้อยละ 10.53 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนการสร้างผลิตภัณฑ์กัญชาที่ถูกกฎหมาย ร้อยละ 7.40 ระบุว่า เพื่อเสริมสร้างรายได้ให้ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 3.21 ระบุว่า เพื่อสนับสนุนความบันเทิงในสังคม เช่น การเสพกัญชาได้ถูกต้องตามกฎหมาย การมีบุหรี่กัญชา เป็นต้น และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนต่อการนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 60.38 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 15.27 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 14.50 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย ร้อยละ 8.93 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาหรือนักธุรกิจกัญชา หากรัฐบาลนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.95 ระบุว่า รัฐบาลไม่ควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ใดเลย รองลงมา ร้อยละ 35.03 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาและนักธุรกิจกัญชา ร้อยละ 10.08 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ปลูกกัญชาเท่านั้น ร้อยละ 2.06 ระบุว่า รัฐบาลควรจ่ายค่าชดเชยให้กับนักธุรกิจกัญชาเท่านั้น และร้อยละ 5.88 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชาของประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 68.93 ระบุว่า ไม่เคยมีประสบการณ์ใด ๆ เกี่ยวกับกัญชา ขณะที่ ร้อยละ 31.07 ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา เมื่อพิจารณาตัวอย่างที่ระบุว่า เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกัญชา (จำนวน 407 หน่วยตัวอย่าง) พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 52.58 เคยมีประสบการณ์การใช้กัญชาเพื่อประกอบอาหารหรือเครื่องดื่ม รองลงมา ร้อยละ 34.64 ระบุว่า การเสพหรือสูบกัญชา ร้อยละ 22.36 ระบุว่า การใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค ร้อยละ 15.97 ระบุว่า การปลูกกัญชา และร้อยละ 0.98 ระบุว่า การแปรรูปผลิตภัณฑ์กัญชาในเชิงพาณิชย์ และการค้ากัญชา ในสัดส่วนที่เท่ากัน

‘หมอธีระวัฒน์’ เผย โควิดหลุดจากแล็บเป็นเรื่องจริง ชี้!! ‘สหรัฐฯ’ พัฒนาเชื้อไวรัสร่วมกับ ‘สถาบันวิจัยอู่ฮั่น’

(19 พ.ค.67) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา อาจารย์พิเศษสาขาประสาทวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha ว่า ความชั่วปรากฏ พฤษภาคม 2024 ความจริงปรากฏชัดจากที่ถูกป้ายสี ‘โควิดมาจากห้องแล็บ (lab leak)’ ว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด แท้ที่จริงแล้วเป็นเรื่องจริง

และเปิดเผยการปฏิบัติอย่างโหดเหี้ยม ของผู้ที่เป็นหัวหน้าองค์กร เช่น NIH Francis Collins (นายฟรานซิส คอลลินส์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health) ของสหรัฐอเมริกา) ที่ abuse ใช้อำนาจในทางที่ผิดในสหรัฐ ทำลายนักวิทยาศาสตร์ที่เสนอหลักฐานของกำเนิดโควิดจริงๆ

และทั้งนี้ยังมีโขลงของผู้มีอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้ง Fauci (นายแอนโทนี เฟาซี อดีตหัวหน้าคณะที่ปรึกษาด้านการสาธารณสุข ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19) และกลุ่มที่บิดเบือน รวมไปถึงหัวหน้า CDC ซึ่งหน่วยงานของสหรัฐ NIH CDC USAID DARPA ผ่านเงินทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ลงมาที่ตัวกลาง Eco Health Alliance ของ Peter Daszak และทำการวิจัยและพัฒนาไวรัสโควิดกับสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น จนสำเร็จก่อนที่จะเกิดระบาดโควิดในปลายปี 2019 รวมทั้ง NIH ถือสิทธิบัตรครอบครองวัคซีนโควิดก่อนหน้าปี 2018 ด้วยซ้ำ

15 พฤษภาคม 2024 องค์กร Eco Health Alliance ถูกตัดสินจากหลักฐานที่รัฐสภาสืบสวนสอบสวนมาตลอด ยุติเงินทุนที่ได้รับที่นำไปใช้สำหรับตัวเองและส่งผ่านไปให้องค์กรอื่นและประเทศอื่นเก็บไวรัสจากสัตว์ป่าและรายงานข้อมูลมาเพื่อสร้างไวรัสใหม่ และอยู่ในกระบวนการที่องค์กรนี้จะถูกเพิกถอนสิทธิ์ (disbarment)

คนอื่นๆ ที่เป็นตัวการในเรื่องนี้กำลังถูกทยอยจัดการตามลำดับ และใครที่รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตหลาย 10 ล้านคนทั่วโลก และยังเกี่ยวโยงไปถึงวัคซีนโควิดและการปกปิดผลกระทบผลข้างเคียงของวัคซีน

จับตาดูองค์กรใหญ่และหน่วยงานโรงเรียนแพทย์สถาบันในประเทศไทยที่รับเงินทำธุรกิจข้ามชาติจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ทั้งๆ ที่รู้ถึงเรื่องเหล่านี้และอันตรายที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะขึ้นถ้ายังคงทำต่อ แต่เห็นแก่เงินเป็นสรณะ

องค์กรและบุคคลต่างๆ เหล่านี้จะเป็นกลุ่มเดียวกันที่พยายามปิดบังผลกระทบของวัคซีนที่ทำให้ตายและพิการและมีผลในระยะยาว

หลักฐานที่นำมากล่าวนี้มีมากมายและเป็นบันทึกของรัฐสภาสหรัฐฯ จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

‘ธนกร’ สยบข่าวลือ ‘รทสช.’ รักกันดี สามัคคีทุกคน ไม่มี ‘ตั้งก๊ก-แบ่งก๊วน’ ย้ำ!! ไม่ได้เป็นพรรคเฉพาะกิจ มีอุดมการณ์ ทำงานเพื่อปชช. ขอตามรอย ‘ลุงตู่’

(19 พ.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์หลังมีสมาชิกพรรคหลายคนลาออกทำให้เกิดกระแสข่าวพรรคใกล้แตก โดยยืนยันว่า ก็เป็นแค่ข่าวลือซึ่งในความเป็นจริง สสและสมาชิกพรรคทุกคน มั่นใจและรู้กันดีว่า รวมไทยสร้างชาติเรายังเหนียวแน่น ทำงานเป็นทีม มีการแบ่งหน้าที่กันทำในส่วนต่างๆ ไม่ได้มีการแบ่งก๊ก แบ่งก๊วน แบ่งกลุ่มตามที่มีข่าว

ซึ่งตนเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดถึงมีข่าวในลักษณะนี้ออกมา โดยมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของพรรค การเมืองที่มีคนออก คนเข้า ซึ่ง รทสช.ก็เช่นกัน มีคนทั้งรุ่นเก่า รุ่นกลางและรุ่นใหม่มีทุกรุ่นขอเข้ามาร่วมงานกับพรรคอีกจำนวนมาก ซึ่งสมาชิกทุกคนมั่นใจในการนำของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมาอย่างเข้มแข็งต่อเนื่อง

เมื่อถามว่า แกนนำคนสำคัญที่ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคหลายคน ทั้งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์, นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ที่ถูกมองว่าเป็นคนของกลุ่มทุนของพรรค อาจเป็นสัญญาณเตือนทางการเมืองหรือไม่ นายธนกร กล่าวว่า การบริหารพรรคการเมือง ต้องให้เกียรติหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค รวมถึงกรรมการบริหารพรรคที่จะโบกธงนำพาสมาชิกในการทำงานการเมือง ส่วนการตัดสินใจลาออกถือเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ยืนยันว่า พรรครวมไทยสร้างชาติยังคงเดินหน้าทำงานตามอุดมการณ์ ดั้งเดิม ตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก่อตั้งพรรคไม่เปลี่ยนแปลง คือยึดมั่นการทำงานเพื่อประเทศชาติ และประชาชนเป็นที่ตั้ง การคงอยู่ของพรรคขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง

“ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมีข่าวเรื่องพรรคแตกออกมา เพราะความจริงรทสช.เราเป็นทีมเดียวกันหมด ไม่มีก๊วน โดยเฉพาะเมื่อวันที่12 พฤษภาคมที่ผ่านมาในงานสัมมนา สส.ของพรรค บรรยากาศดีเป็นไปอย่างชื่นมื่น ไม่มีการตั้งก๊ก แบ่งก๊วนอย่างที่ข่าว เพราะมั่นใจในหัวหน้าพีระพันธุ์ กรรมการบริหารและผู้ใหญ่ในพรรคจะพิจารณาทุกเรื่องอย่างเหมาะสม” นายธนกร กล่าวทิ้งท้าย

‘นิพิฏฐ์’ โพสต์เฟซ ‘ธนาธร-คณะก้าวหน้า’ ฉลองได้ ‘บ้านอองโตนี’ ที่ฝรั่งเศส ในขณะที่งานศพ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ เต็มไปด้วยความเศร้า ชี้!! นี่คือพฤติกรรมของฝ่ายปชต

(19 พ.ค. 67) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง โพสต์ภาพคณะก้าวหน้าที่นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า , น.ส.พรรณิการ์ วานิช ขณะรับประทานอาหารเที่ยง ระหว่างนายธนาธร รับมอบบ้านอองโตนี กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นบ้านเดิมที่นายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรี รัฐบุรุษอาวุโส และท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ อาศัยระหว่างลี้ภัยจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งนายธนาธร ซื้อมาจากเจ้าของชาวเวียดนาม ที่ซื้อต่อจากครอบครัวพนมยงค์ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยในราคา 63,788,000 บาท พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยได้ระบุว่า ...

หรือ ‘ก้าวไกล’ จะ ‘ก้าวพลาด’ กรณี ‘บุ้ง เนติพร’

กรณี ‘บุ้ง ทะลุวัง’ นักกิจกรรมเสียชีวิต หลังประกาศอดอาหาร 110 วัน บรรยากาศในงานศพ บุ้ง เนติพร ช่างต่างกับบรรยากาศของแกนนำ “คณะก้าวหน้า” ที่ยกทีมชุดใหญ่ไปนั่งดื่ม-นั่งกิน ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ดินแดนแห่งเสรีภาพ-ภราดรภาพ และ เสมอภาค

บุ้ง ตายเพราะอดอาหาร ตามความเชื่อที่ตรงกับความเชื่อของ ‘คณะก้าวหน้า’ และ ตรงกับความเชื่อของ ‘พรรคก้าวไกล’

คนหนึ่ง ‘ตาย’ เพราะประกาศอดอาหาร อีกกลุ่มหนึ่งกำลัง ‘ดื่ม-กิน’

คณะก้าวหน้า ยังเงียบในการตายของบุ้ง ขณะที่พรรคก้าวไกล ออกแถลงการณ์ 4 ข้อ เป็น 4 ข้อ ที่ไม่เข้าท่า ไร้สาระ บนความตายของ บุ้ง ผมค่อยแสดงความเห็นในเรื่องความไร้สาระของทั้ง 4 ข้อในภายหลัง

บุ้ง ตายตามความเชื่อ ความเชื่อของเขาจะผิดหรือถูก เราไม่วิจารณ์ แต่เราเคารพในความเชื่อของเขา

บุ้ง ตายในขณะที่มีรัฐบาล ที่สถาปนาตัวเองว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตยกำลังบริหารประเทศ

บุ้ง ตายในขณะถูกจองจำตามความเชื่อ ตรงข้ามกับ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาดคดีทุจริต ไม่ถูกจำคุกแม้แต่วันเดียว

บุ้ง ตายขณะมีอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนเดียวกันกับคนที่อนุญาตให้ คุณทักษิณ ชินวัตร นักโทษคดีทุจริต กินดี-อยู่ดี ในห้องพิเศษ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ

บุ้ง ตายขณะมีรัฐมนตรียุติธรรม ที่ชื่อ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง คนเดียวกับที่ยินยอมให้ คุณทักษิณ นักโทษคดีทุจริต อยู่ดี-กินดี ในห้องพิเศษ ชั้น 14 รพ.ตำรวจ

พรรคก้าวไกล จึงก้าวพลาด บนความตายของบุ้ง พลาดอย่างไรผมค่อยเขียนก็แล้วกัน รอคณะก้าวหน้า และ พรรคก้าวไกล ออกมาโต้ก่อนก็แล้วกัน

บุ้ง ตายแล้ว นักการเมืองคงกำลังสอดส่ายสายตาหาคนมาตายแทนตนต่อไป
ความตายที่มนุษย์ยอมรับ และ ให้เกียรติกัน คือ “ความตายในสงคราม” หากความตายของบุ้ง เป็นความตายในสงครามแห่งความเชื่อ เราก็ควรเคารพดวงวิญญาณของเธอ

ผมมีความเห็นต่างกับ บุ้ง ในทางการเมือง แต่ผมเคารพและให้เกียรติดวงวิญญาณของเธอ
#เราควรเคารพดวงวิญญาณของบุ้ง แต่ควรรังเกียจนักการเมือง และพรรคการเมืองที่เรียกตัวเองว่า เป็นฝ่ายประชาธิปไตย

‘สว. ดิเรกฤทธิ์’ ยันไม่มีใบสั่ง ยื่นศาลรธน. ถอด ‘เศรษฐา-พิชิต’ พ้นตำแหน่ง  แจง!! ไม่เปิดชื่อทั้งหมด เพราะเป็นเอกสิทธิของแต่ละบุคคล รวมทั้งกังวลผลกระทบ

(19 พ.ค.67) นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ส.ว. ในฐานะ 1 ใน 40 สว. ที่ร่วมลงชื่อเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯให้สัมภาษณ์กรณีที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว. ปฏิเสธการเข้าชื่อเพื่อยื่นเรื่องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมระบุว่ามีผู้นำเชื่อไปแอบอ้าง ว่า กรณีดังกล่าวไม่มีผลใดๆ ต่อการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีการลงชื่อครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด คือ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกที่มี หรือ 25 คน ซึ่งการลงลายมือชื่อดังกล่าวมี ส.ว. เข้าชื่อ จำนวน 40 คน ส่วนที่มีข้อเรียกร้องให้เปิดเผยรายชื่อส.ว. ทั้งหมดที่ร่วมลงนามนั้น เป็นเอกสิทธิของแต่ละบุคคลที่จะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยก็ได้ อีกครั้งบางคนไม่อยากให้เปิดเผย เพราะกังวลว่าจะมีผลกระทบ หรือทำให้เกิดการได้หรือเสียเปรียบต่างๆ

“ส.ว.หลายคนเป็นผู้ใหญ่ไม่อยากออกสื่อ หรือไม่จำเป็นต้องแสดงตัว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตีตราลับและใช้สิทธิยื่นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ทั้งนี้รายชื่อของส.ว.นั้น ถูกเปิดเผยต่อศาลแล้ว หากมีคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยจะเปิดเผยในรายละเอียดอยู่ แต่ในระหว่างการดำเนินการไม่อยากให้เปิดเผย ทั้งนี้ผมในฐานะผู้ร่วมลงชื่อ ยอมรับว่าไม่ได้เห็นรายชื่อทั้งหมด” นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว

นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวยืนยันด้วยว่าการเข้าชื่อของส.ว. ไม่มีการใช้เครดิตของบุคคลใดเป็นการเฉพาะ เพราะ ส.ว.แต่ละคนมีหน้าที่และมีสิทธิเท่ากัน และเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนที่หลายฝ่ายถามหาเหตุผลว่าทำไมต้องทำในช่วงที่สว.ปัจจุบันหมดวาระแล้ว นั้นข้อเท็จจริงคือส.ว.ปัจจุบันยังมีเงินเดือนและค่าตอบแทน ยังทำหน้าที่อยู่ ซึ่งส.ว.ปัจจุบันจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีส.ว.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องของการทำในระหว่างหมดวาระ

“ผมยืนยันว่าไม่มีใบสั่งหรือรับงานมาจากไหน แต่ยอมรับว่าส.ว.มีความเห็นหลากหลายในแต่ละกลุ่ม ซึ่งแต่ละคนล้วนมีเหตุผลและการพิจารณาเนื้อหา ส่วนผมนั้นไม่ใช่คนเกเร หรือเห็นแก่ประโยชน์ใด และที่ผ่านมาการทำหน้าที่ของผมนั้นเป็นไปเพื่อ่ประโยชน์ของประชาชน” นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว

สำรวจมุมมอง 'คนเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น' ต่อคนไทย ฝ่ายหนึ่งเหยียด ฝ่ายหนึ่งรักคนไทยแบบสุดใจ

ไม่นานมานี้ ยูทูบช่อง 'FlukeKee_TH' ได้นำเสนอคลิปในหัวข้อ 'สื่อเกาหลีเหยียดคนไทยสะเทือนสัมพันธ์ ผิดกับคนญี่ปุ่นที่รักคนไทยแบบสุดหัวใจ' โดยมีเนื้อหาดังนี้...

จากกรณีนักข่าวเกาหลีใต้คนหนึ่งได้ออกมาพูดในสื่อไลฟ์สด แล้วได้มีการเหยียดเชื้อชาติคนไทย จนลุกลามกลายเป็นกระแสให้คนไทยที่เดิมทีก็เริ่มจะมีทัศนคติที่แย่ลงกับเกาหลีใต้อย่างมากในพักหลังๆ เริ่มรู้สึกแย่ลงไปอีก

โดยนักข่าวผู้นี้ที่พยายามนำเหตุการณ์เหยียดเชื้อชาติของไทยผ่านหลายมุมมองของคนเกาหลีใต้เข้าสู่รายการทีวี พร้อมวิพากษ์วิจารณ์ทำนองเหยียดคนไทย ต้องส่งคนไทยกลับประเทศ และอื่นๆ

อันที่จริงแล้ว ในระยะหลังคนไทยหลายคนต่างก็มีประสบการณ์ฝังใจตรงกันว่า เวลาที่คนไทยตั้งใจไปเที่ยวเกาหลีใต้ มักต้องมาพบปัญหามากกว่าชาติอื่นๆโดยเฉพาะการติดด่าน ตม.บ้าง และบ้างก็ถูกส่งตัวกลับอย่างไม่ใยดี ถูกไล่ มีการเลือกปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งการกระทำของตม.ประเทศเกาหลีใต้ที่ปฏิบัติต่อคนไทยนั้น เหมือนกับว่าคนไทยเป็นบุคคลต้องสงสัยในคดีอาชญากรรมเลยทีเดียว

แน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่ได้ต้องการสื่อว่าคนเกาหลีใต้ทั้งหมดเป็นคนที่คิดไม่ดีกับคนไทย แต่จากผลสำรวจคนเกาหลีใต้เกินกว่า 50% มักจะมีทัศนคติไม่ชอบคนไทยและส่วนใหญ่จะเหยียดดูถูกคนเชื้อชาติในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะยกเว้นการดูถูกก็แต่ประเทศมาเลเซีย, บรูไน และสิงคโปร์เท่านั้น ส่วนที่เหลือคนเกาหลีใต้ส่วนใหญ่มองว่าเป็นประเทศที่ยากจน ต่ำต้อย ด้อยพัฒนา ล้าหลังโบราณ แตกต่างจากประเทศเกาหลีใต้ที่เขาจะมองตัวเองว่าเป็นประเทศที่เจริญและพัฒนาแล้ว มีเทคโนโลยีที่ล้ำเลิศและชาติอื่นๆ ก็ไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับเกาหลีใต้ได้เลยแม้แต่น้อย

มีอยู่กรณีหนึ่งที่เจ้าของช่องแชร์ให้เห็นถึงความเจ็บปวดของคนไทยที่ได้เดินทางไปเที่ยวเกาหลีใต้ และถูกเหยียดหยามทันทีที่พวกเขาพูดภาษาไทยออกไปหลังจากพวกคนเกาหลีใต้ได้ยิน ซึ่งเหตุการณ์นั้นมีอยู่ว่า คนไทยได้เข้าไปในคาเฟ่หนึ่งของเกาหลีใต้ ตอนแรกพนักงานต้อนรับที่เป็นคนเกาหลีใต้นั้นก็ต้อนรับอย่างปกติ แต่พอเจ้าของร้านได้ยินว่าพูดภาษาไทยเท่านั้น ก็ทำท่าทีไม่พอใจเดินออกมาจากเคาท์เตอร์ มาด่าใส่คนไทยเป็นภาษาเกาหลี แล้วก็ไล่คนไทยให้ออกไปให้หมด ไม่ต้อนรับแถมยังตะโกนด่าไล่หลัง ซึ่งก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทำไมต้องเหยียดหยามดูถูกคนไทยขนาดนั้น

นอกจากนี้ในเพจของเกาหลีใต้นั้น ก็มีการโพสต์และแสดงความคิดเห็นกันมากมาย เกี่ยวกับคนไทย ยกตัวอย่างเช่น...

"ไปบอกรัฐบาลไทยด้วยนะ จัดการคนในประเทศของตนให้ดี ทั้งเป็นผีน้อย และลักลอบค้ายาเสพติด สิ่งผิดกฎหมาย ต้องตรวจคนไทยให้หนักๆ"

"คนไทยไม่ต้องมาก็ได้นะ มีแต่จะสร้างปัญหา และความเดือดร้อนให้กับประเทศเกาหลีใต้"

***กลับกันถ้าเปรียบเทียบกับ 'ประเทศญี่ปุ่น' ประเทศที่เจริญมาเป็นร้อยๆ ปีนั้น หากคนไทยคนไหนเคยไปเที่ยว ก็จะรับรู้และสัมผัสได้เลยว่าชาวญี่ปุ่นนั้นให้ความสำคัญและให้เกียรติกับคนไทยอย่างมาก พร้อมที่จะต้อนรับคนไทยด้วยความจริงใจเป็นอย่างดี เพราะประเทศญี่ปุ่นเขาจะมองว่าคนไทยนั้น มีความซื่อสัตย์และเป็นมิตรที่ดีที่สุด เมื่อคนญี่ปุ่นอยู่ร่วมหรือทำงานกับคนไทย คนญี่ปุ่นจะมีความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ ความรู้สึกเหล่านี้ของชาวญี่ปุ่น เป็นแบบนี้ ติดต่อกันมาหลายศตวรรษแล้ว 

ทางช่อง เผยอีกว่า เคยมีกระทู้หนึ่งได้เปรียบเทียบความรู้สึกระหว่างการไปเที่ยวเกาหลีใต้กับประเทศญี่ปุ่นว่าแตกต่างกันมาก ในแง่ของการให้เกียรติต่อคนไทย โดยผู้โพสต์กระทู้นั้นได้เล่าว่า เขาเคยมีโอกาสไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ้เคยแวะไปร้านราเมง เมื่อเจ้าของร้านชาวญี่ปุ่นได้รู้ว่าคนไทยมาเที่ยว และแวะรับประทานอาหาร เจ้าของก็มีความสุขเป็นอย่างมากและให้การต้อนรับลูกค้าคนไทยเป็นอย่างดี เหมือนกับว่าเป็นญาติของเขาคนหนึ่ง รวมทั้งคนในร้านก็พยายามที่จะมาสอบถามพูดคุย แล้วก็มาทักทายด้วยมิตรภาพอย่างมีมารยาท อ่อนน้อมถ่อมตนและแนะนำที่พักอาศัยสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ถึงขนาดจะเป็นไกด์นำเที่ยวพาเที่ยวให้ทั่วเมืองโอซากา โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

ตัดภาพกลับมาเปรียบเทียบกับประเทศเกาหลีใต้แล้วผิดกันอย่างสิ้นเชิง มิตรภาพที่คนเกาหลีใต้มีต่อคนไทยนั้นมันแตกต่างกับญี่ปุ่นมาก เพราะคนไทยโดนคนเกาหลีใต้เหยียดหยาม แล้วก็ดูถูกไม่ให้เข้าประเทศ บางครั้งก็มีการทำร้ายร่างกายคนไทย

ที่น่าสนใจ คือ เกี่ยวกับเรื่องนี้คนญี่ปุ่นนั้นเขาก็รู้สึกไม่พอใจแทนคนไทยเป็นอย่างมาก และพร้อมที่จะช่วยปกป้องคนไทยทั้งในสื่อโซเชียลหรือแม้กระทั่งในรายการทีวีของญี่ปุ่นเองก็มีการทำข่าวและรุมประณามในการกระทำของคนเกาหลีใต้ ที่ปฏิบัติต่อคนไทยอย่างไร้มนุษยธรรม อีกทั้งชาวญี่ปุ่นเองก็ยังออกมาให้กำลังใจคนไทยที่ถูกเหยียดหยามเชื้อชาติ และถูกทำร้ายร่างกาย

นี่คือความน่ารักของคนญี่ปุ่นที่มีต่อคนไทยอย่างเห็นได้ชัด...

อย่างไรก็ตาม ถีงแม้คนไทยจะถูกกระทำเช่นนี้จากเกาหลีใต้ แต่ทำไมคนไทยยังต้องสนับสนุนและเปิดใจเวลาคนเกาหลีใต้มาเที่ยวหรือมาทำงานในไทย ซึ่งบางคนก็มีงานมีอาชีพดีๆ บางคนได้มาเป็น YouTuber บางคนได้เป็นดารา-ศิลปินที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย นั่นก็เพราะว่านิสัยของคนไทยนั้น เป็นคนที่ไม่ได้เจ็บแค้นหรือมีอคติกับสิ่งที่ผ่านมา และก็ยังมองว่าชาวเกาหลีใต้บางกลุ่มบางคน ก็มีนิสัยที่ดีเช่นกันนั่นเอง

‘อ.อ๊อด’ โพสต์เฟซประกาศ ขอยุติการตรวจสอบ ‘ข้าว 10 ปี’ ชี้!! มีผู้ใหญ่เตือน ไม่อยากให้ลุกลาม เป็นประเด็นทางการเมือง

(19 พ.ค.67) เฟซบุ๊ก ‘Weerachai Phutdhawong’ หรือ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรืออาจารย์อ๊อด อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ถึงกรณีข้าว 10 ปี โดยระบุข้อความว่า …

สวัสดีครับ อาจารย์อ๊อด เองครับ สืบเนื่องจากกรณีข้าว 1 ทศวรรษที่เป็นประเด็น ทางสังคมและตอนนี้เริ่มลุกลามเป็นประเด็นการเมือง

ห้องปฏิบัติการของทีมงานอาจารย์อ๊อด ได้รับคำแนะนำจากผู้หลักผู้ใหญ่หลายฝ่าย รวมถึงทีมงานเองก็ไม่อยากให้เกิดประเด็นทางการเมืองที่ลุกลามไปมากกว่านี้ จึงขอประกาศ ณ ที่นี้ว่า เราได้ยุติการตรวจสอบข้าว ในทุกกรณีแล้ว

ในส่วนของผลการตรวจสอบจากบริษัทห้องปฏิบัติการกลางแห่งประเทศไทย ที่มีนักข่าว อีกช่องนำไปมอบให้นั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับตัวอย่างและผลการทดสอบของทีมงานอาจารย์อ๊อด รวมถึง ผลแล็บที่กำลังจะแถลงข่าวโดยอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในวันพรุ่งนี้ด้วย

ทีมงานอาจารย์อ๊อดขอกราบเรียนว่าทุกอย่างที่ดำเนินการมา โดยตลอดนั้นก็เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก และไม่อยากให้เป็นประเด็นการเมืองต่อเนื่อง ในส่วนของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลทั้ง 2 หน่วยข้างต้น ได้ออกมา Take Action แล้วก็เป็นเรื่องที่ดี หากข้าว 1 ทศวรรษนี้ สามารถสร้างประโยชน์แก่ประเทศชาติได้ไม่ว่าจะวิธีการใดก็ตาม ทีมงานอาจารย์อ๊อดก็ขอแสดงความยินดีมาล่วงหน้า

ด้วยจิตคารวะ

อาจารย์อ๊อด

ร้านค้าในนิวยอร์ก กำลังทยอยปิดตัวลง เพราะไปต่อไม่ไหว ชี้!! ‘คดีลักขโมย’ ระบาดอย่างหนัก เพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว

(19 พ.ค.67) มหานครนิวยอร์กมีการแจ้งความเกี่ยวกับเหตุขโมยของ 21,578 คดี ตั้งแต่เข้าสู่ปี 2024 จนถึงวันที่ 12 พฤษภาคม เพิ่มขึ้น 5% จากระดับ 20,552 คดี จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยที่ในแมนฮัตตันเพียงเขตเดียว มีคดีขโมยของจากห้างค้าปลีกถึง 8,896 คดี

อาชญากรรมดังกล่าวแพร่ระบาดรุนแรงหนักมากเสียจน เครือข่ายห้างค้าปลีกดังระดับชาติ อย่าง ทาร์เก็ต ซีวีเอส และวอลกรีนส์ ต้องปิดทำการไปแล้วหลายสาขา และพับแผนขยายสาขาเข้าลิ้นชัก

ห้างทาร์เก็ต แถลงว่าในช่วงปลายปีที่แล้ว พวกเขาได้ปิดทำการสาขาต่างๆ 9 แห่งใน 4 รัฐ ในนั้นรวมถึงในฮาร์เลม สืบเนื่องจากเหตุลักขโมย 

เราไม่อาจปฏิบัติการสาขาต่างๆ เหล่านี้ต่อไปได้ เพราะเหตุขโมยและอาชญากรรมค้าปลีกอย่างเป็นระบบ ที่คุกคามความปลอดภัยของพนักงานและลูกค้าของเรา และทำให้ผลงานทางธุรกิจอยู่ในภาวะไม่ยั่งยืน

นายหน้าค้าปลีกรายหนึ่งในแมนฮัตตัน ระบุว่าในขณะที่รูปแบบการชอปปิ้งได้เปลี่ยนไป ผู้คนหันไปซื้อของทางออนไลน์มากขึ้น แต่เหตุลักขโมยก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เครือข่ายค้าปลีกทั้งหลายตัดสินใจปิดสาขาต่างๆ เช่นกัน

โจเซฟ เกียคาโลเน นายตำรวจปลดเกษียณแล้ว จากกรมตำรวจนิวยอร์ก และเป็นศาสตราจารย์รับเชิญ ณ วิทยาลัยการศึกษากระบวนการยุติธรรม จอห์น เจย์ ระบุว่าส่วนหนึ่งของปัญหาคือ การที่พวกนักการเมืองเมินเฉยต่อเหตุขโมยของในห้างค้าปลีก แทนที่จะพุ่งเป้าให้ความสำคัญกับมัน

พวกนักการเมืองบอกกับเราว่า การขโมยของไม่ใช่ปัญหา เกียคาโลน กล่าว จากนั้นแทบในทันทีทันใด เราเริ่มพบเห็นปัญหานี้เกิดขึ้น เพราะว่ามากมายในอาชญากรรมเหล่านี้ถูกลดระดับความสำคัญโดยตัวนักการเมืองเอง ท้ายที่สุดแล้ว คุณก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ที่จะตามมา

เหตุลักขโมยในห้างค้าปลีก ซึ่งกรมตำรวจนิวยอร์กเพิ่งเพิ่มเข้าไปในรายงานติดตามอาชญากรรม CompStat มีจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในเมืองแห่งนี้ ในช่วง 6 ปีหลังสุด จำนวนคดีต่างๆ เพิ่มขึ้นจากคำร้องเพียง 32,254 คดี ตลอดทั้งปี 2017 เป็น 37,922 คดีในปี 2019 ก่อนลดลงระหว่างช่วงพีกสุดของโควิด-19 ในปี 2020 ทว่านับตั้งแต่ปี 2021-2023 คำร้องทั่วเมืองกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จาก 43,892 คดี เป็น 59,137 คดี

คดีลักขโมยนี้ได้สร้างความลำบากแก่ห้างขายยารายใหญ่เช่นกัน ในขณะที่ห้างเหล่านี้กำลังอยู่ระหว่างการลดขนาดธุรกิจอยู่ก่อนแล้ว

วอลกรีนส์ อยู่บนเส้นทางของการลดจำนวนร้านลงทั่วประเทศราว 200 แห่งในปีงบประมาณ 2024 ซีอีโอ ทีโมที เวนท์เวิร์ธ กล่าวระหว่างพูดคุยทางโทรศัพท์กับพวกนักวิเคราะห์เกี่ยวกับผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัท ขณะที่ทางห้างค้าปลีกซีวีเอส แถลงแผนหนึ่งตั้งแต่ปี 2021 ว่ามีแผนลดจำนวนสาขาลง 900 แห่ง แบ่งเป็นปีละ 300 แห่ง ในปี 2022, 2023 และ 2024

Rite Aid เครือข่ายร้านขายยา เตรียมปิดทำการสาขาต่างๆ เพิ่มเติมอีก 53 แห่งใน 9 รัฐ ส่วนหนึ่งในกระบวนการล้มละลายของบริษัท นอกเหนือจากที่ปิดไปเบื้องต้น 154 สาขา

ร้านกาแฟในนิวยอร์ก ชง ‘ลาเต้ทุเรียน’ รสชาติหวานหอม ขึ้นแท่นเมนูขายดี!! เพราะมีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

(19 พ.ค.67) ปัจจุบันมีเมนูเครื่องดื่มครีเอทมากขึ้น มีการนำวัตถุดิบต่าง ๆ มาผสมผสานจนเกิดเป็นเมนูใหม่ให้ลูกค้าได้ลิ้มลอง เช่นเดียวร้านกาแฟในนิวยอร์กแห่งนี้ ที่ได้หยิบ “ทุเรียน” ราชาแห่งผลไม้เข้ามาอยู่ในเมนูด้วย.

เว็บไซต์นิวยอร์กโพสต์ได้รายงานว่า ร้านกาแฟ ‘Not As Bitter’ ได้ผุดเมนูลาเต้สุดแปลกใหม่ เพิ่มความเข้มข้นของกาแฟด้วยส่วนผสมที่ดุร้ายที่สุดในปัจจุบัน นั่นคือ ‘ทุเรียน’ ราชาผลไม้ที่มีเปลือกภายนอกแหลมคม ดูเหมือนอาวุธในระยะประชิดในยุคกลาง และเป็นที่เลื่องลือเรื่องกลิ่นฉุน

‘เจฟฟรี่ หวัง’ เจ้าของร้านเผยว่า ทางร้านคัดเลือกผลไม้สดใหม่ทุกวัน โดยเป็นทุเรียนจากไทยหรือมาเลเซีย ซึ่งรสชาติสุดเอกลักษณ์ของลาเต้แก้วนี้ ออกมาดีอย่างน่าประหลาดใจ

“เครื่องดื่มนั้นรสชาติดีมาก เพราะมันหวาน มันเพิ่มรสชาติให้กับกาแฟ และเพิ่มความนัว ความครีมมี่ลงไปด้วย” บาริสต้าซึ่งมาจากเทียนจิน ประเทศจีน กล่าว

สำหรับเมนูลาเต้ทุเรียนนั้น ทางร้านได้รับแรงบันดาลใจจากเทรนด์ในประเทศจีน ที่มักผสมเครื่องดื่มกับผลไม้และอื่น ๆ มากมาย โดยวางขายในราคา 8.50 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 300 บาท ซึ่งทางร้านยังมีเมนูที่ผสมผสานวัตถุดิบสุดแปลกใหม่อีกมากมาย เพียงแต่ลาเต้ทุเรียนค่อนข้างได้กระแสตอบรับดีมากกว่าเมนูที่ผสมผลไม้อื่น ๆ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top